13

วาระซ่อนเร้น 2


 

 13

วาระซ่อนเร้น 2

 

งานเลี้ยงฉลองวันเกิดสองขวบให้เด็กหญิงอลิซผ่านไปอย่างราบรื่น แม้ว่าบรรยากาศระหว่างสองสามีภรรยาลับๆ จะอึมครึมราวกับฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกช่วงฤดูหนาว ศราวณะกล้ำกลืนฝืนยิ้มให้เขาต่อหน้าคนที่มาร่วมงาน ทว่าสบตากันแบบนับครั้งได้ สิ่งหนึ่งที่เธอยอมรับและชื่นชมในตัวพอล คือการเป็นคนจดจำรายละเอียดทุกอย่างที่เธอหรืออลิซเคยพูดได้แม่น

นักการเงินหนุ่มเปิดบ้านต้อนรับพนักงานกว่าสิบครอบครัว ที่มีลูกเล็กตั้งแต่แบเบาะจนกระทั่งห้าขวบให้มาร่วมงานวันเกิด เขาทำแบบนั้นเพียงเพราะเธอเคยพูดว่าเสียดายที่งานนี้ไม่มีเด็กๆ หนึ่งในของขวัญวันเกิดที่เขามอบให้อลิซคือลูกสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์สองตัว และให้เธอกับอลิซเป็นคนตั้งชื่อ

อลิซยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขกับทุกกิจกรรมที่เริ่มตั้งแต่สิบโมงเช้าจนกระทั่งบ่ายสี่โมง นั่นเป็นวันแรกที่แม่หนูน้อยปฏิเสธการนอนกลางวัน แต่ก็เกือบฟุบหลับคาโต๊ะอาหารตอนทุ่มเศษ เดือดร้อนคุณแม่จำเป็นที่ต้องรีบพาเข้านอน

นั่นเป็นคืนแรกที่ศราวณะหลบหน้าสามี ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการกล่าวราตรีสวัสดิ์ ไม่มีแม้กระทั่งคำขอบคุณเรื่องงานวันเกิด ไม่มีรอยยิ้มและสายตาหวานซึ้งตรึงใจ

“ผมขอโทษที่เพิ่งมีเวลาโทร. หานะลอร่า คุณเป็นไงบ้าง” พอลเอนกายพิงพนักโซฟาหน้าเตาผิงในห้องนั่งเล่นของชั้นใต้ดิน

                “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่ดูหนังเรื่องที่เราเคยนั่งดูด้วยกันแล้วคิดถึงคุณ เอ่อ…ขอโทษที่พูดทำนองนี้นะคะ มันคงเป็นฮอร์โมนของคนท้องอย่างที่หมอบอก” ลอร่าลนลานขอโทษเสียงอ่อย

                “ช่างเถอะ ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แล้วนี่ทานข้าวหรือยัง อย่าบอกนะว่ากินจังก์ฟูด”

                “สลัดไก่ค่ะ ฉันจำได้น่าว่าต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ งานวันเกิดเป็นไงบ้างคะ คุณให้ของขวัญอะไรกับอลิซ”

                “ลูกหมาสองตัว แล้วก็…” ชายหนุ่มเล่าให้ฟังคร่าวๆ การคุยกับลอร่าเหมือนได้ระบายความอึดอัดที่หน่วงเหนี่ยวเขามาตลอดทั้งวัน

                “คุณเป็นพ่อที่น่ารักเหลือเกินค่ะพอล” เสียงของเธอสั่นเครือจนคนฟังใจหาย

                “ร้องไห้ทำไม อย่าบอกนะว่าฮอร์โมนคนท้องอีก”

                “ฉันไม่ได้เศร้าหรอกค่ะ แค่ปลื้มใจที่คุณเป็นพ่อที่น่ารักมากๆ ให้อลิซ ขอโทษที่ฉันอารมณ์แปรปรวนบ่อยๆ นะคะ คนท้องก็งี้แหละ” ลอร่าหัวเราะทั้งน้ำตา

“ผมควรจะให้ไคลน์กับไปเปอร์เร่งหาคนไปอยู่เป็นเพื่อนคุณใช่ไหม”

                “เอ่อ…คุณจะว่าอะไรไหมคะ ถ้าฉันจะบอกว่า ฉันเปลี่ยนใจ ไม่อยากได้ใครมาอยู่ด้วยแล้ว ความจริงฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพราะแม่บ้านมาทำความสะอาดที่นี่ทุกวัน และฉันก็มีเพื่อนอยู่นิวยอร์กหลายคน นัดเจอพวกเขาได้ตลอด

                “แต่ผมว่า…”

                “อย่าขัดใจฉันเลยนะคะ ฉันชินกับการอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่ร่วมกับคนอื่น ถ้าให้ใครมาอยู่ด้วย ฉันคงรู้สึกแปลกๆ ยกเว้นใครคนนั้นจะเป็นคุณ” หญิงสาวหยอดในช่วงท้ายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอเรียกร้องมากเกินไป เธอคุยกับพอลต่อไม่กี่ประโยคก็บอกเขาว่าง่วงและขอวางสายเข้านอน ทว่าไม่ได้นอนอย่างที่บอก เพราะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทที่เป็นหมออีกพักใหญ่ก่อนวางสาย

