6

คาหนังคาเขา

๖ 

คาหนังคาเขา

  

 จิรัศยาสังเกตการณ์อยู่หน้าห้อง เห็นเตวิชประชุมอยู่กับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน ซึ่งบางท่านก็คุ้นหน้าคุ้นตาเคยเห็นผ่านหน้าจอทีวีบ่อยๆ เธอจึงยืนรอเพื่อหาจังหวะเข้าถึงตัวเตวิช อย่างน้อยก็อยากได้ความกระจ่างว่าเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร 

 “เอาไงดีเนี่ย” จิรัศยาพึมพำ จะบุกเข้าไปก็ไม่กล้า ด้วยสถานการณ์ภายในดูตึงเครียดอย่างมาก ระหว่างที่กำลังคิดหนักก็มีนักข่าวจำนวนหนึ่งโผล่มาทางบันไดและมุ่งหน้ามาทางเธอ จึงรีบถอยร่นไปหลบหลังประตูบันไดหนีไฟ ยืนแอบอยู่นานจนขาเริ่มชา แต่แล้วจู่ๆ โชคก็เข้าข้างเมื่อเห็นเตวิชเดินผ่านหน้าประตูไปพอดี 

 จิรัศยาโผล่หน้าออกไปมองตามจึงเห็นป้ายบอกทางไปห้องน้ำ เลยดักรออยู่ตรงนั้นกระทั่งเขาเดินกลับมาก็เปิดประตูไปดักหน้าไว้

 เตวิชมองคนชุดดำสวมมาสก์สีดำที่ยืนจ้องหน้าตัวเองงงๆ พอเขาขยับไปทางขวาก็ขยับตาม พอขยับทางซ้ายกลับโดนล็อกแขนแล้วดึงเข้าไปทางประตูของบันไดหนีไฟ

 “นี่คุณ! จะทำอะไร” เตวิชถูกผลักไปชิดผนัง สองมือเล็กยกขึ้นมากั้นดั่งกลัวเขาจะหนี

จิรัศยาไม่ตอบ กลับดึงมาสก์ลงให้เห็นใบหน้าแทน 

“คุณนั่นเอง”

 “ดูคุณไม่แปลกใจเลยนะ” เธอหรี่มองอย่างจับผิด ยิ่งพอได้ประสานกับสายตารู้เท่าทันของเขาก็เกิดลางสังหรณ์ในใจ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ยามที่เธออยู่บ้านเตวิชก็ลอยเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ทั้งเหตุการณ์ที่เข้าไปในห้องทำงาน การยืมแลปทอปมาใช้ หรือแม้แต่เข้าถึงห้องแชตและอีเมลส่วนตัวของเขาได้อย่างง่ายดาย พอลองประมวลผลดู บวกกับการที่เห็นเขาอยู่กับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคน ความกระจ่างก็บังเกิด

 “นะ...นี่คุณ!”

เตวิชมองคนตาโต ปากอ้าค้างอย่างนึกขันจนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาดันคางขึ้น

 จิรัศยารีบปัดออก ชักแน่ใจแล้วว่าตนกลายเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่เตวิชหลอกใช้ประโยชน์ เพื่อบุกจับกุมสมาชิกห้องแชตควีนบีในครั้งนี้

 “คุณทำแบบนี้ทำไม”

 “แล้วคุณล่ะ ทำแบบนี้ทำไม”

 พอโดนคำถามเดียวกันจิรัศยาก็กัดฟันกรอด ไม่รู้ว่าถ้าพูดเรื่องเรนนี่ออกไปยังจะเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นไหมแต่ก็เลือกที่จะเสี่ยงดู 

“ฉันอยากช่วยเพื่อน”

“เลยตัดต่อรูปแล้วเอามาอ้างว่าผมทำคุณท้อง?”

จิรัศยาลมหายใจติดขัดอีกหน ไม่คิดว่าเขาจะมองออกทะลุปรุโปร่งถึงขนาดนั้น “คุณรู้?”

“ฮึ! ตัดต่อได้ห่วยขนาดนั้น ใครจะมองไม่ออก” เตวิชไม่ได้หลงตัวเอง แต่คนทำงานสายนี้แถมผ่านอะไรต่อมิอะไรมาเยอะอย่างเขามีหรือจะดูไม่ออก บอกตรงๆ ว่าเขายังมีฝีมือมากกว่ากราฟิกดีไซน์ที่เจ้าหล่อนจ้างมาเสียอีก

“แล้วทำไมถึง...”

“ผมก็อยากรู้ว่าคุณมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ก็ไม่ต่างจากที่คิด” เตวิชกระตุกยิ้ม แล้วหมุนตัวไปที่ประตู ทว่ากลับโดนคว้าไหล่แล้วผลักชิดผนังไปอีกรอบ

“คิดว่าอะไร”

ใบหน้าแดงก่ำและสายตาดื้อดึงที่มองมาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ทำให้คนมองนึกมันเขี้ยวอยู่ครามครัน เขาก้มใบหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูเบาๆ 

“ก็เป็นนกต่อไง”

“ฉันไม่ใช่!” จิรัศยาปฏิเสธเสียงแข็ง ผลักอีกฝ่ายให้ออกห่างจากตน

เตวิชเลิกคิ้วแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเปิดบางสิ่งให้อีกฝ่ายได้ฟัง 

‘ฉันส่งข้อมูลทั้งหมดให้แล้วนะ แกส่งให้พี่กฤษได้เลย’

‘หลักฐานขนาดนี้ดิ้นไม่หลุดแน่นอน’

‘หมอนั่นได้เข้าไปนอนในคุกยาวแน่ๆ’

