9

ประตูสื่อสาร


 

บทที่ ๙

ประตูสื่อสาร

 

หลังจากหนีมาจากดาราจันทร์ได้ มาลัยทองก็ต้องใช้เวลาอธิบายเรื่องชายหญิงคู่นั้นให้เมืองฟังอยู่นาน

“คนอย่างคุณวินทำไมต้องคบคนนิสัยเช่นนั้นด้วย” หนุ่มโบราณสงสัย

“อย่างว่าศีลเสมอกัน ก็ต้องเจอแต่คนประเภทเดียวกัน” มาลัยตอบพร้อมกับหัวเราะ ก่อนจะขับรถต่อเพราะตั้งใจจะพาเขาไปที่ทำงาน

อาคารสูงย่านสุขุมวิททำให้เมืองแปลกใจ เขาเดินเข้าประตูอย่างประหม่า หลบสายตาคนที่เดินผ่านไปมาและยกมือไหว้ทักทาย ทั้งยังไม่ยอมเข้าประตูที่เปิดได้เองราวกับมีวิญญาณสิงอยู่ มาลัยทองต้องใช้ความอดทนอย่างสูงในการอธิบายแต่ละอย่างให้เขาเข้าใจ

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เมืองยังไม่หายระแวง จนกระทั่งทิวทัศน์ภายนอกตึกช่วยดึงดูดความสนใจไปได้ เวลานี้เขาอยู่บนปราสาทที่สูงยิ่งกว่าภูเขาใหญ่ในป่าลึก สูงกว่านี้อีกนิดก็อาจจะถึงสวรรค์ชั้นฟ้า

“เข้ามาเถอะ ที่นี่เป็นที่ทำงานของคุณ เหมือนเป็นบ้านของคุณอีกหลัง”

“ผมไม่ได้ต้องเป็นทหารดอกรึ”

“ไม่ ร่างที่คุณอยู่นี้เป็นนักธุรกิจ หรือจะเรียกพ่อค้าก็ได้”

“พ่อค้า ไม่น่าภูมิใจเลย”

มาลัยทองพาเขาไปยังห้องทำงาน บุษบา เลขาฯ หน้าห้องหน้าตาตื่นเมื่อจู่ๆ ชวินโผล่มาโดยไม่บอกกล่าว...ปกติเจ้านายของเธอไปไหนก็มีแต่คนไปด้วยเป็นขบวน ทำไมวันนี้ถึงมาคนเดียว

ไม่สิ มีผู้หญิงแปลกหน้ามาด้วยอีกคน

“คุณวิน ไม่นึกว่าจะเข้ามา” เธอยกมือไหว้และมองมาลัยทองแปลกๆ

“เอ่อ...แล้วคุณคือ...”

“ฉันมาลัยทอง เป็นเพื่อนคุณวินค่ะ”

“คุณวินคะ มีอะไรด่วนหรือเปล่าคะ” เธอหันไปถามเจ้านาย

เมืองได้แต่นิ่ง มาลัยทองจึงตอบแทน “คุณวินคงอยากเข้าไปในห้องมากกว่าค่ะ”

“อ้อ งั้นเชิญเลยค่ะ” บุษบารีบผายมือ

จังหวะนั้นเองมีคนงานชายถือค้อนออกมาจากห้อง ไม่ทันระวังจึงชนกับร่างของชวินอย่างจัง

“ตายแล้ว ดิฉันลืมไปว่าด้านในช่างกำลังซ่อมประตูห้องน้ำ ขอโทษแทนช่างด้วยนะ...”

บุษบาพูดไม่ทันจบก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะเจ้านายตนกลับเหวี่ยงตัวและกำลังจะง้างมือชกใส่ช่างแปลกหน้าจนมาลัยทองต้องรีบห้าม

“เดี๋ยวๆ คุณ อย่าทำเขา”

“ก็มันถืออาวุธ ตั้งใจจะมาทำร้ายผม”

“เขามาทำงาน”

มาลัยทองถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยแปด หันไปขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่ ก่อนจะลากเมืองเข้าห้อง บุษบามองตามหลังอย่างแปลกใจ

“ฉันบอกคุณแล้วไงว่าอย่าทำร้ายใครสุ่มสี่สุ่มห้า” มาลัยทองต่อว่าทันทีเมื่อปิดประตู

“ขอโทษ ผมลืมตัวไปหน่อย”

“นี่มันที่ทำงานของคุณ ทุกคนที่นี่รักคุณ ไม่มีใครมาทำร้ายคุณหรอก”

เมืองนั่งนิ่งที่โซฟารับแขก ก่อนจะถามหาดาบที่ตัวเองหยิบมาด้วย

“ห่างตาหน่อยไม่ได้เชียวนะ” เธอประชดประชันพร้อมกับยื่นกระบอกใส่ภาพให้ เธอเก็บมันได้ระหว่างที่มีเรื่องปะทะหน้าห้องทำงาน เมืองรีบหยิบมันขึ้นมามองอย่างถี่ถ้วน

“เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมได้กลับบ้าน”

