๑
คนแปลกหน้าที่รู้จักกันดี
“เป็นไงบ้างคะ ครูคนใหม่เป็นยังไงบ้าง สนุกเหมือนที่เรียนกับครูเดมี่ไหม” เพียงรักเอ่ยถามลูกที่นั่งอยู่บนคาร์ซีต ขณะกลับจากโรงเรียนสอนดนตรีชื่อดัง ซึ่งเป็นของรุ่นพี่เธอตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก่อนจะมาสนิทสนมกันช่วงที่อยู่อังกฤษ เมื่อกลับมาแล้วได้ข่าวว่าเขาเปิดโรงเรียนสอนเปียโน เพียงรักก็ไม่ลังเลที่จะพาเด็กๆ มาเรียนกับเขา
“ผมชอบครูคนนี้” ดวินออกความเห็น ขณะที่น้องสาวของเขานั้นหน้าง้ำกับคำตอบของผู้เป็นพี่
“ฉัตรเรียนได้ แต่ชอบครูเดมี่มากกว่า” แน่นอนว่ารฉัตรต้องชอบครูคนเก่าของเธอมากกว่าอยู่แล้ว ก็ครูคนใหม่สอนแต่เพลงยากๆ ให้เธอเรียน
“ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ” เพียงรักถามขณะที่รถติดไฟแดง มองลูกๆ ผ่านกระจกมองหลังแล้วถอนหายใจแรงกับคำตอบของลูกสาว
“ก็ครูเขาสอนเพลงยากให้ฉัตร” ว่าแล้วปากเล็กๆ ที่ช่างเจรจาก็ยื่นออกมาแสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์ ก่อนเจ้าตัวจะตวัดสายตาไปมองแฝดผู้พี่ “แต่ว่าดวินชอบ...ไม่เห็นสนุกเลย เมื่อยมือไปหมด”
“ครูเดมี่สอนแต่เพลงเดิมๆ ไม่อยากเรียนเพลงเดิม” ดวินที่มีความสามารถเรื่องเปียโนมากกว่าน้องสาวให้เหตุผล ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้รฉัตรชอบครูคนเดิมมากกว่า
“แต่ฉัตรชอบนี่ ใช่ไหมคะคุณแม่” รฉัตรแย้ง เพราะการสอนแบบนั้นเธอจึงเล่นเพลงคลาสสิกคล่องจนได้รับคำชมจากผู้ใหญ่หลายๆ คน ซึ่งรวมไปถึงคุณแม่คนสวยของเธอด้วย
“แม่ว่าเราลองเรียนกับครูหลายๆ คนก็ดีนะคะ” เพียงรักเผชิญกับการที่ต้องเป็นคนกลางระหว่างลูกทั้งสองมาหลายปี และหญิงสาวก็เก่งพอที่จะรู้ว่าเธอควรจะพูดอย่างไรเพื่อไม่ให้ทั้งคู่เสียใจ “เราเรียนกับครูเดมี่ที่ฉัตรชอบมาแล้ว คราวนี้เรียนกับเพื่อนของคุณแม่ที่ดวินชอบ ก็ยุติธรรมดีไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็วินเก่งกว่าฉัตร” เด็กหญิงหลุดปากบอกเหตุผลว่าอะไรที่ทำให้เธอไม่ชอบที่จะเรียนกับครูคนนี้
พี่ชายหันมองหน้า ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในความคิดของเขารฉัตรก็เก่งไม่แพ้ใคร ติดแต่ชอบชวนครูคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ต่างหากจึงตามเขาไม่ทัน “อยากเก่งก็เลิกพูดเวลาเรียน เงียบๆ แล้วตั้งใจ”
เพียงรักฟังลูกชายสอนน้องแล้วก็อดที่จะรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่ได้ เออ...เกิดก่อนกันแค่ไม่ถึงสองนาที แต่ดวินกลับมีความเป็นผู้นำมากกว่ารฉัตรอย่างเห็นได้ชัดเลย แต่รฉัตรก็คือรฉัตรนั่นแหละ เด็กหญิงไม่สนใจว่าพี่ชายจะสอนอะไร เพียงแต่มองค้อนแล้วตะโกนถามเพียงรัก เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นเสียเลย
“วันนี้เราจะไปกินข้าวกันที่ไหนคะคุณแม่”
“แม่จองร้านอาหารญี่ปุ่นที่พี่วินอยากกินเอาไว้จ้ะ” วันนี้เป็นวันที่ดวินจะเป็นคนเลือกร้านอาหารสำหรับมื้อเย็น และเด็กชายก็เลือกอาหารญี่ปุ่นของโปรดเพียงรักจึงให้น้ำฝนเลขาฯ ของเธอจองร้านอาหารเอาไว้สามที่สำหรับเธอและลูกๆ “พรุ่งนี้ฉัตรอยากทานอะไรจ๊ะ”
“ไม่รู้สิคะ เราทานอาหารร้านคุณแม่ได้ไหม ฉัตรอยากทานอาหารไทย” รฉัตรไม่สนใจและไม่ชอบเวลาที่มีเชฟมาอธิบายเรื่องความเป็นมาของอาหารแต่ละจานเหมือนอย่างพี่ชาย จึงมักเลือกร้านอาหารที่มารดาร่วมลงทุนกับเพื่อนสนิท เพราะจะได้รับการเอาอกเอาใจ
“โอเค” เพียงรักผงกหัว ตั้งใจว่าจะโทร. ไปบอกเพื่อนสนิทล่วงหน้าก่อนว่าเธอจะพาลูกๆ เข้าไป ไม่อย่างนั้นปัทมาคงจะโวยวายใส่เธอเหมือนครั้งก่อนที่แวะเข้าไป แล้วอาหารหลายอย่างหมดจนไม่สามารถทำเมนูจานเด็ดเอาใจหลานได้
“เลขาฯ คุณแม่จะมาทานอาหารกับเราด้วยไหมครับ” ดวินรอจนกระทั่งคุณแม่และน้องสาวคุยกันจบแล้วจึงเอ่ยถาม
ปกติแล้วหากไม่กินข้าวกันที่บ้านก็มักจะมีเลขาฯ ของคุณแม่ หรือไม่ก็เพื่อนๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเพียงรักมาร่วมโต๊ะเสมอ ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาย้ายมาจากอังกฤษจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีมื้อไหนเลยที่พวกเขาจะร่วมมื้ออาหารกันเพียงลำพัง
“ไม่มาจ้ะ วันนี้เราจะทานกันแค่สามคน แต่ไม่มีรู้ว่าจะมีคนอื่นจองรอบเดียวกับเราหรือเปล่านะ” เพียงรักรู้ว่าลูกชายของเธอโลกส่วนตัวสูงมาก มากจนเธอเป็นห่วง แต่ก็พยายามทำความเข้าใจว่านี่คือธรรมชาติของดวิน แม้จะแตกต่างกับรฉัตรแฝดน้องราวฟ้ากับเหว แต่เพียงรักก็ไม่คิดบังคับลูกชายหรือเปลี่ยนเขามาเป็นแบบรฉัตร
ดวินและรฉัตรรับประทานอาหารญี่ปุ่นแบบโอมากาเสะมาหลายครั้ง พวกเขาจึงพอจะเข้าใจว่าอาจจะมีบ้างเป็นบางครั้งที่ต้องมีแขกคนอื่นมาแชร์คอร์สอาหาร เว้นแต่วันไหนที่คุณแม่ปิดร้านพาลูกน้องกับเพื่อนๆ มาด้วย
“แบบนั้นไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมอยากกินปลา”
“ก็กินปลาทุกครั้ง” รฉัตรที่ต้องกินอาหารญี่ปุ่นทุกครั้งที่พี่ชายเป็นคนเลือกร้านบ่นงึมงำกับตัวเอง เธอไม่ได้รังเกียจอาหารญี่ปุ่นแสนอร่อยพวกนี้หรอก เพียงแต่ไม่ชอบรอ เพราะกว่าอาหารแต่ละจานจะมาเสิร์ฟเธอก็หิวจนหน้ามืดแล้ว “แต่ฉัตรอยากกินกุ้ง กุ้งอะไรนะ...กุ้งที่ชื่อยากๆ น่ะ”
“โบตันเอบิ แต่ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีหรือเปล่านะ” ดวินจะมีความจำดีเป็นพิเศษกับเรื่องที่เขาสนใจ อย่างเช่นวัตถุดิบของอาหารแต่ละมื้อ เด็กชายก็จำได้เกือบทั้งหมด ขณะที่รฉัตรนั้นพอกลืนลงท้องเจ้าชื่ออาหารที่ว่าก็ไม่อยู่ในหัวแล้ว
“ก็ฉัตรอยากกิน” รฉัตรชอบเจ้ากุ้งที่ว่านี้จริงๆ แต่ก็อย่างที่ดวินเอ่ยนั่นแหละ ไม่รู้ว่าวันนี้โชคจะเข้าข้างเธอหรือเปล่า เพราะไอ้เจ้ากุ้งที่ว่านี้เชฟบอกว่ามันค่อนข้างหายาก
“งั้นคุณแม่ซื้อปูขนให้อีกคนละตัวดีไหมคะ ไถ่โทษที่วันนี้คุณแม่ไปรับช้า” เพียงรักเอาใจลูกแฝดของเธอเต็มที่ ก่อนหน้านี้ตอนตั้งท้องพวกเขานั้นเพียงรักยังไม่พร้อมทั้งเรื่องเงินและอะไรอีกหลายๆ อย่าง ผิดกับตอนนี้ที่เธอมีเพียบพร้อมทุกอย่างแล้ว ดังนั้นไม่ว่าลูกอยากกินอะไรหญิงสาวก็จะหามาให้เสมอ ขอเพียงเด็กน้อยเอ่ยปากเท่านั้น
“เอาค่ะ!”
