7
หน้าที่ที่ต้องแบกรับ
‘ความริษยาอันตรายยิ่งกว่าอสรพิษ’
-ไม่ปรากฏนาม
“คุณหนูใหญ่...นายท่านเรียกให้ไปพบค่ะ” แม่บ้านกุลีกุจอเข้ามาทันทีที่เห็นคุณหนูทั้งสามคนเดินผ่านห้องโถง รายงานคำสั่งที่ได้รับมาด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
เฉินเฟยหลงเพียงพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องทำงานของบิดา แต่ไม่ทันไรกลับถูกมือเล็กดึงแขนเสื้อไว้
“ตัวเล็กจะไปสารภาพกับป๊าเอง” คนที่นั่งน้ำตาคลอมาตลอดทางกล่าว ก่อนจะวิ่งนำหน้าไปโดยปราศจากความลังเล
“ไม่มีใครคิดจะเล่าให้ผมฟังหน่อยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น เฮียทะเลาะกับตัวเล็กเหรอ” เฉินเฟยหลิงขมวดคิ้วถาม ตลอดทางกลับบ้านบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่ว่าเขาจะงัดเรื่องสนุกมาชวนคุยเท่าไรก็ไม่มีใครมีอารมณ์ร่วมสักนิด แต่ผู้เป็นพี่ชายกลับเดินหนีแทนการตอบข้อสงสัย ดังนั้นเขาจึงรีบสาวเท้าตามไปติดๆ
...
เฉินชุน ผู้นำตระกูลเฉินนั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะไม้แดงสลักขนาดใหญ่ แผ่นหลังเหยียดตรงและดวงตาดุดันแฝงอำนาจข่มขวัญสมฉายามังกรตะวันออก เด็กทั้งสามคนดูตัวเล็กไปถนัดตาเมื่อเจอแรงกดดันเช่นนี้ โดยเฉพาะกับเฉินเฟยหลง...บุตรชายคนโตที่แบกภาระว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไปไว้บนบ่า
“หนูเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด อาหลงมาห้าม แต่หนูก็ไม่ยอมฟัง หนูทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นความผิดของหนูคนเดียวค่ะป๊า” ร่างเล็กนั่งคุกเข่าสารภาพผิดอยู่ข้างเก้าอี้ ฟันขาวกัดริมฝีปากแน่นไม่ให้หลุดร้องไห้อย่างยากลำบาก ทว่าสุดท้ายน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาอยู่ดี
“หนูเป็นเด็กไม่ดีเอง ป๊าอย่าดุอาหลงนะคะ”
เฉินชุนถอนหายใจพลางลูบศีรษะได้รูป หากเป็นเรื่องอื่นก็แล้วไป แต่เรื่องนี้กลับปล่อยผ่านไม่ได้ เมื่อไม่อาจรับปากจึงเอ่ยกับบุตรชายคนรองที่ยืนอยู่อีกทาง
“อาหลิง พาน้องกลับห้องไปก่อน”
“ครับป๊า” คำสั่งของบิดาไม่ต่างอะไรกับประกาศิต เจ้าของชื่อรีบเข้าไปประคองร่างเล็กที่อยู่บนพื้นให้ลุกขึ้น แต่อีกฝ่ายป่ายปัดส่ายหน้าไม่ยอมเช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมาเขาเคยบังคับฝืนใจคนอื่นได้ที่ไหน สุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นเอ่ยขอร้องแทน
“ตัวเล็ก...ป๊ากับเฮียใหญ่มีเรื่องจะคุยกัน ตัวเล็กมากับเฮียก่อนเถอะนะ”
“ป๊า...” เฉินเฟยเฟิ่งมองสีหน้าเฉยเมยของบิดาสลับกับคู่หมั้นที่ยืนก้มหน้าอยู่อีกด้าน ไม่มีที่ให้เธอเข้าไปแทรกแม้เพียงสักนิด สุดท้ายจึงยอมลุกขึ้นและเดินตามพี่ชายออกไปจากห้องแต่โดยดี
เมื่อเงาหลังของบุตรทั้งสองคนหายไปจากประตู เฉินชุนจึงเอ่ยเสียงเย็นเยียบกับผู้ที่ยืนนิ่งสงบอยู่เบื้องหน้า
“เล่ามา”