 

                พอลกลับไปทำงานในสัปดาห์ถัดไปด้วยสภาพไม่ต่างจากหุ่นยนต์ เขาพบศราวณะแค่ระหว่างการรับประทานอาหารเย็นตอนทุ่มตรง หากกลับช้ากว่านั้น ก็เป็นอันรู้กันว่าเธอขึ้นไปหมกตัวอยู่บนห้องนอนแล้ว

งานที่รัดตัวทำให้ชายหนุ่มปลีกตัวพาอลิซไปหาหมอกับเธอไม่ได้ แต่ก็โล่งอกที่ผลออกมาว่าพัฒนาการของแม่ตัวน้อยอยู่ในเกณฑ์ปกติ ศราวณะเลือกช่องทางการสื่อสารกับเขาโดยการส่งข้อความหาเสียเป็นส่วนใหญ่ หลายครั้งที่เขาอึดอัดจนอยากลากเธอมาคุยแบบตัวต่อตัว ทว่าพอปรึกษาปัญหาหัวใจกับเลขานุการ ซึ่งกลายเป็นเพื่อนสนิทกับภรรยา ก็ตัดสินใจทำตามคำแนะนำของไปเปอร์ว่าให้เวลาศราวณะหนึ่งเดือนเต็มก่อน

                “หมอนั่นฝึกงานเป็นไงบ้าง” นักการเงินหนุ่มถามถึงอธิป ซึ่งเข้ามาฝึกงานที่แผนกการลงทุนของไวส์แบงก์ได้สองอาทิตย์ เขาเจอหนุ่มไทยไม่กี่ครั้งที่หน้าลิฟต์ เห็นท่าทางนอบน้อม ต่างจากสมัยที่เจอตอนไปเมืองไทย จึงตัดสินใจมองข้ามเรื่องราวบาดหมางในอดีต 

                “เอียนบอกว่าเขาขยันขันแข็ง รับผิดชอบ กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และก็อาสาช่วยงานคนนั้นคนนี้ตลอดค่ะ บางครั้งขยันถึงขนาดไม่ยอมพักเที่ยงเลยทีเดียว” ไปเปอร์รายงานด้วยสีหน้าแช่มชื่น

                “เอาการเอางานกว่าที่ฉันคาดไว้มาก” สมกับที่ศราวณะเคยบอกว่าฝ่ายนั้นเรียนเก่งและมีดีกว่าที่เขาคิด “ซาร่าห์ถามถึงหมอนั่นบ้างหรือเปล่า”

                “ถามแค่ครั้งเดียวค่ะ ไม่ได้ถามขึ้นมาเองด้วยซ้ำ เพราะฉันเป็นคนบอกมิสเองว่าเจออดีตหวานใจของเธอ” ไปเปอร์ฉีกยิ้มแบบไม่รู้สึกรู้สากับสายตาดุๆ ของเจ้านายสุดหล่อ

                “ทีหลังพยายามคิดก่อนพูด แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่างในสิ่งที่คิดหรือเห็นมา เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”

                “กระจ่างเลยค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันกลับไปทำงานต่อนะคะ” ร่างสมส่วนหมุนตัวเตรียมจะเดินออกจากห้องทำงานกว้างขวางของนักการเงินหนุ่ม แต่เสียงที่เปรยลอยตามมาทำเอาชะงักฝีเท้าแบบกะทันหัน

                “เป๊ปมีแฟนแล้ว เธอล่ะเมื่อไรจะมี จะว่าไปเธอก็เหมาะกับเชสนะ ถึงหมอนั่นจะออกปากว่าชอบสาวหวานแบบเป๊ปมากกว่าสาวเปรี้ยวแบบเธอ แต่ก็น่าจะเข้ากันได้ดี” เขาถามแกมเสนอทางเลือก

                “โอ๊ย! อีตาสโตนโคลด์นั่นน่ะเหรอคะ ชาตินี้หรือชาติหน้าก็ไม่ได้แอ้มฉันกับน้องหรอก ฉันชอบผู้ชายขรึมๆ อบอุ่น สุขุม เยือกเย็น เป็นผู้ใหญ่ ขี้เล่นเป็นบางครั้ง หุ่นล่ำๆ แบบ…”

                “แซม?”

                “โอย…นั่นเขาเรียกว่าขรึมเข้าขั้นนักพรตแล้วค่ะ แถมแต่ละวันยิ้มแทบนับครั้งได้ ไม่รู้จะเก๊กอะไรนักหนา ขืนอยู่ด้วย ฉันคงเครียดวันละห้าตลบ”

                “แต่คุณสมบัติที่เธอไล่มาทั้งหมดน่ะ มันแซมทั้งนั้นนะ พิจารณาหมอนั่นหน่อยน่า หน้าที่การงานของเธอกับเขาก็ส่งเสริมกัน ทำงานในองค์กรเดียวกัน แถมยังพักอยู่บ้านหลังเดียวกันอีกต่างหาก เธอไม่ต้องเสียเวลาสอดส่องพฤติกรรมหรือระแวงเลยว่าเขาจะมีสาวอื่น” นัยน์ตาของคนพูดเหลือบไปทางบอดีการ์ดหนุ่มที่ยืนทำหน้าเซ็งอยู่หน้าประตูห้องทำงานซึ่งไปเปอร์เปิดค้างไว้

