ร้านอาหารครัวต้นตำรับที่ขวัญชีวาจองให้นั้นเป็นร้านอาหารไทยขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ย่านถนนศรีนครินทร์ หญิงสาวแค่ยกหูโทรศัพท์เท่านั้นก็จองได้โดยไม่ต้องมาด้วยตัวเอง เพราะเจ้าของคือแขไขเป็นเพื่อนสนิทของมารดา
“นี่หรือร้านครัวต้นตำรับ! บรรยากาศดีจังเลย ฉันเคยอ่านจากในหนังสือว่าที่นี่เข้ามาแล้ว เหมือนหลุดเข้าไปในยุคอดีต เป็นไปตามที่หนังสือเขียนไว้จริงๆ ฉันจำได้ว่าร้านนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครย้อนยุคเรื่องนึงด้วยนะ ที่พระเอกเป็นทหารน่ะแต่จำชื่อเรื่องไม่ได้”
กรวรรณอุทานพลางเหลียวมองสถานที่ที่ผู้เป็นเพื่อนเดินนำเข้าไปด้วยท่าทางตื่นเต้น เพราะราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในยุคเมื่อร้อยกว่าปีก่อน สิ่งที่อยู่รอบตัวอบอวลไปด้วยบรรยากาศแบบไทยๆ ท่ามกลางความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่รวมทั้งดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมจรุงใจ อีกทั้งการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใคร ไม่ว่าจะเป็นศาลาทรงไทยที่จำลองมาจากเรือนไทยสมัยเก่าไว้ให้ลูกค้าได้เลือกนั่ง เรือนแต่ละหลังตั้งชื่อไว้อย่างไพเราะเพราะพริ้งตามชื่อดอกไม้ไทยไม่ว่าจะเป็นเรือนมัลลิกา เรือนการเวก เรือนราชพฤกษ์ เรือนราชาวดี เรือนหิรัญญิการ์ เสียงเพลงบรรเลงที่เปิดคลอไว้เบาๆ ล้วนเป็นเสียงจากขิมหรือจะเข้ทั้งสิ้น
“อืม น้าแขเคยบอกเหมือนกันว่าที่นี่เคยถูกยืมเป็นสถานที่ถ่ายทำละครเพราะหาร้านอาหารไทยแท้ๆ แบบนี้ได้ยาก เรียกว่าตอบโจทย์คนโหยหาอดีตได้ตรงจุดพอดี”
“นั่นสิ แล้วฉันจะได้เจอคุณหลวงนุ่งผ้าม่วง ใส่เสื้อราชปะแตนสีขาวกระดุมทองห้าเม็ดอย่างแม่มณีในเรื่อง ทวิภพ บ้างหรือเปล่าหนอ” กรวรรณทำสีหน้าเพ้อฝัน
“ไม่แน่นะยายนก คุณหลวงอะไรของแกนั่นอาจจะโผล่มาจากเรือนใดเรือนหนึ่งของที่นี่ก็ได้นะ” ขวัญชีวาพูดกระเซ้า เธอก็ชอบบรรยากาศของที่นี่มากเพราะเหมือนหลุดเข้ามาในยุคอดีตจริงๆ ทว่าคำพูดต่อมาของผู้เป็นเพื่อนกลับทำลายความรู้สึกของคนที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศลงโดยสิ้นเชิง
“แบบนี้ต้องถูกใจคุณฌอนแน่ๆ เลย”
