โรงพยาบาลที่ขวัญชีวาบอกให้มาส่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่มีการบริการประหนึ่งโรงแรมระดับห้าดาว
เพียงแค่รถจอดเท่านั้นก็มีเจ้าหน้าที่มายืนโค้งอยู่ข้างรถเพื่อรอเปิดให้พร้อมด้วยรถเข็นผู้ป่วย
ขวัญชีวาถูกพาขึ้นรถเข็นเข็นไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นั่งประจำอยู่เอ่ยถามขึ้นทันที
“ไม่ทราบมีบัตรคนไข้ของที่นี่หรือยังคะ”
คนเจ็บยังไม่ทันตอบฌอนก็เป็นฝ่ายตอบ
เพราะเดาได้อยู่แล้วอีกฝ่ายต้องมี
“มีครับ”
“ขอทราบชื่อด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่สาวสวยเอ่ยถาม
ซึ่งคนตอบก็เป็นคนเดิมอีกตามเคย
ที่บอกชื่อและนามสกุลออกไปอย่างคล่องแคล่วราวกับเคยเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ
“ขวัญชีวา อริยะสัตย์ ครับ”
เมื่อเจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูลแล้วพบชื่อของหญิงสาวก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะสอบถามถึงรายละเอียดเบื้องต้น
“คนป่วยมีอาการเป็นยังไงหรือคะ”
“ปวดท้องมากครับ จากการที่กินอาหารรสเผ็ดเข้าไป”
คนตอบตอบราวกับตัวเองที่เจ็บป่วย
“ไม่ทราบว่าต้องการพบคุณหมอท่านใดเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
เจ้าหน้าที่สาวสวยในชุดยูนิฟอร์มของโรงพยาบาลถามน้ำเสียงนอบน้อม
“คุณหมออนวัชรค่ะ”
ขวัญชีวาเพิ่งได้มีโอกาสตอบเองบ้าง คนที่เธอเอ่ยถึงมีศักดิ์เป็นพี่ชายลูกของลุง
“อ๋อ...คุณหมอวัชรเข้าเวรอยู่ห้องฉุกเฉินพอดีเลยค่ะ
ถ้าอย่างนั้นเชิญตามเจ้าหน้าที่ไปเลยค่ะ”
เจ้าหน้าที่ที่เข็นรถตั้งแต่แรกตรงเข้ามาเพื่อจะพาคนเจ็บไปยังห้องฉุกเฉิน
ทว่าฌอนโบกมือขึ้นห้าม
“เดี๋ยวผมเข็นเองดีกว่าครับ”
พูดจบคนรู้สึกผิดก็เข็นรถพาหญิงสาวตามเจ้าหน้าที่ตรงไปยังห้องฉุกเฉินทันที
โดยไม่รู้เลยว่าหลังจากเขาคล้อยหลังไปไม่นาน
เจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ต่างหันไปซุบซิบกันทันที
“น่าอิจฉาผู้หญิงคนนี้จังเลยนะเธอ ดูสิ
ผู้ชายดูแลไม่ห่างเลย แถมหล่อมากๆ อีกต่างหาก”
“นั่นสิ ผู้หญิงแทบไม่ต้องพูดอะไร
ผู้ชายพูดแทนหมด ถ้าอุ้มได้คงอุ้มไปแล้ว
เมื่อไหร่จะมีวาสนาได้เจอผู้ชายแบบนี้บ้างนะ
ฉันนึกว่าผู้ชายอย่างนี้มีแค่ในละครเท่านั้น ไม่นึกว่าในชีวิตจริงจะมีบุญได้เห็น”
“นั่นสิเธอ ผู้ชายล้อหล่อ
ตอนแรกฉันไม่นึกว่าจะเป็นคนไทยนะ หน้าเหมือนพวกฮ่องกงหรือไต้หวัน”
“อ๋อ ฉันนึกออกแล้ว
ผู้ชายคนนี้หน้าเหมือนดาราไต้หวันคนหนึ่ง แต่ฉันนึกชื่อไม่ออก ที่เล่นเรื่อง ลำนำรักทะเลทราย