ฉันยอมรับนะคะว่าแซมมีต้นแขนน่าขย้ำ อกผายไหล่ผึ่งน่าซบ มีซิกซ์แพ็กน่าลูบไล้ และก็มีก้นหนั่นแน่นน่าตี แต่ฉันจินตนาการว่ากำลังมีเซ็กซ์กับแซมไม่ออกจริงๆ ค่ะ ฉันต้องการผู้ชายที่สุขุมลุ่มลึกในเวลาปกติ ทว่าร้อนแรงมีชีวิตชีวาเหมือนหนุ่มน้อยที่เพิ่งรู้จักเซ็กซ์เวลาอยู่บนเตียง

พอลกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง “เธอไม่เคยนอนกับแซม แล้วจะรู้ได้ไงว่าเขาไม่ร้อนแรง แซมเข้าฟิตเนสวันละสองถึงสามชั่วโมง ฉันว่าเขาต้องร้อนทะลุหมื่นองศา และแรงจนเธอกรีดร้องไม่หยุดเวลาถูกควบแน่ๆ”

“ถึงจะอึดถึกทนและร้อนแรงอย่างที่คุณว่า แต่ฉันก็คงไม่อินอยู่ดี ถ้าคู่ร่วมไม่ส่งเสียงครางอูอาให้ได้ยินค่ะ” สาวเซี้ยวเปรี้ยวซ่าแถลง หวังจะหาทางออกง่ายๆ ให้ตัวเอง

                “งั้นผมต้องครางอูอานาทีละกี่ครั้ง ถึงจะผ่านมาตรฐานของคุณล่ะไปป์”

                เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำเอาสาวเปรี้ยวหันขวับ ตาเบิกกว้างเมื่อเห็นซามูเอลยืนถือกาแฟสองแก้วและทำตาดุๆ ใส่เธอเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก

                เคยทำเรื่องน่าอายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่คือสุดยอดของความอับอายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอ

                “ฉัน…ฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ” ปากขออนุญาต แต่สายตาที่มองเจ้านายเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ระคนอับอายที่เขาไม่ยอมบอกใบ้ว่าซามูเอลยืนอยู่ด้านหลัง

                ซามูเอลปรายตามองเลขาฯ คนสวยที่เดินตัวลีบออกจากห้องของนายจ้าง ทั้งขำทั้งมันเขี้ยวจนอยากฟาดก้นงามงอนนั่นสักครั้ง “คุณกำลังจะทำให้ไปป์ไม่อยากมองหน้าผม”

                “ไม่กล้ามองมากกว่า แต่อย่างน้อยฉันก็ทำให้นายรู้ไม่ใช่เหรอว่าความจริงไปป์ก็อยากกินนาย” พอลหัวเราะหึๆ เขาแอบสังเกตทั้งคู่มานานแล้ว นานจนเห็นว่าบอดีการ์ดหนุ่มชอบมองแฝดสาวด้วยแววตาเหมือนคนเริ่มกินมังสวิรัติ แล้วเห็นเมนูเนื้อน่ากิน ต่อให้เก็บความรู้สึกเก่งแค่ไหน แต่สายตาก็ไม่เคยปิดบังสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจได้

                “ผมว่าคุณห่วงสวัสดิภาพหัวใจของตัวเองก่อนดีกว่าไหมครับ” ซามูเอลถือแก้วกาแฟไปวางลงบนโต๊ะทำงาน สองแก้วนั้นเป็นของพอลทั้งสิ้น เพราะนายจ้างของเขานอนไม่พอมาหลายคืนแล้ว

                “ทุกอย่างปกติหรือเปล่า หรือว่าโลแกนเคลื่อนไหวอะไรอีก”

                “ปกติดีครับ ปกติจนน่ากลัว หมอนั่นกับเมียเพิ่งกลับจากฮาวาย ส่วนไอ้นิกก็วนเวียนอยู่แถวบรูคลินเหมือนเดิม มันแย่ตรงที่ตึกนั้นเป็นของโลแกน ทำให้เราทำอะไรไม่ได้ หรือคุณอยากให้ผมใส่ระบบลอบดักฟัง หรือให้คนแฮ็กกล้องวงจรปิด คอมพิวเตอร์หรือทีวีของทั้งตึก...”