“ยายนก...แกยังไม่เลิกคลั่งไคล้คนคนนี้อีกหรือ ที่ฉันต้องวิ่งวุ่นวายตลอดบ่ายนี่ไม่ใช่เป็นเพราะตาฌอนของแกหรือไง คนบ้า จงใจแกล้งฉันชัดๆ” น้ำเสียงของคนพูดแสดงอาการโกรธเคืองขึ้นมาทันที เพราะหลังจากกาแฟถ้วยที่สองซึ่งแขกสำคัญของบริษัทสั่งแล้วเธอนำไปเสิร์ฟ ก็มีถ้วยที่สามและสี่ตามมาในเวลาห่างกันไม่ถึงสิบนาที เธอต้องเดินขึ้นลงระหว่างห้องแพนทรีซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งกับห้องรับรองที่อยู่ชั้นลอยจนขาแทบขวิด นี่ยังไม่นับเรื่องน้ำที่พ่อเจ้าประคุณบอกว่าชอบดื่มน้ำแร่มากกว่าน้ำเปล่า แต่พอเอาน้ำแร่ไปให้ก็บอกว่าตอนนี้อากาศร้อน ขอเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าเย็นๆ แทนทั้งที่ห้องนั้นเปิดแอร์คอนดิชันจนเย็นฉ่ำ
นอกจากจะมีลิ้นเป็นจระเข้แล้วหนังยังหนาชนิดที่ไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี
“โธ่...หนูวา ฉันขอโทษ” กรวรรณพูดน้ำเสียงอ่อยอย่างรู้สึกผิดขึ้นมา “แต่ฉันยังต้องทำงานอยู่บริษัทนี้นะ ยังไงเขาก็เป็นลูกค้า เราเป็นเจ้าบ้านก็ต้องเอาใจใส่เขา ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงสักหน่อย แล้วแกคิดไปเองหรือเปล่าว่าเขาแกล้ง”
“ยายบ้านก สติสตังยังอยู่กับตัวหรือเปล่า ตานั่นใช่ลูกค้าของบริษัทที่ไหนกันเล่า เขาเรียกคู่ค้าต่างหาก แกนี่เข้าข้างเขาตะพึดตะพือจริงๆ”
คนถูกหาว่าเข้าข้างฉีกยิ้มกว้าง “เอาน่า แกอย่าเพิ่งโมโห เรารีบเข้าไปกันเถอะ ป่านนี้พวกนั้นคงมาถึงกันแล้ว”
ขวัญชีวาหันไปมองค้อนเพื่อนอีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปยังเรือนราชาวดีซึ่งเธอโทร. จองไว้อย่างคุ้นชินสถานที่ เมื่อเข้าไปถึงก็เป็นอย่างที่กรวรรณพูดเพราะทุกคนนั่งรอกันอยู่แล้วอย่างพร้อมหน้า คนเรื่องมากนั่นกำลังคุยกับปกรณ์และกนกลดาอยู่ ขณะกำลังจะทรุดลงนั่ง กนกลดาก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“รบกวนคุณขวัญชีวาช่วยตามอาหารให้หน่อยได้ไหมคะ สั่งไปนานแล้วยังไม่เห็นได้เลยค่ะ”
“นั่นสิหนูวาตามให้หน่อย ป่านนี้คุณฌอนกับคุณเดฟหิวแย่แล้ว”
มลทิพย์พูดเสริมแล้วหันไปสบตากับคนเป็นเจ้านายอย่างรู้กันเพราะรู้ว่าร้านอาหารระดับนี้ปรุงตามขั้นตอนอยู่แล้ว และความเป็นจริงคือเพิ่งจะสั่งอาหารไปไม่ถึงสิบห้านาที ถ้าเกิดตามตอนนี้จะถือเป็นการเสียมารยาท อาจถูกต่อว่าเหมือนที่ตัวเองเคยโดนมาแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นคนที่ขายหน้าก็คือคนตามซึ่งคือขวัญชีวา อยากเห็นหน้าอีกฝ่ายตอนนั้นนักว่าจะเป็นยังไง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรอได้”