เฉินเฟยหลงหลุบตามองพื้น ไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหน และอันที่จริงเขาไม่รู้ว่าเรื่องราวเกิดจากอะไรด้วยซ้ำ บางทีมันอาจจะเกิดจากความเข้าใจผิดเล็กน้อย แต่สิ่งเล็กน้อยที่ว่ากลับกระตุ้นความไม่พอใจของเฉินเฟยเฟิ่งจนอาละวาดไม่หยุด หากมาสเตอร์ไม่ยื่นมือเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์...นึกไม่ออกเลยว่าเรื่องราวตอนจบจะออกมาเป็นอย่างไร
“เพราะผมไม่ทำตามกฎระเบียบของโรงเรียน ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ทางนั้นเลยตำหนิมาถึงครอบครัวเราได้ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ป๊าลงโทษมาได้เลย” เขาไม่คิดจะแก้ตัว เพราะตนเองก็มีส่วนในเรื่องราววุ่นวายเช่นกัน
“ทะเลาะวิวาท? แกทะเลาะวิวาทกับใคร ป๊าได้ยินมาว่ามีเด็กอีกคนอยู่ที่นั่น แกทะเลาะกับเด็กคนนั้นเหรอ” ดวงตาคมกริบของเฉินชุนหรี่ลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น น้ำเสียงไม่ต่างอะไรจากผืนน้ำนิ่งสงบที่ซ่อนวังน้ำวนเชี่ยวกรากอยู่ด้านใต้
“ไม่ใช่ครับ” เฉินเฟยหลงปฏิเสธ ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเดินถอยหลังสู่กับดัก
“ในเมื่อมีกันแค่สามกัน ถ้าไม่ใช่เด็กคนนั้นแล้วแกทะเลาะกับใคร”
คิ้วเข้มของผู้ถูกคาดคั้นเริ่มขมวดเป็นปมทีละนิด ในเมื่อถอยก็ไม่ได้ หนีก็ไม่ได้ ทางเลือกสุดท้ายก็เห็นจะมีแต่เผชิญหน้า
“ผมไม่รู้ว่าป๊าได้ยินอะไรมาบ้าง แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น ผมกับอาเฟิ่งเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดเดียว คนอื่นมองมาอาจจะคิดว่าพวกเรากำลังทะเลาะกัน แต่พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่ครับ” เด็กหนุ่มอธิบายจากในมุมมองของตน คาดไม่ถึงว่าสำหรับคนนอกแล้วการที่เขากับเฉินเฟยเฟิ่งตะโกนใส่กันไม่ใช่แค่เรื่อง ‘นิดเดียว’ อย่างที่เข้าใจ
“เข้าใจผิดเรื่องอะไรกัน ไหนลองเล่าให้ป๊าฟังทั้งหมด”
“ผมเข้าไปช่วยเพื่อนที่ล้ม อาเฟิ่งเห็นเข้าก็โมโหเพื่อนผมไม่หยุด ผมพยายามปรามแล้ว แต่อาเฟิ่งก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายมาสเตอร์ของโรงเรียนมาเห็นเข้า...พวกเราเลยโดนทำโทษ”
“อาหลง ป๊าขอถามแกสักคำ แกรู้จักเพื่อนที่ว่าคนนี้มานานแค่ไหน แล้วแกรู้จักกับอาเฟิ่งมานานแค่ไหน แกคิดว่าคนตรงไปตรงมาอย่างเฉินเฟยเฟิ่ง คู่หมั้นของแกจะโมโหคนอื่นโดยปราศจากเหตุผลเหรอ ไม่มีอะไรทำให้แกเอะใจสักนิดเลยเหรอ”
“ถ้าผมไม่เห็นเหตุการณ์ ผมจะต้องเข้าข้างอาเฟิ่งแน่นอน แต่นี่ผมก็อยู่ที่นั่นด้วย ผมเห็นกับตาว่าอาเฟิ่งรังแกคนอื่นแบบไม่มีเหตุผล ครั้งนี้อาเฟิ่งทำไม่ถูกต้อง” พวกเขาถูกสอนมาว่าไม่ให้รังแกคนที่อ่อนแอกว่า ทว่าคำพูดของเฉินเฟยเฟิ่งไม่ต่างอะไรจากอาวุธชิ้นหนึ่ง แค่สะบัดเบาๆ ก็เรียกเลือด เพราะเหตุนี้จึงอดเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้
“อาเฟิ่งทำไม่ถูกต้อง แล้วสิ่งที่แกทำมันถูกต้องหรือยังไง”
“...”
“ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า ป๊าเคยสอนเรื่องนี้ จำได้ไหม”
เฉินชุนทอดถอนใจ ตัวอักษร ‘หลง’ ในชื่อของเฉินเฟยหลงแปลว่า ‘มังกร’ ก็จริงอยู่ แต่เพราะความรักทำให้เขาเลี้ยงลูกมังกรตัวนี้ดุจไข่ในหิน คัดสรรสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุด คนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้ที่สุด ไม่เคยปล่อยให้มี ‘ขวากหนาม’ หลุดมาทิ่มแทงแม้แต่ครั้งเดียว ชีวิตของเฉินเฟยหลงไม่เคยพบเรื่องเสียใจ ไม่เคยพบเจอความลำบาก ไม่เคยรู้ว่าด้านมืดของมนุษย์น่ากลัวแค่ไหน บุตรชายของเขาอ่อนต่อโลกยิ่งนัก
ตรงกันข้ามกับคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกัน ‘เฟิ่ง’ แปลว่า ‘หงส์’ ภายนอกเฉินเฟยเฟิ่งอาจจะดูหัวอ่อน ว่านอนสอนง่ายสมชื่อ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเพราะยึดถือบุตรชายของเขาเป็นต้นแบบทั้งสิ้น หากเฉินเฟยหลงเดินทางขวา เฉินเฟยเฟิ่งก็จะเดินขวา หรือต่อให้เดินลงหน้าผา เด็กคนนี้ก็กล้าเดินตามอย่างไม่ลังเล เช่นนี้จะเรียกว่าหัวอ่อนได้อย่างไร เด็ดขาดจนน่าหวั่นใจเสียมากกว่า
“ป๊าไม่ได้ตำหนิเรื่องที่แกมีปากเสียงกับอาเฟิ่ง หรือต่อให้เป็นอาหลิง ป๊าก็จะยังย้ำเรื่องนี้อยู่ดี พี่น้องสายเลือดเดียวกัน ความเห็นต่างกัน ถกเถียงกันอยู่ร่ำไปก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ป๊าตำหนิเรื่องที่แกลืมสิ่งที่ป๊าเคยสอน ไม่ว่าคนในครอบครัวจะทำผิดอะไรก็ให้กลับมาคุยกันที่บ้าน ไปทะเลาะกันเถียงกันข้างนอกแบบนั้นมันใช้ได้ที่ไหน แกไม่อายสายตาคนนอกที่มองมาเหรอ”
เขาและภรรยาพร่ำสอนทั้งสามคนมาโดยตลอดว่าให้รักและสามัคคีกันให้มาก พี่น้องเปรียบเสมือนแขนขา อาจจะแกว่งกันไปคนละทิศคนละทาง แต่ถ้าขาดจากกันก็ไม่สมดุล
“ผมไม่มีทางเลือก ผมพยายามห้ามแล้ว แต่อาเฟิ่งก็ไม่ยอมหยุด ถ้าปล่อยให้อาละวาดต่อไป คนอื่นก็จะมองอาเฟิ่งไม่ดี ผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้”
“เฉินเฟยหลง ในเมื่อแกเป็นพี่คนโตสุด ต้องรับผิดชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้มากกว่าน้องๆ หลายเท่า แกควรต้องมีสติรับมือกับทุกปัญหา ตลอดสิบปีมานี้แกกับอาเฟิ่งเคยอยู่ห่างกันกี่วันเชียว แกจะไม่รู้สักวิธีที่ดีกว่านี้เลยเหรอ” เฉินชุนขมวดคิ้ว คงจริงอย่างที่สุภาษิตว่า บางทีอะไรที่ใกล้ตาเกินไปก็มักจะมองไม่เห็น
“ถ้าเรื่องแค่นี้แกยังจัดการไม่ได้ แล้วอนาคตจะเอาความสามารถอะไรไปคุมคนหมู่มาก แล้วฉันจะตายตาหลับ ฝากหย่งคังกรุ๊ปไว้ที่แกได้ยังไง”
เฉินเฟยหลงนิ่งงัน ที่บิดาของเขากล่าวมาล้วนถูกต้องทุกอย่าง หากเขามีสติเรื่องคงไม่เลยเถิดใหญ่โต คิดได้ดังนั้นจึงก้มหน้ารับผิดโดยปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ อีก
“ผมขอโทษครับ ครั้งหน้าผมจะพยายามแก้ปัญหาให้ดีกว่านี้”
“นี่แค่บททดสอบเล็กๆ เท่านั้น สิ่งที่แกต้องเจอหลังจากนี้ยังมีอีกมาก แต่จำคำของป๊าให้ดี อาเฟิ่งคือคนที่แกจะต้องใช้ชีวิตด้วยในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าทิฐิ อย่าหมางใจกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แกเชื่อใจฝากให้อาหลิงดูแลข้างหลังได้อย่างไร อาเฟิ่งก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน” เฉินชุนไม่คิดว่าบุตรชายจะเข้าใจทุกอย่างในตอนนี้ แต่วันใดที่อีกฝ่ายมีวัยวุฒิ พบเจอเรื่องต่างๆ มากพอ วันนั้นเขาจะตระหนักทุกสิ่งทุกอย่างเอง