เป็นเพียงสองสามประโยคที่จิรัศยาจับใจความได้ท่ามกลางประโยคที่ยาวหลายนาที ดูเหมือนสิ่งที่เธอพูดในบ้านเตวิชตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นั่นจะถูกบันทึกไว้ทุกถ้อยคำ และที่เขานำมาเปิดคือตัดแต่ประเด็นสำคัญๆ

“ภาพเคลื่อนไหวก็มีนะ หรือจะเอาแชตที่คุณคุยกับเพื่อนก็ได้”

คนฟังอึ้งกิมกี่ เตวิชร้ายกาจกว่าที่เธอคิดไว้จริงๆ “ถ้างั้นคุณก็ต้องรู้ว่าฉันเข้าบ้านคุณเพราะอยากช่วยเรนนี่จริงๆ แต่คุณก็ยังหลอกให้ฉันเอาข้อมูลผิดๆ มาบอกตำรวจ”

 “ผมบอกให้คุณเอาไปเหรอ คุณขโมยไปเองทั้งนั้น”

 “นี่!”

 “ผมไม่รู้หรอกนะว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณคืออะไร” เตวิชจับสองมือที่กักตัวเองออกแล้วพลิกมาเป็นฝ่ายกักเจ้าหล่อนไว้แทน “และก็ไม่อยากรู้ด้วย”

เขาย้ำชัด คนที่เข้ามาเพื่อหลอกลวงเขา เรื่องอะไรจะต้องเสียเวลาสนใจ

 เตวิชหมุนตัวเดินออกจากประตูหนีไฟไป ทว่าเดินไปไม่เท่าไหร่ก็เจอบรรดานักข่าว ตอนแรกก็กังวลคิดว่าจะมาหาข่าวจากตนแต่คนกลุ่มนั้นกลับเดินผ่านไปเสียเฉยๆ

 “จิน จิรัศยาถูกจับมาจริงๆ เหรอ”

“ฉันได้ยินพวกตำรวจเมาท์กันแบบนั้นนะ”

 “สงสัยจะมีส่วนร่วมกับแก๊งควีนบี”

 “ถ้าเป็นเรื่องจริงนี่ข่าวใหญ่มาก”

 บทสนทนาของนักข่าวที่เดินสวนไปทำให้เตวิชนึกถึงคนที่หลบอยู่ ใจหนึ่งก็ไม่อยากสนใจ แต่อีกใจกลับสงสาร เอาเข้าจริงหลังจากแอบฟังและเข้าถึงบทสนทนาของเธอกับเพื่อนแล้ว ก็ค่อนข้างเอนเอียงว่าอยากช่วยเพื่อนที่ชื่อเรนนี่จริง แต่ที่ตะขิดตะขวงใจคือการไปร่วมมือกับคมกฤษนี่ละ เพราะหมอนั่นเป็นถึงระดับหัวหน้าแก๊งควีนบีเลย 

 เตวิชคิดหนัก แม้เจ้าหล่อนจะมาด้วยจุดประสงค์ร้าย แต่ระหว่างที่อยู่บ้านนอกจากพยายามขโมยข้อมูลก็ไม่ได้ทำอะไรที่ดูเป็นภัยอีก หลายครั้งที่แผนการตื้นๆ ของเธอทำให้เขาอดขำไม่ได้ และอีกหลายหนก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ เช่นในยามที่เขายุ่งสุดๆ เธอก็ยังช่วยหาข้าวปลาอาหารให้ทั้งๆ ที่จะไม่สนใจเลยก็ได้ในเมื่อมีสิ่งที่ต้องการอยู่ในมือแล้ว

 “โธ่เว้ย!” เตวิชสบถก่อนจะตัดสินใจตามกลุ่มนักข่าวไป พอเห็นว่าเดินผ่านประตูหนีไฟจึงแอบหลบเข้าไปแทน แล้วก็เห็นว่าจิรัศยานั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่

 “จะมาด่าอะไรฉันอีกล่ะ” สาวเจ้าตาแดงก่ำ เงยหน้าขึ้นมองอย่างแค้นเคือง

 “ลุก” เตวิชไม่พูดพร่ำ กลับฉุดแขนอีกฝ่ายแต่ก็ถูกขัดขืน

 “ฉันไม่ไป ฉันไม่ผิด!” ด้วยคิดว่าจะถูกพาไปหาตำรวจจิรัศยาจึงดื้อดึง เธอไม่ค่อยอ่อนแอแบบนี้บ่อยๆ แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าจนหนทางจริงๆ ทั้งเพื่อน ทั้งงาน คงไม่สามารถรักษาอะไรไว้ได้แล้ว

 “บอกให้ลุก!”

 “ฉันไม่...”

 ระหว่างที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกัน จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับกลุ่มคนที่กรูกันเข้ามา จิรัศยาช็อกจนทำอะไรไม่ถูก ยังดีที่เตวิชช่วยดึงลุกขึ้น จับใบหน้าเธอแนบไว้กับอกของเขา 

 “เอ่อ ขอโทษค่ะ” หนึ่งในนักข่าวกล่าวอย่างเกรงใจ เพราะคิดว่าเข้ามาขัดจังหวะหนุ่มสาว นักข่าวหลายๆ คนก็เหมือนจะถอย แต่ก็มีบางคนที่โพล่งออกมา

 “นั่นไม่ใช่คุณจินเหรอ”

 คนที่ถอยในตอนแรกพากันชะงัก หันกลับมามองด้วยความสนใจ

 “คุ้นๆ อยู่นะ”

 “แหล่งข่าวก็บอกว่าใส่ชุดดำนี่”

 ถ้อยคำสนทนาทำให้จิรัศยาตัวชาวาบ นิ่งงันอย่างไม่กล้ากระดุกกระดิก

 “เธอไม่ใช่คนที่พวกคุณตามหาหรอกครับ นี่แฟนผมเอง” เตวิชออกตัว แถมจับมาสก์ขึ้นมาปิดบังใบหน้าให้