ฌอนตอบเสียงนุ่มพลางมองหญิงสาวที่เพิ่งมาถึงด้วยนัยน์ตาฉายแววขบขัน เจ้าตัวคงขุ่นเคืองเขาไม่น้อยที่แกล้งสั่งโน่นนี่กับเธอ เขาชอบนักเวลาเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดูแล้วอารมณ์ดีจริงๆ
“เดี๋ยวจะตามให้ค่ะ” ขวัญชีวาพูดพลางยิ้ม นี่คงคิดจะแกล้งเธอให้ขายหน้าละสิ รู้จักขวัญชีวาน้อยไปซะแล้ว พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไปยังด้านในที่เป็นส่วนของเรือนครัว แล้วจึงกลับมานั่งที่โต๊ะหลังจากนั้นไม่นาน
“ตกลงว่าไงหนูวา” มลทิพย์เอ่ยถามทันที
“ตามให้แล้วค่ะ”
หญิงสาวตอบพลางผุดรอยยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง อยากให้ตามนัก ถือเป็นโอกาสเหมาะเสียเลย เพราะตอนแรกยังคิดไม่ออกว่าจะหาทางแกล้งอีตาคนเรื่องมากนี่ยังไงดี ตอนโทร. จองก็จองอย่างเดียว แล้วเธอมาทีหลังจึงไม่รู้ว่าใครสั่งอาหารอะไรไปบ้าง
กินอาหารไทยให้อร่อยนะตาฌอน ช่วยไม่ได้ อยากให้ตามดีนัก
“ตายแล้วคุณลดา มลลืมไปจริงๆ ค่ะว่าร้านนี้ไม่มีการตาม เพราะอาหารที่นี่แต่ละอย่างทำตามขั้นตอน แล้วใช้หนูวาไปตามอย่างนี้ก็แย่สิคะ” มลทิพย์เอ่ยขึ้นเสียงแหลมราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“นั่นสิ ลดาลืมไปว่าร้านอาหารระดับนี้ถ้าเราตามจะถือว่าไปเร่ง ซึ่งเป็นการเสียมารยาท” กนกลดาพูดน้ำเสียงเหมือนรู้สึกผิดแต่ดวงตาฉายแววยิ้มเยาะ
“อ้าว...เหรอคะ หนูวาไม่รู้ คุณลดาใช้ให้ตามก็ตามทันที” ขวัญชีวาแกล้งทำสีหน้าตกใจตามน้ำทว่าแววตานั้นไหวระริก แหม...นึกว่าเธอโง่แบบนางเอกในละครหรือไงนะถึงรุมแกล้งกันแบบนี้
ฌอนที่นั่งมองดูเหตุการณ์อยู่มีหรือที่คนช่างสังเกตอย่างเขาจะไม่รู้ความนัย ตั้งแต่อยู่ในห้องรับรองแล้วเขามีความรู้สึกว่าคนน่าแกล้งของเขาถูกกลั่นแกล้งจากผู้หญิงสองคนนี้ ซึ่งไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร แต่สร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นกับเขาโดยไม่รู้ตัว เพราะเขาควรแกล้งเธอได้คนเดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์
“อย่างนี้เราไปบอกใหม่สิว่าให้ทำปกติอย่างที่เคยทำ”
ปกรณ์ออกความเห็นพลางมองหญิงสาวที่เขาเคยพูดจาเกี้ยวจนเกือบติดกับอย่างนึกเสียดายตามประสาคนเจ้าชู้ เพราะตอนนี้เจ้าตัวสวยขึ้นมากจนผิดตา ซึ่งการมองดังกล่าวหาได้รอดพ้นจากสายตาของฌอนที่นั่งตรงกันข้ามไปได้ รวมทั้งกนกลดาที่นั่งจับสังเกตอยู่เช่นกัน
“ลดาว่าอย่าเลยค่ะ เราเพิ่งไปเร่งแล้วถ้าไปบอกยกเลิกในเวลาติดๆ กันจะยิ่งเป็นการเสียมารยาท จริงไหมคะคุณขวัญชีวา”
