6

บทสวดที่ ๖

บทสวดที่ ๖

 

อึดอัดชะมัด...

พัดพารัดชาเดินออกมาจากห้องน้ำบนเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวแล้วทอดถอนใจ สองมือกำเสื้อผ้าชุดเดิมที่ใส่มาจากที่บ้านแน่นเหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวเดียวที่มีอยู่ ณ ยามนี้ 

“เสื้อผ้าใส่ได้พอดีใช่ไหม”

หญิงสาวสะดุ้งนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงจากคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาหนังสีขาวซึ่งตั้งอยู่ชิดผนังทางด้านซ้ายของห้องโดยสาร ดวงตายาวเรียวแบบตาหงส์กวาดมองร่างในชุดเสื้อคอเต่าแขนยาวสีม่วงอ่อนและกางเกงยีนสีฟ้าซีดอย่างพินิจพิจารณา

“พอดีค่ะ”

เธอตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงแล้วหลุบตามองมือของตนเองเพื่อลดความประหม่าจากสายตาของอีกฝ่าย นับแต่วินาทีที่แยกกับหลู่ที่ลานจอดรถของสนามบิน บรรยากาศระหว่างเธอกับเทียนหลางก็พลันเงียบงันเสียจนหากมีเข็มตกสักเล่มก็คงได้ยินอย่างชัดเจน เขาแทบไม่พูดอะไรกับเธอเลยนอกจากกำชับว่าใครถามอะไรก็ให้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ อย่าได้หลุดพูดภาษาไทยเป็นอันขาด ที่เหลือให้ปล่อยเป็นหน้าที่ของเขาเอง

ตอนแรกพัดพารัดชามองไม่ออกว่าเธอจะออกนอกประเทศไปด้วยพาสปอร์ตปลอมได้อย่างไร เธอคิดว่าน่าจะความแตกตั้งแต่ตอนที่เช็กอินขึ้นเครื่องแล้วด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าราบรื่นและรวดเร็วกว่าที่คิดมาก 

ทำไมน่ะหรือ...

เพราะเทียนหลางเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ช่องทางในการเช็กอินและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจึงแยกออกมาเป็นพิเศษ โดยมีคนของเขาคอยดูแลดำเนินการให้แทบทุกขั้นตอน เธอไม่จำเป็นต้องท่องชื่อยาวเหยียดตามที่ระบุบนพาสปอร์ตด้วยซ้ำไป สมกับที่เขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าได้เตรียมการทุกอย่างมาเป็นอย่างดี รู้ตัวอีกทีเครื่องก็เทกออฟพาเธอขึ้นมาลอยอยู่กลางเวหาเสียแล้ว

ว่าแต่อาชีพหมอผีนี่ทำเงินได้มากมายมหาศาลถึงขนาดมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไว้ในครอบครองเชียวหรือ...

หญิงสาวมองไปรอบๆ เครื่องบินขนาด ๑๘ ที่นั่งที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าหรูหราด้วยความรู้สึกเหมือนฝันไป ภายในห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยสีขาวและลายไม้สีน้ำตาลนั้นดูอบอุ่นราวกับยกห้องนั่งเล่นในรีสอร์ตห้าดาวมาตั้งไว้ เก้าอี้โดยสารที่น่าจะตั้งเรียงกันเป็นพืดจนครบ ๑๘ ที่นั่งนั้นถูกยกออกไปเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กว้างขวางขึ้น จนสามารถกั้นเป็นห้องนอนเล็กๆ ด้านท้ายเครื่องได้ ส่วนห้องที่เธอกำลังยืนอยู่นี้มีเก้าอี้บุหนังสีขาวสองตัวหันหน้าเข้าหากัน โดยมีโต๊ะรับประทานอาหารเล็กๆ กั้นกลางและมีโซฟาตัวยาวที่เทียนหลางนั่งอยู่อีกฝั่งเป็นเครื่องเรือนชิ้นใหญ่ที่สุด ที่เหลือเป็นเพียงอุปกรณ์ให้ความบันเทิงอย่างจอแอลอีดีขนาดใหญ่และเครื่องเสียงระบบเซนเซอร์ราวนด์ เห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่องบินที่สร้างเป็นพิเศษสำหรับการเดินทางกับคนกลุ่มเล็กๆ หรือไม่ก็เพียงลำพัง

“มาลองสวมรองเท้าบูตดูสิว่าแน่นไปไหม ถ้าแน่นไปจะได้คลายเชือกให้”

เทียนหลางชี้ไปที่รองเท้าบูตหนังสีน้ำตาลอ่อนที่วางอยู่หน้าโซฟาตัวยาว พัดพารัดชายิ้มเจื่อนๆ แล้วเดินไปนั่งตัวลีบอยู่บนโซฟาตัวเดียวกับชายหนุ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงไม่ค่อยอยากเข้าใกล้รัศมีของเขานัก แต่หากหยิบรองเท้าไปสวมที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็คงเสียมารยาทเกินไปสักหน่อย

