๗
ช่วงเฝ้าระวัง
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครโดนตำหนิที่ออกมาเล่นกันด้านนอก ระหว่างที่เพียงรักและจิ๊บกำลังเตรียมมื้อเช้า ถึงเพียงรักจะขมวดคิ้วมองหน้าแดนเหนือ ยามที่เขาอุ้มดวินและรฉัตรออกมาจากห้องนอนของเกื้อกูล แต่หญิงสาวก็ทำเพียงแค่มอง ไม่ได้ตำหนิอีกฝ่ายหรือคาดโทษเด็กๆ อย่างที่พวกเขานึกกลัว ดวินและรฉัตรจึงยิ้มแป้นเรียกมารดาให้หันมามองพวกเขาอีกครั้ง พร้อมอวด
“คุณแม่ ลุงแดนเก่งมากๆ ลุงแดนอุ้มฉัตรด้วย” ดวินโอบแขนรอบต้นคอหนาของแดนเหนือ ตื่นเต้นที่แดนเหนืออุ้มทั้งเขาและน้องสาวได้พร้อมกัน นับว่าเป็นครั้งแรกเลยทีเดียวที่เขาและรฉัตรถูกอุ้มขึ้นมาพร้อมกันได้แบบนี้
“ระวังตกนะครับวิน ฉัตรด้วยนะ เกาะลุงแดนดีๆ” เพียงรักหรี่ตามองท่อนแขนของแดนเหนือที่ตอนนี้เริ่มปรากฏเส้นเลือดให้เห็นชัดเจนกว่ายามปกติ พนันได้เลยว่าคนที่ดวินชมว่าเก่งนักหนาคงอุ้มสองแฝดได้อีกไม่นาน
“คุณแม่ทำอะไรอยู่คะ” รฉัตรตาไวเสมอหากเป็นเรื่องของกิน ดวงตากลมโตของเด็กหญิงจับจ้องที่เตาอบด้านหลังเพียงรักเขม็ง “คุณแม่อบขนมปังหรือคะ”
“คุณแม่ทำมิลก์เบรดค่ะ” เพียงรักยิ้มกว้าง เด็กๆ สนใจขนมปังที่กำลังอบอยู่ก็จริง แต่มือเล็กๆ ของทั้งสองก็จิกต้นแขนของแดนเหนือแน่นไม่ปล่อย หญิงสาวจึงเบาใจไปได้หนึ่งเปลาะ เด็กๆ เกาะแดนเหนือเป็นลูกลิงแบบนี้ คงไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะร่วงลงมา “อีกเดี๋ยวเดียวก็จะอบเสร็จแล้ว ทำไมอาเกื้อถึงยังไม่ออกมาอีกคะ”
“อาเกื้อเสียใจอยู่ค่ะ” เป็นรฉัตรที่ตอบเพียงรัก คนเป็นแม่ก็ปล่อยให้เด็กหญิงพูดต่อไปไม่ขัด “มีคนทำให้อาเกื้อเสียใจ คุณแม่ให้อาเกื้อมาอยู่กับเราได้ไหมคะ มีฉัตรอยู่ใครก็ไม่กล้าทำร้ายอาเกื้อ”
“ฉัตรเก่งขนาดนั้นเลยหรือคะ” เพียงรักยกมือเท้าเอว มองหน้าลูกสาวตัวดีของเธอที่พูดราวกับว่าจะสามารถปกป้องคุณอาร่างยักษ์ของเธอได้ หากเกื้อกูลอยู่ในยามคับขัน ก่อนจะเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นรอยยิ้ม เมื่อเห็นแดนเหนือยอมแพ้ วางเด็กๆ ลงพื้นเพราะแบกเจ้าสองแสบนานกว่านี้ไม่ไหว
“ลุงแดนอุ้มฉัตร”
รฉัตรลืมตอบคำถามของเพียงรักไปทันที เมื่อจู่ๆ แดนเหนือก็วางเธอกับพี่ชายลงพื้น สองแสบที่ชอบการถูกอุ้มมากกว่าจึงเริ่มออกฤทธิ์ ดวินเองแม้จะไม่ได้โวยวายเหมือนน้องสาว แต่การที่เขากระชับแขนกอดคอแดนเหนือแน่นขึ้น และหดขาไม่ยอมให้เท้าเล็กๆ แตะพื้น ก็พอจะบอกได้แล้วว่า เด็กชายเองก็ต้องการให้แดนเหนืออุ้มเขาต่อเช่นเดียวกัน
“ลุงอุ้มไม่ไหวแล้ว” แดนเหนือเพิ่งรู้ว่านอกจากเพียงรักแล้ว ยังมีคนอื่นที่ทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ได้ขนาดนี้ คราวแรกที่รับปากเด็กๆ ว่าจะอุ้มทั้งคู่ออกมาจากห้องนอนของเกื้อกูล เขาไม่คิดว่าการอุ้มเด็กสองคนพร้อมกันจะเป็นเรื่องยากขนาดนี้ อีกอย่างทั้งรฉัตรและดวินก็ตัวเล็กนิดเดียว เขาไม่น่าจะเหนื่อยเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่จ้องเขม็งมาจากสองแฝด แดนเหนือจึงต้องหาทางประนีประนอมแทน
“ลุงขอพักแป๊บหนึ่งได้ไหม”
“ลุงแดนแก่แล้ว ฉัตรมาหาอาเกื้อดีกว่า” คนที่สมควรจะนอนเลียแผลใจอยู่ในห้องเงียบๆ นั้นเดินยิ้มแฉ่งออกมาเรียกรฉัตร พร้อมอ้าแขนรอรับเด็กหญิง
พอเห็นคุณอาคนโปรด รฉัตรก็ไม่ลังเลที่จะทิ้งแดนเหนือ แต่ก็มิวายเหลือบมองหน้าคมของแดนเหนือด้วยสายตาผิดหวังรุนแรง ข้อหาที่ชายหนุ่มตัวใหญ่กว่าเกื้อกูลและแม่ของเธอมาก แต่ไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เธอคิด
แดนเหนือไม่คิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์ขนาดที่ลูกสาวสุดน่ารักของเขาจะมองเขาด้วยสายตาเช่นนั้นได้ หัวใจคนเป็นพ่อที่ทำให้ลูกสาวผิดหวังนั้นเจ็บแปลบ พอหันมาเห็นดวินยังนั่งอยู่บนต้นขาของเขา ไม่ได้วิ่งไปหาอ้อมกอดของเกื้อกูลเหมือนน้องสาว แดนเหนือจึงยังพอใจชื้นได้อยู่เล็กน้อย
“ลุงแดนเหนื่อยมากไหมครับ” ดวินเป็นเด็กอ่อนโยนมากกว่าน้องสาว เด็กชายเอียงคอมองหน้าดุดันของแดนเหนือด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย ก่อนจะมองตามน้องสาวที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเกื้อกูลอยู่ด้วยความลังเล กลัวว่าหากเขาไปร่วมวงกับน้องสาวแล้ว แดนเหนือจะเสียใจ ก่อนกระซิบที่ข้างหูแดนเหนือเบาๆ เป็นการปลอบใจ “เดี๋ยวเราค่อยเล่นกันใหม่ก็ได้นะ”