มาลัยทองพยักหน้าเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายนะ ฉันขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน”

ชายหนุ่มนั่งลำพังในห้องทำงานกว้าง เขาลุกขึ้นเดินไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ท้องฟ้ากว้างใหญ่และภาพเมืองกรุงไกลสุดลูกหูลูกตาทำให้ดวงใจช่างว้าเหว่ คิดถึงเมืองที่จากมาเหลือเกิน แต่บางคราก็น้อยใจนัก ที่แห่งนั้นคงไม่มีใครนึกถึงไอ้เมืองยักษ์คนนี้

มีคันฉ่องบานใหญ่บนผนัง ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ หวังพิศดูรูปกายภายนอกที่ไม่ใช่ตนให้เต็มตา เขามองเงาสะท้อน เห็นหนุ่มหล่อผิวพรรณสะอาดสะอ้าน แต่งกายก็แปลกนักหนา ไอ้หนุ่มรูปงามคนนี้น่ะหรือ...นามชวิน มันคงมีเสน่ห์ชวนให้หญิงสาวหลงใหลทั่วเมือง

 

ชวินขมวดคิ้วมองดูของที่มีลักษณะเหมือนโต๊ะเครื่องแป้งขนาดเล็ก ฉลุลายไม้สวยงาม

“คันฉ่อง” เขาเอ่ยเพราะรู้จักมันอยู่บ้าง

“ใช่”

ชวินสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอื้อมมือไปเขกกะโหลกเด็กหนุ่มทันที

“โอ๊ย!” คำสากุมหัว “พี่ทำข้าทำไม”

“ตอนถามครั้งแรกว่ามีกระจกไหม ทำไมเอ็งบอกว่าไม่มี”

เด็กหนุ่มหน้ามุ่ย “โธ่ ก็พี่เป็นคนสั่งเองไม่ใช่รึว่าอย่าเอาคันฉ่องนี้มาให้พี่เห็นอีก ข้าจะกล้าเอามาให้พี่ดูได้อย่างไร ดูเอาเถิด แค่นี้พี่ก็โมโหข้าแล้ว”

“แล้วทำไมข้าต้องโมโหเรื่องโต๊ะเครื่องแป้งปัญญาอ่อนนี่ด้วย ตอนนั้นข้าแค่อยากส่องกระจก” ชวินยังไม่เข้าใจ

“ตกลงพี่จำไม่ได้ใช่ไหม ข้าจะได้เล่า”

“เล่าๆ มาเถอะ ไหนบอกพี่เอ็งเป็นทหาร ทำไมถึงมีคันฉ่องไว้ในบ้าน อย่าบอกว่าตอนกลางคืนแปลงร่างเป็นนางรำนะ”

“ไปกันใหญ่แล้ว นี่มันเป็นของที่พี่เตรียมไว้ให้พี่บัวหอม ในวันที่จะออกเรือน”

ชวินมีแววตาแปลกใจ พิจารณาดูคันฉ่องงามตรงหน้าก่อนแล้วคลี่ยิ้ม “ไอ้หมอนี่ก็โรแมนติกไม่น้อยแฮะ”

“แต่เสียดายที่มันไม่เป็นดังหวัง เมื่อวันที่พี่บัวหอมต้องกลายเป็นเมียขุนอินชัย พี่ดื่มสุราจนเมามายและไม่อยากเห็นมันอีก ข้าเลยต้องเก็บมันไปซ่อนไว้ในห้อง”

“ความจริงเอ็งน่าจะเผามันด้วยซ้ำ” ชวินจับดาบชาตรีและเพ่งมองกระจก ภาพในนั้นเห็นเงาตัวเองยังรูปงามเหมือนเดิม

เดี๋ยวนะ...ตอนนี้เขาไม่ใช่หนุ่มรูปหล่อเสียหน่อย แต่ไฉนเงาสะท้อนจึงเป็นชวินตัวจริงที่ภพนั้นได้ล่ะ

 

“เฮ้ย!” เมืองร้องเสียงหลง เมื่อภาพในกระจกจากที่เคยเป็นหนุ่มหล่อกลับเปลี่ยนเป็นภาพตัวเองที่นั่งอยู่ริมน้ำ

“นั่นมัน ตัวกู...” เขาร้องลั่น แม้แต่มาลัยทองที่อยู่ในห้องน้ำยังตกใจ

“นั่นมันข้านี่” ชวินมีอาการไม่ต่างกัน เขาชี้ไปที่กระจกใบเล็ก ทั้งยังพยายามงัดหาทางเข้าไป

“มีอะไรรึพี่เมือง” เด็กหนุ่มแปลกใจ

“คำสา เอ็งเห็นไหม ข้างในมีตัวข้าในยุคปัจจุบัน”

คำสาแทรกตัวเข้ามาดูกระจก แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด

“ไอ้คำสา มึงเห็น มึงได้ยินกูไหม กูอยู่นี่”