“ช่วงนี้ที่มองโกเลียอากาศหนาวเอาเรื่อง ถ้าไม่เคยเจออากาศหนาวระดับติดลบสามสิบองศาฯ มาก่อน อาจจะทนไม่ไหว ที่สนามบินเมื่อกี้ก็มีแต่เสื้อผ้าที่ไม่ทนอากาศติดลบเอาเสียเลย เดี๋ยวเธอใส่เสื้อโคตขนเป็ดของฉันไปก่อน ฉันมีสำรองไว้สองสามตัว ไซซ์อาจใหญ่ไปหน่อย ทนเอาหน่อยละกัน พอไปถึงอูลานบาตอร์แล้วจะพาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่”

เทียนหลางมองหญิงสาวก้มลงสวมรองเท้าครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปรวบเรือนผมยาวหยักศกที่ทิ้งตัวลงปรกหน้าปรกตาของเธอไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง 

“คุณเทียนหลาง!”

พัดพารัดชาสะดุ้ง เธอหันกลับไปมองเขา แต่นอกจากเขาจะไม่ปล่อยมือแล้วยังพยักพเยิดไปทางข้อมือขวาของเธอ

“ยางรัดผมน่ะ เอามาสิ” เขาหมายถึงยางรัดผมสีดำที่คล้องอยู่บนข้อมือของเธอ “ผมรุงรังเป็นรังนกไปหมดแล้ว”

หญิงสาวตั้งใจจะเอ่ยปากห้าม แต่ยังไม่ทันไร เขาก็ใช้ปลายนิ้วเรียวยาวดุจลำเทียนสางผมของเธอเร็วๆ แล้วถักเป็นเปียหลวมๆ อย่างคล่องแคล่ว วูบหนึ่ง...เธอรู้สึกคล้ายกับมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้งพ่อและแม่เคยถักเปียให้เธออย่างอ่อนโยน 

น่าแปลกที่เธอจำไม่ได้เลยว่าที่ไหนและเมื่อใด

“ยางรัดผม”

เทียนหลางพูดเสียงเข้มขึ้น พัดพารัดชาเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจนิดหนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมรูดยางรัดผมจากข้อมือส่งให้เขาไปแต่โดยดี

“คุณถักเปียเป็นด้วย...คุณน่าจะมีพี่สาวหรือน้องสาวใช่ไหมคะ”

บรรยากาศที่เงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันชัดเจนนั้น ทำเอาหญิงสาวอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก ต้องเอ่ยชวนคุยเพื่อลดความประหม่าลงบ้าง

“ฉันเป็นลูกคนเดียว แค่ตอนเด็กๆ เคยไว้ผมยาวน่ะ”

เทียนหลางมัดผมให้หญิงสาวอย่างอ้อยอิ่ง เขารู้ว่าไม่ควรสัมผัสหรือใกล้ชิดเธอโดยไม่มีเหตุอันควร ทว่าเพียงแค่เห็นเรือนผมสีน้ำตาลกระทบแสงเป็นประกายอยู่ตรงหน้า เขากลับห้ามตนเองไม่อยู่ ต้องเอื้อมไปสัมผัสเพราะอยากรู้ว่ามันจะยังนุ่มมือเหมือนเมื่อคราวที่เคยถักผมให้เธอครั้งยังเยาว์วัยหรือไม่

นุ่ม...กว่าในความทรงจำเสียอีก...

“คุณเคยไว้ผมยาว?”

พัดพารัดชาหันกลับมามองหน้าเขาตรงๆ อย่างประหลาดใจ เขาหน้าหวานมาก หากไว้ผมยาวจริงๆ คงยิ่งดูสวยกว่าผู้หญิงมากขึ้นไปอีก

“เคยที่ไหนเล่า ฉันพูดเล่น” สีหน้าเด๋อด๋าของหญิงสาวทำเอาเขาหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด “เคยช่วยปู่เลี้ยงลูกสาวของเพื่อนท่านต่างหาก เด็กคนนั้นน่ะวิ่งซนทั้งวัน ผมชอบไปเกี่ยวโน่นเกี่ยวนี่ตลอด มัดให้เฉยๆ ก็ไม่ได้นะ ร้องงอแงอยากได้เปียสวยๆ แต่ฉันก็ทำได้เท่าที่เห็นนั่นละ ถักให้ทุกวันก็ชินมือไปเอง”

เด็กน้อยคนเดียวในโลกที่ทำให้เด็กผู้ชายปราศจากความละเอียดอ่อนอย่างเขายอมถักผมให้...

“อ้อ...”

พัดพารัดชาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วนิ่งเงียบไป นึกไม่ถึงเลยว่ามือเดียวกันกับที่คว้าปืนไล่ยิงคนเมื่อเช้าจะสัมผัสเส้นผมของเธอได้อย่างนุ่มนวลเช่นเมื่อครู่นี้

“รองเท้าพอดีไหม ที่สนามบินมียี่ห้อนี้ยี่ห้อเดียวที่พอใส่ลุยหิมะได้ ฉันสั่งให้คนซื้อเผื่อไซซ์ไว้สำหรับสวมถุงเท้าขนสัตว์ด้วยครึ่งไซซ์ จะได้ไม่แน่นเกินไปนัก แต่ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวจะซื้อให้ใหม่”

เสียงของชายหนุ่มดึงหญิงสาวออกจากห้วงความคิด เธอก้มมองดูรองเท้าที่เพิ่งสวมไปข้างเดียวก็นึกได้ว่าตนเองมัวแต่ตกใจจนลืมไปว่ายังลองรองเท้าไม่เสร็จเรียบร้อยเลย

“ไม่ต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้นหรอกค่ะ คู่นี้ฉันใส่ได้พอดีแล้ว” เธอลองขยับนิ้วเท้าในพื้นที่ว่างบริเวณหัวรองเท้าดูก็พบว่าด้านในนุ่มสบายมากแถมยังบุขนให้ความอบอุ่นอีกด้วย หากต้องไปเผชิญอากาศหนาวระดับติดลบขึ้นมาจริงๆ คนเท้าเย็นง่ายแบบเธอก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร “คุณเสียเงินเพราะฉันไปเยอะมากแล้ว ฉันยังไม่รู้ว่าจะมีปัญญาชดใช้หรือเปล่าด้วยซ้ำ”

“แล้วฉันบอกให้เธอชดใช้ตอนไหน”

เทียนหลางลุกขึ้นเดินไปยังส่วนที่กั้นไว้เป็นห้องสำหรับจัดเตรียมอาหารขนาดย่อมก่อนที่จะเผลอเอื้อมมือไปปัดปอยผมที่ร่วงหล่นลงมาระพวงแก้มของหญิงสาว ในห้องนั้นมีพนักงานประจำเครื่องกำลังง่วนกับการจัดอาหารอยู่หนึ่งคน ตามปกติแล้วเวลาเดินทาง บนเครื่องลำนี้จะมีพนักงานคอยอำนวยความสะดวกทั้งหมด ๓ คน ไม่รวมนักบินและผู้ช่วย แต่เขาอยากให้การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนตัวที่สุด จึงลดจำนวนพนักงานลงและขอให้ช่วยจัดเตรียมอาหารกับเครื่องดื่มหลังจากเครื่องเทกออฟช่วง ๔๕ นาทีแรกเท่านั้น เพื่อไม่ให้พัดพารัดชารู้สึกอึดอัดเกินไปที่ต้องอยู่กับเขาตามลำพัง จากนั้นเขาจะเป็นคนดูแลเธอด้วยตนเองไม่รบกวนใครอีก

“แต่...”

“เงินที่ฉันใช้ เป็นเงินค่าหัวล่วงหน้าของเธอที่ได้มาจากหลินเจิ้งหู่ ฉะนั้นก็เหมือนกับฉันใช้เงินของเธอเองนั่นละ”

เทียนหลางเดินกลับมาพร้อมโกโก้ร้อนใส่มาร์ชแมลโลว์ที่เขาจำได้ว่าเป็นของโปรดของหญิงสาว

“เงินค่าหัวของฉัน? นี่...นี่หมายความว่า...คุณ...คุณ...รับงานจากคนที่ชื่อหลินเจิ้งหู่อะไรนั่นด้วย”

พัดพารัดชาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงที่ยืนถือแก้วมักสีขาวด้วยแววตาหวาดระแวง ชายหนุ่มเลิกคิ้วนิดหนึ่งแล้วหัวเราะ

“คิดว่ายังไงล่ะ เงินตั้ง ๑๐ ล้านดอลลาร์เลยนะ” เขาตีสีหน้ายียวนพลางยื่นแก้วให้หญิงสาว เธอไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเขาไม่ได้แตะต้องเงินจำนวนนั้นเลย “ดูทำหน้าเข้า ฉันแค่เซ็นสัญญาเพราะอยากรู้รายละเอียดของการว่าจ้างต่างหากเล่า ส่วนเงินล่วงหน้าน่ะเป็นแค่ของแถม”

“สรุปว่าคุณก็รับเงินจริงๆ ใช่ไหมคะ”

พัดพารัดชาเม้มริมฝีปากนิดๆ เช่นที่ทำประจำยามมีเรื่องกังวลใจ เทียนหลางยักไหล่แล้วคว้ามือของเธอมาจับหูแก้วเอาไว้

“ระวังนะ มันร้อน” เขาทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างที่เดิม “ฉันรับเงิน แต่ไม่ได้รับงาน ก็อย่างที่เธอเห็น ฉันรวย ฉันไม่จำเป็นต้องรับงานไร้มนุษยธรรมแบบนี้ก็ได้ เห็นแบบนี้ฉันก็มีคุณธรรมประจำใจอยู่เหมือนกันนะ”

ท่าทางยามเขาผายมือให้ดูเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวนั้นน่าหมั่นไส้จนหญิงสาวต้องลอบกลอกตา

คุณธรรมประจำใจ?

ข้อนี้เธอไม่แน่ใจนัก แต่ไม่กล้าเอ่ยออกไปเพราะกลัวว่าจะถูกเขากินหัวเอา แค่นี้ก็น่ากลัวจะตายอยู่แล้ว!