                “เราไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเลวๆ แบบพวกมันในการหาข้อมูล แค่ป้องกันในส่วนของเราให้ดีก็พอ” เขาให้ซามูเอลเรียกหัวหน้าแผนกไอทีเข้าประชุมอยู่หลายครั้ง และครั้งสุดท้ายก็สั่งให้ติดตั้งระบบดักฟัง และตรวจเช็กความเคลื่อนไหวทั้งทางโทรศัพท์ อีเมล คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดของพนักงานทุกคนภายในไวส์แบงก์ มันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ไม่ต่างจากที่รัฐบาลสหรัฐ ดักฟังและบันทึกบทสนทนาทางโทรศัพท์ของทุกคนที่อยู่ที่นี่ โดยไม่สนเสียงประท้วงของประชาชน และคำตัดสินของศาลว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่นี่เป็นทางเดียวที่เขาคิดว่าจะสามารถป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลในองค์กรและหาตัวหนอนบ่อนไส้พบ

                เรื่องการติดตั้งระบบดักฟังและแทร็กข้อมูลการสื่อสารทุกด้านของคนในองค์กรเป็นความลับสุดยอดที่มีเพียงเขา ซามูเอล หัวหน้าแผนกไอที และพีท ซึ่งเป็นคนแนะนำให้นำระบบนี้มาใช้เท่านั้นที่รู้ พี่ชายของเขาคุ้นเคยกับระบบเหล่านี้เป็นอย่างดี เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ออกแบบมันให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้ พีทบอกว่าไม่ภูมิใจในผลงานชิ้นนี้นัก เนื่องจากคิดว่าจะถูกนำไปใช้แค่ในองค์กรของภาครัฐ ไม่ใช่กับคนทั้งอเมริกาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

                “ไม่มีอะไรคืบหน้าเกี่ยวกับแจนเลยเหรอ” เขาหวังว่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับศศินาราบ้าง อย่างน้อยนั่นอาจทำให้ศราวณะอยากคุย ไม่ใช่คอยหลบหน้ากันอย่างทุกวันนี้

                “ไม่มีจริงๆ ครับ นี่ก็สองเดือนกับสามวันแล้ว ผมเชื่อว่าศพของแจนน่าจะถูกฝังหรือเผาทำลายหลักฐาน พวกมันไม่น่าจะทิ้งอะไรให้เราตามเอาเรื่องได้” บอดีการ์ดหนุ่มเอ่ยตามตรง นักสังหารมืออาชีพย่อมรู้ดีว่าหลังจัดการกับเหยื่อ จะต้องทำลายหลักฐานให้หมด ยิ่งเป็นการตายที่เกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตก็ยิ่งทิ้งหลักฐานไว้ไม่ได้

                “เราจะสืบหาเรื่อยๆ จนกว่าจะพบหลักฐานว่าแจนตายแล้วจริงๆ หรือไม่ก็จนกว่าซาร่าห์จะบอกว่าไม่ต้องการให้สืบแล้วเท่านั้น”

                “ครับ คุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมไหมครับ วันนี้ที่ห้องอาหารมีล็อบสเตอร์แซนด์วิชด้วย” ซามูเอลยอมรับว่าเป็นห่วงสุขภาพของอีกฝ่ายไม่น้อย เพราะตั้งแต่ทะเลาะกับภรรยา พอลก็ไม่เคยได้กินอาหารฝีมือของอีกฝ่ายอีกเลย เมนูอาหารเช้าที่ศราวณะเคยทำห่อให้นำมากินที่ทำงานก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เจ้านายของเขากลายเป็นพวกเบื่ออาหาร เรียกว่ากินเพื่ออยู่ มากกว่าจะอยู่เพื่อกินของอร่อยเหมือนเมื่อก่อน

                “ฉันไม่หิว”

                “ผมรู้ว่าช่วงนี้คุณเบื่ออาหาร แต่อย่างน้อยก็ควรจะคิดบ้างว่าคุณไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะครับ นอกจากมิสกับคุณหนู คุณยังมีมิสนิกสันกับลูกที่กำลังโตขึ้นเรื่อยๆ”

                “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว เอาล็อบสเตอร์แซนด์วิชมาสอง น้ำส้มหนึ่งแก้ว แล้วถ้ามีอะไรน่ากินอีกก็ซื้อมาให้หมด” นักการเงินหนุ่มสั่งเสียงเข้ม ต่างจากแววตาซึ่งมองบอดีการ์ดหนุ่มอย่างขอบคุณที่คอยเตือนสติ ในเวลาที่เขาทำท่าเหมือนจะหลุดออกนอกกรอบ

                เขานั่งทำงานต่อไม่นาน ก็คว้าโทรศัพท์มากดรับสายของลอร่า เพราะเห็นว่าปกติอีกฝ่ายไม่เคยโทร. มารบกวนในเวลางาน

“มีอะไรหรือเปล่าลอร่า”

                “ขอโทษที่โทร. มากวนนะคะ ฉันแค่โทร. มาบอกว่าจะไปเซาท์แฮมป์ตันกับเพื่อนสามสี่วัน กลัวคุณแวะมาแล้วไม่เจอน่ะค่ะ”

                “โอเค ดูแลตัวเองให้ดีด้วย ห้ามยกของหนัก กินอาหารที่มีประโยชน์ อย่าทานอาหารทะเลมาก ห้ามดื่มของมึนเมา และก็ห้ามนอนดึกเป็นอันขาด เข้าใจใช่ไหม” ชายหนุ่มย้ำในสิ่งที่จำได้ขึ้นใจว่าหมอบอกอะไรบ้างตอนพาเธอไปฝากท้อง