ไงล่ะ คนติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง”
“จริงเหรอ เดี๋ยวฉันต้องไปหาโหลดดูบ้างแล้ว”
ขวัญชีวาถูกพาเข้าไปยังห้องฉุกเฉินเพื่อรอพบแพทย์ที่ตัวเองระบุไป
ส่วนคนอื่นรออยู่ตรงโซฟาด้านนอกที่มีไว้สำหรับรับรองญาติผู้ป่วย หญิงสาวนอนรออยู่บนเตียงไม่ถึงอึดใจก็เห็นร่างสูงของนายแพทย์อนวัชรเดินหน้าเครียดเข้ามา
“เป็นอะไรมาน้องหนู”
“ปวดท้องค่ะพี่วัชร”
คนปวดท้องตอบทว่าสีหน้าไม่ได้ดูปวดอย่างที่บอกอาการออกไปเลย
“ปวดท้อง ปวดข้างไหน ปวดยังไง
พี่จะได้บอกถูกว่าเป็นอะไร”
คนเป็นพี่ชายเอ่ยถามอย่างห่วงใยแล้วทำท่าจะเข้ามากดท้องเพื่อดูอาการ
ทว่าคนเป็นน้องยิ้มแหยๆ ก่อนจะพูดเสียงอ่อย
“เมื่อกี้ปวดแต่ตอนนี้หายปวดแล้วค่ะ”
“เมื่อกี้ปวดตอนนี้หายแล้ว”
นายแพทย์หนุ่มทวนคำพูดแล้วหรี่ตามองน้องสาว “หมายความว่าไง”
คนที่ทำท่าปวดท้องก่อนหน้าทว่าตอนนี้ไม่มีอาการดังกล่าวหลงเหลืออยู่เลยยิ้มแห้งๆ
ก่อนจะสารภาพ “หนูแกล้งปวดท้องเพราะอยากเห็นคนรู้สึกผิดค่ะพี่วัชร
อยากแกล้งให้หนูชิมน้ำต้มยำดีนัก พี่วัชรก็รู้ว่าหนูกินเผ็ดไม่ได้...”
จากนั้นก็เล่าเรื่องให้พี่ชายฟัง
ซึ่งคนฟังฟังจบได้แต่ส่ายหน้าพลางเอามือจิ้มหน้าผากคนเล่า
“เล่นเป็นเด็กไปได้น้องหนู
ถ้าเจ้าตัวรู้ภายหลังไม่โกรธแย่เหรอ ไปล้อเล่นกับความรู้สึกเขาแบบนั้น”
“คงไม่ได้เจอกันแล้วแหละ
เพราะหนูจะลาออกจากบริษัทนั้นแล้ว” เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอตามที่พูดขวัญชีวากลับมีความรู้สึกโหวงๆ
เหวงๆ แทรกเข้ามาจนต้องกลบเกลื่อนโดยการพูดออกไปว่า
“เขาอยากมาแกล้งหนูก่อนทำไมล่ะ”
“ตามที่พี่ฟัง
เขาไม่รู้ว่าน้องหนูกินเผ็ดไม่ได้ไม่ใช่หรือจ๊ะ”
“ก็...นั่นแหละ” คนเป็นน้องพูดน้ำเสียงอุบอิบ
จากที่ตอนแรกรู้สึกสะใจกับท่าทีของฌอนที่แสดงอาการรู้สึกผิดซ้ำยังพูดขอโทษและยังพามาส่งโรงพยาบาลด้วยตัวเอง
ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกผิดที่หลอกเขาบ้างแล้ว
“เอาละ
ถ้าอย่างนั้นพี่จะเขียนอาการว่ากระเพาะกำเริบเฉียบพลันแล้วกัน
จะได้ให้พยาบาลจัดยาไปให้ตามนั้น”
“ขอบคุณค่ะพี่วัชร”
เมื่อขวัญชีวาออกมาจากห้องฉุกเฉิน
คนลุกขึ้นเป็นคนแรกคือฌอนที่รีบเดินตรงรี่เข้ามาหาในทันทีราวกับรออยู่
ดวงหน้าหล่อเหลาเจือรอยกังวล
“คุณเป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ”
คนตอบไม่ค่อยกล้าสบตาของคนถามนักด้วยกลัวจะเผยพิรุธ
“เดี๋ยวไปรอรับยาที่ห้องยาแล้วก็กลับบ้านได้เลย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่ารถยังจอดอยู่ที่ร้านอาหารและยังไม่ได้โทร.