 บรรดานักข่าวยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนหนึ่งในนั้นกล่าวออกมาอย่างใจกล้า “งั้นช่วยหันหน้ามาหน่อยได้ไหมคะ”     

เตวิชก้มมองคนในวงแขน เจ้าหล่อนดูหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด “คงไม่สะดวกครับ พอดีเธอไม่ค่อยสบาย ขอทางด้วยครับ”

 สายตาอยากรู้อยากเห็นยังคงซอกแซกไม่มีทีท่าจะยอมถอย เตวิชมองซ้ายมองขวาหาทางหนีทีไล่ก่อนจะกระซิบบอกคนในวงแขน 

“เราจะหนีลงไปข้างล่าง”

เขาสอดมือมาประสานมือเธอ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพาวิ่งลงบันไดหนีไฟ

 “อ้าว เฮ้ย! ตามสิ!”

 มีทั้งเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าดังตามหลัง จิรัศยาวิ่งตามเตวิชสุดชีวิต พอถึงชั้นล่างก็อาศัยช่วงชุลมุนหลบไปที่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คู่ใจของอีกฝ่ายแล้วขับหนีออกไปอย่างปลอดภัย

 

 จิรัศยายังตาแดงก่ำขณะนั่งอยู่ห้องรับแขกบ้านเตวิช ส่วนเจ้าของบ้านพอมาถึงก็หยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเดินหายไป เธอไม่มีอารมณ์อยากรู้อยากเห็นว่าเขาติดต่อใครกระทั่งอีกฝ่ายยื่นแก้วน้ำเย็นมาให้จึงรับไว้อย่างเสียไม่ได้

 “ขอบคุณ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระแทกกระทั้น แต่ก็ยกขึ้นดื่มแบบรวดเดียวหมดเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องนับตั้งแต่ถูกจับมา

 “จะทำยังไงต่อ”

 เจอคำถามนี้จิรัศยาก็ได้แต่ตวัดค้อน “คุณต้องช่วยฉัน”

 “ทำไมต้องช่วย ผมไม่ได้ทำอะไรผิด” เตวิชกล่าวเสียงเรียบ เอาเข้าจริงแม่ตัวยุ่งนี่ต่างหากที่เอาตัวมาพัวพันกับเขาเอง

 “คุณทำ!” จิรัศยาย้ำชัดก่อนจะตาโตเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “ยืมโทรศัพท์หน่อย” เห็นอีกฝ่ายยังนิ่ง เธอจึงเร่งอีก “เร็วสิ”

 เตวิชจึงยื่นให้อย่างเสียไม่ได้

 “ปลดล็อกด้วย”

 เตวิชยื่นนิ้วไปสแกนให้กระนั้นก็นั่งมองอย่างระแวดระวัง อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าหล่อนจะมาไม้ไหน เห็นอีกฝ่ายก้มกดเบอร์อยู่ครู่ก็ยกขึ้นแนบหู

 “ยายเบนซ์ นี่ฉันเอง”

 “แกอยู่ไหน ฉันเป็นห่วงจนจะบ้าอยู่แล้วเนี่ย” มีเสียงโวยวายแว่วตอบกลับมา เตวิชรู้จักบุรัสกรผ่านการสนทนากับแชตที่แอบอ่านแอบฟังอยู่แล้วจึงรู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน

 “อยู่บ้านหมอ...เอ่อ คุณเต” จิรัศยาเกือบหลุดปาก ขณะเปลี่ยนสรรพนามก็แอบเหล่เจ้าของบ้านไปพลาง

 “หา! ไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง”

 “เรื่องมันยาว ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” จิรัศยาถามอย่างกังวล พอบุรัสกรบอกว่าตำรวจอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว ส่วนนักข่าวก็กำลังตามหาตัวเธออยู่ก็อดเหลือบมองเตวิชอีกไม่ได้ ถ้าไม่มีเขา...เธอก็คงถูกรุมอยู่ที่นั่นเป็นแน่

 “แล้วตำรวจได้สอบปากคำแกหรือยัง” จิรัศยายังอยากรู้ความคืบหน้าของทางนั้น พอบุรัสกรบอกว่าเรียบร้อยแล้วเหลือแต่ส่วนของเธอ “ฉันไม่อยากเข้าไปตอนนี้” น้ำเสียงเบาลง รู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนต้องเผชิญเรื่องราวเพียงลำพัง แต่ถ้ากลับไปไม่พ้นตกเป็นเหยื่อให้นักข่าวใส่สีตีไข่แน่ 

บุรัสกรตอบกลับมาว่าเข้าใจและไม่คิดโทษเธอ ตำรวจเองก็บอกว่าเข้าไปวันหลังได้ จิรัศยาจึงเบาใจ 

“แกรีบกลับไปพักเถอะ บอกตำรวจว่าฉันจะเข้าไปให้ปากคำเร็วๆ นี้”

อีกฝ่ายรับปากว่าจะจัดการให้ พร้อมทั้งบอกว่าตอนนี้ชานนท์ก็มาอยู่ที่นี่ กำลังช่วยจัดการเรื่องยุ่งๆ ให้เธออีกแรง

“อย่าบอกเขานะว่าฉันอยู่ที่ไหน” จิรัศยาไม่แปลกใจที่สุดท้ายชานนท์ก็รู้เรื่องเพราะหูตาอีกฝ่ายก็มีไม่น้อย พอบุรัสกรรับปากขันแข็งจิรัศยาก็ยิ่งซาบซึ้งใจ “ขอบใจนะเบนซ์”

มือเล็กยกขึ้นซับน้ำตาที่ซึมบริเวณหัวตาเมื่อเพื่อนบอกมาว่าระหว่างเราอย่าใช้คำนี้ จิรัศยาตอบ “อือ” ไปหนึ่งคำแล้วพยายามกลั้นน้ำตาอย่างหนัก ก่อนจะวางหูแล้วส่งโทรศัพท์มือถือคืน แต่จังหวะที่เตวิชยื่นมือมารับเธอก็รั้งแขนเขาไว้

 “คุณต้องช่วยฉัน!”