“ลุงอุ้มเด็กไม่เก่ง แต่ลุงแบกคนเก่งนะ” แดนเหนือบอกลูกชาย ดีใจที่ดวินอ่อนโยนกับทุกคน แม้กระทั่งกับเขาที่เพิ่งเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากทำให้เด็กชายผิดหวังในตัวเขาอีกคน “วินลองขี่หลังลุงดีไหม ลุงสัญญาว่าลุงจะให้วินขี่หลังลุงจนกว่าวินจะพอใจเลย”
ดวินพยักหน้ารับแรงๆ ด้วยความตื่นเต้น เขาเคยขี่หลังคนอื่นบ่อยก็จริง แต่ไม่มีใครที่ตัวสูงเท่าแดนเหนือเลย ดังนั้นการที่จะได้อยู่บนหลังกว้างจนกว่าจะพอใจจึงฟังดูน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ
จากนั้นเด็กชายก็ย้ายตัวเองไปเกาะบนหลังของแดนเหนือแทน ซึ่งนับว่าไม่เลวสำหรับแดนเหนือ พอน้ำหนักของลูกชายย้ายไปอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มก็แทบไม่รู้สึกว่าต้องแบกก้อนน้ำหนักยี่สิบกิโลกรัมแม้แต่นิด กลับกันเขากังวลถึงน้ำหนักอันเบาหวิวของดวินด้วยซ้ำ คิดว่าเด็กอายุเท่านี้ควรจะหนักมากกว่านี้หรือเปล่า
“สูงมากเลยลุงแดน”
น้ำเสียงตื่นเต้นจากเบื้องหลังทำให้แดนเหนือต้องเอี้ยวหน้ากลับไปมอง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา เมื่อดวงหน้าเล็กๆ ที่ฉายประกายความสุขนั้นอยู่ห่างจากปลายจมูกเขาเพียงไม่กี่นิ้ว
“เกาะแน่นๆ นะ เดี๋ยวตก” แดนเหนือใช้มือข้างหนึ่งสอดไปประคองก้นของเด็กชาย ส่วนอีกมือกดแขนเล็กของดวินแนบกับอก ป้องกันไม่ให้ร่วงลงไป แต่พอเงยหน้าอีกที เขาก็เห็นว่ารฉัตรได้ขึ้นไปเหยียบบนไหล่กว้างของเกื้อกูล กางมือออกไปจนสุดแขนแล้วหัวเราะเสียงดัง ไม่กลัวตกลงมาสักนิด
“ฉัตรอยู่สูงกว่า!” เด็กหญิงตะโกนลั่น เหลือบมองพี่ชายที่เกาะหลังแดนเหนือเป็นลูกลิงด้วยสายตาของผู้ชนะ
ภาพนั้นทำให้แดนเหนือหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที เพียงคิดภาพของเด็กหญิงร่วงลงมากระแทกพื้น เขาก็รู้สึกหน้ามืด
“ถ้าตกลงมาแล้วเจ็บนะฉัตร ระวัง” เพียงรักเอ่ยพร้อมชี้หน้าลูกสาวตัวแสบอย่างคาดโทษที่เก่งเรื่องทำให้ตัวเองเจ็บตัวเป็นพิเศษ
“ฉัตรก็แค่ลองเฉยๆ” เมื่อโดนแม่คาดโทษ รฉัตรก็ฉลาดพอที่จะเอาตัวรอด เด็กหญิงรีบแก้ตัวเสียงอ่อย แล้วค่อยๆ ปีนลงมาเกาะหลังเกื้อกูลแทน แม้ว่าเธอจะชอบยืนบนไหล่กว้างของผู้เป็นอามากกว่าก็ตาม
“ฉัตรต้องระวังนะ ตกมาจะเจ็บ” ดวินเหยียดตัวขึ้น ก่อนจะพึมพำบอกน้องสาวจอมเฮี้ยวของตน เขารู้ว่ารฉัตรเก่งมาก ตอนปีนต้นไม้ที่โรงเรียนก็ไม่เคยตกลงมา แต่ดวินก็ยังกลัวแทนน้องอยู่ดี เขาเคยตกลงจากโซฟายังเจ็บมาก จึงคิดว่าหากฉัตรตกจากหลังของอาเกื้อ ก็คงจะเจ็บมากเหมือนกัน
“รีบลงมาทานข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวค่อยเล่นต่อ วันนี้วันเสาร์นะคะ อย่าลืม” พี่เลี้ยงคนเก่งที่เตรียมอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วตะโกนบอก ไม่ได้เจาะจงว่าพูดกับผู้ใหญ่หรือเด็ก
เท่านั้นสองแฝดก็ดิ้นลงจากหลังของเกื้อกูลและแดนเหนือทันที หัวเราะคิกคักด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งเก้าอี้เด็กประจำตัว ขณะที่เพียงรักแสร้งไม่เห็นความตื่นเต้นจนเก็บไม่มิดของเด็กๆ
กิริยาอยู่ไม่สุขของเด็กๆ ทำให้แดนเหนืออดใจไม่อยู่ เดินตรงเข้าไปจับศีรษะเล็กของดวินแล้วหอมหนักๆ กระหม่อมเล็กหนักๆ จากนั้นก็ขยับไปหารฉัตรที่จ้องเป๋ง กดดันเขาทางสายตาว่าห้ามลืมหอมเธอด้วย
แดนเหนือจึงได้แต่ยิ้มขันแล้วจับหน้าเล็กๆ ของรฉัตร หอมลงที่หน้าผากมนของเด็กหญิงจนได้ยินเสียงฟอด แล้วก็ได้รอยยิ้มหวานจากรฉัตรเป็นรางวัล
“วันนี้มีลุงแดนมาทานข้าวกับพวกเราด้วย ดีจัง”
“ลุงก็ชอบที่ได้มาทานข้าวกับฉัตร” แดนเหนือยิ้มกว้าง แม้เขาจะเคยจินตนาการว่าการได้อยู่กับลูกๆ นั้นจะดีมาก แต่ความจริงแล้วดีกว่าที่เขาเคยคิด และดีกว่าที่เขาจะใช้คำพูดมาจำกัดความได้อีก
การที่ได้ตื่นมาเจอและได้รับจุ๊บเบาๆ ทุกเช้าทำให้แดนเหนือรู้สึกว่า เขามีพลังเหลือเฟือแม้เมื่อคืนจะไม่ได้นอน อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนมือถือที่ได้ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มปรี่
“พอมีลุงแดนแล้วอาเกื้อก็กลายเป็นหมาหัวเน่า” คนที่ปกติจะเป็นคนโปรดของหลานๆ รีบโอดครวญ เรียกร้องความสนใจจากสองแฝดพร้อมตีหน้าเศร้า