“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่” เทียนหลางพาดแขนข้างหนึ่งไปตามความยาวของพนักโซฟา เขาต้องพยายามหักห้ามใจอย่างหนักไม่ให้เผลอดึงแม่เด็กน่ามันเขี้ยวเข้ามากอดแน่นๆ ให้สมอยาก ในเมื่อเขาตัดสินใจไปแล้วว่าไม่ควรดึงเธอเข้ามาในวังวนชีวิตเฮงซวยของตนเอง เขาก็ควรทำให้ได้ตามนั้นไม่ใช่หรือ “ถ้าฉันไม่แกล้งทำเป็นรับงานแล้วฉันจะรู้เจตนาที่แท้จริงของคนพวกนั้นได้ยังไงกันเล่า ถูกไหม”

“แล้ว...คุณรู้อะไรมาบ้างเหรอคะ”

พัดพารัดชาหลุบตามองมาร์ชแมลโลว์ที่กำลังละลายและส่งกลิ่นหอมหวานเตะจมูก ช่างบังเอิญเหลือเกินที่เขาชงเครื่องดื่มที่เธอชอบที่สุดมาให้ แต่หลังจากเขาพูดทีเล่นทีจริงเรื่องรับเงินจากเศรษฐีจีนคนที่ว่านั้นแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกเคลือบแคลงในเจตนาของเขาขึ้นมานิดๆ จนพานกินอะไรไม่ลงเสียอย่างนั้น ทั้งที่กระเพาะร้องประท้วงดังโครกครากจะแย่แล้ว

“นอกเหนือจากที่เล่าให้ฟังไปน่ะเหรอ ไม่มีอะไรนี่ ฉันก็เล่าเรื่องหลักๆ ที่เธอควรรู้ไปหมดแล้ว”

เทียนหลางลากปลายนิ้วชี้ไปบนพนักโซฟา ในใจจินตนาการไปว่าเป็นแก้มนุ่มๆ ของเธอ แม้ผิวสัมผัสจะไม่ใกล้เคียงกันเลยสักนิด

“มีเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้ด้วยเหรอคะ”

เพียงนึกถึงเรื่องที่ตนเองกับชายหนุ่ม ‘เคย’ หมั้นกัน น้ำหนักของความรู้สึกอึดอัดที่วางทับบนไหล่ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า...เรื่องนั้นก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เธอไม่ควรรู้ด้วยหรือเปล่านะ

“โกโก้จะเย็นหมดแล้ว ไม่ดื่มเหรอ หรือว่ากลัวฉันใส่ยาพิษไว้ หือ?”

เทียนหลางไม่ตอบคำถาม แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาหน้าตาเฉย พัดพารัดชาเริ่มเชื่อที่หลู่บอกแล้วว่าเขาเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเก่ง

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงเบา หากเขาคิดใส่ยาพิษให้เธอกินจริงๆ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้กันเล่า ยิงคนเขายังทำได้โดยไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิด “ฉันแค่รู้สึกเพลียนิดหน่อย”

“เธอผจญภัยมาตั้งแต่เช้า แล้วก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยก็ต้องเพลียเป็นธรรมดา กินๆ ไปเถอะน่า แม่ของเธอก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันไว้ใจได้ ถ้าฉันจะฆ่าใครจริงๆ ฉันคงไม่เลือกวางยาพิษหรอก ใช้ปืนเร็วกว่าเยอะ โป้งเดียวจบเรื่อง ไม่ต้องมาดูคนนอนชักดิ้นชักงอ น้ำลายฟูมปากให้เสียสายตา”

“แหม ฟังแล้วใจชื้นขึ้นเยอะเลยค่ะ”

พัดพารัดชาทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้...ก่อนขึ้นเครื่อง เธอมีโอกาสได้คุยกับมารดาอีกหนึ่งครั้ง ท่านย้ำแล้วย้ำอีกว่านอกจากคุณปู่อัลตันแล้ว เทียนหลางเป็นคนเดียวที่ไว้ใจได้ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ดูน่ากลัวกว่าพวกกลุ่มคนเมื่อเช้านี้เสียอีก 

ทำไมคุณแม่ถึงได้เชื่อใจเขาขนาดนั้นกันนะ...

“เธอไม่ต้องเก็บเรื่องที่หลู่พูดมาใส่ใจหรอก”

“คะ?”

หญิงสาวหันกลับไปมองคนหน้าสวยตรงๆ ในตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งรู้ตัวว่าคิ้วของตนเองขมวดมุ่นจนแทบพันกันเป็นปม แต่จะเปลี่ยนสีหน้าก็ไม่ทันเสียแล้ว

“อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้นั่นละ เรื่องที่เราเคยหมั้นกัน มันเป็นการตัดสินใจของปู่ฉันกับพ่อของเธอตอนที่พวกเรายังเด็กมาก มีคนบ้าที่ไหนจับเด็กสิบขวบกับเด็กสี่ขวบให้หมั้นหมายแบบนี้กัน เธอกับฉันยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าการหมั้นหมายหรือแต่งงานคืออะไร แล้วมันก็ไม่ยุติธรรมกับพวกเราทั้งคู่ที่ต้องผูกมัดกับคนที่ไม่รู้ว่าโตขึ้นมาแล้วจะเกลียดขี้หน้ากันหรือเปล่า นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว เธอควรมีอิสระที่จะได้เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองสิ ถูกไหม”