ไปหาพี่ชาย จึงมองไปทางผู้เป็นเพื่อนเพราะกระเป๋าสะพายของเธออยู่ที่อีกฝ่าย
“ฉันจัดการเอาโทรศัพท์แกโทร.
ไปบอกพี่กฤตว่าแกอยู่ในความดูแลของพี่หมอวัชรแล้ว ไม่งั้นพี่ชายแกโทร. จะมาถามทุกห้านาทีเลยก็ว่าได้
ส่วนเรื่องรถเอาไว้ที่ร้านอาหารนั่นก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเอา”
กรวรรณนั้นคิดในใจอยู่แล้วว่ายังไงเสียฌอนก็ต้องขับรถไปส่งผู้เป็นเพื่อนอยู่แล้ว
“เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณกับเพื่อนเอง”
นั่นไงล่ะ เดาไว้ไม่มีผิด
ช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียจริง สมกับเป็นไอดอลของเธอเหลือเกิน
จะขอลายเซ็นตอนนี้ก็ดูผิดที่ผิดทาง เอาไว้ก่อนแล้วกัน
“ขอบคุณคุณฌอนมากค่ะ”
ขวัญชีวามองหน้าระรื่นของเพื่อนแล้วอยากร้องไห้นัก
เรื่องถูกอุ้มไม่รู้ว่าพี่ชายจะเห็นหรือไม่
แล้วพ่อเจ้าประคุณยังจะไปส่งเธอที่บ้านอีก แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงบอกเพื่อน
“คืนนี้แกนอนกับฉันแล้วกันยายนก”
ที่ต้องชวนเพื่อนไปนอนด้วยก็เพื่อกันอีกฝ่ายไว้เป็นพยานยามถูกกรรมการสอบสวน
“เรื่องนอนบ้านแกน่ะไม่มีปัญหา
แต่จะมีก็ตรงเสื้อผ้านั่นแหละ เพราะฉันใส่เสื้อผ้าแกไม่ได้เข้าใจไหม”
“เกิดมาเตี้ยก็แบบนี้แหละ” จู่ๆ
เดฟก็พูดทะลุกลางปล้องขึ้นมา ทั้งที่ตัวเองมั่นใจว่าคิดอยู่ในใจเท่านั้น
คนถูกว่าเกิดมาเตี้ยหันขวับไปมองคนเรียกตาขวางทันควันก่อนจะตวาดแว้ด
“คุณทักฉันว่าอะไรนะ”...ไอ้ตี๋ คำสุดท้ายนั่นกรวรรณเรียกอยู่ในใจ
ทั้งที่อยากเรียกออกไปใจแทบขาดแต่ก็เกรงใจฌอน
“ผมพูดว่า เกิดมาเตี้ยกว่าเพื่อนก็แบบนี้แหละ”
เดฟพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆ นึกด่าตัวเองอยู่ในใจที่ไม่น่าเผลอพูดออกไปตามที่ใจคิดเลย
ยายเตี้ยนี่ท่าทางเอาเรื่อง
“ผมก็ได้ยินเดฟพูดอย่างนั้นแหละครับ
ภาษาไทยของเดฟบางคำอาจมีผิดเพี้ยนไปบ้าง”
ฌอนช่วยพูดแก้ตัวให้คนสนิทเมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของกรวรรณ
“แต่...”