“ความผิดของอาเฟิ่ง...ป๊าจะให้หม่าม้าเป็นคนไปตักเตือน ส่วนตัวแก...ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปข้องเกี่ยวกับเด็กคนนั้นอีก ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะ”
เฉินเฟยหลงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขารู้ว่าบุพการีทั้งสองมักจะตามใจเฉินเฟยเฟิ่งเสมอ แต่ไม่คิดว่าจะรวมถึงประเด็นนี้ นัยน์ตาสีดำสนิทเหลือบมองบิดาอีกครั้ง เขาอยากจะแย้งว่าไม่เห็นด้วย ถึงอย่างไรฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรผิด หากถูกตัดสินเพราะเรื่องแค่นี้ก็ออกจะไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง แต่เมื่อพบว่าบิดาเริ่มก้มหน้าอ่านเอกสารปึกใหญ่บนโต๊ะต่อ จึงได้แต่ก้มหน้ารับคำสั่งอย่างจำยอม
“ครับ ผมจะพยายาม”
เฉินเฟยหลงเลือกกลับไปยังห้องของตนก่อนเป็นลำดับแรก แต่กลับพบคนสองคนรออยู่ หนึ่งคือเด็กหญิงร่างเล็กนั่งกอดเข่าพิงประตู และสองคืออีกคนที่คอยปลอบโยนอยู่ไม่ห่าง เมื่อเจ้าของร่างเล็กเห็นเขาก็ดีดตัวขึ้นมาเหมือนตุ๊กตาล้มลุก วิ่งตึงตังมาหยุดอยู่เบื้องหน้าทันที
“อาหลง...”
เจ้าของชื่อนิ่งงัน จากที่ตั้งใจจะใช้เวลาอยู่คนเดียวเพื่อจัดระเบียบความคิดและอารมณ์ให้เรียบร้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายมาอยู่ต่อหน้าเช่นนี้แล้วจะหลบเลี่ยงไปไหนได้
“ตัวมีอะไรด่วนรึเปล่า เฮียว่าอาบน้ำเสร็จแล้วจะไปหาอยู่เหมือนกัน” เขาพยายามปรับน้ำเสียงให้ปกติที่สุด หากเป็นคนรู้จักผิวเผินคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรแปลกไป แต่คนใกล้ชิดมีหรือจะแยกความแตกต่างนี้ไม่ออก
“อาหลงโกรธตัวเล็กเหรอคะ หายโกรธได้ไหม” ใบหน้าแดงก่ำเงยขึ้นมอง หัวคิ้วทั้งสองผูกเข้าหากัน ขณะที่มือก็จับแขนเสื้อของคู่สนทนาแน่น ราวกับกังวลว่าหากเผลอปล่อยเมื่อใด สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตจะหลุดลอยหายไปเมื่อนั้น
“เฮีย...ตัวเล็กเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผมฟังทั้งหมดแล้ว ตัวเล็กอาจจะใจร้อนไปบ้าง เฮียอย่าโกรธตัวเล็กเลยนะ” เฉินเฟยหลิงช่วยพูดอีกแรง เขารักน้องสาวบุญธรรมคนนี้ยิ่งกว่าอะไร เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งหงอยน้ำตาซึม...ตัวเขาเองก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย
เฉินเฟยหลงหลุดถอนหายใจออกมา รู้สึกไม่ต่างอะไรกับการถูกกำแพงล้อมปิดสามด้าน ไม่มีทางให้เลี้ยว ไม่มีทางให้หันหลังหนี และเขาเชื่อว่าหากเรื่องนี้รู้ถึงหูมารดาก็คงไม่ต่างอะไรกับการถูกขังในกรอบสี่ด้านโดยสมบูรณ์
เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะเรียกสติ ไม่...เขาจะคิดเช่นนั้นไม่ได้ เขาเป็นพี่คนโต จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดา จะต้องดูแลน้องๆ และที่สำคัญคือจะต้องไม่ปล่อยให้ความคิดเหลวไหลมาปรากฏในหัวอีก
“เฮียเคยโกรธตัวเล็กเหรอ” เขาให้คำตอบพลางเคาะศีรษะคนที่สูงเพียงอก คลี่ยิ้มอ่อนโยนเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะย่อกายลงให้ดวงตาสองคู่อยู่ในระดับเดียวกัน