คนถูกถามยิ้มทว่าดวงตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย “ค่ะคุณลดา เอ๊ะ นั่นอาหารมาแล้วมั้งคะ”
คำพูดของขวัญชีวาทำให้สายตาทุกคู่หันไปมอง แล้วก็เห็นพนักงานในชุดเสื้อแขนกระบอกสีชมพูกับซิ่นสีเขียวหลายคนเดินถือถาดใส่อาหารตรงเข้ามาโดยมีหญิงสาวในชุดไทยซึ่งน่าจะไม่ใช่พนักงานธรรมดาเดินคุมมาด้วย
หลังจากวางจานอาหารลงบนโต๊ะเรียบร้อยและพนักงานเดินจากไปแล้ว หญิงสาวที่เหลืออยู่ก็เดินตรงเข้ามาหาขวัญชีวา และมลทิพย์จำได้ว่าเธอเคยถูกผู้หญิงคนนี้แหละต่อว่าที่ไปเร่งอาหาร จึงยิ้มอย่างสาสมใจ ทว่าสิ่งที่เธอหวังจะได้ยินกลับตาลปัตร
“จะสั่งอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะคุณหนูวา บอกพี่ได้เลย ช่วงนี้ลูกค้าไม่มากเท่าไหร่ ยังทำได้ทันค่ะ”
“วันนี้มีเมนูแนะนำอะไรบ้างคะพี่นุช” หญิงสาวถามผู้จัดการร้านที่คุ้นเคยกันดี
“มีแกงคั่วเห็ดเผาะค่ะ คุณแขได้เห็ดเผาะมาจากต่างจังหวัดเยอะเชียว ได้ยินคุณแขบอกว่าจะฝากไปให้คุณแม่ด้วยนะคะ” ผู้จัดการร้านบอกน้ำเสียงสุภาพ
คนรอดูความขายหน้าที่คิดว่าต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับไม่เป็นไปตามที่วาดหวัง กนกลดากับมลทิพย์จึงหันไปมองสบตากันด้วยความกังขา คำทักทายที่ได้ยินถ้าไม่โง่จนเกินไป ย่อมรู้ถึงความสนิทสนมและคุ้นเคยของคนทั้งคู่ และเป็นเพราะมัวแต่สบตากันจึงทำให้ไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้า จึงได้แต่เพียงกังขาเท่านั้น ต่างคิดในใจแค่ผู้จัดการ ใครๆ อาจรู้จักได้
“ถ้าอย่างนั้นหนูวาสั่งแกงเห็ดเผาะแล้วกันค่ะ ชื่อแปลกดี ขอบคุณมากนะคะพี่นุชที่อุตส่าห์มาหาที่โต๊ะ หนูวานึกว่าจะถูกพี่นุชต่อว่าที่เสียมารยาทไปเร่งอาหารซะแล้ว”
ประโยคสุดท้ายขวัญชีวาจงใจพูดกระแทกใครบางคนเล่นๆ เกลียดนักเชียวคนที่ชอบดูถูกคนอื่นจากภาพลักษณ์ที่เห็น
“แหม...ใครจะกล้าทำอย่างนั้นล่ะคะ พี่คงต้องของตัวก่อน ต้องการอะไรเพิ่มบอกเด็กได้เลย” หญิงสาวเจ้าของชื่อนุชส่งยิ้มให้ก่อนจะค้อมหัวให้ทุกคนแล้วเดินผละจากไป
“คุณฌอนลองชิมอาหารไทยต้นตำรับชาววังหน่อยสิคะ เท่าที่ลดาทราบ ต้นตระกูลของคุณแขไขเจ้าของร้านเป็นเจ้าจอมในสมัยรัชกาลที่ ๕ อย่างภาชนะรองอาหารก็เป็นพืชผักในสวนครัวทั้งสิ้น” กนกลดาที่ปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างคนเจนสังคมดีบอกคู่ค้าสำคัญของบริษัทน้ำเสียงอ่อนหวาน
ขวัญชีวาชำเลืองมองอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า ต้มยำกุ้งแม่น้ำในถ้วยเป็นสีแดงสวยทั้งยังส่งกลิ่นหอมชวนรับประทาน ภาชนะที่รองรับเป็นฟักที่ถูกแกะสลักเป็นรูปเรือหงส์อย่างงดงาม หญิงสาวมองพลางอมยิ้มในหน้าอย่างหมายมาด ก่อนจะหันไปมองกะหล่ำปลีที่ถูกแกะสลักเป็นลายใบไม้อย่างวิจิตร บรรจุห่อหมกหน้าตาน่ารับประทานจัดวางอยู่บนกระทงใบตองอีกที ทั้งยังมีพืชผักในสวนครัวไม่ว่าจะเป็นพริกแดง พริกเขียว มะเขือยาว มะเขือเปราะ ที่ต่างถูกแกะสลักเป็นรูปดอกไม้วางอยู่รอบข้าง
ถัดมาเป็นแกงเผ็ดเป็ดย่างที่รองมาในภาชนะกระทงใบตองซึ่งถูกจับจีบซ้อนกันสองชั้น หมูโสร่ง ยำทวาย แสร้งว่า สามอย่างหลังมีฟักแกะสลักเป็นลวดลายอย่างสวยงามเป็นภาชนะรอง
“ร้านนี้เป็นอาหารชาววังที่เน้นรสชาติเป็นแบบไทยแท้ จึงเข้มข้นถึงเครื่องสมุนไพรครับ” ปกรณ์พูดเสริม
ฌอนชำเลืองมองอาหารหลากหลายชนิดบนโต๊ะที่ถูกปูด้วยผ้าลูกไม้สีขาวพลางปรายตาไปยังคนน่าแกล้งของเขาแล้วลอบยิ้มอย่างครึ้มอกครึ้มใจ เจ้าตัวต้องวางแผนอะไรไว้อีกแน่นอน ดูสิยิ้มเจ้าเล่ห์เชียว รู้จักเขาน้อยไปแล้วคุณหนูวา!
“ปกติผมไม่ชอบพวกต้มยำนักเพราะรสชาติค่อนข้างจัดจ้าน ดูสีสันก็รู้”
คนที่รอดูอยู่ลอบบ่นพึมอยู่ในใจ ‘จะมาไม่ชอบอะไรกันตอนนี้เล่า ตักกินเลย...ตักกินเลย’ คิดพลางอธิษฐานพลางโดยการวิงวอนขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่าช่วยลูกช้างด้วยเถอะ ช่วยดลบันดาลให้ตาฌอนตักต้มยำกุ้งกินทีเถอะ แล้วขอให้เผ็ดจนสำลักน้ำตาไหลด้วยเถอะเจ้าประคู้น!
“อ๋อ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เพราะตอนสั่งผมบอกให้ทำรสชาติกลางๆ เพื่อให้คุณฌอนกับคุณเดฟกินได้ อย่างสีแดงที่เห็นบางทีก็หลอกตาครับ”
“ลดารับรองว่าไม่เผ็ดแน่นอนค่ะ”
ฌอนมองไปทางคนที่ทำท่าลุ้นอย่างขบขันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ดูท่าทางคุณขวัญชีวาจะชอบพวกแกงนะครับเพราะเมื่อกี้ได้ยินสั่งแกงเห็ดเผาะ แต่มองแล้วต้มยำน่าจะเผ็ดน้อยกว่าแกง เห็นคุณจ้องไม่วางตาเชียว คุณช่วยชิมประเดิมให้ผมหน่อยสิครับว่าเผ็ดมากน้อยแค่ไหน” พูดแล้วนักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งก็จัดการตักต้มยำกุ้งสีสวยใส่ชามแบ่งยื่นส่งให้ตรงหน้า