 สายตาของเขาแสดงออกมาแทนคำพูดว่า ‘ทำไมต้องช่วย’ จิรัศยาจึงยิ่งรั้งแขนเขาแน่นขึ้น 

 “โอเค! ฉันยอมรับผิดที่หลอกคุณ เข้ามาในบ้านของคุณ แล้วก็ขโมยข้อมูลจากแลปทอปของคุณ” เธอกล่าวอย่างจริงจัง ประสานสายตาโดยไม่คิดจะหลบ “แต่คิดไปคิดมาฉันก็มีประโยชน์เหมือนกัน อย่างน้อยฉันก็เอาข่าวไปบอกพี่กฤษจนเข้าใจผิดว่ามีปาร์ตีของแก๊งควีนบีอีกกลุ่ม ทำให้คุณซ้อนแผนไปจับเครือข่ายกลุ่มลับของหมอนั่นได้สำเร็จ”

เท่าที่ฟังจากข่าว ดูเหมือนนายคมกฤษจะเป็นหนึ่งในหัวหน้าของแก๊งควีนบี ซึ่งก็แย่งกันหาสมาชิกเพื่อเพิ่มฐานอำนาจและรายได้เข้ากระเป๋า การที่อาสาร่วมมือกับเธอก็น่าจะเพราะอยากทำลายฐานสมาชิกของกลุ่มอื่นในเครือข่ายเดียวกัน 

อำนาจและเงินตรา มันหวานหอมจนไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นพวกเดียวกันไหม

 เตวิชยังนิ่งฟังโดยไม่เอ่ยอะไร นึกชื่นชมหน่อยๆ ที่อย่างน้อยก็ฉลาดพอที่จะจับต้นชนปลายได้

 “ทั้งภาพ ทั้งคลิปเสียง ทั้งแชตที่คุณมีก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าฉันต้องการแค่มาสืบข้อมูลเพื่อช่วยเพื่อนเท่านั้น ฉันไม่เคยคิดใส่ร้ายคุณ” พูดมาถึงตรงนี้คนฟังกลับมีปฏิกิริยา จนจิรัศยาต้องรีบอธิบาย “คือตอนแรกที่ฉันสงสัยคุณ ก็เพราะเรนนี่อยู่กับคุณเป็นคนสุดท้ายก่อนหายตัวไปจริงๆ นี่นา ก็ภาพต้นฉบับที่ฉันเอามาตัดต่อนั่นแหละ”

 สีหน้าเตวิชยังคล้ายจะไม่เชื่อ จิรัศยาจึงงัดหลักฐานเด็ด “ขอยืมแลปทอปหน่อย ฉันจะให้ดู”

 เตวิชก็อยากเห็นหลักฐานดังกล่าวจึงเดินไปหยิบให้โดยดี ฝ่ายคนรับก็เปิดเครื่องล็อกอินเข้าอีเมลตัวเองแล้วเปิดไดรฟ์ซึ่งเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเรนนี่ทั้งหมด

 “เชิญค่ะ”

 เตวิชนั่งไล่ดูหลักฐานต่างๆ โดยไม่เอ่ยอะไร

 “แก้ตัวไม่ได้ละสิ” จิรัศยาดักคอ ภาพการเดินหายเข้าห้องของเรนนี่กับเตวิชเป็นคลิปจากกล้องวงจรปิด มีบางจังหวะที่เห็นหน้าชัดเจน และแน่นอนว่าไม่ได้ผ่านการตัดต่อใดๆ ซึ่งกว่าเธอจะได้คลิปนี้มาก็เสียเงินไปไม่ใช่น้อยๆ เลย

 “ผมกับเพื่อนคุณไม่ได้มีอะไรกัน” เขากล่าวขณะตายังไม่ละจากหน้าจอ

 “ถ้าไม่มีแล้วหายเข้าไปทำไมตั้งนานสองนาน ดูเวลาสิ ห่างตั้งหลายชั่วโมง” จิรัศยาขยับเข้าไปใกล้เพื่อจิ้มหน้าจอให้เขาดูชัดๆ ช่วงที่เธอจับภาพเพื่อนำไปตัดต่อเธอนั่งดูคลิปนี้จนจำได้ขึ้นใจเลยทีเดียว

 เตวิชหันมองคนไม่ระวังตัวแล้วแอบขำ พอโมโหนี่เจ้าหล่อนลืมทุกสิ่งได้จริงๆ “ถ้าผมบอกว่าเพื่อนคุณมาปรึกษาเรื่องแก๊งควีนบี คุณจะเชื่อไหม”

 จิรัศยาเงยหน้ามองเตวิช ความใกล้ระดับฝ่ามือกั้นทำให้รู้สึกว่าผิวแก้มร้อนผะผ่าว แต่ก่อนที่จะเคลิ้มไปกว่านี้ก็ตั้งสติแล้วขยับถอยห่างออกมา “คุณจะบอกว่าคุณรู้เรื่องเรนนี่อยู่แล้ว?”