เมืองตะโกนเมื่อเห็นน้องชายชะโงกหน้ามามองกระจก มาลัยทองออกจากห้องน้ำมารีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“แม่มาลัยดูเอาเถิด คันฉ่องบานนี้วิเศษแท้ มันทำให้ผมเห็นตัวเองที่อยู่อีกฝั่ง”

หญิงสาวตกใจและมองตามที่เขาพูด แต่จนแล้วจนรอดก็เห็นเพียงเงาของเศรษฐีหนุ่มขี้เก๊กกับตัวเอง

“ไม่มีนี่ ฉันก็เห็นแค่คุณกับฉัน”

“นี่อย่างไร ผมนั่งอยู่ และนั่นก็ไอ้คำสา” เขายังมองกระจกตาเป็นประกาย

มาลัยทองนิ่งคิด “มันเป็นภาพในอดีตหรือเปล่า”

“ไม่รู้ รู้แต่ว่าตัวผมในคันฉ่องก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เห็นกัน”

“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณพูดคุยกันได้ไหม”

เมืองค่อยลดความตื่นเต้น ทำให้ประสาทด้านอื่นสัมผัสได้บ้าง และแล้วเขาก็เริ่มได้ยินเสียง

“เฮ้ คุณชวินที่อยู่ทางนั้น ได้ยินผมไหม” คนจากภพอดีตทักทายมาก่อน

เมืองเบิกตาโพลง เงาในกระจกที่เป็นตัวเองกำลังเรียกเขาอยู่

“ผมได้ยิน คุณไอ้เมืองที่ไม่ใช่ผม”

“สำเร็จ เขาได้ยินข้า ไอ้คำสา” ชวินหันไปดีใจกับเด็กหนุ่ม

“หรือว่า...พวกคุณสองคนสื่อสารผ่านกระจกได้” มาลัยทองเอ่ย

“อาจเป็นไปได้” เมืองเห็นด้วย

“ลองถามเขาดูสิว่าเขาชื่อชวินใช่ไหม”

หนุ่มโบราณพยักหน้าแล้วหันไปคุยกับเงาในกระจก “ไอ้คนในกระจกที่อยู่ในร่างผม คุณชื่อชวินใช่ไหม”

ชวินขนลุกซู่และรีบตอบ “ใช่ ข้าคือชวิน คุณก็คือไอ้เมืองยักษ์จอมฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ใช่หรือไม่”

คนฟังชะงัก ชายผู้นี้สิงร่างเขาไม่กี่วัน รู้กิตติศัพท์ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“ใช่ ผมคือไอ้เมือง คนที่สิงร่างของไอ้ชวินอะไรสักอย่าง คนไม่เอาไหน อ้อนแอ้น ต้องมีคนเอาใจทุกเพลา ทั้งยังทำอะไรไม่เป็น” เขาเอาคืน

จากที่เคยดีใจ บัดนี้อารมณ์โกรธกลับเข้ามาแทนที่เมื่อต่างฝ่ายต่างเยาะเย้ยกัน

“ข้าเองก็แสนลำบากเหลือเกินที่มาอยู่ร่างไอ้เมืองยักษ์ คนอะไรไปไหนก็ใช้กำลังเป็นหลัก หมูหมากาไก่วิ่งหนีหมด แม้กระทั่งผู้หญิงที่ชื่อบัวหอมยังเบือนหน้าหนีเลย”

คราวนี้คนที่อยู่โลกปัจจุบันเหมือนสติขาดสะบั้น เขาหยิบดาบชาตรีออกมาฟันกระจกทันที

เพล้ง!

“คุณทำอะไรน่ะ” มาลัยทองตกใจ ขณะที่เมืองทิ้งดาบลงและหนีไปนั่งที่โซฟารับแขก

“ไอ้ผู้ชายคนนั้น มันดูถูกผม”

“จะบ้าหรือไงคุณ พวกคุณกำลังติดต่อกันได้นะ”

 

คำสาเมื่อเห็นชวินเงียบไปก็เอ่ยถาม “ตกลงคนที่อยู่ฝั่งนู้นเป็นพี่เมืองใช่ไหม”

ชวินเม้มริมฝีปาก จะบอกเด็กหนุ่มเช่นไรว่าเขายั่วโมโหให้เมืองทำลายกระจกไปเสียแล้ว

“ใช่ แต่ตอนนี้ข้าไม่เห็นพวกเขาแล้ว”

“อัศจรรย์จริงๆ นี่พี่เมืองกับท่านสลับร่างสลับภพกันหรือนี่ ต้องเป็นเพราะดาบชาตรีเป็นแน่”

“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”

“ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจะต้องพูดจากันผ่านคันฉ่องบานนี้”

ชวินหันไปมองกระจกอีกครั้งก็พบแต่เงาหนุ่มร่างยักษ์

ซวยละสิ...แล้วจะติดต่อกับพวกเขาได้ยังไงล่ะนี่ ไอ้เมืองยักษ์ก็ขี้โมโหชะมัด แซ็วนิดแซ็วหน่อยก็ลงไม้ลงมือ เฮ้อ...