คนถูกขอให้ประเดิมชิมสะดุ้งเฮือกอย่างเก็บอาการไม่อยู่ นี่เธอเผลอแสดงอะไรออกไปให้เขาเห็นหรือนี่ จะให้ชิมเนี่ยนะ เธอกินเผ็ดได้ที่ไหนกันเล่า แล้วทีนี้จะทำยังไงกัน พริกที่สั่งแม่ครัวให้ใส่ไปก็ไม่ใช่น้อย จะไม่กินก็ไม่น่าจะได้...ทว่าครั้นเห็นสายตาฉายแววท้าทายที่จ้องมา ทำให้หญิงสาวตัดสินใจ
เป็นไงเป็นกัน เผ็ดก็ต้องทน! ว่าแล้วขวัญชีวาก็ตักน้ำต้มยำขึ้นพลางอธิษฐานอีกครั้งขอวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกช่วยลูกช้างไม่ให้แสดงอาการเผ็ดออกไปด้วยเถิด
เมื่อลิ้นของคนกินเผ็ดแม้ได้สัมผัสน้ำต้มยำสีสันน่ากินเพียงแค่นิดเดียวก็รับรู้ถึงความเผ็ดที่รู้สึกได้ ทำให้หญิงสาวถึงกับสำลัก ทั้งน้ำตาก็ไหลพรากราวกับพบเจอเรื่องเสียอกเสียใจ เหงื่อไหลราวกับพบเจออากาศร้อนจนกรวรรณที่นั่งลุ้นอยู่ต้องรีบส่งกระดาษทิชชูให้
“หนูวา เป็นไงบ้าง”
“ไม่...เป็นไร” คนถูกถามตอบไม่ตรงความจริง พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกให้เป็นปกติทั้งที่รู้ว่าสายไปแล้ว
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าหนูวากินเผ็ดไม่ได้ โถ น่าสงสารจัง ดูสิ น้ำตาไหลเชียว” มลทิพย์พูดเปรยด้วยน้ำเสียงกึ่งเยาะ
ฌอนมองดวงหน้าแดงก่ำของคนน่าแกล้งของเขาแล้วอดนึกสงสารไม่ได้ นี่แหละผลของการอยากแกล้งเขาดีนัก คิดพลางคนกินเผ็ดเก่งก็ตักน้ำต้มยำกุ้งของโปรดที่คุณยายของเขาทำให้กินอยู่บ่อยๆ ตอนมาเมืองไทยเข้าปากด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้านต่อความเผ็ดที่ลิ้นได้สัมผัส
นี่แม่เจ้าประคุณแกล้งใส่พริกมากขนาดนี้เชียวหรือ
“อ้าว คุณฌอนกินเผ็ดเก่งนี่ครับ ผมนึกว่ากินไม่ได้” ปกรณ์เอ่ยออกมาอย่างทึ่งๆ เมื่อเห็นคู่ค้าคนสำคัญตักต้มยำกุ้งกินโดยไม่มีอาการจึงลองตักกินบ้าง ก่อนจะนิ่วหน้า “เอ...ทำไมต้มยำเผ็ดจัง ผมบอกพนักงานแล้วนี่ว่าให้ทำรสชาติกลางๆ”
“เผ็ดจริงๆ ค่ะบอส มลกินเผ็ดเก่งยังแทบแย่เลย” มลทิพย์ที่เพิ่งหัวเราะเยาะขวัญชีวาไปก่อนหน้าพูดขึ้นบ้าง ดวงหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อยืนยันคำพูด
“นั่นสิคะ ทำไมต้มยำเผ็ดจัง อย่างอื่นก็ปกตินะคะ” กนกลดาที่ลองตักอาหารทุกอย่างชิมพูดเสียงขุ่นแล้วจึงหันไปทางขวัญชีวาด้วยท่าทางไม่พอใจนัก “คุณขวัญชีวาดูสนิทสนมกับผู้จัดการร้านดี ช่วยเรียกมาต่อว่าให้หน่อยได้ไหมคะ นี่ดีนะที่คุณฌอนกินเผ็ดได้ ถ้าไม่ได้ล่ะจะทำยังไง”