“คุณขวัญชีวา เชิญรับยาที่ช่องหนึ่งด้วยค่ะ”
เสียงเจ้าหน้าที่ที่ประกาศชื่อคนป่วยทำให้กรวรรณชะงักคำพูดเอาไว้
ขณะกำลังจะลุกไปเอายาให้เพื่อนก็ถูกฌอนชิงตัดหน้าลุกขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
แม้จะมีบัตรประกันสุขภาพของบริษัทดัง
แต่ก็เป็นไปตามกฎคือถ้าไม่ได้นอนโรงพยาบาลก็ต้องจ่ายเงินค่ารักษาเอง
ขวัญชีวาไม่ได้ควักเงินจ่ายเองสักบาทเพราะฌอนเป็นคนจัดการรับผิดชอบให้ทั้งหมด
และยาที่พี่ชายเป็นคนจัดให้ส่วนใหญ่เป็นพวกยาเคลือบกระเพาะที่กินแล้วไม่ได้เป็นอันตรายกับร่างกายแต่อย่างใด
“คุณเดินไปที่รถไหวไหม”
คำถามคล้ายคำถามเดิมทำให้ขวัญชีวารีบตอบ
“เดินไหวค่ะ”
แล้วก็รีบเดินไปเกาะแขนผู้เป็นเพื่อนราวกับเลือกอีกฝ่ายเป็นโล่และตรงไปยังรถทันทีโดยไม่รั้งรอ
เดฟมองหน้าคนเป็นนายแล้วหัวเราะหึๆ “มีแต่สาวๆ
อยากให้นายอุ้ม คงมีคุณขวัญชีวาคนเดียวมั้งครับที่กลัวถูกนายอุ้ม”
คนเป็นนายมองไปยังคนที่เดินลิ่วๆ ไปยังรถ
เจ้าหล่อนคงกลัวเขาอุ้มจริงๆ กระทั่งลืมว่าตัวเองเพิ่งจะหายปวดท้อง
กลัวตอนนี้จะไม่สายเกินไปแล้วหรือเพราะเขาอุ้มมาแล้ว จึงหันไปมองคนสนิท
“แกอย่ามาทำเป็นแซ็วฉันเลยน่า ระวังตัวไว้เถอะ จู่ๆ ไปว่าผู้หญิงเตี้ย
รู้ไหมว่าผู้หญิงไทยถือ”
สีหน้าของเดฟเจื่อนลงก่อนจะพูดน้ำเสียงอุบอิบ
“ผมไม่ได้ตั้งใจครับนาย คิดว่าพูดในใจแล้วเชียว”
พูดจบคนพูดก็เดินนำหน้าตรงไปยังรถซึ่งตอนนี้หญิงสาวทั้งคู่ยืนรออยู่ข้างๆ
โดยเฉพาะคนตัวเล็กกว่าที่จ้องมายังเขาตาวาวโรจน์
คาดว่าคงยังเคืองที่เขาเรียกเจ้าหล่อนว่าเตี้ยไม่หาย ซึ่งแตกต่างกับยามที่มองนายเขาราวกับคนละคน
“คุณบอกเส้นทางไปบ้านคุณมาแล้วกัน”
ฌอนเอ่ยขึ้นหลังจากหญิงสาวทั้งคู่ขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
ขวัญชีวาเกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้วว่าจะให้อีกฝ่ายไปส่งที่ร้านอาหาร
แต่นึกขึ้นได้ว่าเธอสวมบทบาทเป็นคนปวดท้องที่เพิ่งอาการทุเลา
ซึ่งจะต้องสวมบทนี้ไปจนกระทั่งถึงบ้าน “คุณขับรถเข้าไปเกือบสุดซอยทองหล่อ
บ้านอยู่ทางขวามือค่ะ”
“บ้านหนูวาสังเกตง่ายค่ะคุณฌอน
เป็นบ้านทรงไทยประยุกต์” กรวรรณพูดเสริมยิ้มๆ