                “ค่ะ แล้วเจอกันอาทิตย์หน้านะคะ” ลอร่าเอ่ยเสียงเครือแล้ววางสาย น้ำตาไหลพรากทุกครั้งที่รับรู้ว่าเขาห่วงใยเธอกับลูก 

               

                “เธอโอเคหรือเปล่าลอร่า” คนที่เพิ่งประตูเข้ามา ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อกับกางเกงสครับแพทย์กับพยาบาลที่อเมริกานิยมใส่ เร่งฝีเท้าเข้ามาหยุดข้างเตียงผู้ป่วยห้องวีไอพีด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ

                “ลิน…ฮือๆ ทำไมพระเจ้าถึงลงโทษฉันแบบนี้ การที่ฉันอยากมีลูกกับคนที่ฉันรัก มันเป็นความผิดร้ายแรงมากเลยเหรอ ทำไมพระเจ้าถึงไม่เห็นใจฉันบ้าง” ดาราสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นขณะกุมมือที่สั่นระริกกับหน้าท้องภายใต้ชุดผู้ป่วยสีเขียวอ่อน 

                “เธอยังมีโอกาสท้องอีกลอร่า อย่าคิดมาก รักษาตัวให้หายดีก่อน เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเขาดีกับเธอมาก นั่นอาจหมายความว่าเขาเริ่มมีใจให้เธอก็ได้นะ” สูตินรีแพทย์ที่เป็นทั้งที่ปรึกษาและคนรักษาปลอบโยนเสียงอ่อน

                “แต่เขาไม่ได้รักฉันเลยลิน เขารักผู้หญิงคนนั้น เขาไม่มีวันเปิดโอกาสให้ฉันมีอะไรด้วยอีกแน่ๆ ถ้าเขารู้ว่าฉันแท้ง คงรีบไล่ฉันกลับแอลเอ” สีหน้าของลอร่าฉายความหวาดกลัวสุดขีด

                “แล้วเธอจะทำอย่างไรลอร่า ถึงเธอไม่บอกวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออีกสองสามเดือนข้างหน้า เขาก็ต้องรู้อยู่ดีว่าเธอแท้ง เธอควรจะบอกเขาให้เร็วที่สุด” คนเป็นหมอเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ รู้ว่าผิดจรรยาบรรณที่แนะนำและช่วยเหลือลอร่าไปหลายเรื่อง หากนักการเงินคนนั้นรู้ว่าเธออยู่เบื้องหลังการตั้งครรภ์ของลอร่า แล้วคิดจะเล่นงาน ก็คงไม่เกินความสามารถของคนระดับเขา

                “ไม่…ไม่ใช่วันนี้ อาทิตย์นี้ หรือภายในเดือนนี้ ฉันทำใจไม่ได้จริงๆ ลิน ฉันเสียพอลไปตอนนี้ไม่ได้” นี่คือช่วงเวลาที่เธอมีโอกาสใกล้ชิดพอลที่สุดแล้ว แต่ละวันเขาจะแวะมาเยี่ยมหลังเลิกงานก่อนกลับบ้าน พอลเล่าให้เธอฟังเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ว่าทะเลาะกับสาวไทยหลังจากที่บอกเรื่องเธอกับลูก จนถึงวันนี้ก็ยังปรับความเข้าใจกันไม่ได้ นั่นอาจเป็นโอกาสเดียวที่เธอจะแทรกซึมเข้าไปในหัวใจเขา

                “แต่ถ้าเขารู้ภายหลังว่าถูกเธอหลอก เขาจะโกรธจนไม่อยากมองหน้าเธออีก คิดให้ดีนะลอร่าว่ามันคุ้มหรือเปล่า สำหรับฉัน การบอกตอนนี้ดีกว่า เพราะถึงจะเจ็บ แต่ก็จบกันด้วยดี” ลินพยายามเตือนสติ

                “ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รักเขาเลยลิน หรือถึงรักก็เทียบไม่ได้กับความรักของฉัน ถ้าเขานอนกับฉันอีก โอกาสที่ฉันจะท้องก็มีมาก ฉันเคยได้ยินว่าคนที่เพิ่งแท้งได้ไม่นานจะท้องได้อีกง่ายๆ” นัยน์ตาสีน้ำตาลมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีทันใด

                “ลอร่า ที่ผ่านมาเธอใส่ยาปลุกเซ็กซ์ในอาหารกับเครื่องดื่มของเขา เจาะถุงยาง และแอบเอาสเปิร์มจากถุงยางฉีดใส่ช่องคลอดตัวเองทุกครั้งที่มีโอกาส เธอพยายามอยู่กว่าเดือนถึงสำเร็จ ถ้าเธอพยายามจะมีอะไรกับเขาอีก เขาต้องระวังตัวแจแน่” ลินทำหน้าหนักใจ

ลอร่าโทร. หาเธอตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าปวดท้องมาก พอเดินทางไปหาถึงที่พักก็พบว่าดาราสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้องน้ำ ในมือถือก้อนเลือดที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าคือทารก ท่าทางเหมือนคนกำลังเสียสติ เธอตั้งท่าจะโทร. เรียกรถพยาบาล แต่ลอร่าสั่งห้ามเพราะกลัวเรื่องจะรู้ถึงหูพอลกับนักข่าว เธอจึงช่วยทำความสะอาดเนื้อตัวเพื่อนและพามาโรงพยาบาล