คราวนี้ขวัญชีวาได้แต่อ้ำอึ้งเพราะถ้าเรียกผู้จัดการร้านมา อีกฝ่ายต้องพูดว่าเธอเป็นคนสั่งให้ทำเผ็ดจัด แผนแตกกันพอดี คิดแล้วช่างน่าเจ็บใจนักเมื่อเห็นคนที่คิดว่ากินเผ็ดไม่ได้กลับกินต้มยำกุ้งอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่แสดงอาการเผ็ดให้เห็นอย่างที่หวังแม้สักนิด มีเพียงสีหน้าที่แดงนิดหน่อยเท่านั้น นึกโมโหที่ตอนแรกเจ้าตัวพูดเองว่าไม่ชอบต้มยำเพราะรสจัดจ้าน
ตกลงอีตานี่แกล้งหลอกเธอให้ตายใจ แล้วทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายถึงเข้าข้างแต่เขาไม่ยอมช่วยเธอบ้างเลย หญิงสาวพูดโอดครวญต่อว่าอยู่ในใจ
“ว่าไงคะคุณขวัญชีวา” กนกลดาถามย้ำ
ยังไม่ทันที่ขวัญชีวาจะได้ทำอะไรต่อก็มีเสียงทักทายดังขึ้นมาเสียก่อน
“ยายหนูวา”
คนที่กำลังทำอะไรไม่ถูกยิ้มกว้างทันทีก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ “น้าแข สวัสดีค่ะ”
สุภาพสตรีวัยกลางคนหน้าตาสะสวยในชุดแต่งกายงดงามเป็นผ้าซิ่นสีเหลืองอมทองกับเสื้อลูกไม้สีขาวเรียบๆ แต่ดูหรู ที่ยืนยิ้มอยู่คือเจ้าของร้านครัวต้นตำรับ แขไข ราชเสนารักษ์ ที่คนในวงสังคมระดับสูงรู้กันดีว่ามีต้นตระกูลสืบทอดมาจากเจ้าจอมที่เคยดูแลห้องต้นเครื่องในสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังนั้นนอกจากอาหารไทยของที่นี่จะมีรสชาติต้นตำรับชาววังแท้ๆ ตัวเจ้าของร้านยังนิยมแต่งกายด้วยผ้าไทยอยู่เป็นนิตย์จนเจนตา
กนกลดาที่เห็นเจ้าของร้านเดินมาแต่แรกและกำลังจะยกมือขึ้นไหว้ถึงกับชะงัก ความกังขาเกิดขึ้นอีกครั้งกับคำทักทายรวมทั้งท่าทีสนิทสนมจากเจ้าของร้านซึ่งแสดงต่อคนที่ตัวเองกำลังคาดคั้นอยู่ ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเองจะไม่เชื่อเป็นอันขาดว่าผู้หญิงที่เธอมองว่าแสนจะธรรมดา แต่ทำไมถึงรู้จักคนระดับคุณแขไขได้
“หนูวา มาแล้วไม่เห็นเข้าไปหาน้าข้างในเลยนะจ๊ะ”
“หนูคิดว่าตอนกลับจะแวะเข้าไปหาอยู่แล้วค่ะ” หญิงสาวตอบเพื่อนสนิทของมารดาเสียงใสพลางใช้กระดาษซับเหงื่อที่หน้าซึ่งเป็นผลพวงมาจากการชิมน้ำต้มยำ นี่แค่...ชิมเท่านั้น
“แล้วนั่นหนูเป็นอะไรไป อากาศไม่ได้ร้อน ทำไมเหงื่อออกเยอะอย่างนั้นล่ะจ๊ะ”
คนถูกถามมองไปทางตัวต้นเหตุแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มแห้งๆ พลางส่ายหน้าปฏิเสธ
“มะ...ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะน้าแข” แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูดเมื่อเห็นด้านหลังของอีกฝ่ายมีพนักงานถือถาดอาหารยืนอยู่ “แล้วนั่นถืออะไรมาด้วยคะ”
“อ๋อ แกงเห็ดเผาะ น้าเอามาเป็นอาหารพิเศษให้จ้ะ” พูดพลางก็ยกชามที่แกะสลักจากฟักวางลงบนโต๊ะ