เฉินเฟยเฟิ่งที่บัดนี้น้ำตาใกล้จะไหลอยู่รอมร่อส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะยกแขนทั้งสองโอบรอบลำคอคนที่สูงกว่า
“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน อาหลงไม่ยอมพูดกับตัวเล็ก อาหลงไม่เคยเป็นแบบนี้” เธอกระชับวงแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังถือโอกาสซุกหน้าเช็ดน้ำตากับบ่ากว้าง
“เพราะตัวเล็ก ‘ดื้อ’ ยังไงล่ะ เฮียเตือนอะไรก็ไม่ยอมฟัง” นิ้วเรียวยาวของผู้พูดสางกลุ่มผมนุ่มสลวยแผ่วเบา หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นลูบศีรษะ
“งั้นต่อไปตัวเล็กจะฟัง จะไม่สร้างปัญหา อาหลงอย่าเงียบใส่ตัวเล็กอีกนะ”
“พูดแล้วก็ต้องทำให้ได้ ถ้าตัวเล็กดื้ออีก เฮียก็จะเงียบอีก คราวนี้จะคูณสองไปเรื่อยๆ” เขากลั้นหัวเราะในลำคอยามกล่าวคำขู่ ยีเส้นผมเล็กละเอียดจนฟูขึ้นมาเหมือนรังนก
“อย่านะ! อาหลงห้ามทำแบบนั้นนะ!” เด็กหญิงผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่น สีหน้าดูตื่นตกใจขึ้นมาในฉับพลัน
“งั้นก็ต้องเป็นเด็กดี เข้าใจรึเปล่า”
เฉินเฟยหลิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จริงอยู่ที่เขาแอบเข้าข้างน้องสาว แต่ก็แสดงออกได้ไม่เต็มที่เพราะอีกฝั่งก็คือเฮียใหญ่ที่เคารพ ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน ถึงเฮียใหญ่จะมีบ่นบ้างดุบ้างไปตามประสา และอาจจะมี ‘งอน’ บ้างเป็นบางครั้ง แต่สุดท้ายมักจะจบด้วยการ ‘ยอม’ เด็กขี้อ้อนคนนี้ทุกเรื่อง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองทะเลาะกัน ทำเอาคนกลางอย่างเขาใจหายใจคว่ำหมด
“เฮีย เปลี่ยนจากคูณสองเป็นหารสองได้ไหม” เฉินเฟยหลิงโพล่งขึ้นมาหลังจากยืนคิดเลขอยู่พักใหญ่ แววตาอ่อนโยนดูจริงจังในการต่อรองครั้งสำคัญ
แค่ไม่กี่ชั่วโมงยังอึดอัดขนาดนี้ หากครั้งหน้าคูณสองไปเรื่อยๆ เขาไม่กล้าจินตนาการว่าบรรยากาศจะออกมาเป็นเช่นไร
“เฮียมีชอยส์ให้เลือกแค่คูณสองกับยกกำลังสอง แกตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน” เฉินเฟยหลงคลี่ยิ้มขณะส่ายหน้า ก่อนจะหุบยิ้มฉับเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
“รอบที่แล้วตัวเล็กเกือบสอบตกเลขใช่ไหม งั้นสุดสัปดาห์นี้มานั่งทำแบบฝึกหัดกับเฮีย ถ้าได้ไม่ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ สัปดาห์หน้าก็งดขนม”
“ให้เฮียซื้อให้กินก็ได้ เนอะเฮียเนอะ...” คนถูกขู่พยักพเยิดไปทางพี่ชายอีกคน เมื่อบรรยากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แววตาจึงกลับมาสดใสอย่างที่เคยเป็น
“นะ...” ขณะที่แนวร่วมอันดับหนึ่งกำลังจะตอบว่า ‘เนอะ’ คำขู่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าตอนแรกก็ดังขัดขึ้น
“อาหลิง...ได้ข่าวว่าบทความวิชาการยังไม่เสร็จ เฮียว่างแค่เสาร์-อาทิตย์ หลังจากนี้ไม่ช่วยแก้ให้แล้วนะ”
“น้องสาวที่น่ารักของเฮีย สุดสัปดาห์นี้ไปนั่งอ่านหนังสือกับเฮียใหญ่ดีกว่าเนอะ เราสามคนร่วมแรงร่วมใจกัน การสอบยากแค่ไหนก็จะง่ายเหมือนปอกกล้วย” เฉินเฟยหลิงพลิกลิ้นแทบไม่ทัน แววตาลุกโชนราวกับมีเปลวเพลิวอยู่ข้างใน
อันที่จริงมันคือเปลวเพลิงแห่งความหวัง แต่ถ้าเขาร่วงจากห้าอันดับคะแนนรวมสูงสุดของชั้นปี เปลวเพลิงที่ว่าจะย้ายไปอยู่ในดวงตาดุดันของบิดา...และแน่นอนว่ามันจะถูกเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงสังหารอย่างไม่ต้องสงสัย