เมื่อรถแล่นเข้ามาเกือบสุดซอยตามที่หญิงสาวบอก
บ้านทรงไทยประยุกต์หลังงามทางขวามือก็ปรากฏขึ้นในสายตาของฌอน
ซึ่งเขามั่นใจว่าต้องเป็นบ้านของหญิงสาวอย่างแน่นอน ไม่นึกสงสัยเลยที่ได้ยินปกรณ์บอกว่าอีกฝ่ายเป็นลูกสาวของเจ้าพ่อวงการก่อสร้างอันดับต้นๆ
ของเมืองไทย เห็นแล้วทำให้นึกถึงบ้านสวนที่เมืองนนท์ของผู้เป็นยายขึ้นมาทันที
เพียงแต่บ้านหลังนั้นเป็นทรงไทยแท้ๆ
“คุณจอดหน้าบ้านหลังขวามือนั่นแหละค่ะไม่ต้องเข้าไปส่งด้านในหรอก”
ฌอนเหลียวไปมองคนพูดอย่างขัดใจ
แต่ครั้นนึกถึงพี่ชายของอีกฝ่ายที่ดูแล้วท่าทางจะหวงน้องสาวไม่น้อยก็ถอนหายใจหันไปพยักหน้าให้คนสนิท
เมื่อรถแล่นถึงหน้าประตูรั้วที่ทำจากไม้สีน้ำตาลเข้ม “จอดตรงนี้แหละเดฟ”
หลังลงจากรถขวัญชีวาก็หันไปทางเจ้าของร่างสูงที่ลงมายืนอยู่ข้างรถ
“ขอบคุณมากนะคะ” คิดในใจหวังว่าคงไม่ต้องมาพบเจอกันอีก
“ขอบคุณคุณฌอนมากนะคะ”
กรวรรณหันไปขอบคุณชายหนุ่มพลางคิดในใจ
เธอมีลางสังหรณ์ว่าต้องพบกับนักธุรกิจหนุ่มอีกอย่างแน่นอน จึงยังไม่รีบร้อนขอลายเซ็น
ก่อนจะเดินตามผู้เป็นเพื่อนเข้าไปภายในรั้วบ้าน
ฌอนมองตามหลังร่างของคนที่หายเข้าไปในประตูรั้วจนลับสายตาแล้วจึงหันไปทางคนสนิท
“ไปบ้านสวน”
“ครับนาย”
เดฟรับคำพลางมองหน้าคนเป็นนายที่ก้าวเข้ามานั่งในรถก่อนจะเอนเบาะลงนอนหลับตา
นึกอยากจะพูดอะไรออกไปแต่ก็เปลี่ยนใจ
จึงกลับรถแล้วพารถคันงามพุ่งปราดไปยังที่หมายทันที
ขณะเดียวกับขวัญชีวาที่เดินนำผู้เป็นเพื่อนเข้าไปในบ้านก็พบกับสมาชิกทุกคนนั่งอยู่ราวกับรอคอย
ยกเว้นพี่ชายคนโตที่ยังไม่ถึงบ้าน
นราวิชญ์กับทักษกรนั้นพากันลุกพรวดขึ้นแล้วเอ่ยถามพร้อมกันราวกับนัด
“เมื่อกี้พี่กฤตโทร.
มาบอกว่าน้องหนูปวดท้องจนต้องพาส่งโรงพยาบาล แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
คนถูกถามยิ้มแห้งๆ
ก่อนจะเดินเข้าไปทรุดนั่งข้างระหว่างมารดากับบิดาที่มองมาอย่างห่วงใย
“เป็นไงบ้างหนูวา หายปวดท้องแล้วหรือลูก”
เห็นสายตาของทุกคนมองมาด้วยความห่วงใยขวัญชีวาก็รู้สึกผิดขึ้นมาในทันที
เธอไม่ควรล้อเล่นกับความรู้สึกอย่างที่อนวัชรบอกจริงๆ
“เอ้อ...จริงๆ แล้วหนูวาไม่ได้ปวดท้องหรอกค่ะ”
“ไม่ได้ปวดท้อง!”