“ครับ”
เพียงรักยิ้มกว้างกับความกระตือรือร้นของลูกๆ ที่ได้ยินว่าจะได้กินเมนูโปรด ได้เห็นลูกมีความสุขแบบนี้แล้วเธอก็อยากจะให้พวกเขาเป็นเด็กแบบนี้ต่อไปนานๆ ไม่อยากให้อะไรมาเปลี่ยนหรือทำให้พวกเขาไม่มีความสุข “โอเคเลย อย่างนั้นเรารีบไปกันดีกว่าเนาะ”
“ครับ”
“ค่ะคุณแม่”
“ไอ้เหนือ...มึงกลับบ้านเถอะว่ะ เดี๋ยวแม่มึงก็มาฉีกอกกูอีกหรอก” ธนาอ้อนวอนเพื่อนสนิทที่ซดเหล้าแทนน้ำเป็นว่าเล่นด้วยความอับจนปัญญา ไม่รู้จะบอกแดนเหนืออย่างไรเพื่อนเขาจึงจะยอมกลับบ้าน “เชื่อกูเถอะมึง กินเหล้าไปก็ไม่ช่วยอะไรหรอก”
“มึงอย่ามาสอนกูได้ไหม กูให้มึงมากินเหล้าเป็นเพื่อนก็กินไป อย่าบ่นมาก” แดนเหนือไม่อยากได้ยินคำสั่งสอนของใครในตอนนี้ เพราะสมองของเขาไม่มีที่ว่างให้เรื่องอะไรแล้ว เว้นแต่เรื่องของเพียงรักและเด็กสองคนในรูปที่ธนาส่งมาให้เมื่อบ่าย เขาไม่รู้ว่าเขานั่งที่ร้านอาหารแห่งนี้นานเท่าไหร่แล้ว และเขาก็ไม่สนใจ เพราะคนอย่างเขามันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
“ไอ้เหนือ...” ธนาจนปัญญาแล้วจริงๆ นึกเสียใจที่บอกเรื่องเพียงรักกับแดนเหนือก็เมื่อเห็นว่า ตอนนี้แดนเหนือกำลังจะกลับมาเป็นสุนัขเฝ้าร้านเหล้าเหมือนสมัยที่เพียงรักทิ้งไปใหม่ๆ อีกแล้ว
“มึงเลิกกินสักทีเหอะเหล้าน่ะ กินไปเพียงเขาก็ไม่กลับมาสนใจมึงหรอก”
“ใครบอกว่ากูกินเหล้าเพราะอยากให้เขากลับมาสนใจกู กูไม่ได้สนใจเขา” แดนเหนือแทบจะปาแก้วเหล้าในมือใส่หน้าธนา หากไม่คิดขึ้นมาได้ก่อนว่า นอกจากธนาแล้วเขาก็ไม่เหลือเพื่อนคนไหนแล้ว...ไม่มีใครอยากจะนับเขาเป็นเพื่อนอีกเลยตั้งแต่วันที่เขาและเพียงรักเลิกรากันไป
“อย่ามาโกหกกูหน่อยเลยไอ้เหนือ กูอยู่กับมึงมากี่ปี...คนที่ทำให้มึงเมาเป็นหมาได้อย่างนี้ก็มีแค่เพียงคนเดียว”
“เขาสวยมากเลยนะมึง...” เสียงของแดนเหนือแผ่วลงผิดกับก่อนหน้าลิบลับ เมื่อหวนคิดถึงใบหน้าของผู้หญิงที่เก่งจนทำให้เขากลับมาเมาหัวราน้ำได้อีกครั้ง หลังจากที่กินเหล้ามามากมายจนมั่นใจว่า ชีวิตนี้เขาคงไม่เมาอีกแล้ว “แต่ทำไมเขาถึงทำกับกูแบบนี้วะ ทำไมไม่บอกว่ากูมีลูก”
“มึงใจเย็นๆ ก่อน เพียงเขาเพิ่งกลับมา เขาอาจจะยังวุ่นวายเรื่องอื่นอยู่ก็ได้” ธนาพยายามปลอบใจเพื่อน ตอนนี้ทั้งคู่ต่างมั่นใจเกินครึ่งว่าเด็กสองคนนั้นต้องเกี่ยวข้องกับแดนเหนืออย่างแน่นอน
“เพียงไม่ใช่คนโง่ มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอว่าเขาไม่อยากให้กูเป็นพ่อลูกเขา” แดนเหนือมั่นใจว่าเขารู้จักเพียงรักไม่น้อยไปกว่าใคร และรู้ดีว่าหากหญิงสาวต้องการให้เขารู้ว่าเขามีลูก เธอจะไม่ปล่อยเวลามาจนลูกของเขาโตขนาดนี้
“มึงจะโทษเขาก็ไม่ได้นะเว้ยไอ้เหนือ...” ธนาพูดได้เท่านั้นก็ต้องกลืนถ้อยคำที่เหลือลงลำคอ เมื่อแดนเหนือตวัดสายตาคมกริบมองหน้าเขาราวกับจะฆ่าเขาด้วยสายตาดุดันที่ว่า เพื่อนสนิทอย่างธนาจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจบอกความรู้สึกจริงๆ กับอีกฝ่ายไป
“กูพูดเพราะกูเห็นว่ามึงเป็นเพื่อนนะเหนือ...มึงจะโทษที่เพียงเขาทำแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“ทำไมจะไม่ได้ ถ้าเด็กสองคนนั่นเป็นลูกกู ทำไมกูจะไม่มีสิทธิ์รู้” แดนเหนือก็ยังคงดื้อรั้น มันไม่ยุติธรรมกับเขาเลยที่จู่ๆ มารู้ว่าตัวเองมีลูก แต่กลับไม่เคยได้เห็นหน้า ไม่เคยได้อุ้ม ไม่รู้แม้กระทั่งว่าชื่อของลูกตัวเอง “มึงคิดว่าเพียงจะท้องได้เหรอถ้าไม่ได้น้ำยากู”
“โห มึงนี่...” ธนาฟังคำพูดของเพื่อนตัวเองแล้วอยากจะเป็นคนถีบร่างสูงของแดนเหนือให้ร่วงลงจากเก้าอี้ แต่ดูจากสภาพแล้วเขาคงไม่ต้องเสียแรงทำอย่างนั้น เพราะอีกไม่นานแดนเหนือก็คงได้ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์แล้ว “เออ เอาเถอะ...อยากพูดอะไรมึงก็พูดไปเถอะ”
“กูไม่คิดว่าเพียงจะใจร้ายกับกูขนาดนี้” เสียงห้าวนั้นฟังเหมือนการเพ้อเข้าไปทุกที “กูเหี้ยขนาดนั้นเลยเหรอวะ เขาถึงทำกับกูขนาดนี้...ไม่สงสารกูบ้างเลยเหรอ”
“มึง...ใจเย็นๆ”
“นั่นลูกกูนะมึง ลูกกู...คนตั้งสองคนแม่งปิดไม่ให้กูรู้ได้ยังไงตั้งหลายปีขนาดนี้ เพียงเกลียดกูขนาดนั้นเลยเหรอ...กูไปทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำ”
“มึง...”
“ชีวิตกูทั้งชีวิตกูก็ให้เขาได้ แต่เขาแม่งโคตรใจร้าย...ขโมยลูกกูไปหน้าด้านๆ” น้ำเสียงของแดนเหนือสั่นเครืออย่างคนที่กำลังหวาดกลัวเพราะอยู่ในเขาวงกตที่หาทางออกไม่ได้
“กูว่าเพียงเขาไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกไอ้เหนือ”
ธนาสั่นศีรษะ เพียงรักก็เป็นเพื่อนของเขาและตลอดเวลาที่รู้จักกันมา หากจะมีใครสักคนที่รักและดีกับแดนเหนือ คนคนนั้นก็คือเพียงรัก ผู้หญิงคนแรกที่เขามั่นใจว่าเธอเป็นคนดีมาจากข้างใน ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำเพื่อให้ใครมารัก แม้แต่กับแดนเหนือเอง...ที่ตอนนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีนัก ตอนนี้ก็ไม่ดีหรอก แต่เพียงรักก็ยังไม่เคยคิดจะทิ้งแดนเหนือไปไหน ดูแลอีกฝ่ายทุกอย่างจนแดนเหนือกลายเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุดในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพราะเขาหล่อ รวยหรือมีแฟนสวยเช่นเพียงรัก แต่เพราะมีคนรักที่แสนดีอย่างหญิงสาวคอยดูแลอยู่ต่างหาก
“กูว่ามึงน่าจะรู้จักเพียงดีกว่ากู...เพียงเขาดีจะตาย แล้วกูไม่คิดว่าเพียงจะใจร้ายกับใครได้อย่างที่มึงพูด”
แดนเหนือก้มหน้า แต่หูก็สดับรับฟังคำพูดของเพื่อนทุกถ้อยทุกคำ ก่อนคนเมาจะผงกศีรษะขึ้นมาแย้ง
“เขาใจร้ายกับกูนี่ไง” ชายหนุ่มยกมือทุบอกตัวเองแรงๆ เผื่อว่าหัวใจที่ชาหนึบของเขาจะมีความรู้สึกขึ้นมาบ้าง “เขาใจร้ายกับกูคนเดียว...”