 “จะว่างั้นก็ได้”

 คำตอบไม่กระจ่างนี้ทำให้จิรัศยายิ่งงุนงง อ้าปากคล้ายจะถามหลายคำถามแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน

 “เพื่อนคุณมาขอให้ผมช่วยลบภาพหลุดในห้องแชต แต่ผมก็บอกเธอไปว่าทำให้ไม่ได้เพราะเซอร์เวอร์ของควีนบีป้องกันแน่นหนามาก เธอจึงร้องไห้เสียใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะยอมออกไป ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอหลังจากนั้น จนวันที่คุณมาบอกเรื่องท้อง ผมถึงไปลองค้นประวัติคุณแล้วเจอว่าเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่เคยมาหาผม”

 “คุณรู้ตั้งแต่แรกจริงๆ ด้วย” จิรัศยามองดั่งจะกินเลือดกินเนื้อ อุตส่าห์คิดว่าตัวเองวางแผนรัดกุมแล้วเชียว ไม่คิดเลยว่าจะถูกมองออกตั้งแต่ต้น “เพราะแบบนี้ใช่ไหมถึงได้ติดกล้องวงจรปิดไว้รอบบ้าน”

 เตวิชไม่ปฏิเสธ ยังคงนั่งนิ่งแบบไม่รู้สึกรู้สา

 “แล้วทำไมถึงไม่บอกฉัน!” จิรัศยากล่าวอย่างโมโห ในเมื่อเขาเคยเจอเรนนี่และรู้ว่าเธอมาที่นี่ก็เพราะเรนนี่ยังอมพะนำ หลอกให้เธอขโมยข้อมูลผิดๆ ไปจนเธอต้องเดือดร้อนแบบนี้

 “ผมไม่ไว้ใจคุณ”

 “ฉันต่างหากที่ไม่ไว้ใจคุณ จะว่าไปคุณมีภาพตัดต่อของเรนนี่ด้วยนี่ ในแลปทอปนั่น!” จิรัศยาโวยวาย

 “ผมก็แค่ทำเล่นๆ ไว้ล่อใครบางคนให้ตกหลุมพราง”

 “นี่!” ใครบางคนที่โดนหลอกเต้นผาง โมโหจนหน้าแดงก่ำ คิดไปคิดมาน้ำหูน้ำตาก็ไหลเป็นทาง

 “เฮ้ย! อย่าร้องนะ” คนไม่ถูกกับน้ำตาผู้หญิงห้ามพัลวัน

 จิรัศยายกมือเช็ดหน้าลวกๆ กลั้นน้ำตาและรีบปรับอารมณ์สุดฤทธิ์ มาร้องไห้กับคนที่หลอกตัวเองนี่น่าอายชะมัด “ฉันก็แค่อยากช่วยเพื่อน” เธอบอกขณะกลืนก้อนสะอื้นลงคอ

 “คนเราเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดเยอะแยะไป อีกอย่างคุณก็รู้จักคนระดับนายกฤษ แถมยังส่งข้อมูลให้ด้วย อาจเป็นนกต่อที่หมอนั่นส่งมาก็ได้”

 คำเฉลยของอีกฝ่ายทำให้จิรัศยาน้ำตาซึมยิ่งกว่าเดิม “จะบ้าเหรอ ฉันก็ถูกหลอกไหม” ริมฝีปากสีพีชเริ่มเบะ พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าไม่เชื่อก็ยิ่งฟูมฟาย “ฉันจะหลอกคุณทำไม คิดว่าฉันอยากเข้ามาอยู่ที่นี่นักเหรอ เครียดจนผมจะร่วงหมดหัวอยู่แล้ว ไหนจะคุณอีก...ปั่นหัวฉันอยู่ทุกวี่วัน ฮือ!”

 “ใจเย็น...ใจเย็นๆ” เตวิชทำตัวไม่ถูก หยิบทิชชูส่งให้อีกฝ่ายเพื่อให้สงบจิตสงบใจ กระทั่งผ่านไปพักใหญ่ก็ดูเหมือนจะดีขึ้น

 “ฉันรู้...ว่าคงทำให้คุณเชื่อตอนนี้ไม่ได้ แต่ยังไงฉันก็ยืนยันว่ามาที่นี่เพราะต้องการช่วยยายเรนนี่จริงๆ ส่วนไอ้พี่กฤษอะไรนั่น ผู้บริหารระดับสูงที่บริษัทแนะนำมา แถมเขายังเป็นรุ่นพี่ของยายเบนซ์อีก พวกเราก็เลยไว้ใจ ใครจะไปคิดว่าหมอนั่นจะเลวขนาดนั้น” เธอก็โกรธมากอยู่เหมือนกัน ดูเป็นคนดีน่าเชื่อถือ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นโจรในคราบตำรวจ

 กล่าวมายืดยาวขนาดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนฟังซึ่งไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เช่นเดิม “พูดอะไรบ้างได้ไหม”

 “จบหรือยัง ผมจะได้ไปนอน”

 จิรัศยาเหวอ อุตส่าห์พูดอะไรไปตั้งเยอะแยะ ยกเหตุผลร้อยแปด หมอนี่พูดสั้นๆ ว่าจะไปนอนเนี่ยนะ

 “นี่!”