                “แต่มันก็สำเร็จไม่ใช่เหรอลิน สิ่งที่ฉันต้องการคือโอกาสและเวลาเท่านั้น ความจริงถ้าเธอช่วยฉันมากกว่านั้น ฉันก็คงท้องได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก”

                “ฉันช่วยมากกว่านั้นไม่ได้หรอกลอร่า เท่าที่ช่วยมามันก็ผิดจรรยาบรรณของหมอ และผิดศีลธรรมสำหรับคนทั่วไปมากพอแล้ว” ผู้ที่อยู่ในวงการแพทย์เอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด โชคดีเหลือเกินที่เธอปฏิเสธเมื่อลอร่าพูดเรื่องแช่แข็งสเปิร์มของพอลเพื่อทำเด็กหลอดแก้ว เธอไม่เล่นด้วยเพราะกลัวการถูกฟ้องร้องและเสียใบประกอบวิชาชีพ

                “ในเมื่อเธอไม่ช่วยฉัน ฉันก็ต้องหาทางช่วยตัวเองอีก” ดาราสาวประกาศเจตนารมณ์ด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว มันจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ ที่คนระดับเธอจะเอาชนะผู้หญิงโลว์โพรไฟล์ที่เขาหลงรักคนนั้นได้

                “หยุดคิดทุกอย่างที่ทำให้เธอเครียดและพักผ่อนเสียลอร่า ร่างกายของเธอต้องการการพักผ่อนหลังการขูดมดลูก ไม่อย่างนั้นอีกสามวัน ฉันก็ไม่อนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาล”

               

หนึ่งเดือนเต็มที่ศราวณะใช้ชีวิตเหมือนเส้นขนานกับสามี เธอจงใจออกจากห้องนอนหลังจากที่แน่ใจว่าเขาไปทำงานแล้ว และพาอลิซขึ้นชั้นบนทันทีที่กินอาหารเย็นเสร็จ มีเพียงเสาร์อาทิตย์เท่านั้นที่หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาไม่ได้ แต่ก็ใช้หลานสาวเป็นเกราะกำบังแทบตลอดเวลา

หญิงสาวโล่งใจที่พอลไม่ได้รบเร้าที่จะเคลียร์อย่างที่แอบกลัว ต้องขอบคุณไปเปอร์ที่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยจนเขาไม่ตามวอแว

กระนั้นการอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ไม่คุยกันดีๆ เหมือนสมัยก่อนก็สร้างความอึดอัดให้เธอขึ้นทุกวัน เหมือนถูกถ่วงด้วยตุ้มหินแล้วโยนลงทะเล ซึ่งเวลานี้เธอจวนเจียนจะขาดใจตาย

“เงียบอีกแล้วนะครับ ใจลอยถึงไหนแล้ว” อธิปซึ่งโทร. มาหาระหว่างพักรับประทานอาหารกลางวันท้วงมาตามสาย

                “ขอโทษค่ะพี่อาร์ต พอดีดาวคิดอะไรเพลินไปหน่อย พี่อาร์ตมีอะไรอีกหรือเปล่าคะ ดาวมีสายเรียกซ้อนจากยายนารถ”

                “ไม่แล้วครับ พี่ก็จะกลับไปทำงานเหมือนกัน แล้วคุยกันใหม่นะ”

                “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับแล้วกดรับสายเรียกเข้าของเพื่อนสนิท “ว่าไงจ๊ะคนสวย”

                “ดาว! ช่วยนารถด้วย!” คนพูดสะอึกสะอื้น

                “เกิดอะไรขึ้น” ศราวณะลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้

                “นารถมีปัญหากับโฮสต์ มัน…มันพยายามลวนลามนารถ นารถไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้วดาว นารถเก็บข้าวของออกมาจากบ้านของมันแล้ว นารถไม่รู้จะไปไหน นารถไปหาดาวได้ไหม ฮือๆ” นีรนารถร้องไห้ฟูมฟายมาตามสาย

                “ได้ ตอนนี้นารถอยู่ไหน เดี๋ยวดาวไปรับ” น้ำเสียงหวาดกลัวระคนเสียขวัญของอีกฝ่ายทำให้เธอรับคำแบบไม่เสียเวลาคิด

                “มะ...ไม่ต้องมารับก็ได้ แค่ส่งที่อยู่มา เดี๋ยวนารถขึ้นแท็กซี่ไปหาเอง นารถไม่อยากรอตรงนี้ กลัวมันจะตามมาเจอและลากกลับไปทำมิดีมิร้าย”

                “เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวดาวส่งที่อยู่ให้ ทำใจดีๆ ไว้นะ ดาวไม่ปล่อยให้มันทำร้ายนารถได้แน่” หญิงสาวรีบส่งที่อยู่ให้เพื่อนสนิท จากนั้นก็ถือสายคุย จนกระทั่งอีกฝ่ายขึ้นแท็กซี่จึงยอมวางสาย และต่อสายหาพอลด้วยความหนักใจ ที่ผ่านมาเขาเป็นฝ่ายพยายามเข้าหาเธอตลอด แต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือก เพราะเขาคือเจ้าของบ้าน