ไม่ใช่เพียงแค่พี่ชายทั้งสองที่พูดขึ้นพร้อมกัน
แม้แต่กรวรรณที่กำลังยกมือขึ้นไหว้คนในครอบครัวของเพื่อนก็หันขวับไปมองคนพูดเช่นกัน
“หมายความว่าไงหนูวา”
ลลดาเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน
“นั่นสิลูก
ถ้าไม่ได้ปวดท้องแล้วตกลงเป็นอะไรหรือลูก” น้ำเสียงของบิดาดูจะยิ่งกังวลมากขึ้น
“คือ...เรื่องมันเป็นอย่างนี้”
ขวัญชีวาจำต้องเล่าเรื่องแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดทั้งหมดให้ทุกคนฟังแล้วยกมือขึ้นไหว้ขอโทษ
“หนูขอโทษทุกคนด้วยค่ะที่ทำให้เป็นห่วง
หนูแค่อยากให้ตานั่นรู้สึกผิดที่แกล้งหนูเท่านั้น”
“จริงๆ
แล้วคุณฌอนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกน่ะกินเผ็ดไม่ได้ จะว่าเขาแกล้งก็ไม่ถูกนะ”
ลลดาพยักหน้าเห็นด้วยกับกรวรรณ “นั่นสิหนูวา
จากที่แม่ฟังก็เป็นไปตามที่นกพูด ลูกเล่นแกล้งปวดท้องเพื่อให้เขารู้สึกผิดแบบนั้น
ถ้าเขารู้ขึ้นมาภายหลังจะว่ายังไงล่ะ”
“คงไม่ได้มีโอกาสเจอกันแล้วค่ะแม่”
ขวัญชีวาพูดอย่างมั่นใจ
“เอาละไม่ได้ปวดท้องหรือเป็นอะไรพ่อก็เบาใจแล้ว”
เอกดนัยถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ลูกสาวสุดที่รักไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่นึกกังวล
แล้วจึงหันไปสนใจหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างอยู่ต่อ
ทว่าก็เงยหน้าขึ้นถามหลังจากนั้นไม่นาน
“เมื่อกี้นกบอกว่าผู้ชายคนที่ให้หนูวาชิมน้ำต้มยำชื่ออะไรนะ”
“คุณฌอน ชื่อเต็มๆ
ว่ามิสเตอร์เผิงอวี้เยี่ยค่ะคุณพ่อ
บริษัทที่นกกับหนูวาทำงานอยู่เพิ่งจะสั่งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ลอตใหญ่จากบริษัทเขา”
กรวรรณพูดอธิบายอย่างคล่องแคล่วจึงถูกผู้เป็นเพื่อนส่งค้อนให้อย่างหมั่นไส้
เพราะเธออุตส่าห์ไม่เอ่ยถึงชื่อของฌอนมากนัก
แต่แม่เพื่อนของเธอกลับสาธยายให้ฟังเสียเรียบร้อย
“เผิงอวี้เยี่ยคนนี้ใช่ที่พ่อเพิ่งพูดถึงกับพี่กฤตไปหรือเปล่าครับ
ที่ว่าถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในนักธุรกิจดาวรุ่งของไต้หวัน” พี่ชายคนสุดท้องของขวัญชีวาถามอย่างสนใจกระทั่งลืมว่าตัวเองกำลังไม่พอใจคนถูกพูดถึงที่ให้น้องสาวเขาชิมน้ำต้มยำ
“ถ้านกจำไม่ผิดบริษัทของคุณฌอนชื่อหงอี้ พรีซิชัน
อินดัสตรีค่ะพี่กร แล้วคุณฌอนเองเป็นลูกครึ่งไทย - ไต้หวันด้วยค่ะ” กรวรรณบอกรายละเอียดเพิ่มเติม
“คนเดียวกัน
พ่อเพิ่งรู้นะว่าเขามีสายเลือดไทยอยู่ครึ่งหนึ่ง”
น้ำเสียงของบิดาที่เจือแววชื่นชมทำให้ขวัญชีวาพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด
แม้คดีของตัวเองจะตกไปแต่กลับมีเรื่องของผู้ชายคนนี้เข้ามาเป็นหัวข้อสนทนาแทนซะงั้น
“แล้วน้องหนูกลับมายังไงไม่เห็นได้ยินเสียงรถ”
นราวิชญ์ถามพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องสาวอย่างรักใคร่
“นอกจากคุณฌอนจะเป็นคนพาหนูวาไปส่งโรงพยาบาลแล้วยังขับรถมาส่งที่หน้าบ้านค่ะพี่วิชญ์”
กรวรรณเป็นฝ่ายตอบแทนอีกเช่นเคย
“อ้าว แล้วทำไมไม่เชิญเขาเข้ามาในบ้านล่ะลูก”
“นั่นสิครับพ่อ เสียดายจริงๆ ไม่ได้เจอตัวเป็นๆ
ของเขา” ทักษกรพูดน้ำเสียงเสียดาย “อยากรู้ว่าเขาจะเหมือนพวกมาเฟียไหม”
ขวัญชีวาทำหน้าเมื่อยระคนเซ็งก่อนจะรีบขอตัวด้วยขี้เกียจฟัง
“หนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ก่อนจะหันไปดึงแขนเพื่อน “ไปอาบน้ำเลยยายนก”
ความคิดเห็น |
---|