“โห...ผมถามจริงนะพี่...ทำไมต้องเป็นผมทุกทีเลย พรุ่งนี้ผมมีเรียนนะ” เสียงโอดครวญนั้นเป็นของผู้มาใหม่ที่สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงนักศึกษา มองร่างสูงของพี่ชายที่ฟุบอยู่กับโต๊ะอย่างหมดสภาพ หลังจากที่ซัดเหล้าเข้าไปพอสมควร
“ก็แกเป็นน้องไอ้เหนือมัน จะมาบ่นอะไรเกื้อ มาแล้วก็รีบๆ เอามันไปสิ” ธนาถอนหายใจยาวหลังจากที่โทร. หาน้องชายของแดนเหนือให้มาหิ้วพี่มันกลับบ้าน
“แล้วทำไมต้องเป็นผมทุกทีเลยนะ” เกื้อกูลโอดครวญอีกครั้งพอเป็นพิธี แม้ในที่สุดแล้วก็มีแต่เขานี่แหละที่ต้องตามเก็บร่างของพี่ชายจากร้านเหล้าและเป็นคนพากลับบ้าน เพราะว่าธนาโดนแม่ของเขาขึ้นแบล็กลิสต์ ห้ามไม่ให้เหยียบบ้านอีก โดยโทษว่าธนาเป็นคนพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านเหลวไหล ทั้งที่ความจริงนั้นแดนเหนือต่างหากที่เป็นคนพาธนาเหลวไหล
“เฮีย เฮียโว้ย!”
“มันไม่ตื่นหรอกเกื้อ รีบพามันกลับบ้านเถอะ แม่เราโทร. มาจนสายไหม้แล้ว” ชายหนุ่มบอกผู้ที่เขาเห็นไม่ต่างจากน้อง
เกื้อกูลเองก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่ธนากล่าว ขนาดเขาเขย่าตัวขนาดนี้แดนเหนือยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่น ก็น่าจะหนักอยู่
“แล้วผมจะรอดไหมเนี่ย แล้วทำไมเฮียเป็นแบบนี้ละพี่ ไม่เมามานานแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมจู่ๆ ถึงได้กลับมาเป็นแบบนี้อีกล่ะ” คนเป็นน้องบ่นอุบ แบบนี้กลับบ้านไปเขาก็ซวยอีก...
ครั้งล่าสุดที่เกื้อกูลเห็นพี่ชายเมาหัวราน้ำแบบนี้ก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงที่เลิกรากับแฟนสาวอย่างเพียงรัก ซึ่งตอนนั้นก็เข้าใจได้เพราะถ้าเขาเป็นแดนเหนือ เกื้อกูลก็คงหัวใจสลายไม่ต่างจากพี่ ก็เพียงรักน่ะแสนดีประหนึ่งนางฟ้านางสวรรค์ ทั้งสวยทั้งใจดี...
“เพียงกลับมา”
“ฮะ?” เกื้อกูลปล่อยร่างพี่ชายตัวเองให้ร่วงลงกระแทกโต๊ะดังอัก ก่อนจะหันขวับไปมองหน้าของธนาด้วยดวงตาเบิกโพลงราวจะถามให้แน่ใจว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้หูฝาดไป
ได้ยังไงกัน...พี่เพียงรักน่ะหรือจะกลับมา ไม่มีทาง...
“พี่เพียงกลับมาหรือครับ ได้ไง...ใช่เพียงคนเดียวกับที่ผมเข้าใจหรือเปล่า”
“ทั้งชีวิตไอ้เหนือมันก็มีอยู่เพียงเดียวไหมล่ะ” ธนากระแทกลมหายใจ ไม่อยากเชื่อว่าเกื้อกูลจะได้ความฉลาดของพี่ชายมาด้วย น่าสงสารจริงๆ “เพิ่งรู้กันวันนี้ ก็เลยกลายเป็นหมาอย่างที่เห็น”
“บ้า...พี่เพียงรักของผมน่ะหรือครับ” เกื้อกูลตาเหลือก คิดว่าตัวเองคงหูฝาดไปที่ได้ยินว่าเพียงรักหวนกลับมาในชีวิตของพี่ชายเขาอีกครั้ง หลังจากหายหน้าไปหลายปี
“เออ เพียงรัก” ธนาพยักหน้าให้น้องชายเพื่อนก่อนถอนหายใจ เมื่อเหลือบไปเห็นร่างสูงของแดนเหนือที่ยังนอนพังพาบแบบเดียวกับเมื่อห้าปีก่อนไม่มีผิด “ตกลงว่าพามันกลับบ้านได้ใช่ไหม”
“มาขนาดนี้แล้วไม่ได้ก็ต้องได้แหละพี่” น้องชายที่ต้องรับหน้าที่แบกพี่ชายกลับบ้านตั้งแต่วันที่ธนาถูกมารดาของเขาสั่งห้ามเหยียบบ้านนั้นพ่นลมหายใจออกมาอย่างปลงตก ก่อนจะบ่นลอยๆ ระหว่างเดินไปยกแขนแดนเหนือขึ้นมาคล้องคอ “ดีนะที่พรุ่งนี้ผมมีเรียนบ่าย”
“เออ โชคดีที่เป็นวันนี้...” ธนาเองก็ไม่ต้องเข้าบริษัทเพราะมีนัดคุยงานนอกสถานที่ในวันพรุ่งนี้เช่นกัน ก่อนจะรีบไปช่วยเกื้อกูลหิ้วปีกคนเมาไปที่รถ และดีที่เกื้อกูลฉลาดกว่าพี่ชายด้วยการไม่เอารถตัวเองมา เมื่อยัดแดนเหนือใส่รถเรียบร้อยแล้ว ทายาทคนเล็กแห่งบ้านเกียรติวิริยะก็เดินมายกมือไหว้ลาธนา
“ผมไปก่อนนะพี่”
“ขับรถดีๆ”
ธนาผงกหัวรับ ก่อนกำชับเกื้อกูลส่งท้ายแล้วจึงแยกกันไปขึ้นรถของตัวเอง เหลือเกื้อกูลเพียงคนเดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับแดนเหนือในภาคไร้สติ ที่จะมีอาการเรื้อนเป็นพิเศษ
กว่าจะพาพี่ชายมาถึงบ้านของพวกเขาก็กินเวลาไปพักใหญ่ ทว่าภายในบ้านยังสว่างจ้าบอกให้ชายหนุ่มรู้ว่า มีใครบางคนกำลังรอการมาของแดนเหนืออยู่แน่ๆ เพราะตัวเขาย้ายออกไปอยู่หอตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว คงไม่มีใครรอเขาหรอก
“นั่นแกพาพี่ไปสำมะเลเทเมาที่ไหนมาเกื้อ!”
เสียงแหลมปรี๊ดบาดแก้วหูนั้นเป็นของคุณสุกดาราที่พุ่งออกจากบ้านทันทีที่เห็นรถของลูกชายคนโตเคลื่อนผ่านประตูรั้วมา
“ใจเย็นก่อนม้า...ผมไปถึงเฮียก็เป็นแบบนี้แล้วเถอะ ลากกลับมาได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” เกื้อกูลตอบด้วยน้ำเสียงซังกะตาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนมารดาบ่น หลังพาลูกรักของท่านกลับบ้านมาในสภาพเมามายเช่นนี้
“แล้วทำไมพี่เขาเป็นแบบนี้”
สุกดาราเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเล็กตาแข็ง เสียงที่เอ่ยถามก็ขุ่นเขียว ทว่าเกื้อกูลเพียงเลิกคิ้วมองหน้าผู้เป็นมารดา คล้ายจะถามท่านว่า ‘แล้วผมจะรู้เหรอ’ เมื่อสุกดาราเห็นว่าลูกชายคนเล็กไม่มีคำตอบให้เธอ ก็เพียงพ่นลมหายใจแรงแล้วเร่งเกื้อกูลยิกๆ
“ไปๆ พาพี่เขาเข้าบ้าน เดี๋ยวยุงจะหามเสียก่อน”
“ครับผม” ถ้าไม่ติดว่าต้องหิ้วร่างพี่ชายที่สูงใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นแล้ว เกื้อกูลคงยกมือทำท่าตะเบ๊ะรับคำสั่งมารดาเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เพราะเขาต้องกึ่งลากกึ่งจูงร่างไร้สติของพี่ชายเข้าไปในบ้าน แน่นอนว่าเมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน พวกเขาก็ถูกทักด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนเสียวสันหลังทันที
“ไปเมาที่ไหนมาอีกล่ะ”
“ป๊า...”
เกื้อกูลเงยหน้ามองร่างท้วมของบิดาที่ยืนมองจากชั้นสองของบ้านแล้วยิ้มแหย ขณะที่สุกดารานั้นหน้าซีดด้วยไม่คิดว่าสามีของเธอจะตื่นมากลางดึกเช่นนี้
“ร้านเดิมนั่นแหละครับ เพื่อเฮียโทร. บอกให้ผมไปรับ”
“เหลวไหล...ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง” สายตาคมกริบของผดุงธรรมเลื่อนไปที่บุตรชายคนโต ก่อนจะตวัดไปยังใบหน้าของสุกดาราที่ซีดเผือดอย่างคนที่รู้ชะตากรรมตัวเอง “เลี้ยงมันเป็นเทวดาก็เลยเหลวไหลแบบนี้”
“ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อยนี่คะ...” สุกดาราแย้งสามีเสียงอ่อย ไม่เชื่อว่าความรักของเธอจะทำให้แดนเหนือกลายเป็นเด็กเหลวไหล เอาแต่เมาหัวราน้ำ “เป็นเพราะเด็กคนนั้นต่างหากเล่า”
“ยังจะไปโทษคนอื่นเขาอีก!”
เสียงตวาดนั้นทำให้ทั้งคนที่เมาและไม่เมาต่างสะดุ้งเฮือก เกื้อกูลเผลอปล่อยพี่ชายออกจากมือจนมารดาอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่เพราะสายตาคมกริบที่ฉายชัดถึงอารมณ์คุกรุ่นของผดุงธรรมทำให้เกื้อกูลแข็งเป็นหุ่น ไม่กล้าขยับตัวไปช่วยพี่ชาย จึงมีเพียงแดนเหนือคนเดียวที่กล้าท้าทายความโกรธของบิดาโดยพยายามพาตัวเองขึ้นบันไดด้วยการคลานสี่ขา
“ป๊า...”