                “ซาร่าห์พอลยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนในห้องประชุมหยุดพูด แล้วกดรับสายด้วยหัวใจพองโต

                “ฉันโทร. มากวนคุณหรือเปล่าคะ” ศราวณะถามด้วยความกังขา หากไม่เห็นว่าเป็นเรื่องด่วน เธอคงไม่กล้าต่อสายหาเขาในเวลางานแบบนี้

                “ผมกำลังประชุม แต่ไม่มีอะไรเร่งด่วน คุยได้” คำตอบด้วยใบหน้ายิ้มพรายทำเอาทุกคนในห้องประชุมถึงกับหันไปทางไคลน์กับไปเปอร์ เหมือนจะถามว่าทำไมซีอีโอหนุ่มแห่งไวส์แบงก์ถึงได้พูดทำนองนั้น แต่พอไปเปอร์เขียนบางอย่างลงในกระดาษ แล้วยกขึ้นให้ดูเงียบๆ ก็ต่างคนต่างยิ้ม เพราะมันคือรูปหัวใจดวงโต

                “ค่ะ คือเพื่อนสนิทของฉันโดนโฮสต์แด๊ดลวนลาม เธอกลัวมาก เลยขนข้าวของออกจากบ้านโฮสต์ นารถยังไม่มีที่ไป ฉันก็เลยบอกให้มาหาที่นี่ แต่ฉันกลัวคุณจะว่าที่ไม่ขออนุญาตก่อนค่ะ”

                “เพื่อนของคุณก็คือเพื่อนของผม บ้านของผมก็คือบ้านของคุณ คัปเค้ก คุณไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผมหรอก

                “ขอบคุณค่ะ เอ่อ…นารถอาจต้องพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะหาโฮสต์ใหม่ได้นะคะ

                “ทำไมเราไม่เป็นโฮสต์ให้เพื่อนคุณเลยล่ะ คุณจะได้มีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ เวลาไปไหนหรือทำอะไร จะได้ไม่เหงาไง

                “คุณพูดจริงเหรอคะ!” หญิงสาวละล่ำละลักถามด้วยความตื่นเต้นดีใจสุดขีด 

                “ผมเคยโกหกคุณเหรอ” เขาทวนความทรงจำให้เธอด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม

                “ไม่ค่ะ คุณรักษาคำพูดเสมอ ฉันโทร. มากวนเวลาประชุมของคุณหลายนาทีแล้ว แค่นี้ก่อนนะคะ”

                “เย็นนี้ทำกับข้าวให้ทานหน่อยได้ไหม ผมคิดถึงอาหารของคุณ” ความจริงเขาคิดถึงคนทำมากกว่า แต่ไม่กล้าพูดต่อหน้าทุกคนในห้องประชุมซึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แถมมองมาตาไม่กะพริบ

                “อ่า คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”

                “อะไรก็ได้ที่คุณทำ ผมชอบทั้งนั้นแหละ เจอกันตอนหกโมงครึ่งนะ” นักการเงินหนุ่มวางสายด้วยดวงหน้าฉาบรอยยิ้ม ก่อนจะปรับเป็นเคร่งขรึม ถามเลขานุการว่าประชุมค้างที่เรื่องไหน กระนั้นบรรยากาศของการประชุมก็ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนก่อนหน้า

 

                นีรนารถเดินทางมาถึงคฤหาสน์ตอนเกือบบ่ายสามโมง เมื่อลงจากแท็กซี่ได้ก็วิ่งเข้าไปกอดเพื่อนสนิทที่รอรับอยู่ด้านหน้าด้วยความดีใจ ศราวณะปล่อยหน้าที่ขนกระเป๋าเดินทางให้เป็นของอลันกับเทรเวอร์ แล้วแนะนำให้นีรนารถรู้จักกับทุกคนที่คฤหาสน์ ก่อนจะเดินตามพ่อบ้านชาร์ลีขึ้นไปยังห้องพักชั้นบนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของโซอี้

                “ผมจะลงไปสั่งให้คนเตรียมของว่างกับน้ำชาให้มิสกับเพื่อนของมิสนะครับ”

                “ขอบคุณมากค่ะชาร์ลี ฉันรบกวนให้คนเตรียมของว่างเผื่ออลิซด้วยนะคะ คิดว่าเดี๋ยวแกก็น่าจะตื่น เอ่อ…แล้วก็บอกเป๊ปด้วยว่าไม่ต้องทำอาหารเย็นค่ะ ฉันจะเข้าครัวเอง” หญิงสาวบอกพ่อบ้านด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ก่อนหันมาสำรวจเนื้อตัวของเพื่อนอีกครั้ง “นารถเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

                “ไม่จ้ะ นารถโชคดีที่โฮสต์มัมกลับมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก แถมมองนารถอย่างระแวง ดูจะเข้าข้างโฮสต์แด๊ดด้วยซ้ำ” นีรนารถสำรวจห้องพักของตัวเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ที่นี่ใหญ่โตโอ่อ่ามากเลยนะ ห้องนี้ใหญ่กว่ามาสเตอร์เบดรูมของบ้านโน้นเสียอีก ดาวโชคดีจริงๆ ที่ได้อยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้”