 

“จะบ้าตาย ทั้งที่พวกคุณติดต่อกันได้ แต่คุณกลับทำลายมันลง” มาลัยทองกอดอกมองเศษกระจกที่แตกบนพื้นในห้องทำงาน

“เอ่อ...มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” บุษบาได้ยินเสียงแปลกๆ จึงวิ่งเข้ามาดู ก่อนจะเรียกคนทำความสะอาดมาเก็บกวาด

“คือ...มันคงหลุดจากผนังน่ะค่ะ” มาลัยทองจำเป็นต้องปด แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่เชื่อ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ และเดินออกจากห้องไป

“เอาเถอะ อย่างน้อยคุณชวินตัวจริงที่อยู่ภพนั้นก็สบายดีใช่ไหม” หญิงสาวข่มใจให้เย็นลง ก่อนจะไปเก็บดาบมาวางบนโต๊ะทำงาน

“เขายังสบายดี รวมถึงไอ้คำสาน้องชายผม”

“ในเมื่อคุณสองคนเท่านั้นที่สื่อสารกันได้ ก็น่าจะปรึกษากันว่าจะมีวิธีกลับมายังไง”

หญิงสาวพูดถูก เขาน่าจะใช้โอกาสที่ได้พบเจอกันคุยกันดีๆ เสียก่อน

“ผมช่างโง่เขลานัก ทำลายโอกาสสำคัญไปเสียแล้ว” เมืองพูดน้ำเสียงเศร้าๆ ทำให้เธอเห็นใจ

“ช่างมันเถอะ แต่จำไว้ หากมีโอกาสอีกครั้งควรรีบสืบสาวราวเรื่องจากอีกฝ่ายให้มากที่สุด หรือไม่ก็ควรหาคนอื่นให้ช่วยเราด้วย”

“หมายความว่าอย่างไรรึแม่มาลัย”

“ก็หมายความว่าถ้าผู้ชายสองคนพูดไม่รู้เรื่อง ก็ให้คนอื่นที่ไว้ใจช่วยไงเล่า”

 

คำสาเอาแต่ทึ่งเมื่อรู้ว่าพี่ชายตรงหน้าไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จัก

“แล้วพี่เมืองของข้ายังสบายดีใช่ไหม เขาไม่ตายใช่ไหม”

“ยังไม่ตายหรอก แต่ดูเหมือนจะไปสนิทสนมกับยายมาลัยทองอะไรนั่นด้วย” ชวินแอบบ่นลำพัง ค่อนข้างแปลกใจที่เวลานี้ตัวเขากลับมีมาลัยทองอยู่ด้วย ทำไมเอกลิขิตถึงไม่มาช่วยเขาแก้ไขสถานการณ์นี้ หรือเมืองจะพลาดท่ายกดาบให้มาลัยทองเสียแล้ว และหากเธอได้ดาบไปแล้วเขาจะกลับภพเดิมได้อย่างไร

“คำสา ข้าว่าเราควรหาวิธีติดต่อพวกเขาอีกที”

เด็กหนุ่มทำหน้าคิด “ก็ผ่านคันฉ่องอย่างไรเล่า ท่านมองเข้าไปอีกครั้งสิ”

ชวินพยายามจ้องเหมือนที่คำสาบอก แต่ก็ไม่บังเกิดผล

“ไม่ได้ว่ะ”

“หรือว่าพวกท่านต้องทำพร้อมกัน และต้องจับดาบชาตรีด้วย”

มีเสียงดีดนิ้วดังเป๊าะในหัวชวิน ไอ้เด็กคนนี้มันก็ฉลาดไม่น้อย ไม่โง่เหมือนพี่ชายมัน ชวินรีบจับดาบจ้องเข้าไปในกระจกอีกครั้ง

 

เมืองแอบหยิบเศษกระจกมาเก็บไว้กับตัว เมื่อเห็นพนักงานทำความสะอาดออกจากห้องไป เขาก็รีบหยิบมันขึ้นมาจ้องเขม็ง

“เห็นอะไรไหม” มาลัยทองรีบถามแล้วทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆ

“เห็นแต่เพียงผม”

“หรือว่ามันต้องมีอะไรเชื่อมกัน ใช่” สายตาเธอไปสะดุดกับดาบ “ลองจับดาบด้วยสิ”

เมืองรีบทำตาม พลันเศษกระจกก็เปลี่ยนเป็นสีขุ่นมัว ก่อนภาพสะท้อนจะคลี่เป็นเกล็ดเงินระยิบระยับ เห็นเป็นร่างตัวเองในยุคต้นรัตนโกสินทร์อีกครั้ง

 

“คำสา ข้าเห็นแล้ว ข้าเห็นพวกเขาแล้ว” ชวินดีใจเมื่อสิ่งที่ทำประสบความสำเร็จ

“ใจเย็นๆ ก่อน ท่านต้องพูดคุยกับพี่เมืองให้รู้เรื่อง และบอกด้วยว่าเราเข้าใจเรื่องราวหมดแล้ว”

ชวินหายใจลึก ก่อนจะยิ้มหวานให้เหมือนเป็นการขอโทษ

 