กรามแกร่งของผดุงธรรมขบจนเป็นสันนูนเมื่อเจ้าตัวเห็นสภาพบุตรชายคนโตที่เขาเคยคิดจะฝากความหวังให้สานต่องานของที่บ้าน ทว่าตั้งแต่เรียนจบมาจนตอนนี้แดนเหนือก็ยังทำตัวเหลวไหล ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง แล้วแบบนี้เขาจะวางใจให้ดูแลงานต่อได้อย่างไร!
“มันก็เป็นไม้หลักปักเลนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ยังจะเที่ยวไปโทษคนอื่นอีก...เพราะคุณคอยแต่โอ๋มันแบบนี้ไง ไอ้เหนือมันถึงไม่รู้จักโต”
“คุณจะโทษฉันคนเดียวก็ไม่ถูกนะคะ” สุกดาราเบื่อที่จะต้องเป็นคนผิดเรื่องนี้ หากเธอผิดเขาเองก็ผิดเหมือนกันนั่นแหละ เพราะแดนเหนือก็เป็นลูกของเขาเหมือนกัน
“ป๊า...” เสียงอ้อแอ้ของแดนเหนือแทรกขึ้นท่ามกลางบรรยากาศมาคุระหว่างผดุงธรรมกับสุกดารา ร่างสูงคว้าราวบันไดเพื่อทรงตัวแล้วพูดต่ออย่างคนที่มีสติสัมปชัญญะไม่เต็มร้อย “ป๊า...ทำไมยังไม่นอน”
ผดุงธรรมได้ยินคำถามทว่ากลับนิ่ง มองบุตรชายคนโตของตัวเองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะกระแทกลมหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังทิศทางที่เป็นห้องนอนของตัวเอง แต่กระนั้นก็ไม่วายกำชับคนที่อยู่ข้างล่างด้วยเสียงเข้มจัดที่บอกถึงความเข้มงวดของเขา
“ให้มันขึ้นมาเอง ห้ามใครช่วย...ไม่อย่างนั้นจะโดนดี”
และแน่นอนว่าเกื้อกูลเชื่อฟังคำสั่งนั้นของบิดาอย่างว่าง่าย ไม่สนใจว่าสุกดาราจะพยายามคว้าแขนเขาเอาไว้ ชายหนุ่มพุ่งตัวไปที่บันไดด้วยความรวดเร็ว หยุดกระซิบบอกพี่ชายที่ยังไม่สร่างเมาอย่างขอลุแก่โทษ
“ตัวใครตัวมันนะเฮีย...”
“อื้ม...” แดนเหนือหันมองร่างสูงของเกื้อกูลซึ่งวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองด้วยความเร็วจี๋ ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นคล้ายพยายามทบทวนความจำว่าทำไมเกื้อกูลถึงกลับมาค้างที่บ้าน เขาควรจะอยู่หอไม่ใช่หรือ... “เกื้อ...ไอ้เกื้อ...”
เช้านี้เป็นเช้าวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ดวินและรฉัตรต้องไปโรงเรียนก่อนจะได้หยุดสองวัน เด็กๆ จึงสดใสและตื่นเต้นเป็นพิเศษ แม้ว่าจะต้องตื่นแต่เช้าก็ตามที โดนเฉพาะดวินนั้นสดใสกว่าทุกวันขนาดที่เป็นฝ่ายชวนเพียงรักคุยมากกว่าน้องสาวเลยทีเดียว
“คุณแม่จะมารับพวกเราเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”
“ต้องมาสิจ๊ะ รับรองว่าวันนี้แม่ไม่สายจ้ะ” เพียงรักไม่เคยให้ใครไปรับลูกๆ ของเธอเลยตั้งแต่พวกเขาถึงวัยต้องเข้าโรงเรียน เพราะเธอเองก็ติดลูกไม่แพ้กับที่พวกเขาติดเธอ
“ฉัตรอยากเจอคุณแม่เร็วๆ” รฉัตรส่งเสียงอ้อนเพียงรักบ้าง เพราะรู้สึกว่าเธอจะน้อยหน้าพี่ชายไม่ได้
แน่นอนว่าคุณแม่คนสวยอย่างเพียงรักนั้นยิ้มหวาน มองลูกๆ ของเธอด้วยสายตาที่มีแต่ความรักและเอ็นดู แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะเธอต้องมองหาที่จอดรถในโรงเรียนของลูกๆ แข่งกับผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่ต้องมาส่งลูกเหมือนกับเธอ ไม่นานเพียงรักก็หาที่จอดรถได้
เมื่อเอี้ยวหน้ากลับไปมองด้านหลังก็พบว่าทั้งดวินและรฉัตรปลดเข็มขัดนิรภัยที่ยึดร่างของพวกเขากับคาร์ซีตเอาไว้รอท่าอย่างรู้หน้าที่ ดังนั้นหน้าที่ที่เหลือของเพียงรักก็คือก้าวลงไปเปิดประตูให้เด็กๆ แล้วจูงมือสองแฝดเข้าชั้นเรียนรฉัตรก็ยังคงกระโดดโหยงเหยงขณะที่จับมือของเธอแน่น ผิดกับดวินที่เดินตามแรงจูงของเพียงรักอย่างสงบและไม่หันไปตำหนิน้องสาวฝาแฝดที่วันนี้คึกเป็นพิเศษ
“เอาละ...” เพียงรักทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้าของตัวเอง ก่อนจะจับเจ้าสองแสบให้หันหน้ากลับมาหาเธอเพื่อบอกลาเหมือนอย่างที่ทำทุกวัน “เป็นเด็กดีนะจ๊ะ เดี๋ยววันนี้แม่จะรีบมารับ”
“ค่ะคุณแม่” รฉัตรพุ่งเข้ามากอดมารดาและหอมแก้มนวลทั้งซ้ายขวา ก่อนที่จะผละออกไปเพื่อหลีกทางให้ดวินที่ยืนรอคิวอยู่ ซึ่งเด็กชายก็ขยับเข้ามากอดลาเพียงรักและหอมแก้มแม่แบบเดียวกับที่น้องสาวเพิ่งทำไป
“เป็นเด็กดีนะครับวิน เป็นเด็กดีนะคะรฉัตร” เพียงรักลูบศีรษะลูกชายของเธอ ก่อนจะดึงแขนรฉัตรเข้ามาใกล้ ตามด้วยการหอมแก้มเด็กทั้งคู่สลับกันหลายฟอดจนฝาแฝดต่างหัวเราะคิกคักเพราะจั๊กจี้
“ค่ะ”
“ครับ”
“แล้วคุณแม่จะรีบมารับ สัญญา”
เพียงรักบอกทิ้งท้ายแล้วยื่นหน้าไปจุ๊บปากสองแฝดเร็วๆ อีกครั้ง ก่อนจะตัดใจปล่อยมือจากลูกของเธอ โบกมือให้เด็กน้อยทั้งสองจนครูประจำชั้นรับดวินและรฉัตรเข้าห้องเรียน คุณแม่คนสวยจึงยอมหมุนตัวเตรียมขึ้นรถไปทำงาน ทว่าก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวเพียงรักก็ต้องชะงักฝีเท้าของตัวเอง เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุน่าจะมากกว่าเธอไม่เท่าไหร่ยืนละล้าละลังโดยที่สีหน้ามีแววลังเลแปลกๆ แต่ก็ยังมองหน้าเธอไม่เลิก จนเพียงรักอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าคะ”
คำถามของเพียงรักทำให้นฤดีสะดุ้งด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนจะยิ้มแห้งๆ ก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าเพียงรักอย่างไม่มีทางเลือกมากนัก
“ใช่...เพียงรักหรือเปล่าจ๊ะ”
“ค่ะ” ถึงจะสงสัยเล็กน้อยว่าผู้หญิงคนนี้รู้ชื่อของเธออย่างไร แต่เพียงรักก็ผงกหัวรับด้วยเห็นว่าท่าทีของคนตรงหน้าไม่ได้มีอันตรายหรือส่อแววว่าจะคุกคามเธอแต่อย่างไร ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นแม่ของเพื่อนดวินและรฉัตรก็ได้
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรคะ”
อีกฝ่ายยิ้มกว้างทั้งใบหน้า ไม่มีแววโกรธเคืองเพียงรักที่จำเธอไม่ได้สักนิด ก็นะ...พวกเขาเจอกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง ตอนที่เพียงรักตามแดนเหนือมาหาธนาที่บ้านของเธอเพื่อเอาหนังสือเรียน “พี่ฤดีไง พี่ฤดี...พี่สาวของธนา”
“คะ?”
“ธนา...เพื่อนแดนเหนือไง”
สิ่งแรกที่แดนเหนือสัมผัสได้หลังจากรู้สึกตัวทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาก็คือความรู้สึกปวดหัวแทบบ้า ก่อนจะตามมาด้วยความรำคาญเพราะแรงสั่นในกระเป๋ากางเกง ทำให้ชายหนุ่มต้องล้วงมือเข้าไปควานหาเจ้าตัวการที่ปลุกเขาจากกระเป๋ากางเกงทันที มือถือของแดนเหนือที่มีแบตเตอรี่ไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์สั่นครืดๆ เพราะสายเรียกเข้า และทันทีที่เจ้าของมือถือรับสายก็ถามกึ่งสบถใส่คนที่อยู่ปลายสายอย่างเอาเรื่องด้วยเสียงห้าวที่มีแต่อารมณ์หงุดหงิดทันที
“มีอะไร”
“คุณเหนือคะ วันนี้เข้าบริษัทหรือเปล่าคะ” เสียงนั้นเป็นเสียงเลขาฯ ของเขาเอง น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวลเพราะนี่ก็จวนบ่ายและใกล้เวลานัดหมายที่แดนเหนือจะต้องร่วมประชุมแล้ว ทว่าเธอยังไม่เห็นวี่แววของผู้เป็นนายเลย “คุณเหนือมีประชุมนะคะวันนี้”
“ไม่ไป” แดนเหนือกระแทกเสียงตอบแล้วตัดสาย ตามด้วยการโยนมือถือของตัวเองลงบนเตียง จำไม่ได้และไม่สนใจว่านัดที่ว่านั้นสำคัญแค่ไหน เพราะตอนนี้เขาไปที่ไหนด้วยสภาพยับเยินเช่นนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
แดนเหนือรู้ตัวดีว่าทั้งสภาพร่างกายและสภาพหัวใจพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดีเลยสักอย่าง...