 เตวิชมองคนโวยวายอย่างนึกขัน 

 “ก็ได้ งั้นขออีกคำถามเดียว” ไม่มีประโยชน์ที่จะนั่งเอาน้ำรดหัวตออยู่อย่างนี้ ในเมื่อเขาไม่ยอมปริปากแถมไม่รับปากว่าจะช่วย จึงสอบถามสิ่งที่คาใจ 

“คุณเอาคลิปเสียงพวกนั้นมาจากไหน” จุดนี้เป็นสิ่งที่เธอสงสัยมาก เขาไม่เคยให้ของขวัญอะไรเธอ และเธอก็ไม่เคยให้เขาเข้าใกล้ของใช้ส่วนตัวที่พอจะติดเครื่องดักฟังได้เลย ต่อให้ดึงเสียงมาจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ทั่วบ้านก็ไม่น่าจะชัดเจนขนาดนี้ อีกอย่างเธอก็ระวังตัวตลอดเรียกได้ว่าแทบไม่เคยเผลอยามอยู่ต่อหน้ากล้องเลย

 เตวิชลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน “คราวหน้าคราวหลังก็อย่าให้ใครยืมโทรศัพท์ง่ายๆ สิ” เขาบอกแล้วเดินไปที่บันได 

 จิรัศยาเริ่มคิดตามว่าเคยให้เขายืมโทรศัพท์มือถือตอนไหน และก็จำได้ว่ามีเพียงครั้งเดียวคือวันแรกที่มาที่นี่ เขายืมไปเพื่อเลือกเมนูอาหารก่อนจะส่งกลับมาแล้วบอกให้เธอเลือกเอง

 “อย่าบอกนะ!” เธออ้าปากค้าง แม้ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกับโทรศัพท์มือถือไปบ้าง แต่ตอนนั้นเขาใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเอง จิรัศยาตีอกชกหัวอย่างแค้นเคือง เธอไม่น่าดูถูกความสามารถของเตวิชเลยจริงๆ         

 

 บุรัสกรเดินดุ่มๆ เข้าไปนั่งยังโซฟาห้องนั่งเล่นของคอนโด จ้องเขม็งไปยังคนที่เปิดประตูแล้วเดินตามเข้ามา  

 “คุณจะตามมาทำไม”

 “ผมเป็นห่วงจิน” ชานนท์ยืนเท้าเอว ประสานสายตาอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ

 “ก็บอกแล้วไงว่าจินไปพักบ้านญาติ” บุรัสกรย้ำประโยคที่เอ่ยมาแล้วนับสิบรอบ 

ชานนท์ไปโผล่ที่สถานีตำรวจหลังจากที่จิรัศยาหลบออกไปไม่นาน เขาดูกระวนกระวายพยายามติดต่อคนนั้นคนนี้อยู่พักใหญ่ จนเธอได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนว่าอยู่บ้านเตวิชถึงได้บอกเขาว่าจิรัศยาปลอดภัยและขอตัวกลับ แต่อีกฝ่ายก็ตื๊อขอตามมาด้วย

 “ญาติที่ไหน ชื่ออะไร ขอเบอร์ติดต่อหน่อย”

 บุรัสกรถอนหายใจ เหลือบมองนาฬิกาบนผนัง “คุณนนท์คะ นี่มันจะตีสองแล้ว คนอื่นเขาก็พักผ่อนกันหมดแล้วไหม”

 “แต่...”

 “ฉันขอตัวไปพักก่อน ขอบคุณที่มาส่ง อ้อ ถ้าออกไปก็ช่วยล็อกประตูให้ด้วย ขอบคุณค่ะ” บุรัสกรตัดบท วันนี้เหนื่อยล้ามาทั้งวันจนไม่มีอารมณ์จะอดทนกับใครแล้ว

 “เบนซ์!” ชานนท์เดินตามจนถูกปิดประตูใส่หน้า ยกมือเตรียมเคาะให้ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่สภาพอิดโรยของอีกฝ่ายก็ทำให้เห็นใจจึงตัดใจเดินมานั่งที่โซฟา พึมพำย้ำกับตัวเองไปพลาง “ค่อยคุยพรุ่งนี้ก็ได้วะ”

บุรัสกรกับจิรัศยาสนิทกันราวกับพี่น้อง คงไม่ปล่อยให้ไปอยู่ในที่ที่อันตรายหรอก

 

 กว่าจิรัศยาจะข่มตาหลับได้ก็เกือบฟ้าสาง เธอจึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาเที่ยง พอเดินออกมาก็พบเตวิชนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น บนจอยังเสนอข่าวการบุกทลายแก๊งควีนบีเมื่อคืน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจข่าว สายตาจดๆ จ้องๆ อยู่ที่แลปทอปมากกว่า

 “นั่นก็หลอกฉันด้วยสินะ” จิรัศยาในลุคเสื้อยืดตัวโคร่งกางเกงขาสั้นยืนกอดอก เมื่อเห็นแลปทอปเครื่องใหม่ซึ่งไม่ใช่แบบเดียวกันกับที่เธอเคยยืมมา

 อีกฝ่ายไม่ตอบอีกเช่นเคย จิรัศยาจึงสะบัดบ๊อบเดินฉับๆ ไปเทกาแฟที่เครื่องชงมาหนึ่งแก้วแล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว

 “อะไร!” เตวิชถามเสียงเย็น เมื่อพบว่าตัวเองถูกเหลือบมองเป็นพักๆ

 จิรัศยาวางแก้วกาแฟแล้วขยับเข้าไปประชิดทันใด หลังจากขบคิดมาทั้งคืน คนที่จะช่วยเธอกับเรนนี่ได้คงมีคนเดียวนี่ละ

 “มีอะไร” เตวิชถามย้ำ แถมเบี่ยงตัวหนีอย่างหวาดระแวง

 “ช่วยฉันด้วย”

ใบหน้าเนียนใสไร้เครื่องสำอาง แถมมาทำตาวิ้งๆ ใส่ เตวิชจึงนิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะตั้งสติแล้วขยับถอยห่าง

“ไม่!”