“อาเกื้อเล่นมือถือ” ดวินผงกศีรษะสบตากับเกื้อกูล ก่อนจะชี้ไปยังมือของเกื้อกูลที่ยังถือโทรศัพท์ไว้ ไม่ยอมวางตามกฎของบ้าน
“คุณแม่ อาเกื้อเล่นมือถือบนโต๊ะ” รฉัตรรีบตะโกนฟ้องเพียงรักทันที เธอและดวินไม่เคยได้รับอนุญาตให้เล่นมือถือบนโต๊ะอาหาร
เพียงรักเองก็ไม่เคยทำผิดกฎเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีทางปล่อยให้เกื้อกูลได้รับข้อยกเว้น ต่อให้อีกฝ่ายจะเสียใจอยู่ แต่เรื่องนี้ยอมไม่ได้จริงๆ
“ห้ามเล่นมือถือบนโต๊ะนะเกื้อ” เพียงรักตะโกนบอกจากในครัว น้ำเสียงที่เธอใช้ไม่ได้เข้มงวดแต่อย่างใด ทว่ากลับทำให้สองแฝดหันขวับไปมองเกื้อกูลเป็นตาเดียว ช่วยกันกดดันทางสายตาเป็นเชิงบอกให้เขารีบวางมือถือลงเดี๋ยวนี้
“อาแค่เอามาถ่ายรูปเฉยๆ” เกื้อกูลรีบหาทางเอาตัวรอด กดถ่ายรูปอาหารเช้าบนโต๊ะ แล้วยื่นให้หลานๆ ดูเพื่อยืนยันคำพูด “ตอนนี้วางแล้ว ดูนะ”
การถ่ายรูปนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้สำหรับเด็กๆ เมื่อเห็นว่าเกื้อกูลถ่ายรูปอาหารอย่างที่บอกจริง พวกเขาก็เลิกสนใจเกื้อกูล แล้วหันกลับมาสนใจอาหารเช้าแบบจัดเต็มบนโต๊ะแทน
แดนเหนือจึงได้มีโอกาสสังเกตเห็นว่า นอกจากขนมปังที่เพียงรักตื่นขึ้นมาอบแต่เช้ามืดแล้ว ยังมีอาหารไทยอีกหลายอย่างซึ่งชายหนุ่มไม่แน่ใจว่า เป็นเพียงรักหรือจิ๊บที่เป็นคนทำ หน้าตาอาหารตรงหน้านี้ไม่เลวทีเดียว แถมยังมีหลายอย่างให้เลือก แต่รสชาติจะสู้อาหารที่พ่อครัวของบ้านเกียรติวิริยะทำได้ไหมนั้น คงต้องลองชิมดูก่อนถึงจะบอกได้
“คุณเหนือดื่มกาแฟหรือว่าน้ำส้มคะ” จิ๊บถามหลังวางแก้วน้ำส้มลงตรงหน้าดวินและรฉัตร ตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้งานของตัวเองบกพร่อง แม้อีกฝ่ายเป็นแดนเหนือซึ่งเคยมีอดีตที่ไม่ค่อยดีนักกับผู้เป็นเจ้านาย แต่หน้าที่ของเธอก็ต้องทำให้ดีที่สุด ส่วนเกื้อกูลนั้นเธอวางแก้วเปล่าไว้ให้เขาเลือกได้เอง ว่าจะดื่มน้ำส้มหรือน้ำเปล่า
“เอาเหมือนเด็กๆ ก็ได้ครับ” เขาเพิ่งดื่มกาแฟไป คงจะดื่มอีกไม่ไหว อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบดื่มกาแฟร่วมกับมื้อเช้าแบบไทยด้วย แต่เอาไว้ดื่มพร้อมกับขนมปังของเพียงรักก็คงไม่เลว
“ได้ค่ะ”
“ลุงแดนชอบน้ำส้มเหรอคะ ฉัตรก็ชอบน้ำส้ม”
“ชอบค่ะ” แดนเหนือตอบได้แบบเดียวอยู่แล้ว ดีใจที่รฉัตรเป็นเด็กช่างพูด โต๊ะอาหารที่มีเพียงเขากับเด็กๆ และส่วนเกินอย่างเกื้อกูลจึงไม่เงียบเกินไป
“ปลาทู!” ดวินท้วงขึ้นมาเป็นคนแรกหลังทำจมูกฟุดฟิดอยู่สองสามที จึงมั่นใจว่าที่มาของเจ้ากลิ่นหอมนั้นไม่พ้นเป็นของโปรดของเขาแน่นอน “ใช่ปลาทูหรือเปล่าครับคุณแม่”
“ใช่ครับ รอแป๊บหนึ่งนะครับ ใกล้เสร็จแล้ว” เพียงรักกำลังตั้งใจแกะเนื้อปลาทูใส่จานให้ลูกๆ พร้อมกับตะโกนตอบ รู้ว่าข้าวคลุกปลาทูเป็นของโปรดของดวินที่นานๆ ทีพี่เลี้ยงอย่างจิ๊บจะอนุญาตให้กิน เหตุเพราะว่าปลาทูเค็มเกินไป
“นั่งดีๆ นะครับวิน คุณแม่เขาแกะใกล้เสร็จแล้ว” จิ๊บที่ตักข้าวให้แดนเหนือและเกื้อกูลเรียบร้อยแล้วออกปากเตือนเด็กชายที่ชะเง้อสุดคอ หวังว่าจะได้เห็นอาหารจานโปรดของตัวเอง “คุณเหนือทานเลยค่ะ ไม่ต้องรอคุณเพียง”
“ครับ”
แดนเหนือรับคำก็จริง แต่สิ่งที่เขาทำนั้นไม่ใช่การกินข้าว แต่เป็นการตัดแบ่งขนมปังที่ยังอุ่นอยู่ให้เด็กๆ ทั้งดวินและรฉัตรต่างรับขนมปังไปกัดแล้วฮัมเพลง บอกถึงความสุขจากอาหารเช้าฝีมือเพียงรัก พลอยทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างกับภาพนั้นโดยไม่รู้ตัว พอกลับไปมองน้องชายก็เห็นว่าเกื้อกูลกำลังเคี้ยวข้าวคำใหญ่ แล้วถอนหายใจอย่างเปี่ยมสุข
“ฝีมือพี่จิ๊บไม่เคยผิดหวังจริงๆ”
“ทานผักเยอะๆ นะคะ” ว่าแล้วจิ๊บก็ดันจานใส่ผักสดหลายชนิดไปตรงหน้าเกื้อกูล ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะแอบเบ้ปากอย่างรังเกียจผักชามโต พลางปะเหลาะเขาด้วยรอยยิ้ม “ฉัตรกับวินก็ต้องทานเหมือนกันนะคะ”
หมายความว่าในฐานะที่เกื้อกูลเป็นอา เขาก็ควรจะรับประทานผักเป็นตัวอย่างให้หลาน หากตัวเองไม่ทำแล้วจะไปสอนให้หลานรับประทานผักได้อย่างไร
“ครับ” เกื้อกูลขบฟัน เอื้อมมือไปหยิบแตงกวาจากกองทัพผักขึ้นมากัด