“เอาละตัวเล็ก จะมาอ่านหนังสือกับเฮียหรือไม่มา” เฉินเฟยหลงถามย้ำ ในเมื่อเด็กจอมบ่ายเบี่ยงไม่เหลือแนวร่วมแล้ว...ดูซิจะหนีไปไหนได้
คนถูกบังคับเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมจำนน จะให้เธอไปนั่งเรียนวิชาคณิตศาสตร์วันหยุดงั้นเหรอ
“ขอลดจากแปดสิบเปอร์เซ็นต์เหลือแปดข้อได้ไหมคะ”
การมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูเลลาห์กับนางฟ้านักเรียนทุนกลายเป็นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วโรงเรียน ขึ้นชื่อว่า ‘ข่าว’ ก็มักจะ ‘เล่า’ กันเกินจริงเสมอ บ้างก็ว่าคุณหนูเลลาห์ขัดหูขัดตานางฟ้าจนถึงกับ ‘ด่ากราด’ กลางโถงทางเดิน บ้างก็ว่านางฟ้าเป็นฝ่ายสร้างความไม่พอใจจนคุณหนูสุดจะทน แต่ที่เล่าตรงกันคือสาเหตุเกิดจากช่วงพักหลังมานี้นางฟ้ามักจะทำตัวสนิทสนมกับรองประธานนักเรียนเฉินจนเกินควร เมื่อเห็นร่างสูงเจ้าของใบหน้าคมคายอยู่ที่ใด ก็มักจะเห็นใบหน้าสวยหวานที่ ‘บังเอิญ’ อยู่แถวนั้นพอดี ความคิดเห็นต่อเรื่องนี้จึงแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย
นักเรียนชายส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจประเด็นนี้มากเพราะคิดว่าเป็นเรื่องหยุมหยิมของผู้หญิง แต่ก็มีไม่น้อยที่เห็นใจนางฟ้าผู้น่าสงสารที่ไม่มีปากเสียงในการต่อกรกับคุณหนูตระกูลเฉินที่ทุกคนเอ็นดู
ทว่ามุมมองของนักเรียนหญิงกลับตรงกันข้าม ส่วนใหญ่เข้าข้างคุณหนูเลลาห์อย่างไม่ต้องสงสัย หนึ่งเพราะหมั่นไส้นางฟ้าคู่กรณี สองเพราะเห็นว่าชีวิตประจำวันของคุณหนูเลลาห์ทำกิจกรรมอยู่แค่ไม่กี่อย่าง เรียน ซ้อมเปียโน อยู่กับเพื่อน หรือไม่ก็อยู่กับคู่หมั้นและพี่ชาย ดังนั้นข่าวที่ว่าแค่ฟังดูก็รู้สึกถึงกลิ่นทะแม่งๆ
พลั่ก! เคล้ง!
ถาดอาหารชนเข้าที่แผ่นหลังบอบบางอย่างจัง แรงมากพอที่ผู้เคราะห์ร้ายถึงกับถือตะเกียบไม่อยู่
“ขอโทษทีนะ ฉันนี่แย่จังเลย คนนั่งอยู่ทั้งคนทำไมถึงมองไม่เห็นก็ไม่รู้” เจ้าของถาดอาหารเอ่ยขอโทษด้วยมารยาทอันดีงามตามแบบฉบับคุณหนู พลางหันไปหัวเราะคิกคักกับกลุ่มเพื่อนของตน
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้ว่าเธอคงไม่ได้ตั้งใจ” เจ้าของใบหน้าหวานให้คำตอบ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มฉายความไม่พอใจวาบผ่าน ก่อนจะกลับมาดูน่าสงสารอย่างที่เคยเป็น
“ที่ออกจะกว้าง ไหนๆ เธอก็ไม่มีคนคบ อุ๊ย...ฉันหมายถึงเห็นเธอนั่งคนเดียวตลอดเลย วันนี้พวกฉันขอนั่งด้วยคนนะ” คนไม่ได้ ‘ตั้งใจ’ นั่งลงเป็นคนแรก กลุ่มเพื่อนที่เหลือจึงเอาอย่างบ้าง จากนั้นโต๊ะที่เคยเงียบเหงาพลันครึกครื้นผิดหูผิดตา บรรยากาศช่างเต็มไปด้วย ‘มิตรภาพ’
ผู้มาใหม่คือกลุ่มนักเรียนหญิงเกรดสิบเอ็ด คลาสเอ หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเฉินเฟยหลง เด็กสาวทุกคนล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่ดีถึงดีเยี่ยม ผลการเรียนก็ถือว่าใช้ได้ มีเพียงรูปร่างหน้าตาเท่านั้นที่อยู่ในระดับ ‘ปานกลาง’ เมื่ออยู่ท่ามกลางเด็กหนุ่มที่มีฐานะพอกัน พวกเธอจึงไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นที่น่าสนใจ
หากถามว่าเด็กหนุ่มพวกนั้นสนใจใครน่ะเหรอ...