ทั้งๆ ที่เขาคิดว่าเขาเริ่มประกอบชิ้นส่วนของหัวใจที่เคยแหลกสลายให้กลับมาเป็นรูปเป็นร่างได้แล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายแดนเหนือก็ได้รู้ว่าเขาไม่เคยทำได้เลย หัวใจของเขายังแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนวันแรกที่เพียงรักก้าวออกไปจากชีวิตเขาอยู่เหมือนเดิม เหมือนเดิมทุกอย่าง...ไอ้ความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นไม่เคยจางไปเลย แม้เวลาจะผ่านไปขนาดนี้แล้ว
ทว่าเมื่อคิดถึงภาพของเด็กชายและเด็กหญิงในอ้อมกอดของเพียงรัก ทำให้แดนเหนือผงกหัวขึ้นจากหมอนที่เปียกชื้นเพราะหยาดน้ำตาตัวเองได้ และเพราะเหตุผลที่อธิบายไม่ได้นี้มันทำให้เขามีกำลังใจมากพอที่จะพาร่างของตัวเองเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแต่งตัวด้วยความหวังที่จะไปพบหน้าเด็กน้อยทั้งสอง...เด็กที่เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ
ร่างสูงของแดนเหนือก้าวลงมายังชั้นล่างของบ้าน ก็พบว่าสมาชิกของครอบครัวทุกคนต่างอยู่กันพร้อมหน้าบนโต๊ะรับประทานอาหารแล้ว แต่ละคนมีปฏิกิริยาต่างกันไป แม่ยิ้มกว้างเหมือนดีใจเหลือเกินที่เขาฟื้นขึ้นมาได้ ส่วนพ่อนั้นมีสีหน้าซังกะตายเหมือนทุกครั้งที่ท่านเห็นหน้าเขา ขณะที่เกื้อกูล...น้องชายก้มหน้าก้มตาสนใจเกมในมือถือและไม่รับรู้ถึงการมาของเขาด้วยซ้ำ
“ฟื้นแล้วเหรอแกไอ้เหนือ”
เป็นผดุงธรรมที่เอ่ยทักแดนเหนือด้วยน้ำเสียงจิกกัด ขณะที่ภรรยาของเขาพุ่งมาจับแขนแดนเหนือ ประคบประหงมชายหนุ่มราวกับเขาเป็นเด็กที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากมารดา น้ำเสียงที่ใช้ก็อ่อนโยนผิดกับสามีของหล่อนลิบลับ
“เหนือ...ตื่นแล้วหรือลูก” สุกดาราถามลูกชายคนโปรดของเธอ ลูบใบหน้าคมด้วยความรักใคร่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แดนเหนือจะขืนตัวหนีสัมผัสนั้น แล้วเดินไปทรุดนั่งข้างเกื้อกูลที่อยู่ในชุดนักศึกษาพร้อมไปเรียน
“อ้าว เฮีย...พื้นแล้วหรือ” คนที่ง่วนอยู่กับเกมในมือถือนั้นเหลือบตามองความเคลื่อนไหวข้างกาย ดึงหูฟังออกข้างหนึ่งแล้วจึงเอ่ยทักพี่ชายอย่างขอไปที “งั้นไปส่งผมที่มหาลัยหน่อยสิ...ทางเดียวกัน”
“ฉันไม่เข้าออฟฟิศ วันนี้มีธุระ” แดนเหนือตัดบท ก่อนแม่บ้านจะยกอาหารซึ่งน่าจะเป็นอาหารเที่ยงมาว่างตรงหน้า
“อ้าว...” เกื้อกูลโอดครวญด้วยความเสียดายก่อนจะลอบมองหน้าบิดา เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างของคนที่นั่งหัวโต๊ะ
“แล้วแกจะไปไหน” ผดุงธรรมถามบุตรชายคนโตด้วยน้ำเสียงห้วนจัด คิดแล้วไม่มีผิดว่าแดนเหนือจะต้องโดดงาน “เลขาฯ ฉันบอกว่าวันนี้มีประชุมบอร์ด อันที่จริงตอนนี้แกควรจะอยู่ที่บริษัทได้แล้ว ไม่ใช่มานั่งเมาค้างให้ฉันด่าเล่นอย่างนี้”
“ด่าไปเหอะป๊า ผมไม่เจ็บแล้ว”
แดนเหนือไม่ได้ประชด เขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วจริงๆ หลังจากรับรู้สิ่งที่เพียงรักทำกับเขาและรู้ว่าเธอฉกฉวยเวลาของเขากับลูกไปถึงห้าปี เวลาที่เขาควรจะได้อยู่ข้างๆ เด็กสองคนนั้น...เวลาที่เขาควรจะได้รับรู้ว่าตัวเองมีลูก
มุมปากหนาของแดนเหนือยกยิ้ม...เย้ยหยันโชคชะตาตัวเอง พลันอาการอยากอาหารก็หายไปดื้อๆ
หากแดนเหนือยังเป็นเด็กผดุงธรรมคงหวดอีกฝ่ายไปแล้ว แต่นี่ลูกเขาโตแล้ว...โตพอที่จะขึ้นมาช่วยดูแลธุรกิจของที่บ้านได้ ผดุงธรรมจึงได้แต่เข่นเขี้ยวอย่างคาดโทษ “แกอย่ากวนประสาทฉันได้ไหมไอ้เหนือ รีบกินข้าว แล้วก็รีบไปทำงาน...แวะส่งน้องที่มหาลัยก่อนด้วย”
“ผมไม่ว่างป๊า” แดนเหนือยังยืนยันคำพูดเดิม ก่อนจะก้มมองมือของมารดาที่วางบนต้นแขนแกร่งของตัวเอง เพื่อปรามให้เขาเงียบและทำตามคำสั่งของพ่อ ดวงตาคมกริบของชายหนุ่มจึงเลื่อนขึ้นมองใบหน้าอ่อนโยนของสุกดารา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง เด็ดขาดแต่ก็กวนประสาทเหลือทน “ผม-ไม่-ว่าง”
“ไอ้เหนือ!”
“แล้วเฮียจะไปไหน” เกื้อกูลเอ่ยแทรกขึ้นมา หวังว่าจะช่วยพี่ชายจากการโดนพ่อเล่นงานได้ ซึ่งก็ช่วยได้จริง เพราะทันทีที่เขายิงคำถามออกไป ทั้งแดนเหนือและผดุงธรรมต่างพร้อมใจกันตวัดสายตามองหน้าเขาเป็นตาเดียว ชายหนุ่มจึงต้องรีบยิ้มแห้งพร้อมหัวเราะแหะเพื่อเอาตัวรอด “ก็ผมอยากรู้นี่...เผื่อไปทางเดียวกัน”
“รถที่บ้านมีตั้งหลายคัน แกก็ขับไปสักคันสิ” แดนเหนือบอกวิธีแก้ปัญหาให้น้องชาย แน่นอนว่าเกื้อกูลฟังแล้วก็ได้แต่ทำหน้าเมื่อย ก่อนอ้างเหตุผลว่าทำไมแดนเหนือจึงควรไปส่งเขาที่มหาลัย
“เพราะผมไปรับเฮียมาเมื่อคืนนี้เลยต้องทิ้งรถไว้ที่หอ ถ้าเอารถที่บ้านไปก็ต้องเอามาคืนอีก เสียเวลา”
“งั้นก็เรียกแกร็บเอา”
“โธ่...เฮีย...” เกื้อกูลโอดครวญพอเป็นพิธี แม้ค่อนข้างจะมั่นใจแล้วว่าเขาคงเปลี่ยนใจพี่ชายไม่ได้ก็ตาม แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนเสียสละเมื่อคืนนี้ก็ขอเรียกคะแนนสงสารบ้าง “รู้งี้ปล่อยให้นอนเรื้อนอยู่ที่ร้านเหล้าก็ดี”
“แล้วตกลงว่าแกจะรีบไปไหนเหนือ” ผดุงธรรมเองก็อยากรู้คำตอบว่าอะไรที่เป็นเหตุผลให้แดนเหนืองัดร่างตัวเองขึ้นมาจากเตียงก่อนเที่ยงได้เหมือนกัน “มันด่วนจนต้องทิ้งงานทิ้งการไปเลยหรือยังไง”
“ใช่...เหนือจะรีบไปไหนหรือลูก” สุกดาราเองก็ใช่ว่าจะไม่สงสัย
“ธุระของผม”
เห็นชัดว่าแดนเหนือไม่สะดวกใจที่จะเล่าเรื่องของเพียงรักให้คนในครอบครัวของเขาฟัง แต่จะเพราะเหตุผลอะไรนั้น...แดนเหนือไม่สามารถบอกตัวเองได้ จะว่ากลัวพวกเขาทำให้เพียงรักเตลิดไปอีกหรือก็ใช่ หรือเพราะไม่ไว้ใจก็ถูกอีก แต่แบบนั้นคงต้องบอกว่าเพราะทั้งสองเหตุผลที่ว่ามานั่นแหละ แดนเหนือจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ
รอให้ธนาส่งชื่อโรงเรียนของลูกเขามาให้ก่อนเถอะ...รับรองว่าเพียงรักจะต้องเสียใจที่ทำกับเขาแบบนี้
“สำคัญมากเหรอ...สำคัญกว่าผมที่เป็นน้องรักของเฮียอีกเหรอ”
เกื้อกูลซักด้วยใบหน้าทะเล้นที่ทำให้คนเมาค้างหงุดหงิดขึ้นมาติดหมัด
“เออ สำคัญกว่า”
“โห ธุระอะไรว้า” เกื้อกูลเหล่มองหน้าพี่ชายด้วยดวงตาวิบวับ ราวกับว่าตัวเองเรื่องอะไรดีๆ แต่เลือกที่จะไม่พูดออกมา แดนเหนือเองก็มองออกทันที เพราะแววตาของผู้เป็นพี่เข้มขึ้นคล้ายกำลังเตือนน้องชายอยู่กลายๆ ก่อนเกื้อกูลต้องชิงทำหน้าปุเลี่ยนๆ แล้วเป็นฝ่ายหลบตาแดนเหนือก่อนพร้อมเอ่ย “ถ้าเฮียว่าสำคัญก็สำคัญ...เดี๋ยวผมเรียกแกร็บไปมหาลัยเอาเองก็ได้”
“ก็เท่านั้น...” แดนเหนือกระแทกลมหายใจ โล่งที่ในที่สุดเขาก็หาข้อสรุปเรื่องที่จะไปส่งหรือไม่ไปส่งเกื้อกูลได้สักที ชายหนุ่มมองหน้าพ่อและแม่ของตัวเองอยู่เสี้ยววินาทีก่อนชิงเอ่ยขอตัว “งั้นผมไปก่อนนะครับ”
ทว่าก่อนที่แดนเหนือจะก้าวออกมาโต๊ะรับประทานอาหาร จู่ๆ น้ำเสียงสดใสของเกื้อกูลก็ดึงเขาเอาไว้เสียก่อน และทำให้แดนเหนือเกือบพลั้งมือเหวี่ยงหมัดใส่หน้าน้องชาย เมื่อมันพูดคำพูดที่ไม่ควรพูดออกมา
“ถ้าจะไปหาพี่เพียงก็เตรียมใจไว้หน่อยนะครับ ตอนนี้พี่เพียงเขาไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว”
“ไอ้เกื้อ!”