“ไอ้ผู้ชายคนนี้ยิ้มน่าเกลียดชะมัด” เมืองบ่น

“ใครยิ้มน่าเกลียดเหรอ” มาลัยทองถาม

“ก็ตัวผมนั่นแล ปกติผมไม่ยิ้มให้ใคร”

หญิงสาวหัวเราะ “แสดงว่าชวินกำลังใช้ใบหน้าคุณยิ้มสิท่า”

เมืองพยักหน้า

“เอาละ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันดีๆ”

 

เมื่อส่งรอยยิ้มละลายพฤติกรรมไปแล้ว ชวินจึงสูดหายใจลึกเพื่อเริ่มสนทนา

“สวัสดีอีกครั้ง คุณเมืองคนดี”

“พูดอะไรของมึง” อีกฝ่ายเสียงแข็งจนเขาสะดุ้ง

“เอาเป็นว่าเมื่อกี้ผมขอโทษคุณด้วยละกัน คุณก็มีดีพอสมควรตรงที่มีความกล้าหาญ และเป็นทหารระดับท็อปที่ใครๆ ก็เกรงกลัว ขนาดผมอยู่ในร่างคุณ ผมรู้เลยว่าทุกคนขาดคุณไม่ได้” ชวินงัดคารมระดับเกรดเอมาใช้

“ไม่ต้องมาแกล้งพูดเพราะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า ตอนนี้ผมกับคุณดูเหมือนจะสลับร่างกัน” เมืองเอ่ยตามที่มาลัยทองกระซิบ

“ผมรู้ ว่าแต่ทำไมผู้หญิงที่ชื่อมาลัยทองถึงอยู่กับตัวผม คนอื่นไปไหนกันหมด” ชวินสงสัย

เมืองหันมามองหน้าหญิงสาว “มันถามผมว่า ทำไมคุณจึงมาอยู่กับผมได้”

มาลัยทองนิ่งคิด “คือ...ฉันเป็นคนเดียวที่รู้ว่าพวกคุณสลับร่างกัน ถ้าคนอื่นรู้คุณจะกลายเป็นคนบ้าทันที” มาลัยทองกระซิบบอก เมืองจึงพูดตามที่เธอสั่ง

“อ๋อเหรอ ยังไงคุณก็อย่าไปไว้ใจเธอมาก ที่สำคัญอย่าปล่อยให้เธอได้ดาบไปล่ะ” ชวินบอกกับร่างตัวเอง

“ผมว่าแม่มาลัยก็มีโอกาสหลายครั้ง แต่ไม่เอาไป มันคงอยากจะช่วยคุณจริงๆ” เมืองเถียงแทน

“คุณนี่ยังอ่อนหัดกับผู้หญิงนัก ระวังเธอไว้เป็นดี”

“คำสาเป็นอย่างไรบ้าง” เมืองเปลี่ยนเรื่อง

ชวินได้ยินคำถามจึงหันมาบอกกับเด็กหนุ่มว่าเมืองถามถึงเขาด้วยความเป็นห่วง

“บอกพี่เมืองว่าข้าสบายดี และกำลังหาทางช่วยให้เขากลับมา”

“น้องชายคุณสบายดี และถ้าอยู่กับผมไม่เกินสามเดือนคงได้เมียก่อนคุณแน่ๆ”

“ทำไมบอกพี่เมืองไปเช่นนั้น” คำสาถอนหายใจ ผู้ชายคนนี้ช่างพูดไปเรื่อยเปื่อยเสียจริง

สองหนุ่มสนทนากันต่อโดยมีคำสาและมาลัยทองนั่งเคียงข้างเพื่อให้กำลังใจ

“เขาพูดว่าไงบ้าง” มาลัยทองซึ่งนิ่งฟังอยู่นานขอถามบ้าง

“มันบอกว่ามันใช้ชีวิตที่นั่นไม่ไหว มันจับดาบไม่เป็นเลย”

“บอกเขาไปว่าให้อดทนก่อน เราจะนัดกันเอาดาบชูฟ้าขึ้นฟ้าอีกครั้ง”

ชวินเห็นด้วยกับความคิดนี้ มาลัยทองจึงแจ้งว่า เวลาเที่ยงคืน ชวินและเมืองต้องไปที่สถานที่เดิม และทำเหมือนคืนวันนั้นอีกครั้ง

“เขารับปากแล้วแม่มาลัย”

“ดีแล้ว คืนนี้ฉันหวังว่าคุณจะได้กลับบ้านเสียที”

หนุ่มหลงยุคดูคลายความกังวลไปได้มาก

“ตกลงแม่มาลัยกับไอ้ชวินเป็นคนรักกันรึ” อยู่ดีๆ เมืองก็ถามจนมาลัยทองสะดุ้งโหยง

“ทำไมถึงถามแบบนี้”

“ก็...มันฝากบอกว่า รักและคิดถึงแม่มาลัยทอง จุ๊บๆ”

มาลัยทองถอนหายใจ แต่ก็ฝืนยิ้มสู้ “คุณเมืองช่วยมองไปที่คุณชวินในกระจกที”

ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย

“ช่วยยกนิ้วขึ้นมาทั้งห้านิ้วและบอกชวินว่า ฉันฝากให้เขา”

“แม่มาลัยฝากให้คุณ” เมืองพูดกับกระจก

ชวินยิ้ม แต่ยังไม่เข้าใจ จนเมื่อเมืองหุบนิ้วทั้งสี่เหลือเพียงนิ้วกลางชายหนุ่มก็สะดุ้งโหยง กำมือแน่นด้วยความแค้นใจ

ยายมาลัยทองนี่มันร้ายจริงๆ...