“ผิวเธอสวยจัง ใช้เครื่องสำอางยี่ห้ออะไร แนะนำพวกเราได้รึเปล่า” เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของจางฉีเอ่ยถาม ขณะที่มือก็จับแก้มเนียนใสชวนให้อิจฉา
“ตายแล้ว! ทำไมถามแบบนั้นล่ะ ถ้าเขาตั้งใจแนะนำเครื่องสำอางตามร้านค้าข้างทางขึ้นมา เธอกล้าซื้อมาใช้บนหน้าเหรอ”เด็กสาวอีกคนแย้งขึ้นบ้าง ทว่าน้ำเสียงกลับซ่อนความเย้ยหยันเอาไว้ไม่มิด
“ฉันก็นึกว่าเขาจะใช้เหมือนที่พวกเราใช้นี่นา”
“จะเหมือนได้ยังไง ถ้ามีปัญญาซื้อคงจ่ายค่าเทอมเรียนเองไปแล้ว ไม่ต้องมาเป็นเด็กทุนอย่างนี้หรอก อืม...อันที่จริงฉันก็ชื่นชมเด็กทุนหลายคนนะ ทั้งขยัน ทั้งเรียนเก่ง บางคนก็เป็นนักกีฬาที่สุดยอดไปเลย แต่ฉันรังเกียจพวกที่พยายามใช้ทางลัดตะเกียกตะกายจาก ‘รากหญ้า’ ขึ้นมาเป็น ‘ดอกฟ้า’ เห็นแล้วมันดูน่าสมเพชน่ะ อุ๊ย...ฉันนี่พูดมากจริงๆ เลย เธอไม่ถือสาฉันใช่ไหม เอลล่า” ผู้พูดคือเด็กสาวที่ถือถาดอาหารชนจางฉีในคราแรก เธอนั่งเท้าคางอยู่ข้างขวาของผู้เคราะห์ร้าย และถึงจะไม่ได้เอ่ยออกมาตรงๆ ว่า ‘รากหญ้า’ ที่ว่านั้นหมายถึงใคร แต่แววตาเหยียดหยามที่มองจ้องเด็กทุนคนเดียวในโต๊ะกลับคายคำตอบออกมาเสียสิ้น
จางฉีเริ่มจะหมดความอดทนเช่นกัน ในใจร้อนรุ่มราวกับโดนน้ำกรดสาด ริมฝีปากสีชมพูอ่อนพยายามคลี่ยิ้มอ่อนหวานอย่างที่เคย แต่ดูก็รู้ว่าฝืดเฝื่อนเต็มที
“ฉันขอตัวก่อนนะ ขอบคุณพวกเธอมากที่อุตส่าห์มานั่งเป็นเพื่อน” เด็กสาวร่างบางลุกหนี ทว่ากลับถูกหนึ่งในนั้นคว้าแขนเอาไว้
“อย่าเพิ่งไปสิ พักเที่ยงยังอีกตั้งนานไม่ใช่เหรอ”
“ฉันมีธุระด่วนน่ะ ไว้คราวหน้าพวกเราค่อยมาคุยกันใหม่นะ” ผู้พูดพยายามดึงแขนออกจากการเกาะกุมอย่างละมุนละม่อม แต่เจ้าของมือกลับยังจับแน่นไม่ยอมปล่อย
“ทำไมล่ะเอลล่า หรือเพราะพวกเราไม่ใช่ผู้ชาย เธอเลยไม่อยากเสียเวลาเสวนาด้วย” ผู้พูดกระซิบข้างหูเหยื่อ เมื่อรวมกับความหมั่นไส้ที่สะสมมาก่อนหน้า จึงจงใจจิกเล็บเข้าไปที่แขนขาวผ่องเต็มแรง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จางฉีโดนกลั่นแกล้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนหนักข้อถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้ แต่ถึงจะเจ็บแค่ไหน เธอก็กัดริมฝีปากแน่น ไม่กล้าปริปากร้องออกมา เพราะที่นี่มีสายตาของคนนับร้อยรายล้อม เธอไม่มั่นใจว่าตนเองจะเอาตัวรอดจากเด็กสาวกลุ่มนี้ได้โดยไม่ถูกเปิดโปง หรือต่อให้ทำได้...คนพวกนี้ก็คงมาเล่นงานเธอภายหลัง ดังนั้นนอกจากอดทนก็ไม่มีหนทางอื่นที่ดีกว่านี้