“ช่วยฉันที”

“ก็บอกว่าไม่!” แม้ที่ผ่านมาจะใจอ่อนกับผู้หญิงง่ายๆ แต่ยามนี้ต้องย้ำกับตัวเองเอาไว้ จิรัศยาก็ไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้นหรอก

“น้า! คุณจะให้ฉันทำอะไร ฉันยอมหมดเลย ช่วยฉันกับเพื่อนทีนะ” จิรัศยากระโจนกอดอีกฝ่ายไว้เพื่อไม่ให้หนี ประสบการณ์การแสดงนับสิบปีถูกนำมาเดิมพันกับการต่อรองครั้งนี้

เตวิชเอนตัวไปตามความยาวโซฟา มือหนึ่งจับแลปทอปไว้แน่น อีกมือจับพนักโซฟาไว้เป็นหลักยึด

“นะๆๆ” ไม่พูดเปล่า สาวเจ้ายังค่อยๆ ไต่ขึ้นมาบนตัวจนใบหน้าอยู่ห่างกันไม่กี่คืบ

“คุณ...จะทำอะไร” ถามไปกลืนน้ำลายไป ก็เจ้าหล่อนบอกเองว่า ‘ยอมหมด’ คงไม่คิดจะ...ความคิดในหัวหยุดแค่นั้น แต่สายตากลับมองต่ำจากใบหน้า อือ...สิ่งที่โผล่พ้นคอเสื้อนี่มัน...

เสียงดนตรีของประตูบ้านดังขึ้นและถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน พร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงวัยกลางคนสองคน ทำให้คนที่กำลังอีนุงตุงนังกันอยู่บนโซฟาพร้อมใจหันไปมอง และเตวิชจึงส่งเสียงขึ้นมา

“แม่!”

จิรัศยาตะลึง ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองเตวิชด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม พออีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ เท่านั้นแหละก็รีบผุดลุกขึ้นในทันใด 

“ทำอะไรกันคะ กลางวันแสกๆ” เป็นคำถามจากน้านุชซึ่งโผล่หน้ามาจากด้านหลังของหญิงวัยกลางคนที่ดูมีสง่าราศี

“แม่มาได้ยังไงครับ” เตวิชรีบลุกไปช่วยมารดาถือของแล้วประคองมานั่งที่โซฟา ส่วนน้านุชก็เดินตามมาติดๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น

แล้วบรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน โดยเฉพาะจิรัศยาที่แทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้

“นุช เข้าไปเตรียมของในครัวก่อน” มารดาของเตวิชสั่งเสียงเรียบ

“แต่...” นุชฤดีอึกอักอย่างไม่อยากไป แต่พอเจอสายตาเข้มๆ ของพี่สาวก็จำยอมละทิ้งความอยากรู้อยากเห็นแล้วถอยร่นไปแต่โดยดี

เตวิชเห็นท่าทีน่าเกรงขามนั่นแล้วก็หาทางหนีทีไล่ จังหวะที่จะลุกขึ้นกลับรู้สึกว่าเสื้อถูกดึงจึงหันกลับมามอง ก็พบว่าเป็นจิรัศยาทั้งยังทำตาปรอยๆ อย่างขอความช่วยเหลือ เตวิชกระตุกชายเสื้อส่งสัญญาณเป็นเชิงให้ปล่อย แต่อีกฝ่ายกลับดึงแน่นขึ้นจึงยื้อยุดกันอยู่อย่างนั้น

“ตาเต นั่งลง!”

เตวิชหลับตาอย่างไว้อาลัยให้ตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ หย่อนกายลงข้างจิรัศยาเช่นเดิม

นารีมองหนุ่มสาวสองคนสลับไปมา ก่อนจะจำเพาะเจาะจงไปที่คนของตัวเอง “จะไม่แนะนำให้แม่รู้จักหน่อยเหรอ” คราวที่แล้วเธอมาทำธุระที่กรุงเทพฯ จึงแวะมาที่บ้านบุตรชาย เจอหญิงสาวนอนหลับอย่างสบายอารมณ์เลยไม่คิดรบกวน แต่ยามนี้คงไม่ใช่

“แม่ก็รู้จักแล้วนี่ครับ” เตวิชหลบสายตา ด้วยไม่อยากให้เรื่องราวบานปลาย เพราะจบจากวันนี้ไปเขากับเจ้าหล่อนก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว

จิรัศยาเห็นคนที่ปกติเย็นชาไม่สนใครวันๆ อยู่แต่กับแลปทอปมีสภาพหงอแบบนี้ก็เห็นทางรอดของตัวเองอยู่รำไร จึงรวบรวมความกล้าค่อยๆ ยกมือขึ้นอย่างขออนุญาต

“สวัสดีค่ะ หนูชื่อจิน จิรัศยา สุทธิภัทร อายุยี่สิบเจ็ดปี เป็นนักแสดงค่ะ”

เตวิชหันมองคนที่แนะนำตัวเสร็จสรรพแล้วถึงกับยกมือกุมขมับ

บรรยากาศนับจากนั้นเงียบสนิทจนรอยยิ้มของจิรัศยาค่อยๆ เจื่อนลง ก้มหน้างุด...ว่าเตวิชน่ากลัวแล้วมารดาของเขาน่ากลัวกว่าอีก

“พี่นารีอย่าจริงจังนักสิคะ หนูจินกลัวหัวหดแล้ว” นุชฤดีกลับมาพร้อมแก้วน้ำในมือ จัดแจงส่งให้พี่สาวดื่มดับอารมณ์ที่คุกรุ่น “ไม่ต้องกลัวนะหนูจิน เห็นแบบนี้พี่นารีใจดีมาก”

จิรัศยายิ้มแหย ยังไม่กล้าหันไปสบตานารี

“น้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนูเลยนะ ตามดูละครทุกเรื่อง”

“ขอบคุณค่ะ จินคิดว่าคนดูละครแล้วจะเกลียดจินเสียอีก” จิรัศยาบอกอ้อมแอ้ม เหตุเพราะตัวละครที่เธอเล่นส่วนมากเป็นนางร้าย โหวกเหวกโวยวาย เจ้าเล่ห์เพทุบาย น้อยคนนักจะนิยมชมชอบ

“ใครจะเกลียดลงจ๊ะ ก็รู้อยู่ว่าเป็นการแสดง”

“ขอบคุณคุณน้ามากนะคะ”

“โอ๊ย! ไม่เป็นไรเราคนกันเอง น้าขอถ่ายรูปได้ไหมจ๊ะ”

“ได้สิคะ”

“งั้น...”