“ขนาดอยู่คนละภพยังบอกรักกันได้ พวกคุณสองคนช่างเป็นคู่เวรคู่กรรมกันจริงๆ” เมืองยิ้ม เข้าใจว่าการมอบนิ้วกลางให้กันเป็นการบอกรักของคนยุคนี้

“เขาสมควรได้รับอยู่แล้วค่ะ” มาลัยทองตอบ

เมืองยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน อย่างน้อยคืนนี้เขามีหนทางที่จะได้กลับบ้านแล้ว

 

เทพธิดาแห่งราตรีแผ่ผ้าคลุมสีดำปกคลุมท้องฟ้า ดวงดาราทอประกายราวกับเพชรเม็ดน้อยใหญ่ประดับแต่งภูษา ไม่นานเดือนเต็มดวงก็เคลื่อนตัวขึ้น ฉายแสงสว่างให้นภางดงาม เมฆก้อนใหญ่ที่ก่อตัวเมื่อหัวค่ำกลับมลายราวกับกริ่งเกรงแสงจันทรา 

มาลัยทองมองท้องฟ้างาม สายลมพัดเอื่อยค่อยทำให้ใจที่ตื่นเต้นผ่อนคลายลงได้บ้าง เธอหันไปมองคนที่นั่งข้างๆ ชายหนุ่มยังมองไปยังฟากฟ้าที่เดียวกับเธอ

“คิดอะไรอยู่เหรอ” เธอถามขณะพลิกตัวมานั่งชันเข่าบนเก้าอี้เปลนอน มาลัยทองและเมืองพาเดินออกมายังระเบียงกว้างที่มีสระว่ายน้ำของคฤหาสน์ของชวินตั้งแต่สี่ทุ่มตามเวลาที่นัดกับชายหนุ่มอีกภพ

“ผมกลัวว่าจะกลับไม่ได้”

“เรายังไม่ได้ลองเลย” มาลัยทองปลอบ ทั้งๆ ที่ก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา

ก็แหงละ...ท้องฟ้าสดใสโรแมนติกแบบนี้ ฟ้าที่ไหนจะผ่าลงมา

“คุณกลัวว่าจะไม่เกิดฟ้าผ่าสิท่า”

“ใช่” เขาตอบ

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อีกภพที่ชวินอยู่ ฝนฟ้าอาจจะตกแล้วก็ได้ ลองถามพวกเขาดูสิ”

เมืองหันไปหยิบกระจกบานเล็กที่เตรียมไว้ข้างๆ ขึ้นมา แต่ก็พบว่าชวินไม่ได้รออยู่หน้ากระจก

“พวกเขาไม่ได้อยู่รอ”

“นั่นไง อาจจะเตรียมพร้อมเพื่อกลับบ้าน” มาลัยทองพยายามพูดให้ทุกอย่างดี

หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นแก้เหงา แอบชำเลืองมองเขาเป็นบางครั้ง แต่เมืองก็ยังนิ่ง สีหน้าตึงเครียด

“เล่าเรื่องบ้านที่คุณจากมาบ้างสิ” เธอชวนเขาคุยแก้เหงา

หนุ่มโบราณเงียบไปครู่ใหญ่ “แตกต่างจากที่นี่ทุกอย่าง เราเพิ่งสร้างบ้านแปงเมืองหลังจากในหลวงทรงย้ายราชธานีมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่สงครามก็ใช่ว่าจะหมดสิ้น พวกพม่ารามัญยังจ้องทำลายกรุงสยาม เกรงว่าจะกลายเป็นเมืองใหญ่ เป็นภัยในภายหน้า”

“คุณมี...คนรักไหม”

เธอคงถามเรื่องที่สะกิดแผลอักเสบให้เลือดออกอีกครั้ง อีกฝ่ายจึงดูเงียบไป

“หรือมันทำให้คุณลำบากใจ” มาลัยทองรู้ทัน “คุณรู้ไหม ในสมัยนี้มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เราไม่ทุกข์ได้ นั่นก็คือการเล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้ใครสักคนฟัง เขาเรียกว่าการระบาย”