แดนเหนือคิดว่าตัวเองเตรียมใจมาดีแล้ว...และก็มั่นใจเช่นนั้นมาตลอดทาง ขนาดตอนพบนฤดี พี่สาวของธนาแล้ว แดนเหนือก็ยังไม่มีความคิดว่าตัวเองจะมีอาการปอดแหกกำเริบกะทันหัน กระทั่งนฤดีหมุนตัวมาหาแล้วกำชับเสียงเข้มราวกับว่าเขาเป็นน้องชายของเธอ ไม่ใช่ธนาที่ยืนเยื้องออกไปนั่นแหละ ลมหายใจของแดนเหนือจึงติดขัด
“เมื่อเช้าพี่คุยกับน้องเพียงเขาแล้ว...พี่ไม่เห็นว่าเขาจะโกรธหรือมีท่าทางลำบากใจ” นฤดีเหลือบตามองหน้าคมคายของแดนเหนือที่ครั้งหนึ่งเธอเคยหน้ามืดชื่นชมว่าหล่ออย่างโน้นอย่างนี้ กระทั่งได้มาสนิทสนมแล้วรู้จักนิสัยจริงๆ ของชายหนุ่ม ความชื่นชมในคราแรกก็เริ่มถดถอยไปจนเหลือเพียงอารมณ์เบื่อขี้หน้าเท่านั้น
“บัตรนี่แขวนเอาไว้ ต้องมีบัตรเขาถึงจะเข้าโรงเรียนได้”
แดนเหนือรับบัตรที่ว่านั้นมาด้วยสีหน้างงๆ แต่ก็ยอมคล้องมันเข้าที่คอตัวเองโดยไม่ปริปากบ่น ผิดกับธนาที่ขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีกเมื่อเห็นโรงเรียนนานาชาติของหลานชายตัวเองเป็นครั้งแรก
ไม่คิดว่าระบบรักษาความปลอดภัยจะเข้มงวดขนาดนี้...ตกลงนี่โรงเรียนอนุบาลหรือทำเนียบขาว
“เพียงเขาว่าอะไรบ้างครับพี่ฤดี” แดนเหนือเอ่ยถามผู้ที่เปรียบเสมือนนางฟ้ามาโปรดเขาในวันนี้ด้วยน้ำเสียงนอบน้อมผิดกับทุกครั้ง ทำให้สีหน้าของนฤดีดีขึ้นกว่าก่อนหน้าเล็กน้อยขณะตอบคำถาม
“ไม่ได้คุยอะไรกันมากหรอก...เขาจำพี่ไม่ได้ พี่ก็แนะนำตัว บอกว่าเป็นพี่สาวของธนา...เท่านั้นเพียงเขาก็ยิ้ม” นฤดีเว้นวรรค คิดว่าหากเธอเป็นเพียงรักแล้วเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน เธอคงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก “แล้วก็ยกมือไหว้ ถามพี่ว่าลูกพี่เรียนที่นี่ด้วยเหรอ แต่ก็ต้องแยกย้ายกันเพราะเขาต้องรีบไปทำงานต่อ”
“อ้อ อย่างนั้นหรือครับ” แดนเหนือพยักหน้า หากเป็นอย่างที่นฤดีกล่าวมาจริงก็แสดงว่าเพียงรักแทบไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลยน่ะสิ เขารู้ดีว่ารอยยิ้มอ่อนหวานและเสียงหัวเราะของเพียงรักนั้นไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะยินดีเสมอไป
หลายต่อหลายครั้งที่รอยยิ้มอ่อนโยนของเพียงรักเป็นสัญญาณอันตราย...ที่หลอกให้คนโง่อย่างเขาตายใจแล้วมองข้ามความผิดของตัวเองก่อนจะทิ้งเขาไปเพราะความผิดที่แดนเหนือไม่เคยแม้แต่จะมองเห็น
“เอาตรงๆ นะเหนือ เรารู้ไหมว่าเพียงไปทำอะไรมา” นฤดีเหล่มองหน้าแดนเหนือก่อนจะเบนสายตาไปมองหน้าน้องชายของตนที่ยืนหน้าเหลออยู่ แล้วถอนหายใจแรง “ก็เพียงน่ะ...อู้ฟู่ขึ้นเป็นกองเชียวนะ ไม่รู้กันหรือไง”
“ใครจะไปรู้พี่ ผมเพิ่งรู้ว่าเพียงกลับมาเมื่อวานนี้ตอนที่พี่ส่งรูปมาให้ดูนั่นแหละ” ธนาตอบแล้วถอนหายใจบ้าง พี่สาวเขาก็เหลือเกิน ไปรู้มาจากไหนว่าเพียงรักร่ำรวยขึ้นกว่าเมื่อก่อน ขนาดเขาที่เป็นเพื่อนห่างๆ ยังไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเพียงรักเลยกระทั่งเมื่อวานนี้
“แก...ค่าเทอมที่นี่ไม่ใช่ถูกๆ นะ” นฤดีแยกเขี้ยว หากครอบครัวของสามีเธอไม่มีฐานะ ลูกของเธอหรือจะเข้าเรียนที่นี่ได้ “แกรู้ไหมว่าฉันไปเบิกเงินจากกงสีบ้านคุณโจ้ ปีหนึ่งๆ เท่าไหร่”
“อย่ามาอวดรวยตอนนี้ได้ไหม” ธนากลอกตาใส่พี่สาวที่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องเอาตอนนี้ นฤดีไม่เห็นหรือไงว่าเพื่อนเขาหน้าหงอยเหมือนสุนัขที่โดนเจ้าของปล่อยทิ้งไว้ที่วัดเข้าไปทุกทีแล้ว เหลือแค่วิ่งตามรถแล้วเห่าบ๊อกๆ เท่านั้น แดนเหนือก็จะกลายเป็นสุนัขเต็มตัว “นำไปสิ...ไหนอะห้องหลานผม”
“ลูกฉันอยู่คนละชั้นกับสองแฝด” นฤดีแยกเขี้ยวใส่น้องชาย ก่อนจะกระแทกลมหายใจพอเป็นพิธีแล้วเดินนำสองหนุ่มเข้าไปในโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง
ด่านแรกเละที่ต้องเจอก็คือบุคลากรที่ทำงานอยู่ภายในโรงเรียน ซึ่งเมียงมองมายังธนาและแดนเหนือด้วยสายตาไม่ไว้ใจเท่าไหร่ โดยเฉพาะรายหลังที่หน้าตาดูคล้ายผู้ร้ายในละครหลังข่าวเหลือเกิน ทั้งหนวดเคราและสีหน้าบอกบุญไม่รับ แดนเหนือจึงเหมือนโจรเข้าไปทุกที ร้อนถึงนฤดีที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการพาสองหนุ่มเข้ามาในโรงเรียน ต้องรีบร้อนแนะนำธนาและแดนเหนือเสียงดังเพื่อแก้ความเข้าใจผิด
“นี่น้องชายค่ะ...วันนี้อยากมารับหลาน”
“อ้อ...”
ทุกคนต่างพยักหน้าเข้าใจพอเป็นพิธีก่อนจะกลับไปสนใจงานในมือของตัวเองต่อ ทว่าเหตุการณ์นั้นไม่อยู่ในความสนใจของแดนเหนือเลย เพราะสายตาของเขาเอาแต่มองหาร่างบอบบางของคนใจร้ายที่หายหน้าไปจากชีวิตเขาหลายปีเหลือเกิน มันนานจนแดนเหนือเคยคิดว่าเขาคงไม่มีโอกาสจะได้พบเพียงรักอีกครั้งแล้ว...มันนานจนเขาเคยยอมแพ้ไปแล้ว...