“อะแฮ่ม!” ก่อนที่ทั้งสองจะได้ร่วมเฟรมกันก็มีเสียงกระแอมกระไอดังขึ้น นุชฤดีหันไปมองต้นเสียงแล้วสีหน้าก็เจื่อนลงเล็กน้อย 

“แหม พี่นารีก็...”

“คุณแม่ถ่ายด้วยกันไหมคะ”

นารีเมินหน้าหนีทันใด รอยยิ้มคนชวนจึงค้างเติ่ง

“เอ่อ ไม่เป็นไรจ้ะ หนูจินอย่าคิดมาก พี่นารีก็เป็นแบบนี้แหละ”

จิรัศยาทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่หันไปยิ้มด้วยสีหน้าเจื่อนๆ กับนุชฤดี

“เรามาถ่ายรูปกันดีกว่า”

“ค่ะ”

นุชฤดียกโทรศัพท์มือถือขึ้นมารัวนับสิบภาพเปลี่ยนมุมนั้นมุมนี้ บางจังหวะก็ดึงพี่สาวเข้ามาร่วมด้วยพร้อมกับชมไม่ขาดปาก “หนูจินน่ารักจริงๆ”

เตวิชเห็นแล้วถึงหายใจติดขัด สีหน้ามารดาบ่งบอกว่าไม่ชอบใจอย่างแรง เพราะแบบนี้แหละเขาถึงไม่อยากให้เจอกัน อุตส่าห์บอกมารดาไปแล้วเชียวว่าวันนี้ไม่ต้องมาหายังจะแอบมา รู้งี้เขาไล่จิรัศยากลับไปตั้งแต่เมื่อคืนก็ดี 

“ตาเต”

“ครับ” คนถูกเรียกสะดุ้ง เขาค่อนข้างกลัวและเกรงด้วยติดนิสัยมาตั้งแต่เด็ก เหตุเพราะมารดาค่อนข้างเข้มงวด เป็นครูภาษาไทยที่พ่วงตำแหน่งอาจารย์ฝ่ายปกครอง ทั้งที่บ้านและโรงเรียนจึงเต็มไปด้วยกฎระเบียบสารพัด ซึ่งเมื่อก่อนไม้เรียวกับเขาเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันเลย

“แม่ถามไม่ได้ยินหรือไง”

เตวิชคิ้วขมวด ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อกี้มารดากล่าวอะไรจึงนั่งตัวตรงโดยอัตโนมัติ เวลามารดาเริ่มบ่นเขาจะทำอะไรไม่ได้เลยจนกว่าท่านจะพูดจบ ระหว่างนั้นก็เหลือบมองไปทางคนที่นั่งอยู่ข้างนุชฤดีด้วยสีหน้าซีดเผือด 

“แม่ถามว่าพวกเธอสองคนเป็นอะไรกัน”

“ไม่ได้เป็นอะไรกันครับ” เตวิชตอบตามความจริง 

นารีอึ้งก่อนจะหันมองหญิงสาวที่นั่งข้างๆ “หมายความว่าไง”

“อย่างนี้ครับแม่ อันที่จริงแล้ว...”

จิรัศยาเห็นท่าไม่ดี ขืนเตวิชพูดความจริงออกไปหมดคงจบเห่แน่ ทั้งเรื่องของตัวเอง ทั้งเรื่องเรนนี่ ยามนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาตัวช่วย 

“หนูผิดเองค่ะคุณป้า” เมื่อเรียกแม่แล้วโดนมองแรง จึงลดความสนิทชิดเชื้อลง

เสียงที่แทรกเข้ามาทำให้ขนอ่อนๆ ในกายของเตวิชตอบสนองโดยการลุกชันทั้งตัว 

“อย่าว่าคุณเตเลยค่ะ หนูไม่อยากให้คุณเตลำบากใจ”

‘นั่นไง’ เสียงนี้ลอยเข้ามาในหัว ลางสังหรณ์ไม่เคยพลาดเลยทีเดียว แถมมารดายังบ้าจี้ตวัดมองขวับดั่งจะกินเลือดกินเนื้อ

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับแม่” เตวิชร้อนจนจะแก้ตัว แต่แล้วปฏิกิริยาของคนที่นั่งข้างกายมารดาก็ทำให้ทั้งสองพร้อมใจกันหันไปมอง 

“อึก!” จิรัศยายกมือปิดปากคล้ายอยากจะอาเจียนออกมา 

นารีหันมองเขม็ง ขณะที่นุชฤดีโอบไหล่ด้วยความห่วงใย ก่อนจะตาโตเมื่ออีกฝ่ายมีอาการซ้ำขึ้นมาอีกรอบ

“อึก! ขอโทษนะคะ จินขอตัวสักครู่” แล้วเจ้าหล่อนก็ลุกขึ้นวิ่งกลับไปที่ห้องนอน ทิ้งให้ทั้งสามมองตามกระทั่งประตูปิดลง 

เตวิชยังตั้งตัวไม่ทันกับละครฉากใหญ่ มาสะดุ้งก็ตอนถูกมารดาบิดเข้าที่ใบหูพร้อมน้ำเสียงที่ฟังทีไรก็เย็นยะเยือกทุกที

“ตาเต!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น