“พวกเมียน้อยชั้นต่ำที่ฉันเคยเห็นมาก็ทำตัวน่าสมเพชแบบแกเปี๊ยบเลย ตีหน้าเศร้าเรียกความสงสารได้เก่งนัก นังผู้หญิงแพศยา ฉันขอเตือนให้แกหยุดความคิดเน่าๆ ในสมองซะ มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป อย่ามาจับผู้ชายในโรงเรียนนี้ ไม่มีใครเขาคว้าผู้หญิงที่มีดีแค่ความสวยอย่างแกมาเชิดหน้าชูตาหรอก จำใส่กะลาหัวแล้วเจียมตัวเอาไว้ คนอย่างแกเทียบไม่ได้กับเศษดินที่น้องเลลาห์เหยียบด้วยซ้ำ” เสียงพูดที่ว่าไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ และใบหน้าของผู้พูดก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ ผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไฮ เดซี่ คุยอะไรกันอยู่เหรอ” เสียงแหบขึ้นจมูกของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งมาขัดจังหวะพอดิบพอดี เจ้าของชื่อจึงต้องจำใจปล่อยเหยื่อในมือให้รอดไปได้
“เสียใจด้วยนะเซบาสเตียน พวกเราเพิ่งจะคุยกันเสร็จเมื่อกี้เลย นายมาช้าเองนะ” เดซี่ตอบเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยสีหน้าใสซื่อ ถึงอย่างไรเรื่องภาพพจน์ก็เป็นสิ่งสำคัญ
“เสียดายจัง อดรู้เลยว่าสาวๆ ชอบคุยอะไรกันในยามว่าง” เซบาสเตียนยักไหล่ด้วยท่าทางขี้เล่นอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ก่อนจะหันไปหาเด็กสาวที่ยืนหน้าซีดอีกคน
“นี่ เอลล่า จาง ห้องซี ที่เป็นกรรมการนักเรียนใช่ไหม ฉันเพิ่งเดินสวนกับพวกสภานักเรียนเมื่อกี้ เห็นบ่นใหญ่เลยว่าเธอจัดการเอกสารไม่เรียบร้อย ถ้าไม่รีบไปแก้ระวังจะโดนคนพวกนั้นดุเอานะ”
“แหม นายนี่ใจดีกับผู้หญิงตลอดเลย ระวังจะทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดล่ะ” เดซี่หยอกล้อ ทว่าซ่อนคำพูดเหน็บแนมไว้ได้อย่างแยบยล
“ในเมื่อฉันใจดีขนาดนี้แล้ว เธอก็อย่าลืมโหวตให้ฉันเป็นคิงสมัยที่สองล่ะ” ผู้พูดหยักคิ้วหลิ่วตา ตั้งใจซื้อคะแนนเสียงโต้งๆ ในที่สาธารณะ
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณมากค่ะที่บอก” จางฉีกล่าวเสียงเบาหวิว ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองเด็กหนุ่มเจ้าของลักยิ้มสองข้าง ก่อนจะรีบหันหลังหนีเอาตัวรอด
“ฉันไปก่อนละ เจอกันคลาสบ่ายนะเดซี่”
ทันทีที่ห้ามสงครามระหว่างผู้หญิงได้ เซบาสเตียนก็ขอตัวเช่นกัน เขาเดินทักทายรุ่นพี่รุ่นน้องไปทั่ว ขอคะแนนเสียงโหวตตำแหน่งคิงในงานเลี้ยงจบการศึกษาที่จะจัดขึ้นในเทอมหน้าด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรกระชากใจ จวบจนเวลาผ่านไปสักระยะ ไม่เป็นที่น่าสงสัย เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งจึงเดินออกจากโรงอาหารไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับห้องเรียนโดยสิ้นเชิง
ความคิดเห็น |
---|