ขณะเดียวกันร่างบางของคุณแม่ลูกสองก็เดินตรงเข้ามาร่วมโต๊ะ เพียงรักวางชามข้าวที่เธอคลุกกับปลาทูลงตรงหน้าลูกๆ แวะหอมแก้มเด็กๆ คนละครั้ง ก่อนจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว แล้วหญิงสาวจึงสังเกตเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอนั้นเป็นแดนเหนือ
“วันนี้จะไปไหนหรือเปล่า” เพียงรักหันไปถามเกื้อกูลแก้เก้อ แล้วเลื่อนสายตาจากหน้าคมของแดนเหนือที่มองเธอไม่กะพริบตา ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการสั่นศีรษะแรงๆ จากเกื้อกูล เนื่องจากกำลังเคี้ยวอาหารคำใหญ่
“ทำไม เพียงจะไปไหนเหรอ”
แดนเหนือถามเพียงรักบ้าง หญิงสาวจึงไม่มีทางเลือก ต้องหันกลับมาตอบเขา
“เราต้องออกไปทำธุระนิดหน่อย” เพียงรักมักจะออกไปข้างนอกในช่วงเช้าของวันเสาร์ เรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรอีกอย่างหนึ่งของเธอเลยก็ว่าได้ แม้จะออกไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาทองของสองแฝดที่จะได้เล่นสนุกกันได้เต็มที่
“เหนือก็ต้องกลับบ้านเหมือนกัน” แดนเหนือบอกแผนการของตัวเองให้เพียงรักรู้บ้าง ทำให้เพียงรักถึงกับตาโต เลิกคิ้วสูงอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่นัก
“เฮียจะกลับบ้านเหรอ...วันนี้เลยเหรอ” เกื้อกูลที่อยู่ในเหตุการณ์การทะเลาะกันระหว่างพี่ชายกับผู้เป็นแม่ละล่ำละลักถาม
สำหรับเกื้อกูลนั้นไม่มีความคิดที่จะกลับบ้านใหญ่เร็วๆ นี้แน่ เขาตั้งใจว่าอย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงสิ้นเดือนนี้...ด้วยรู้ว่าหากกลับไปอีก เขาก็คงไม่พ้นตกเป็นเบาะรองรับอารมณ์ของผู้เป็นมารดา
“ใช่ กลับไปเอาของ” แดนเหนือหลุบตามองจานอาหารตัวเองตรงหน้า ก่อนมุมปากจะกระตุก จะเรียกว่าเป็นรอยยิ้มก็ไม่ใช่เสียทีเดียว
เพียงรักฟังแล้วก็ได้แต่เม้มปาก เธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะออกความเห็นเรื่องนี้ได้ หากแดนเหนือต้องการจะย้ายออกจากบ้านเขาอย่างที่บอกเธอเมื่อคืน หญิงสาวก็จะไม่ออกความเห็นใดๆ กับการตัดสินใจของเขา แม้ลึกๆ แล้วจะคิดว่า เรื่องมันคงไม่ง่ายอย่างที่แดนเหนือบอกเธอหรอก อีกทั้งคุณสุกดารา แม่ของแดนเหนือนั้นก็คงไม่ยอมให้ลูกชายสุดที่รักย้ายออกมาโดยไม่ทำอะไรเลย
พอหันไปมองหน้าเกื้อกูล หวังจะถามความเห็นจากเขา เพียงรักก็พบแค่ความกลัดกลุ้มบนใบหน้า หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันแน่น แววตาที่เขาใช้มองแดนเหนือนั้นคล้ายจะถามย้ำให้แน่ใจว่า พี่ชายของตนตัดสินใจแน่วแน่แล้วหรือ จึงได้พูดออกมาเช่นนั้น
“จะไปตอนไหนเหรอ” เพียงรักแทรกขึ้นมา หลังจากเห็นความกลัวในแววตาของเกื้อกูล
“ยังไม่รู้เลย คงเย็นๆ” แดนเหนือรู้ว่าการกลับบ้านนั้นคงทำให้เขาเสียเวลาและเสียอารมณ์ไม่น้อย ดังนั้นจะดีกว่าหากเขาได้ใช้เวลาช่วงเช้าอยู่กับลูกๆ ก่อนที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นแม่ แต่พอเห็นหน้าของเพียงรัก แดนเหนือก็อดที่จะกระเซ้าถามเธอไม่ได้ “อยากไปด้วยกันไหมล่ะ”
“ไม่ละ ตามสบายเถอะ” เพียงรักหน้าเบ้ แค่คิดว่าตัวเองต้องไปพบหน้าคุณสุกดาราพร้อมกับแดนเหนือ เธอก็อยากชิงกลั้นใจตายก่อน อีกอย่างนี่ไม่ใช่ปัญหาของเธอเสียหน่อย จะหาเรื่องใส่ตัวด้วยการเสนอหน้าไปที่บ้านนั้นอีกทำไม
“ถ้าเฮียกลับไป ผมฝากหยิบของในห้องหน่อยสิ” เกื้อกูลคิดถึงหนังสือเรียนที่เขาต้องใช้แล้วบอกแดนเหนือด้วยน้ำเสียงลังเล “แต่เฮียจะกลับไปจริงๆ เหรอ”
“อื้อ” แดนเหนือพยักหน้า เขาตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรก็ต้องกลับไปเอาเอกสารก่อน การเช่าคอนโดที่นี่ต้องใช้เอกสารหลายอย่าง ไหนจะพวกเสื้อผ้าทำงานของเขาอีก ถ้าซื้อใหม่ก็คงเสียเงินอีกเยอะ สู้กลับไปเอาของเก่ามาใช้ประหยัดกว่าเป็นไหนๆ ถ้าแม่ตัดเขาออกจากกองมรดกจริง แดนเหนือจะใช้เงินมือเติบแบบที่เคยทำก็ไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก
“รักษาเนื้อรักษาตัวนะเฮีย กลับมาปลอดภัยนะ”
“ลุงแดนจะไปไหนคะ” รฉัตรที่เหลียวมองคนโน้นทีคนนี้ทีถึงกับต้องเอื้อมมือไปเกาะแขนคุณลุงคนโปรด เมื่อได้ยินว่าแดนเหนือกำลังจะไปที่อื่น
“ลุงต้องกลับไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่บ้านเก่าค่ะ” แดนเหนือยิ้มกว้างจนมุมปากแทบจรดใบหู ไม่เหมือนคนโดนไล่ออกจากบ้านที่ตัวเองเติบโตมาสักนิด