คราวนี้เมืองหันมามองหน้า

“คือมันเหมือนเป็นการช่วยแบ่งปันเรื่องที่เจ็บปวดให้คนอื่นได้รับรู้บ้าง โอเค ฉันอาจจะไม่ใช่เพื่อนสนิทอะไรของคุณ แต่อย่างน้อยฉันก็เก็บเป็นความลับได้ อีกไม่กี่ชั่วโมงคุณอาจจะกลับไปแล้ว หากมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็ปรึกษาฉันได้นะ เผื่อว่าเราจะไม่พบเจอกันอีก คุณก็ถือโอกาสทิ้งเรื่องไม่ดีไว้ที่ภพนี้”

เมืองเม้มปาก “ความจริงผมไม่ใช่คนกล้าหาญอะไรดอกแม่มาลัย ที่ผมอธิษฐานกับดาบก็เพราะผมเสียใจที่แม่บัวหอม ผู้หญิงที่ผมมอบหัวใจให้เขาไม่รักผม”

‘โถ...อกหักนี่เองพ่อคุณ’ มาลัยทองคิด แต่ก็ต้องทำสีหน้าเห็นใจเขา

“แม่บัวหอมบอกว่าผมเป็นคนพูดจาไม่เพราะ เอาอารมณ์เป็นใหญ่ เขาจึงไปรักขุนอินชัยซึ่งมีเมียเป็นสิบ”

“โดยที่เธอยอมเป็นเมียน้อยน่ะเหรอ”

“ใช่ แม่บัวหอมยอมเป็นเมียรองของคนรูปงาม มากกว่าเป็นเมียหนึ่งเดียวของคนรูปกายน่ากลัวเช่นผม”

คนฟังรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มขึ้นมาโดยพลัน

“นั่นเป็นเพราะว่าแม่บัวหอมมองคุณเพียงรูปกายภายนอก คุณต้องแสดงให้เธอเห็นสิว่าคุณรักเธอแค่ไหน”

“คงไม่ทันแล้วละ เพราะแม่บัวหอมไปอยู่กับมันแล้ว”

“งั้นเหรอ” มาลัยทองถอนหายใจ “อย่าคิดมากเลยเมือง ผู้หญิงในกรุงมีตั้งมากมาย ฉันเชื่อว่าคงจะมีใครสักคนที่ไม่กลัวคุณ และรักคุณอย่างที่คุณเป็น”

“คงจะยากแล้วแม่มาลัย เพราะตอนนี้นอกจากไอ้คำสา ไอ้มิ่ง ไอ้มั่น ก็ไม่มีใครอยากใกล้ผมดอก การที่แม่บัวหอมกลัวผม ทำให้หญิงทั้งเมืองต่างขยาดผมไปด้วย”

มาลัยทองนึกภาพตามแล้วก็แอบสมน้ำหน้าชวินไม่น้อย...เป็นไงล่ะ หลงตัวว่าหล่อ ตอนนี้คงเสียความมั่นใจไปไม่น้อย

“ฉันเอาใจช่วยคุณนะ และหวังว่าหากกลับไปได้ คุณจะได้เจอใครสักคนที่รักคุณจริง”

“แล้วแม่มาลัยเล่า รักกับคุณชวินมานานแล้วรึ”

“หึ...” คนถูกถามยักไหล่ “เป็นศัตรูกันมากกว่า”

เมืองมีสีหน้าไม่เชื่อ “ผมว่าไม่ใช่ดอก ไม่เช่นนั้นคุณจะยอมช่วยคุณชวินให้กลับมารึ พวกคุณยังบอกรักกันด้วย”

“เอาตรงๆ นะ ที่ฉันมาช่วยคุณชวินเพราะอยากได้ดาบชาตรี” เธอหันไปยิ้มให้เมือง “ดาบชาตรีเป็นดาบเก่าแก่ของตระกูลของฉัน คุณชวินแย่งมันมา ฉันกำลังพยายามทวงมันคืน”

“แต่คุณก็ไม่ขโมยมันไป ทั้งที่ไม่ต้องช่วยพวกเราก็ได้”

“ไม่ได้หรอก เหมือนที่คุณพูดนั่นแหละ หากฉันเอากลับไปแล้วพวกคุณจะกลับยังไง อีกอย่างเรื่องดาบมันเป็นปัญหาของฉันกับคุณชวิน คุณไม่เกี่ยว”

“คุณเป็นคนดีจริงๆ แม่มาลัย ขอบใจที่เชื่อเรื่องของผม”

“ไม่เป็นไรหรอก”

หนุ่มโบราณซึ้งใจ มาลัยทองยิ้มให้ และแอบหวังลึกๆ ว่าชวินจะเข้าใจเหมือนเมืองบ้าง

 

อีกฟากของกระจก ที่เรือนของเมือง ชวินกำลังมองดาว ปากก็เล่านิทานเรื่องเด็ดให้เด็กหนุ่มฟังฆ่าเวลา

“เป็นไงล่ะ นิทานของฉัน” ชวินยืดอกภูมิใจที่ได้เล่าเรื่องให้เด็กหนุ่มฟัง

“เป็นนิทานที่แปลกดี ข้าไม่เคยฟังมาก่อน”

“เรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร เอ็งฟังแล้วก็เอาไปเล่าให้พี่เอ็งฟังต่อด้วยล่ะ จะได้เลิกนอยด์ เลิกระแวงว่าจะไม่มีใครรักคนน่ากลัวอย่างเขา”