ถ้ามันเหมือนในละครที่เขาเคยดู...ตอนนี้นางเอกคงพยายามสุดความสามารถเพื่อซ่อนลูกจากตัวร้ายอย่างเขา แต่นี่...ไม่มีอะไรที่เห็นเป็นอย่างนั้นเลย
ลมหายใจของแดนเหนือสะดุดลง เมื่อในที่สุดเขาก็หาเพียงรักพบท่ามกลางหมู่ผู้ปกครองและเด็กน้อยที่กระโดดโลดเต้นเพราะดีใจที่ในที่สุดก็ได้เลิกเรียน
สายตาของแดนเหนือตรึงแน่นที่แผ่นหลังบอบบางของผู้หญิงซึ่งกำลังกอดเด็กน้อยทั้งสองไว้ในอ้อมแขน ขณะที่ทั้งคู่ก็ยิ้มกว้างจนเขาสามารถมองเห็นฟันของพวกแกแทบจะครบทุกซี่ เสียงหัวเราะของเด็กทั้งสองกังวานมาให้แดนเหนือได้ยิน และก่อนที่เขาจะรู้ตัวท่อนขาของเขาก็พาตัวเองไปหยุดที่เบื้องหลังคุณแม่ลูกสองคนสวยเสียแล้ว
“เพียง...”
เสียงทุ้มของแดนเหนือเล็ดลอดออกมาได้เท่านั้น ลำคอของเขาก็แห้งผาก เมื่อสบตาเข้ากับดวงตาอันใสซื่อของเด็กน้อยทั้งสอง มือหนากำเป็นหมัดแน่นจนเล็บคมๆ จิกเข้ามาในฝ่ามือ ทว่านั่นไม่สาหัสเท่าความปวดหนึบที่หัวใจ
ลูกของเขา...ลูกๆ ของเขาโตขนาดนี้แล้ว...
“...เหนือ”
เพียงรักสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันมามองเจ้าของเสียงอันคุ้นหูเมื่อครู่ ไหล่งามของเพียงรักขยับไหวเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัวสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้งระหว่างที่เหยียดตัวยืนเต็มความสูง ทว่ายามต้องเผชิญหน้ากับแดนเหนือที่มีความสูงเกินร้อยเก้าสิบเซนติเมตร เพียงรักก็เหมือนกลายเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เท่านั้น
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“กลับมาเมื่อไหร่” แดนเหนือไม่สนใจที่จะตอบคำถามของเพียงรัก เพราะเขารู้ดีว่าหญิงสาวไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรอยู่แล้ว แต่สายตาคมกริบกลับค่อยๆ เคลื่อนจากดวงหน้างามของเพียงรักลงมายังเด็กน้อยทั้งสองที่เธอจูงมืออยู่
“ทำไมถึงทำกับเราแบบนี้...”
“เราไม่รู้ว่าเหนือพูดเรื่องอะไร”
เพียงรักเอ่ยตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงสงบนิ่ง ทำให้แดนเหนือจำต้องตวัดสายตาขึ้นมองหน้าเธออีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายสะท้าน เมื่อสบกับนัยน์ตากลมโตแต่แสนเย็นชาของเพียงรัก
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวคงจะไม่เหมือนแต่ก่อน...ทว่าการที่เธอมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึกเช่นนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด
“แต่ที่ถามเมื่อว่าเรากลับมาเมื่อไหร่ เรากลับมาได้สักพักแล้วล่ะ...เหนือล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“เจ็บเหมือนจะตาย” แดนเหนือตอบอย่างประชดประชันแล้วยิ้มมุมปากอย่างกวนประสาท ทำให้ความตั้งใจที่จะพูดดีกับชายหนุ่มของเพียงรักเริ่มสั่นคลอนนิดๆ “ทำไม ผิดหวังหรือที่เรายังหายใจอยู่”
“เหนือสบายดีก็ดีแล้ว...”
“บอกว่าจะตาย...ไม่ได้บอกว่าสบายดี” เจ้าของเสียงห้วนจัดนั้นแก้คำพูดของเพียงรัก ทำให้คนที่พยายามจะแก้ไขสถานการณ์การพบกันครั้งแรกระหว่างพวกเขาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนั้นเป็นฝ่ายย่นคิ้วอย่างไม่พอใจบ้าง “ถ้าเราตายเร็วกว่านี้คงไม่รู้ว่าตัวเองมีลูก...ตั้งสองคน”
“เหนือ...อย่าทำแบบนี้” เพียงรักอ้อนวอนชายหนุ่ม กระชับมือที่กุมมือเล็กๆ ของดวินกับรฉัตรแน่น แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ ด้วยมั่นใจว่ากลางโรงเรียนแบบนี้ แดนเหนือคงไม่กล้าผลีผลามทำอะไรเธอกับลูกแน่ “เหนือเมาใช่ไหม...อย่าทำแบบนี้เลย ลูกกลัว”
และก็เป็นจริงอย่างที่เพียงรักว่า เพราะสองแฝดต่างพร้อมใจหลบดวงตาคมกริบของแดนเหนือด้วยการซุกใบหน้าเอาไว้ด้านหลังมารดา โดยเฉพาะรฉัตรที่ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำเพราะรังสีอันตรายที่แดนเหนือแผ่ออกมา
“แล้วจะให้เราทำยังไง” แดนเหนือย้อนถาม เขาจะทำอะไรได้อีกอย่างนั้นหรือ...เขาควรจะทำอะไรต่อไป ทั้งๆ ที่เขาเจอเธอกับลูก มีพวกเขายืนอยู่ต่อหน้าแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง “จะให้ทำอะไรก็พูดมาสิ...บอกเรามาสิเพียงว่าเราทำอะไรผิด”
เพียงรักก้มหน้า สะกดน้ำตาของตัวเองเอาไว้ด้วยการหันไปสนใจลูกทั้งสองของเธอที่กำลังหวาดกลัวแดนเหนือจนเนื้อตัวสั่นเทา ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนหวานเชิงบอกเด็กๆ ว่าไม่เป็นอะไร พลางจับไหล่เล็กของดวินและรฉัตรให้ออกมาเผชิญหน้ากับร่างสูง ย่อตัวกระซิบข้างหูเด็กๆ พร้อมกับลูบศีรษะพวกเขาไปด้วย
“ดวินครับ รฉัตรคะ...นี่แดนเหนือ เพื่อนคุณแม่เองค่ะ”
แดนเหนือรู้สึกว่าท่อนขาของเขาอ่อนแรง รู้ตัวอีกทีก็เมื่อทรุดกายนั่งคุกเข่า แล้วมองเด็กทั้งสองที่มีสีหน้าไม่ไว้ใจเขาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเด็กหญิงรฉัตรที่เบียดตัวเข้าไปซุกอกอุ่นของเพียงรัก ไม่แม้แต่จะเหลือบมองหน้าเขาด้วยซ้ำ
“คุณแม่ขา...ฉัตรกลัว”
“ไม่ต้องกลัวค่ะฉัตร นี่เพื่อนคุณแม่เอง” เพียงรักปลอบบุตรสาวที่เอาแต่ซุกหน้ากับอกเธอ ปากก็บอกว่าไม่เอาๆ จนเพียงรักต้องใช้ไม้แข็งนั่นก็คือ น้ำเสียงเย็นเยียบที่ทำให้แดนเหนือสะดุ้งไปพร้อมๆ กับเด็กทั้งสอง
“ฉัตรคะ อย่าเสียมารยาทกับเพื่อนคุณแม่สิลูก”
“สวัสดีครับ” เป็นดวินที่ยกมือไหว้แดนเหนือก่อนหลังจากประเมินร่างสูงมาพักใหญ่ แล้วเห็นว่าเขาก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนตอนแรก ประกอบกับที่เพียงรักให้คำมั่นว่าเป็นเพื่อน เด็กชายจึงค่อนข้างจะวางใจ
สำเนียงภาษาไทยๆ แปร่งๆ ของบุตรชายทำให้แดนเหนือรู้สึกชา แม้จะจะแทรกด้วยความยินดี...แต่มันก็ทั้งหวานอมขมกลืนผสมปนเปกัน
“ดวินใช่ไหม...” เสียงของแดนเหนือแปร่งปร่าอย่างยากจะควบคุม ตอนนี้แต่เขาไม่ปล่อยโฮออกมาก็นับว่าดีแล้ว มือแกร่งยื่นออกไปข้างหน้าเป็นเชิงขออนุญาตก่อนกระซิบถามเสียงเบา หวั่นใจเหลือเกินว่าจะโดนปฏิเสธ “มาให้ลุงกอดหน่อยสิลูก”
ดวินหันกลับไปมองหน้ามารดาของตัวเองคล้ายจะถามความเห็น เมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของเพียงรัก เด็กชายก็วางใจ ยอมขยับตัวเข้าไปหาอ้อมแขนแกร่งของแดนเหนือไม่มีเกี่ยงงอน
อ้อมกอดแรกระหว่างกันนั้นทำให้แดนเหนือไม่สามารถสะกดน้ำตาตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาร้องไห้ออกมาอย่างไร้สิ้นความอาย อ้อมกอดที่กระชับร่างเล็กของลูกชายแน่นราวกับกลัวว่าหากคลายอ้อมแขนแล้ว เด็กชายจะหลุดลอยไปเหมือนกับลูกโป่งสวรรค์
“ผมเจ็บ” ดวินที่อดทนต่อไปไม่ไหวกับอ้อมกอดซึ่งแน่นเหมือนปลอกเหล็กนั้นร้องประท้วงเบาๆ แดนเหนือจึงต้องรีบร้อนคลายอ้อมแขนออก เหลือไว้เพียงการกอดหลวมๆ เท่านั้น
“ลุงขอโทษ เจ็บมากไหม”
“ไม่เจ็บแล้วครับ” ดวินส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนจะจ้องหน้าดุดันของแดนเหนืออย่างรอคอยว่าจะปล่อยเขาให้กลับไปหามารดาเมื่อไหร่ รออยู่อึดใจแดนเหนือก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะยอมปล่อย เด็กชายจึงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากมารดา “คุณแม่ครับ...”