ส่วนเขา...ไม่เคยมีทางเลือกอะไรตั้งแต่เกิดมาเป็นผู้สืบทอดของท่านอัลตันผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ขนาดพ่อหอบเขาหนีชะตาชีวิตบัดซบไปไกลถึงมองโกเลียใน สุดท้ายก็ถูกกระชากกลับมาในเส้นทางที่เขาทั้งชิงชังและหวาดกลัวที่สุดอย่างไร้ความปรานี ไม่ว่าจะต่อต้านอย่างไร ขบถหัวชนฝาเพียงไหน ก็ถูกบังคับกดหัวให้ยอมรับสิ่งที่ไม่ปรารถนาทุกวิถีทาง

“ก็ถูก...ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ”

หญิงสาวเสยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบเพื่อลดความรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่รสชาติหวานมันถูกใจนั้นกระตุ้นความรู้สึกหิวโหยให้เพิ่มขึ้นจนเผลอดื่มไปรวดเดียวครึ่งแก้ว เทียนหลางพูดถูกจริงๆ นั่นละ เธอไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า พอได้กินอะไรหวานๆ ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง

“ตอนนั้นเธอตัวสูงเลยเข่าฉันมานิดเดียวเอง จะไปรู้เรื่องอะไรกันเล่า”

ชายหนุ่มยกมือทำท่าประกอบให้เธอดูความสูงของตนเองเมื่อตอนอายุ ๔ ปี ทำเอาพัดพารัดชาหลุดขำออกมา รอยยิ้มของเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนมีใครจุดกองไฟในหัวใจจนลุกโชนอย่างฉับพลัน ดวงตาสีแปลกถูกประกายเจิดจ้าที่ห้อมล้อมดวงหน้างามกระจ่างทำให้พร่าพรายไปชั่วขณะ

บ้าเอ๊ย...

“ฉันว่าตอนฉันอายุสี่ขวบ ฉันสูงกว่านั้นหน่อยนะคะ ถ้าตัวขนาดนั้นฉันคงเป็นหมาชิสึตอนยืนสองขาแล้ว”

“ตอนนั้นเธอก็ตัวเท่านั้นจริงๆ นี่” เทียนหลางเสทำเป็นเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง “เรื่องก็เป็นอย่างที่บอกนี่ละ ที่ฉันถอนหมั้นไม่ใช่เพราะไม่พอใจหรือเธอไม่ดี แต่เพราะฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น แล้วเรื่องมันก็จบไปนานแล้ว ถ้าหลู่ไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บ เธอก็คงไม่ต้องมารับรู้ไอ้เรื่องไม่เป็นเรื่องนี่จนอึดอัดขนาดนี้หรอก”

“ฉัน...ฉันไม่ได้อึดอัดอะไรเลยนะคะ”

หญิงสาวปฏิเสธเป็นพัลวันทั้งที่สีหน้าของตนเองเหมือนมีตัวอักษร ‘อึดอัดเป็นบ้า’ สลักอยู่บนหน้าผากให้เห็นอย่างเด่นชัด

“นั่งตัวเกร็งขนาดนี้เนี่ยนะ ไม่อึดอัด” เทียนหลางปรายตามองคนที่นั่งตัวตรงแหน็ว เข่าทั้งสองข้างชิดกันแน่นแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้ “ทำตัวให้สบายๆ เถอะ ถึงเธอไม่ชอบก็ต้องทนเห็นหน้าฉันไปอีกสักพักนั่นละ”

“ไม่ใช่ไม่ชอบค่ะ...” พัดพารัดชาชะงัก พูดแบบนี้ก็เหมือนกับเธอบอกว่าชอบเขาน่ะสิ ไม่ได้ๆ เดี๋ยวเขาจะเข้าใจผิด! “ฉัน...ฉันแค่ไม่ชินเพราะไม่รู้จักคุณมาก่อน ไม่สิ...ที่จริงเราเคยเจอกันตอนเด็กๆ ใช่ไหมคะ ฉันก็แค่จำคุณไม่ได้...”

ยิ่งพูดสีหน้าของคนฟังก็ยิ่งแย่ เธอไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไป ดวงตาของเทียนหลางหรี่แคบลงเหมือนกำลังโมโหอะไรสักอย่าง เธอเองก็ไม่กล้าบอกเขาไปตรงๆ ว่าเธอไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เธอกลัวเขาต่างหากเล่า!

“จำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอก มันไม่ได้มีอะไรให้จำนี่”

เขาพึมพำเป็นภาษามองโกลอย่างหงุดหงิดใจเป็นที่สุด ไม่รู้ทำไมยามอยู่ใกล้เธอ หัวใจของเขาไม่สงบเอาเสียเลย มันบีบรัดแปลกๆ จนปั่นป่วนไปหมด

“คุณว่าอะไรนะคะ”

“ฉันถามว่าเธอหิวหรือยัง จะได้ให้เสิร์ฟอาหาร” เทียนหลางตอบอย่างเสียไม่ได้ ตามองไปนอกหน้าต่างแทบตลอดเวลาเพื่อซ่อนทุกอารมณ์ความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมาจนอัดแน่นอยู่ในอก

“อ๋อ...” พัดพารัดชายิ้มแหยๆ แล้วชูแก้วขึ้นให้เขาดู “อีกสักพักก็ได้ค่ะ ฉันยังดื่มโกโก้ไม่หมดเลย”

แสงแดดที่ตกกระทบกับใบหน้างดงามเหมือนภาพฝันของเขาสะกิดความทรงจำที่นอนก้นอยู่เบื้องลึกให้ลอยฟุ้งขึ้นมาสู่พื้นผิวทีละน้อย เลือนรางทว่าช่างแสนคุ้นเคย ทั้งเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ และรอยยิ้มของเขา เธอเคย...เห็นมาหมดแล้ว

เดี๋ยวนะ...ร้องไห้? นี่เธอเคยเห็นอีตาโหดนี่ร้องไห้ด้วยเหรอ เป็นไปไม่ได้...

“จ้องนานขนาดนี้ คิดเปลี่ยนใจอยากหมั้นกับฉันอีกครั้งหรือไงชาช่า”

“ไม่เคยคิดเลยค่ะ”

พัดพารัดชาส่ายหน้าดิก 

คำตอบทันทีทันควันชนิดไม่หยุดคิดแม้แต่วินาทีเดียวของเธอทำเอาคนถามหน้าตึงขึ้นทันตา ถึงจะเป็นแค่คำพูดทีเล่นทีจริง ไม่คาดหวังได้คำตอบเอาอกเอาใจ แต่ในชีวิตของเทียนหลางไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนปฏิเสธตรงๆ ซึ่งๆ หน้าเช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้ง 

หงุดหงิดเป็นบ้า!

“ขอโทษค่ะ คือ...ฉัน...ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ดีนะคะ”

หญิงสาวเห็นเขาทำหน้าบึ้งก็เพิ่งสำนึกได้ว่าตนเองตอบปฏิเสธไวเกินไปเหมือนไม่ไว้หน้ากัน รู้อย่างนี้หัวเราะอย่างเดียวเสียก็ดีหรอก จะได้ไม่ต้องเจอกับสายตาพิฆาตชวนขนหัวตั้งแบบนี้

“ดื่มโกโก้ไปเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” เทียนหลางแยกเขี้ยว 

พัดพารัดชาย่นคอแล้วรีบยกแก้วขึ้นดื่มโกโก้จนหมด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิของเครื่องดื่มกำลังพอดีทำให้รู้สึกสบายท้องหรือเพราะเพลียจากการผจญภัยเสี่ยงตายมาตั้งแต่เช้ากันแน่ จู่ๆ เธอถึงได้เริ่มรู้สึกอ่อนเพลียจนอยากทิ้งตัวลงนอนขึ้นมาเสียเฉยๆ

“แล้ว...จากนี้เราจะทำยังไงกันต่อไปเหรอคะ”

หญิงสาวสะบัดศีรษะไล่ความง่วงงุน เทียนหลางมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโน้มตัวมาดึงแก้วโกโก้ที่ว่างเปล่าไปจากมือของเธอ แล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะกาแฟทรงกลมที่ตั้งอยู่ถัดจากโซฟา

“ไปถึงมองโกเลียแล้วก็เก็บตัวให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันให้ทำอะไรก็ทำ อย่าดื้อ อย่าถามมาก”

“เก็บตัวไปถึงเมื่อไหร่เหรอคะ”

เสียงของเธอสั่น ดวงตาฉายชัดถึงความกังวลระคนหวาดหวั่นจนชายหนุ่มต้องเสทำเป็นเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาเข้าใจความกลัวชนิดนี้ของเธอเป็นอย่างดีเพราะเคยเผชิญมาก่อนสมัยยังเด็ก เขารู้ว่าการถูกบีบบังคับให้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนมันทุกข์ทรมานใจเพียงไหน เคว้งคว้างเหมือนเรือน้อยลอยอยู่ท่ามกลางคลื่นลมและพายุอันบ้าคลั่ง จะต่างกันตรงที่เขารู้ว่าความเจ็บปวดของตนเองจะจบลงทันทีที่พยักหน้ายอมรับชะตากรรมอันไม่ปรารถนา แต่สำหรับพัดพารัดชาแล้วไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเคราะห์ร้ายครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าจะดีหรือร้าย

สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือ...เขาจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาทำอันตรายชาช่าของเขาได้เป็นอันขาด!