“ลุงแดนจะมาอยู่กับพวกเราเหรอครับ” ดวินคิดว่าแดนเหนือคงย้ายมาอยู่กับพวกเขาเหมือนที่เกื้อกูลทำ ทว่าคุณแม่กลับทำลายความหวังของเขา ด้วยการเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่หรอกครับ ลุงแดนเขาไม่ได้จะย้ายมาอยู่ที่นี่หรอก จริงไหม” คำหลังนั้นเพียงรักถามแดนเหนือ กดดันให้เขาตอบด้วยสายตาคมกริบ ทว่าชายหนุ่มกลับไม่สะทกสะท้าน ยิ้มแฉ่งพลางตอบเด็กชาย
“ลุงไม่ได้จะมาอยู่บ้านของวินกับฉัตรหรอก...แต่ลุงจะอยู่ห้องข้างล่าง”
ไม่มีคนยินดีกับข่าวใหม่นี้เลย เว้นแต่สองแฝดที่ชอบลุงแดนเป็นพิเศษ เนื่องจากเขาตัวสูงและต่อของเล่นเก่งกว่าอาเกื้อมาก
“ถ้าเราคิดถึงลุงก็ลงไปเล่นกับลุงข้างล่างได้ หรือเรียกลุงขึ้นมาหาก็ได้ แบบนี้ดีไหมครับ”
“ดีครับ” ดวินยิ้มกว้าง พยักหน้าแรงๆ แล้วกลับไปกินข้าวต่อ
“ดีที่สุดเลยค่ะ!” รฉัตรปรบมือแปะๆ ยิ้มกว้างทั้งที่ยังมีอาหารอยู่เต็มปาก
มีเพียงรักคนเดียวที่ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น อยากจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าสุดท้ายแล้วเธอก็เลือกที่จะเก็บไว้แล้วรับประทานอาหารของเธอต่อไปเงียบๆ แต่ก็ใช่ว่าแดนเหนือจะไม่รับรู้ความไม่พอใจที่แผ่ออกมาจากตัวหญิงสาว
หลังจบมื้อเช้า ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัว เพียงรักรับหน้าที่อาบน้ำให้สองแฝดเองระหว่างที่จิ๊บทำความสะอาดโต๊ะ เมื่อแดนเหนือจัดการธุระของตัวเองเรียบร้อย และเดินกลับมาในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าพี่จิ๊บกำลังดูดฝุ่นอยู่ พออ้าปากจะถามถึงเพียงรัก สองแฝดที่อยู่ในชุดใหม่และทาแป้งจนหอมฟุ้งก็วิ่งตึงๆ ออกมาจากห้องนอน
“อาเกื้อๆ” รฉัตรที่มีผมเปียตะขาบอยู่บนศีรษะนั้นเรียกหาเกื้อกูลเป็นคนแรก หลังจากที่มารดาปล่อยพวกเธอออกมาจากห้องนอน เกือบจะชนกับเครื่องดูดฝุ่นเลยทีเดียว หากแดนเหนือไม่คว้าเด็กหญิงไว้ก่อน “อาเกื้ออยู่ไหนคะลุงแดน”
“อาเกื้ออาบน้ำอยู่ค่ะ ฉัตรเล่นกับลุงแดนก่อนดีกว่า” แดนเหนือก้มหน้าสบตากับเด็กหญิงในอ้อมแขน ไม่รู้ว่าเกื้อกูลมีอะไรดีจึงทำให้ลูกๆ ของเขาติดใจได้มากขนาดนี้
จิ๊บเงยหน้ามองตัวแสบของบ้านอย่างรฉัตร แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่แดนเหนือดึงรฉัตรได้ทัน ก่อนที่เด็กหญิงจะเพิ่มงานให้เธอ
“เล่นกับลุงแดนไปก่อนนะคะฉัตร เดี๋ยวต้องรอให้คุณแม่ออกไปข้างนอกก่อนนะ ถึงจะเป่าหวงยางได้”
“โอเคค่ะ” รฉัตรพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทันที แค่รอคุณแม่ออกไปข้างนอก ช่วงเวลาที่เธอรอคอยตลอดทั้งสัปดาห์ก็จะมาถึง “ป้าจิ๊บรีบๆ ดูดฝุ่นนะคะ”
“อย่างนั้นฉัตรกับวินต้องไม่กวนป้านะคะ”
“ได้ครับ” ดวินที่เฝ้ารอช่วงเวลานี้มาตลอดไม่ต่างจากน้องสาวนั้นรีบปีนขึ้นไปนั่งรอพี่เลี้ยงของตนบนโซฟาทันที รู้ว่าหากจิ๊บทำงานบ้านไม่เสร็จ พวกเขาก็จะลงไปที่สระน้ำไม่ได้ ต่อให้จะมีอาเกื้ออยู่ด้วยก็ตาม
“แล้วเมื่อไหร่อาเกื้อจะออกมา” รฉัตรไม่ค่อยวางใจนัก ต่อให้พี่เลี้ยงของพวกเธอจัดการงานบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่หากเกื้อกูลไม่ยอมออกมา พวกเขาก็ลงไปสระน้ำไม่ได้อยู่ดี “อาเกื้อทำอะไรอยู่ อาบน้ำแป๊บเดียวก็เสร็จ”
“วันนี้ลุงแดนอาบก่อนอาเกื้อไง” คนที่หลานๆ เป็นห่วงว่าจะเป็นตัวถ่วงนั้นเดินหน้าบูดออกมาจากห้อง ค่อนแคะพี่ชายของตนอยู่ในใจว่า หากไม่มีแดนเหนือสักคน เขาก็อาบน้ำเสร็จไปนานแล้ว
“จะไปไหนกันเหรอคะ” แดนเหนือถามลูกสาวจอมเฮี้ยวของตน เดาว่ารฉัตรคงเป็นตัวตั้งตัวตีในการเล่นอะไรแผลงๆ ระหว่างที่เพียงรักออกไปทำธุระแน่ ถ้าไม่ใช่เด็กหญิงก็คงเป็นเกื้อกูลนั่นแหละ เพราะดวินไม่น่าจะคิดอะไรแบบนี้ได้
“ไปเล่นน้ำไงเฮีย ตอนเช้าแบบนี้คนน้อย ต้องรีบลงไป”
เกื้อกูลบอกคนที่ไม่รู้กิจวัตรของครอบครัว เนื่องจากเพิ่งมาใหม่ ทำให้แดนเหนือคันไม้คันมือ อยากจะเล่นงาน ‘อาเกื้อ’ ขวัญใจเด็กๆ ขึ้นมาครามครัน ติดแค่เพียงว่าตอนนี้มีเด็กๆ อยู่ด้วย
ถึงว่าเด็กๆ ถึงได้ตื่นเต้นกับวันเสาร์เป็นพิเศษ ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง...แล้วทำไมถึงได้ทำเหมือนเป็นความลับ ต้องรอให้เพียงรักออกไปข้างนอกก่อนด้วย อย่าบอกนะว่าเพียงรักไม่รู้ว่าเด็กๆ ไปเล่นน้ำระหว่างที่เธอออกไปทำธุระ
“วันนี้เราจะเอาห่วงยางอันไหนลงไปดีน้า...”