“ได้ๆ” คำสายิ้มแฉ่ง นึกไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ ชวินในร่างของเมืองจะอยากเล่านิทานให้เขาฟัง แถมมันยังสนุกทีเดียว เรื่องของเจ้าชายต้องคำสาปให้กลายเป็นอสูร มีแต่คนเกลียดกลัว แต่แล้วความดีก็ทำให้หญิงสาวเห็นค่าและรักกัน หากเมืองได้ฟังคงเลิกเศร้าและหารักใหม่ได้แน่ๆ

“พี่วินนี่ช่างพูดเสียจริง” คำสาชม

“แน่นอน” ชวินยักไหล่

“ที่ที่พี่จากมา พี่เป็นคนรูปงามหรือไม่”

“หึ...ฉันน่ะรูปงามยิ่งกว่าไอ้ขุนอินชัยอะไรนั่นเสียอีก นี่ถ้าหลุดมายุคนี้ทั้งตัวนะ แม่บัวหอมอะไรของพวกเอ็ง ไม่เหลือ”

คำสาฟังแล้วตาลุกวาว “พี่คงเป็นยิ่งกว่าพระรามเป็นแน่”

“ไม่อยากจะคุย”

“ถ้าเช่นนั้นที่ภพของพี่ พี่วินคงมีคนรักที่อยู่เคียงข้างแล้วสิ”

ชายหนุ่มหุบยิ้ม รู้สึกเหมือนเด็กหนุ่มเพิ่งต่อยหมัดเด็ดใส่ใบหน้าจนชา

“ข้าอยากเห็นคนรักของพี่ว่าจะงดงามปานใด”

‘ไอ้เด็กเปรต หยุดพูดได้แล้ว’ ชวินถอนหายใจ อยู่ๆ ก็ไร้คำโต้ตอบกับคำสา บ้าชะมัด แต่จะว่าไปแล้วคงมีคนหนึ่งกระมังที่รักและเป็นห่วงเขาตลอดเวลา ไม่ว่าชวินคนนี้จะเลวแค่ไหน

คุณย่าดวงตา...

แค่นึกถึง ความเจ็บปวดก็แล่นเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง ที่ต้องมาอยู่ที่นี่ก็เพราะทำตัวเองทั้งนั้น ที่ต้องฝืนยิ้มแม้จะต้องต่อสู้กับความเครียดรอบกาย เพราะชวินคิดว่าเขาไม่มีสิทธิ์โทษใครอีกแล้ว

ขณะที่คิดไปไกล พลันเสียงกลองก็ดังขึ้น ชวินทำหน้าเหลอหลา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรีบจับดาบส่งให้เขา

“สองยามแล้วพี่ ได้เพลาที่พี่เมืองจะกลับมาแล้ว”

ชายหนุ่มพยักหน้า หัวใจรัวเร็วยิ่งกว่าเสียงกลอง หันไปสบตากับคำสา

“ฉันขอบใจเอ็งมากนะคำสา ฉันจะคิดถึงเอ็ง”

“รีบไปเสียเถิดพี่”

ชวินก้าวลุกจากแคร่ มุ่งตรงไปยังท่าน้ำพร้อมกับชูดาบขึ้นฟ้า

‘ดาบชาตรีเอ๋ย ข้าไม่ต้องการสิ่งที่เจ้ามอบให้ข้าแล้ว ช่วยพาข้ากลับไปยังยุคสมัยของข้าเถิด’

 

ที่ระเบียง มาลัยทองมองไปยังร่างชายหนุ่มที่ยืนชูดาบขึ้นฟ้า เธอหวังว่าจะมีแสงจ้าพุ่งลงมาที่ตัวชายหนุ่ม แต่ทุกอย่างกลับเงียบกริบ ดวงจันทร์สว่าง ดวงดาวระยิบระยับท่ามกลางเสียงหรีดหริ่งเรไร

“คุณวิน คุณกลับมาหรือยัง” เธอตะโกนถาม ในใจยังหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์

ร่างของชวินยืนนิ่งราวกับรูปปั้น มาลัยทองเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปสังเกตการณ์ใกล้ๆ

“คุณ กลับมาแล้วใช่ไหม”

“อ๊าก!”

ชายหนุ่มร้องลั่นจนหญิงสาวสะดุ้งโหยง

“คุณเป็นอะไร”

 

เสียงกลองบอกเวลาสองยามหยุดลงแล้ว คำสามองพี่ชายตัวเองที่ท่าน้ำด้วยท่าทางหวั่นๆ

“เป็นอย่างไรบ้าง พี่ชาย”

ร่างใหญ่นั้นส่ายหัว เดินคอตกกลับมาหา

“ไม่ได้ผลว่ะ ฉันยังไม่ไปไหน”

ชวินถอนหายใจและล้มตัวลงนอนแผ่หลาบนพื้นดิน หมดแรงจะสู้กับเรื่องใดอีกต่อไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น