“พูดยังไม่ทันขาดคำก็เอาเลยนะเรา ถามมากจริ๊ง” ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ก็จนกว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นละ”

“แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะคะ” หญิงสาวเริ่มตาพร่า เธอมองเห็นเทียนหลางสองคนได้อย่างไรไม่รู้ แถมใบหน้าของเขายังซ้อนทับกันจนเหมือนคนมีสี่ตา สองจมูก สองปากเสียอย่างนั้น “ฉัน...ฉันยังต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัย แล้วไหนจะคุณแม่อีก”

เสียงของเธอฟังอ้อแอ้อย่างน่าประหลาดใจ มือไม้ทั้งสองข้างเริ่มอ่อนแรงลงทุกที

“ก่อนจะห่วงเรื่องเรียนน่ะ ห่วงว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปเรียนก่อนหรือเปล่าดีกว่าไหม” ชายหนุ่มถอนใจ เขาขยับเข้ามาใกล้ในจังหวะที่เธอทรงตัวไม่อยู่พอดี ร่างบอบบางจึงซวนซบอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ “คุณป้าพรประภาจะจัดการเรื่องทางมหาวิทยาลัยให้เธอเอง เธอแค่อยู่เฉยๆ ก็พอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันจัดการเอง เข้าใจไหม”

“ไม่เห็นเข้าใจเลย แล้วคุณแม่...ฉันจะได้เจอคุณแม่เมื่อไหร่ คุณแม่จะปลอดภัยไหมคะ” พัดพารัดชาพึมพำเสียงแผ่ว เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้งพอๆ กับร่างกาย มือเล็กเรียวพยายามดันตัวให้ออกห่างจากแผงอกกว้าง แต่เพียงแค่ชายหนุ่มโอบกระชับรอบกายของเธอไว้หลวมๆ เธอก็ไม่มีแรงต้านทานเสียแล้ว “นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึง...ไม่มีแรงเลย...”

“เธอเหนื่อยแล้ว นอนพักเถอะ”

เสียงของเทียนหลางคล้ายดังแว่วมาจากที่ไกลๆ ทั้งที่หญิงสาวสัมผัสได้ว่าริมฝีปากหยักลึกของเขาขยับชิดใบหูแท้ๆ กลิ่นหอมสดชื่นของไม้สนเจือกลิ่นดอกไม้ขาวบางเบาที่ลอยกรุ่นมาจากกายเขาพาเธอดำดิ่งสู่ห้วงนิทราทีละน้อย แม้ว่าจะสู้ฝืนทนเพียงใด สุดท้ายความง่วงงุนก็มีอำนาจเหนือกว่า มันเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะสุดท้ายที่เหลืออยู่จนสิ้น เหลือไว้เพียงเสียงของลมหายใจแผ่วๆ ที่เริ่มผ่อนยาวอย่างสม่ำเสมอ

ยาออกฤทธิ์แล้วสินะ...

เทียนหลางช้อนร่างอ่อนปวกเปียกของหญิงสาวขึ้นมาประคองไว้บนตัก เขาผสมยาคลายเครียดไว้ในโกโก้รสชาติเข้มข้นเพื่อให้คนขวัญเสียได้ผ่อนคลายและนอนหลับสักพัก แต่ดูเหมือนฤทธิ์ยาจะแรงกว่าที่คิดไว้สักหน่อย เธอถึงได้ผล็อยหลับอย่างรวดเร็วเช่นนี้

“คุณ...เทียนหลาง...”

พัดพารัดชาพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ชายหนุ่มกดศีรษะเล็กให้แนบไปกับบ่ากว้าง แล้วเอื้อมมือไปถอดรองเท้าบูตของเธออย่างนุ่มนวล อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงมองโกเลีย เธอควรได้นอนพักสบายๆ โดยไม่มีใครหรือสิ่งใดมารบกวนทั้งสิ้น 

หน้าตาตอนหลับน่ารักไม่เปลี่ยนเลย...

ภาพดวงหน้าของเด็กน้อยแก้มยุ้ยในความทรงจำซ้อนเข้ากับใบหน้าสาวน้อยในอ้อมแขน ขนตาของเธอเป็นแพงอนหนาจนเทียนหลางอดใจไม่อยู่ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเล่นเบาๆ แบบที่เคยทำเมื่อครั้งยังเด็ก ตอนนั้นแม่เด็กน้อยตัวกลมป้อมชอบปีนขึ้นมานั่งหลับอยู่บนตักเขาเป็นที่สุด เธอมักกำปลายนิ้วของเขาเอาไว้เหมือนเป็นที่พึ่งเดียวในโลก 

ส่วนเขาก็จะ...จุมพิตหน้าผาก...

ชายหนุ่มรีบสลัดความคิดบ้าๆ ที่จะแนบริมฝีปากกับหน้าผากกลมมนทิ้งไปทันที พัดพารัดชาไม่ใช่เด็ก ๔ ขวบอีกต่อไปแล้ว เขาจะทำแบบนั้นกับเธอไม่ได้ ที่จริงเขาไม่ควรแม้แต่จะโอบประคองเธอไว้บนตักเช่นนี้ด้วยซ้ำไป แต่ไม่รู้ทำไมสองแขนถึงไม่ยอมคลายจากร่างนุ่มนิ่มนี้เสียที 

บางทีอาจเพราะหัวใจปรารถนาจะชดเชยช่วงเวลาที่พลาดไปเมื่อ ๗ ปีก่อนก็ได้กระมัง...