เสียงของเกื้อกูลเรียกความสนใจของสองแฝดได้อยู่หมัด ขนาดดวินที่ไม่ค่อยแสดงออกยังถึงกับผุดลุกจากโซฟา วิ่งซอยเท้าไปหาผู้เป็นอาที่เปิดประตูตู้เก็บของออก พร้อมแสร้งทำท่าคิดไม่ตกว่าจะเลือกห่วงยางอันไหนดี สุดท้ายเกื้อกูลก็ร้องขอความช่วยเหลือจากหลานๆ
“วินกับฉัตรว่าอันไหนดี”
“ฉัตรเอาจระเข้ค่ะ” เด็กหญิงดิ้นลงจากอ้อมแขนของแดนเหนือ วิ่งไปสมทบกับพี่ชายแล้วชี้นิ้วบอกความต้องการของเธอ
“ผมเอามังกร” ดวินยื่นหน้าไปกระซิบบอกเกื้อกูลที่ข้างหู เขามักจะใช้ห่วงยางอันเดิมเป็นประจำ เกื้อกูลจึงดึงมันออกมาเตรียมสูบลมโดยไม่ต้องรอให้เด็กชายบอกซ้ำ
เมื่อหลานๆ บอกความต้องการของตนเองเรียบร้อยแล้ว คุณอาดีเด่นก็ดึงที่สูบลมออกมา นั่งลงกับพื้นและทำงานประจำของตนเองอย่างรู้หน้าที่ โดยมีสองแฝดล้อมหน้าล้อมหลังคอยให้กำลังใจ
แดนเหนือถูกทิ้งให้เคว้งอีกครั้ง...เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน หันไปมองทางไหน แต่ละคนก็มีหน้าที่เป็นของตัวเองไปเสียหมด ส่วนเขานั้น...คล้ายถูกลืมไปชั่วขณะ
แต่แล้วเสียงเพล้งจากในห้องนอนของเพียงรักก็เรียกสติแดนเหนือกลับมา ชายหนุ่มจึงรีบเสนอตัว รับหน้าที่เข้าไปดูที่มาของเสียงแตกเมื่อครู่เองว่าเกิดจากอะไร
คราวแรกจิ๊บก็ลังเล แต่เมื่อคิดว่าถ้าเธอเข้าไป เด็กๆ ก็คงตามเข้าไปด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดปัญหา จึงต้องยอมให้แดนเหนือเป็นคนจัดการเรื่องนี้แทน ไหนๆ เขาก็ว่างงานอยู่แล้ว
“เดี๋ยวพี่ดูดฝุ่นเสร็จแล้วจะเอาหนังสือพิมพ์ตามเข้าไปค่ะ”
“ครับ”
แดนเหนือลังเลอยู่หน้าประตูห้องนอนของเพียงรักอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจตะโกนถามคนที่อยู่ข้างในว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับ สุดท้ายด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มจึงยื่นหน้าเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาวก่อนเป็นอันดับแรก โดยที่มือยังเกาะขอบประตู ปากก็เรียกหาเพียงรักไปพร้อมกัน
“เพียง เป็นอะไรหรือเปล่า” ตะโกนถามแล้วเขาก็เงียบรอฟังคำตอบ ทว่าก็ยังได้รับเพียงความเงียบจนแดนเหนือชักเป็นห่วงขึ้นมา “เพียง...เหนือเข้าไปนะ”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในห้องของเพียงรักทันที เขาเดินผ่านส่วนที่เป็นห้องนอนไปยังส่วนที่เป็นห้องแต่งตัว ที่มีการเคลื่อนไหวให้เห็น
เพียงรักยืนอยู่หลังไอส์แลนด์กลางห้องแต่งตัว ตอนนี้หญิงสาวเปลี่ยนชุดจากชุดอยู่บ้านสบายๆ ที่เขาเห็นตอนมื้อเช้ามาสวมเสื้อยืดสีขาวเบาบางที่ทิ้งตัวแนบร่างระหง ช่วงล่างเป็นกางเกงยีนสีซีด รวมๆ แล้วนับว่าเพียงรักสวยยิ่งกว่าทุกครั้งที่แดนเหนือจำได้เสียอีก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า” เพียงรักก้มมองเศษแจกันที่เธอเผลอปัดตก ระหว่างย้ายของออกจากกระเป๋าถือใบเก่ามาใส่กระเป๋าอีกใบ แล้วถอนหายใจด้วยความเซ็งก่อนพูดต่อ “เราไม่ทันมองน่ะ เลยเผลอปัดตก”
“อื้อ เมื่อกี้เพียงไม่ตอบ เหนือเลยเข้ามาดู” แดนเหนือรีบออกตัวไว้ก่อน กลัวจะโดนเพียงรักด่า “ทีแรกพี่จิ๊บจะเข้ามาเอง แต่เหนือเห็นพี่เขายุ่งเลยเข้ามาดูเพียงแทน เพียง...ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ” เพียงรักตอบพลางสวมนาฬิกาไปด้วย เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นว่าแดนเหนือกำลังจ้องชุดว่ายน้ำของเด็กๆ ที่เธอวางไว้บนไอส์แลนด์ตั้งแต่เมื่อคืนด้วยสายตามีคำถาม นั่นทำให้เพียงรักยิ้มขันออกมาก่อนเลิกคิ้วสูง
“นี่เหนือเชื่อจริงๆ เหรอว่า เราจะไม่รู้ว่าลูกแอบไปเล่นน้ำตอนที่เราไม่อยู่”
“ไม่หรอก เหนือก็คิดอยู่ว่าทำไมไอ้เกื้อกับพี่จิ๊บถึงได้ทำท่ามีลับลมคมใน ลูกเองก็เหมือนกัน...เพียงน่ะรู้ทุกอย่างนั่นแหละ” แดนเหนือมั่นใจว่าเพียงรักย่อมรู้กิจกรรมในแต่ละวันของลูกดี เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงปล่อยให้เด็กๆ คิดว่าพวกตนหลอกเพียงรักได้