ขวัญชีวามองน้ำแกงสีแดงสวยหน้าตาน่ากินแล้วให้นึกขยาด ซึ่งแขไขเห็นแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“น้ำแกงอาจดูเหมือนเผ็ด แต่รับรองว่าหนูวากินได้แน่นอน ไม่เผ็ดอย่างที่คิดหรอกจ้ะ น้ารู้นี่นาว่าหนูน่ะกินเผ็ดไม่ได้”
ฌอนที่เงี่ยหูฟังอยู่มองหญิงสาวแล้วให้นึกขบขันอยู่ในใจ อ้อ...กินเผ็ดไม่ได้นี่เองถึงได้ออกอาการอย่างที่เห็น จะมากล่าวหาว่าเขาแกล้งก็ไม่ถูกหรอก เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายกินเผ็ดไม่ได้อยากคิดแกล้งเขาก่อนนี่นา ต้องเรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นก็ถึงตัวนั่นละถูกต้องที่สุด
“คุณแข สวัสดีค่ะ”
กนกลดาที่รอจังหวะอยู่ยกมือขึ้นไหว้ทันทีตามด้วยปกรณ์
“สวัสดีครับคุณแข”
“อ้าว...หนูลดากับคุณปกรณ์นี่เอง” แขไขทักทายอย่างคุ้นเคยกันดีเพราะงานแต่งงานของทั้งคู่เธอก็ไปร่วมงาน “ว่าแต่ทำไมถึงมากับยายหนูวาได้ล่ะ”
คำเรียกขาน ‘ยายหนูวา’ ซึ่งแสดงถึงอาการเอื้อเอ็นดูออกมาอย่างล้นเหลือ ฌอนฟังแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่คนอย่างเขาจะยิ้มออกมาเช่นนี้ แตกต่างจากรอยยิ้มพิฆาตที่คนในวงการตั้งให้
และอาการพลั้งเผลอของผู้เป็นนายมีหรือจะรอดพ้นสายตาจับสังเกตของเดฟไปได้ และยังมีสายตาของกรวรรณที่ลอบมองอยู่เช่นกัน เห็นแล้วก็แทบจะโห่ร้องออกมาเพราะเธอก็แอบเชียร์เขาอยู่ในใจ
“คุณขวัญชีวาทำงานที่บริษัทน่ะครับคุณแข”
ปกรณ์เป็นฝ่ายตอบ ซึ่งกนกลดาก็ชำเลืองมองสามีแวบหนึ่งพลางยิ้ม
“ใช่แล้วค่ะ วันนี้มีแขกคนสำคัญของบริษัทมาจากไต้หวัน ลดานึกถึงร้านอาหารไทยอร่อยๆ เลยพามารับประทานอาหารไทยที่ร้านคุณแขค่ะ”
“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณนะคะที่นึกถึงกัน แล้วอาหารที่นี่เป็นมีอะไรขาดตกบกพร่องบ้างไหม” แขไขเอ่ยถามพลางมองไปยังชายหนุ่มสองคนที่คาดว่าน่าจะเป็นแขกมาจากไต้หวัน
“ไม่มีหรอกค่ะ อาหารอร่อยเหมือนเดิมทุกอย่าง แขกของลดาติดอกติดใจมากค่ะ”
คำพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานทำให้ขวัญชีวาปรายตามองคนที่ก่อนหน้านี้ยังกระเหี้ยนกระหือรือ จะให้เธอไปเรียกผู้จัดการมาต่อว่าต่อขานเรื่องรสชาติของอาหารที่ไม่ตรงตามสั่ง มองแล้วนึกอยากยกน้ำแกงเห็ดเผาะสาดใส่นัก แหม...เมื่อกี้ยังบ่นว่าเผ็ดอยู่หยกๆ ตอนนี้กลับพูดตรงกันข้าม คนเราปากอย่างใจอย่างจริงๆ
“มีต้มยำกุ้งครับที่รสเอ้อ...”
ความคิดเห็น |
---|