“เหนือปล่อยลูกเราเถอะ” เพียงรักขอร้องอดีตคนรัก แม้ในใจเธอนึกหวั่นว่าแดนเหนือจะฉวยโอกาสฮุบดวินไปหน้าต่อหน้าต่อตาเธอก็ตาม ยิ่งเขายังนิ่ง...แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำขอร้องของเธอ หัวใจของเพียงรักก็เริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ จนต้องเอ่ยขอร้องอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่รู้ว่า อย่างไรแดนเหนือก็ต้องใจอ่อนให้เธอ “เหนือ...เราขอร้องนะ”
“โตขนาดนี้เลยนะ” แดนเหนือยอมปล่อยเด็กชายออกจากอก โชคดีที่ดวินไม่ได้วิ่งกลับไปหาเพียงรัก ไม่อย่างนั้นหัวใจของเขาคงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดียิ่งกว่าเดิม
ดวินยังมองชายหนุ่มด้วยสายตาสงสัย ศีรษะเล็กเอนไปด้านซ้ายเล็กน้อยขณะมองแดนเหนือตรงหน้าอย่างพิจารณาแบบถี่ถ้วน
“เราเป็นพี่ชายใช่ไหม”
“ครับ” ดวินพยักหน้า สำเนียงภาษาอังกฤษของแดนเหนือนั้นทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนท้วง “คุณลุงพูดไม่เหมือนเรา...”
“ลุงก็อยากมีสำเนียงอังกฤษเหมือนเรานะ แต่เสียดายที่ลุงดันแก่แล้ว จะให้พยายามเลียนสำเนียงตอนนี้ก็คงไม่ทัน” แดนเหนือหัวเราะหึๆ แม้ว่าดวงตาจะเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาก็ตาม สำเนียงบริติชของดวินนั้นชัดแจ๋ว บอกถึงสถานที่เด็กชายเติบโตมาได้อย่างดีจนแดนเหนือไม่ต้องจำเป็นต้องวิ่งหาคำตอบจากที่ไหนอีก
“คุณเพียงคะ...” เสียงเรียกด้วยความเกรงอกเกรงใจนั้นเป็นของน้ำฝน เลขาฯ ของเพียงรักที่มองทางเจ้านายอยู่พักใหญ่ แต่เพียงรักก็ไม่มีวี่แววว่าจะมาที่รถสักที เธอจึงร้อนใจจนต้องวิ่งมาตามเพราะตัวเองก็โดนเร่งมาอีกทีเหมือนกัน ทว่าเมื่อเห็นร่างสูงของแดนเหนือ ใบหน้าของเลขาฯ สาวก็ออกอาการเลิ่กลั่ก มองหน้าเพียงรักสลับกับแดนเหนืออย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก “เอ่อ...คือ...”
“ฉันรู้...กำลังจะรีบไป” เพียงรักผงกหัวส่งสัญญาณให้น้ำฝน ซึ่งฝ่ายนั้นก็เข้าใจโดยทันทีก่อนจะรีบปิดปากเงียบระหว่างยืนรอเจ้านายของตนต่อไป เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เพียงรักดันไหล่เล็กของรฉัตร กระตุ้นเด็กหญิงให้เข้าไปกอดแดนเหนือ เพื่อที่เธอจะได้สามารถปลีกตัวออกไปเสียที “ฉัตรคะ”
“แต่ว่าคุณแม่...” รฉัตรอิดออด เงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยสายตาวิงวอน เธอไม่อยากเข้าไปกอดเพื่อนของคุณแม่คนนี้จริงๆ เขาน่ากลัวเหมือนตัวร้ายในการ์ตูนที่เธอเคยดูไม่มีผิด “ฉัตรไม่อยาก...”
“คุณลุงเป็นเพื่อนของคุณแม่เอง” เพียงรักลูบศีรษะเล็กของบุตรสาวแล้วไล่มาถึงไหล่มนของรฉัตร โดยหวังว่าการกระทำของเธอจะช่วยเพิ่มความกล้าให้เจ้าแสบเล็กได้สักนิดก็ยังดี ทว่าคำพูดเมื่อครู่ของเพียงรักกลับไปกระตุ้นให้ใบหน้าดุดันของแดนเหนือเข้มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ กล้ามเนื้อบนหน้าคมคร้ามกระตุกปัดๆ เพราะไอ้คำว่า ‘เพื่อน’ เมื่อครู่นี้ของเพียงรัก
เพื่อนห่าอะไรล่ะ เขาไม่ได้อยากเป็น!
“ถ้าฉัตรไม่รีบ ฉัตรจะเข้าคลาสสายนะคะ” เพียงรักยกเรื่องคลาสเรียนบัลเลต์ขึ้นมาเตือนบุตรสาว รฉัตรจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหาแดนเหนือแทบจะทันที
การกระทำนั้นทำให้เด็กหญิงกลายเป็นพายุลูกเล็กๆ ที่โถมเข้าใส่อกแดนเหนือ เล่นเอาชายหนุ่มปรับอารมณ์ไม่ทันกับอ้อมกอดของเด็กหญิง รู้ตัวอีกทีรฉัตรก็ผละออกจากออกเขา พร้อมกับย่นหน้าอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก ก่อนคำเตือนจากรฉัตรจะทำให้แดนเหนือตาโต ใบหน้าเห่อร้อนด้วยความอับอาย
“คุณลุงตัวเหม็น”
“รฉัตร! อย่าพูดแบบนั้น” เพียงรักตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อได้ยินลูกสาวของเธอพูดอะไรออกไป ก่อนจะรีบคว้าตัวสองแสบกลับมาอยู่ข้างกาย โดยเฉพาะรฉัตรที่เผลอเป็นไม่ได้ ต้องพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปอยู่เรื่อย...ลูกสาวเธอนี่จริงๆ เลย
“หนูขอโทษค่ะ”
รฉัตรเงยหน้ามองมารดา เสียงที่เอ่ยขอลุแก่โทษนั้นก็อ่อยจนเพียงรักใจอ่อนยวบ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงคนตัวเหม็นที่รฉัตรพลั้งปากพูดตามประสาเด็ก เพราะแดนเหนือนั้นไปไหนไม่รอดเสียแล้ว...
อันที่จริงเขาอยากอุ้มลูกๆ ของเขากลับบ้านเสียเดียวนี้ หากไม่ติดว่าเพียงรักจูงแขนเด็กทั้งสองเอาไว้แล้วตั้งท่าจะผละไป
“นั่นเพียงจะไปไหน”
“เราต้องพาลูกไปแล้ว” เพียงรักคิดแล้วว่าเธอคงไม่พ้นทะเลาะกับแดนเหนือแน่ๆ หากเจอเขา ซึ่งเธอก็คิดถูก “วันนี้รฉัตรมีเรียนบัลเลต์ต่อ เราไม่อยากให้ลูกเข้าเรียนสาย”
“แล้วเราล่ะ” แดนเหนือขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ได้ตามเพียงรักมาที่นี่เพียงเพื่อที่จะได้กอดลูกของเขาแค่กอดเดียวแล้วปล่อยให้เธอพาลูกหนีเขาไปอีกหรอกนะ เขามาเจอเพียงรักเพื่อจะทวงทุกอย่างของเขาคืน...ทั้งลูกทั้งเมีย..เขาจะเอาคืนมันทั้งหมดนั่นแหละ
“แล้วเหนือจะมาถามเราทำไม เหนือจะไปทำอะไรต่อก็แล้วแต่เหนือสิ”
เพียงรักย้อน ทำให้แดนเหนือหน้าม้านไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาขมวดคิ้ว นิ่วหน้าใส่เพียงรักด้วยความสับสนว่าทำไมเธอจึงถามเขาเช่นนี้
“เราตั้งใจมาคุยกับเพียง...เรื่องลูก” เสียงห้าวนั้นห้วนจัดอย่างคนที่อารมณ์กำลังคุกรุ่น
“นี่ลูกเรา...ลูกเราคนเดียว” น้ำเสียงของเพียงรักก็เด็ดขาดไม่แพ้กันและนั่นทำให้แดนเหนือยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขึ้น “หวังว่าเหนือคงเข้าใจที่เราพูดนะ”
“นี่เพียงจะขโมยลูกเราอย่างนั้นเหรอ”
“ลูกของเหนือเหรอ...ใครหรือลูกของเหนือ” เพียงรักเลิกคิ้ว ย้อนถามแดนเหนือด้วยน้ำเสียงสงสัยจริงจัง ก่อนจะยิ้มกริ่มอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
“เพียงตั้งใจจะหาเรื่องเราใช่ไหม เราไม่ได้อยากทะเลาะกับเพียงนะ” แดนเหนือไม่คิดว่าเขาจะแพ้เพียงรัก หากเขาต้องการงัดข้อกับหญิงสาวจริงๆ ก็ย่อมเอาชนะเธอได้ ที่ผ่านมาเขาแค่ยอมลงให้เพียงรักก่อนเท่านั้น และเพราะเหตุผลนั้นหญิงสาวจึงได้ผยองไม่เกรงกลัวเขาเช่นนี้
เหนือกำลังขู่เราอยู่หรือเปล่า” ดวงตาของเพียงรักหรี่ลงอย่างจับผิด และการกระทำนั้นของเพียงรักทำให้ขนบนกายของแดนเหนือพร้อมใจกับลุกพรึบโดยอัตโนมัติ “อย่ามาขู่เราให้เสียเวลาเลย...เหนือก็รู้ว่าเราไม่กลัวเหนือ”
“นี่เพียง...”
“แล้วก็เลิกทำตัวพาลแบบนี้สักที...มันไม่ได้น่ากลัว” น้ำเสียงหวานนั้นราบเรียบทว่าบาดลึกไปถึงขั้วหัวใจของคนฟัง “มันน่ารำคาญ”
ความคิดเห็น |
---|