“นี่ชมหรือเปล่า”
“เฮ้ย! ชมสิๆ” แดนเหนือละล่ำละลัก ใบหน้าคมแสดงออกว่าเขาไม่ทันคิดว่าคำพูดของตัวเองจะตีความเป็นอย่างอื่นไปได้ “ขอโทษ เหนือก็พูดไปเรื่อย เพียงอย่าโกรธนะ”
“ถ้าเราหาเรื่องโกรธเหนือทุกครั้งที่เหนือพูดจาไม่ทันคิด เราคงกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว”
เพียงรักคิดอย่างที่พูดจริงๆ แดนเหนือไม่ใช่คนที่ทำอะไรซับซ้อน คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น หากเขาไม่ชอบหรือเกลียดอะไรก็แสดงออกชัดเจน จนหลายครั้งแดนเหนือก็ทำให้ตัวเองเดือดร้อนเพราะความช่างโผงผางของตัวเอง หากเพียงรักเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย เธอคงจะอกแตกตายไปนานแล้ว
“เหนือขอโทษ...”
เพียงรักชักรำคาญไอ้ท่าทางคอตก และเอาแต่ขอโทษของแดนเหนือขึ้นมาแล้วจริงๆ
หญิงสาวมองร่างสูงตั้งแต่หัวจดเท้า แดนเหนือยังสวมเสื้อผ้าของเกื้อกูล ทำให้เขาดูเด็กลงไปหลายปี และทำให้หัวใจของเพียงรักเต้นผิดจังหวะไปเสี้ยววินาที...เมื่อภาพของชายหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนซ้อนซับขึ้นมาในหัว ทว่าสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจหยิกตัวเองในใจ แล้วดึงตัวเองให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง
“เหนือไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เลิกขอโทษพร่ำเพรื่อสักที”
คำพูดนั้นของเพียงรักทำให้แดนเหนือผงกศีรษะขึ้นมอง ก่อนจะถูกโจมตีด้วยรอยยิ้มของเพียงรักจนอ่วมไปหมด
“เราออกไปธุระแป๊บหนึ่ง เหนือยังไม่ไปไหนใช่ไหม”
“ไม่ ไม่ไปหรอก...” แดนเหนือส่ายศีรษะช้าๆ เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยังตั้งตัวไม่ติดจากการจู่โจมของรอยยิ้มเพียงรักเท่าไหร่
“โอเค” เพียงรักผงกศีรษะรับ พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะยังไม่ไปไหนง่ายๆ หรอก อีกทั้งเขาก็คงไม่พลาดโอกาสที่จะได้ใช้เวลาเล่นสนุกกับเด็กๆ ช่วงที่เธอไม่อยู่บ้าน “ดูเกื้อด้วยนะ”
“เกื้อไม่เป็นไรหรอก...” แดนเหนือไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เพียงรักเป็นห่วงเกื้อกูล อันที่จริงเขาคิดว่าหญิงสาวจะบอกให้เขาดูแลลูกๆ ระหว่างที่เธอไปทำธุระเสียอีก “ห่วงเรื่องเพื่อนคนนั้นของมันเหรอ”
“แล้วมีเรื่องอื่นให้ต้องห่วงอีกหรือเปล่าล่ะ”
เพียงรักเลิกคิ้วสูง หยิบกระเป๋าแล้วก้าวข้ามเศษแจกัน ก่อนเงยหน้าขึ้นมองแดนเหนือ รอคอยคำตอบจากเขาอย่างอดทน เพราะคิดว่าเหตุผลที่ทำให้แดนเหนือและเกื้อกูลมาลงเอยที่บ้านของเธอต้องไม่ธรรมดา
ไอ้คำว่า ‘ทะเลาะกัน’ ที่เกื้อกูลบอกเธอต้องรุนแรงกว่าทุกครั้งแน่ แต่จะให้เธอซักไซ้สองพี่น้องให้ตอบคำถามเธอก็ยังไงอยู่ เพียงรักจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป คิดแค่ว่าหากแดนเหนือและเกื้อกูลสะดวกใจตอนไหน พวกเขาก็คงเล่าให้เธอฟังเอง
“ไม่นะ เหนือบอกเพียงไปหมดแล้ว” ชายหนุ่มพยายามคิดว่ามีเรื่องไหนที่เขาไม่ได้บอกเพียงรักอีกหรือเปล่า
“แบบนั้นก็ดีแล้วละ” เพียงรักยอมรับว่าเธอโล่งใจที่แดนเหนือไม่ได้ซึมหลังจากทะเลาะกับที่บ้านเหมือนตอนที่ยังคบอยู่กับเธอ เห็นเขาเป็นคนมึงมาพาโวยแบบนี้ ที่จริงแล้วค่อนข้างจะอ่อนไหวและน้อยใจเก่งยิ่งกว่าเธอเสียอีก ได้เห็นเขาปล่อยวางได้แบบนี้ เธอก็เบาใจ
“ออกไปได้แล้ว เราก็จะออกไปแล้วเหมือนกัน”
“เพียงไม่เก็บเศษแก้วพวกนั้นก่อนเหรอ” ถามแล้วแดนเหนือก็พยักพเยิดไปยังเศษแก้วข้างหลังเพียงรัก
“เรารีบ เก็บไม่ทันหรอก”
“เหนือเก็บให้ไหม”