ภาพเด็กสาววัยแรกรุ่นลอยเด่นอยู่ในห้วงความคิด เธออายุเพียง ๑๓ ปี ทว่าใบหน้าแสนเศร้าของเธอช่างงามจับตาแม้เปียกปอนอยู่กลางสายฝน งามจนทำให้การกลับมาพบหน้ากันอีกครั้งหน้าหลุมศพของพ่อเธอกลายเป็นการตกหลุมรักครั้งแรกในชีวิตและอกหักไปพร้อมๆ กัน 

นึกแล้วสมเพชตัวเองฉิบที่ใช้เวลาตัดใจจากแม่เด็กตัวกะเปี๊ยกนานแรมปี และเมื่อคิดว่าลืมเลือนความรู้สึกที่มีต่อเธอไปหมดสิ้นแล้ว โชคชะตาเส็งเคร็งกลับพาเธอกลับมาปรากฏตัวตรงหน้าอีกคราอย่างไม่คาดคิด เพียงแค่สบตากัน ความโหยหาที่พยายามกดทับไว้ในเบื้องลึกของหัวใจก็ถูกแรงกระเพื่อมอันลึกลับกวนให้ลอยฟุ้งขึ้นมาสู่พื้นผิวน้ำอันราบเรียบ

เขายังคงคิดถึงเธออยู่ คิดถึงมาก...จนแทบบ้า!

เทียนหลางไล้ข้อนิ้วไปตามกรอบหน้าหวานละมุนช้าๆ ริมฝีปากหยักงามแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ยามแตะรอยขี้แมลงวันเล็กๆ ใต้หางตาซ้ายของเธอ คนขี้เซาเบือนหน้าหลบสัมผัสจากเขาแล้วครางอืออาอยู่ในลำคอเหมือนรำคาญนิดๆ ริมฝีปากอิ่มเต็มเผยอออกน้อยๆ ในแบบที่เย้ายวนใจจนคนที่หลุบตามองเผลอโน้มใบหน้าลงไปชิดราวต้องมนตร์สะกด

จะหวานเหมือนที่จินตนาการไว้ไหมหนอ...

“อะ...เอ่อ...นายน้อยเป้าคะ...”

เสียงของพนักงานประจำเครื่องดึงสติของชายหนุ่มให้กลับคืนสู่ร่าง เขากระแอมแก้เก้อแล้วขยับตัวนั่งตรง แม้จะตีสีหน้าเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ แต่เขาไม่รู้เลยว่าทั้งใบหน้าและหูทั้งสองข้างของตนเองแดงก่ำจนน่าขันเพียงไหน

“ขอ...ขอโทษที่รบกวนเวลาส่วนตัวนะคะ เมื่อครู่ที่คุณสั่งให้ดิฉันจัดเตรียมอาหารให้คุณผู้หญิง ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าจะรับเลยไหมคะ”

พนักงานสาวเอ่ยตะกุกตะกัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นนายน้อยหนีบสาวๆ ขึ้นมาพลอดรักกันบนเครื่องบินส่วนตัว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำท่าทางเคอะเขินเหมือนหนุ่มน้อยเพิ่งริหัดจูบสาวอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งบอกตามตรงว่าเห็นแล้วขนลุกซู่ ไม่น่าเชื่อว่าจอมวายร้ายอย่างเป้าเทียนหลางจะทำท่าทางแบบนี้เป็นด้วย ปกติเห็นแต่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับสาวๆ ไม่ซ้ำหน้าอย่างไม่เคยอายสายตาใครเลยสักนิด

สาวน้อยคนนี้เป็นใคร

“ไว้ทีหลังดีกว่า คุณไปพักผ่อนเถอะครับ”

เทียนหลางรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับอุ้มร่างของพัดพารัดชาไว้แนบอก ใจหนึ่งก็รู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ที่ถูกขัดจังหวะเสียได้ แต่อีกใจกลับโล่งอกที่เขาไม่ได้ทำเรื่องเกินเลยกับหญิงสาวมากไปกว่านี้ ไม่อย่างนั้นการที่เขาตัดใจจากเธอจะมีประโยชน์อันใดกันเล่า 

ท่องเอาไว้ช็อน หน้าที่ของแกคือคุ้มครองชาช่าให้ปลอดภัยเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้...อย่าแม้แต่จะคิดเชียว!

“นายน้อยเป้าคะ” พนักงานสาวร้องเรียกเมื่อเห็นชายหนุ่มบ่ายหน้าไปทางห้องนอนทางด้านหลัง “ท่านอัลตัน...”

“ผมรู้แล้ว ขอบคุณมาก”

เทียนหลางทำหน้าเมื่อย ไม่ต้องให้เจ้าหล่อนอ้าปากพูดเขาก็รู้ว่าปู่เที่ยวกำชับคนรอบตัวเรื่องให้เขารีบเข้าไปพบทันทีที่ลงจากเครื่อง ปู่คงอยากพบหน้าพัดพารัดชาให้เร็วที่สุดนั่นละ แต่เขามีเรื่องหนึ่งต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปพบปู่ และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพัดพารัดชาโดยตรงเสียด้วย 

คิดถึงตรงนี้สองแขนก็โอบรัดรอบร่างไร้สติของหญิงสาวแน่นเข้า

ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย พี่จะปกป้องเธอเองชาช่า...

 

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น