“ไม่ต้องเลย” เพียงรักรีบปฏิเสธความหวังดีจากอีกฝ่าย ไม่วางใจปล่อยเขาไว้คนเดียวเท่าไหร่นัก เพราะไม่รู้ว่าพ่อเจ้าประคุณจะนึกเพี้ยน แล้วทำตัวไม่รู้ความอีกเมื่อไหร่ “เดี๋ยวตอนมาเอาชุดว่ายน้ำให้สองแสบนั่น พี่จิ๊บก็จัดการเอง”
“แต่เหนือทำได้นะ” แดนเหนือขืนตัว ไม่ยอมเดินตามแรงผลักของเพียงรักที่พยายามดันหลังเขาออกไปจากห้องนอนของเธอ
“ก็เราไม่ให้ทำ” เพียงรักถลึงตาใส่คนที่อยากแย่งหน้าที่แม่บ้านอย่างคาดโทษ ก่อนจะได้รับชัยชนะเมื่อแดนเหนือยอมลงให้เธอก่อน และยอมเดินออกจากห้องนอนของเพียงรักแต่โดยดี
เมื่อทั้งคู่เดินพ้นออกมาจากประตูห้องนอน สองแสบที่รอเพียงรักอย่างใจจดใจจ่ออยู่ก่อนแล้วก็ลุกขึ้น เพราะเห็นว่าผู้เป็นแม่แต่งตัวสวย ถือกระเป๋าพร้อมออกไปข้างนอก ทั้งดวินและรฉัตรพากันอยู่ไม่สุข วิ่งเข้ามาหาเพียงรักเหมือนพายุลูกน้อยๆ แสนน่ารัก
“คุณแม่ขา คุณแม่จะออกไปข้างนอกแล้วเหรอคะ”
“ใช่แล้ว ฉัตรอยู่บ้านอย่าซนนะ รู้ไหม” เพียงรักวางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะแล้วอ้าแขนรับลูกทั้งสองคนเข้ามากอด หอมแก้มทั้งคู่หนักๆ จนได้ยินเสียงฟอด ก่อนตัดสินใจดันร่างรฉัตรออกห่าง แล้วพูดกับลูกชายที่จ้องเธอตาแป๋วอยู่ก่อนแล้ว “วินด้วยนะครับ”
“ครับ วินจะไม่ซน” ดวินพยักหน้ารับคำเพียงรักอย่างขันแข็งด้วยดวงตาเปล่งประกาย คงเพราะผู้เป็นแม่ใกล้ออกไปข้างนอกแล้ว เด็กชายจึงเก็บอาการตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ไม่มิด
“อยู่กับอาเกื้อ อยู่กับลุงแดน”
“ครับ”
เพียงรักยิ้มกว้างหลังฟังคำนั้น ก่อนดึงลูกชายเข้ามาหอมแก้มอีกหนอย่างอดใจไม่ไหว ทันทีที่เธอปล่อยมือดวิน รฉัตรก็เบียดตัวเข้ามาอยู่ตรงหน้าเธอ พร้อมเอียงแก้มให้เป็นการเรียกร้องหอมในส่วนที่เธอยังไม่ได้รับจากผู้เป็นแม่
“หอมฉัตรๆ”
เพียงรักรีบหอมลูกสาว แม้จะเป็นแฝด แต่เด็กทั้งสองกลับไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย ทั้งนิสัยและความต้องการความรักจากเธอ ดวินค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง ขณะที่รฉัตรค่อนข้างต้องการการแสดงความรัก เด็กหญิงจะชอบทั้งการกอดและการหอมเป็นพิเศษ
“ฉัตรอย่าซนนะคะ คุณแม่ออกไปข้างนอกแป๊บเดียว เดี๋ยวกลับมา”
“ค่ะ ฉัตรจะอยู่รอคุณแม่ที่บ้าน” เด็กหญิงพยักหน้าแรงๆ รับคำ รู้ว่าเพียงรักรักษาคำพูด ทั้งคู่จึงไม่ร้องไห้โยเย “คุณแม่จะกลับมาตอนไหนคะ”
“น่าจะเที่ยงๆ นะคะ” เพียงรักคำนวณเวลาในหัวก่อนบอกลูก ไม่มั่นใจนักว่าธุระของเธอวันนี้จะใช้เวลาเท่าไหร่ “แต่ถ้าคุณแม่กลับมาช้า คุณแม่จะโทร. มาบอกฉัตรนะคะ”
ยังไม่ทันออกจากบ้าน รฉัตรก็ถามว่าเธอจะกลับตอนไหนเสียแล้ว...หวังว่าลูกเธอจะไม่แผลงฤทธิ์ระหว่างที่เธอไม่อยู่บ้านอีกนะ สัปดาห์ก่อนรฉัตรก็โชว์แสนยานุภาพไปไม่น้อย เล่นเอาเกื้อกูลถึงกับตะลึงไปเลยทีเดียว
“ฉัตรอยู่บ้านกับวินนะคะ”
“ได้ค่ะ ฉัตรจะอยู่กับวิน จะไม่ให้วินไปซนที่ไหนเลยค่ะคุณแม่”
เด็กหญิงพูดพร้อมทำสีหน้าขึงขังจริงจัง ทั้งเพียงรักและแดนเหนือจึงต้องเม้มปาก เพื่อซ่อนรอยยิ้มขันของตัวเองเอาไว้สุดความสามารถ
เพียงรักรู้ว่าคำพูดนั้นของรฉัตรเชื่อถือไม่ได้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ทำลายความมั่นใจของลูกสาว เธอปล่อยตัวเด็กๆ แล้ววกไปหยิบกระเป๋าถือของตัวเองขึ้นมา หันกลับมามองที่ลูกๆ อีกทีก็เห็นว่าทั้งดวินและรฉัตรต่างจับมือแดนเหนือคนละข้าง ทำให้รู้สึกเหมือนว่าพวกเขากำลังส่งเธอออกไปข้างนอกจริงๆ
“คุณแม่ไปแล้วนะคะ”
เพียงรักสั่งลาลูกๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินไปสวมรองเท้า โดยมีเด็กๆ และชายหนุ่มยืนมองตลอด แม้แต่ตอนที่เธอเปิดประตูเตรียมก้าวออกไป เด็กๆ ก็ไม่ยอมเดินกลับเข้าไปข้างใน ยังยืนอยู่ที่เดิม
กระทั่งเพียงรักปิดประตู...เสียงหวีดร้องด้วยความตื่นเต้นของสองแฝดจึงดังขึ้น
“ลุงแดนไปสระน้ำเร็วๆ!”
ความคิดเห็น |
---|