                “ใหญ่จนสงสารแม่บ้านเลยละ คนรวยนี่ชอบฟุ้งเฟ้อกันแปลกๆ คฤหาสน์หลังเบ้อเร่อ แต่อยู่กันไม่กี่คน นี่ถ้าดับไฟและจุดเทียนแทน คงได้บรรยากาศคฤหาสน์ผีสิงของแท้” ศราวณะหัวเราะแกนๆ

                ถึงจะไม่ค่อยได้คุยกับสามีในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่มิสเตอร์เพอร์เฟกชันนิสต์ก็ยังมิวายให้แม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาดห้องของเธอวันละสองครั้ง ตอนสิบโมงเช้าและตอนห้าโมงเย็น พอบอกแม่บ้านว่าไม่ต้อง อีกฝ่ายก็ทำท่ากลัวจนหัวหด บอกว่าหากไม่ทำจะถูกไล่ออก จึงจำใจปล่อยเลยตามเลย เพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้ใคร

                “ขอโทษที่นารถมารบกวนให้ดาวช่วยแบบนี้นะ แต่นารถไม่รู้จะพึ่งพาใครแล้วจริงๆ” คนพูดทำหน้ารู้สึกผิด

                “อย่าคิดมากเลย เราเป็นเพื่อนกันมานาน ไม่ให้ดาวช่วยเพื่อนแล้วจะให้ดาวช่วยใคร” มือบางเอื้อมไปกุมมือคนฟังพร้อมบีบเบาๆ “ดาวเล่าเรื่องของนารถให้มิสเตอร์ไวส์แมนฟังแล้วนะ”

                “เขาโอเคหรือเปล่าที่นารถมาพักบ้านเขาแบบนี้” นีรนารถทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยิ่งเห็นสีหน้าอึดอัดของเพื่อนสนิทก็ยิ่งใจคอไม่ดี

                “เขา…เอ่อ…” ศราวณะถอนใจยาว ก่อนที่จู่ๆ จะฉีกยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายเจิดจ้า “เขาบอกว่าจะเป็นโฮสต์ให้นารถเอง ไม่ต้องไปเสียเวลาหาโฮสต์ใหม่แล้ว”

                “กรี๊ด! จริงเหรอ”

                “จริง เดี๋ยวเย็นนี้นารถก็เจอเขาแล้ว” หญิงสาวพูดจบก็รับการโถมกอดจากอีกฝ่ายแทบไม่ทัน เธอกอดตอบด้วยความดีใจไม่แพ้กัน โล่งใจที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนสนิทในยามที่อีกฝ่ายเจอมรสุมชีวิตได้

               

                พอลกลับมาถึงบ้านก่อนเวลาที่บอกภรรยาไว้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่ยิ้มไม่หุบมาตลอดการเดินทาง ต้องขอบคุณนีรนารถที่เข้ามาถูกจังหวะ ไม่อย่างนั้นศราวณะคงยังไม่ยอมคุยกับเขา ชายหนุ่มถือไฮยาซินธ์สีขาวกับชมพูช่อโตเดินฮัมเพลงเข้าคฤหาสน์ มุ่งหน้าไปยังครัวด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะยังเดินไม่ถึง ก็ได้ยินบทสนทนาเป็นภาษาไทยและเสียงหัวเราะของอลิซ

                “ปะป๊า!” แม่หนูน้อยอุทานก่อนไถลตัวลงจากเก้าอี้ทรงสูง พาร่างอวบๆ วิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นเต้น

                “อลิซ” เขาขานรับด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อแม่ตัวน้อยวิ่งมาถึงก็อุ้มด้วยมือข้างที่ว่าง ฝังจูบแก้มยุ้ยอย่างรักใคร่ “ชื่นใจที่สุด”

                “ดอกไม้” อลิซมองดอกไม้ช่อโตแล้วสูดความหอมเต็มปอด “หอม”

                “แต่ก็หอมสู้แก้มอลิซไม่ได้” พอลจูบแก้มนุ่มอีกข้าง อุ้มร่างกระจ้อยร่อยเข้าครัวและวางลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ก่อนจะยื่นช่อดอกไม้ให้ศรีภรรยา “มันสวยและหอมดี คิดว่าคุณน่าจะชอบ”

                “ขอบคุณค่ะ ดอกอะไรคะ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง เห็นด้วยกับเขาว่าดอกไม้หน้าตาแปลกๆ นี้มีกลิ่นหอมจรูงใจมาก หอมหวานละมุนละไมกว่ากลิ่นของกุหลาบเสียอีก

                “ไฮยาซินธ์” เสียดายที่ตอนนี้มีคนนอกอยู่ เขาจึงไม่กล้าบอกว่ามันคือสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นใหม่

                “ฉันเคยได้ยินแต่ชื่อ เพิ่งรู้ว่าหน้าตาของมันเป็นแบบนี้” เธอตอบยิ้มๆ ก่อนหันไปทางเพื่อนสนิท “นี่นารถ เพื่อนสนิทของฉันค่ะ นารถ…นั่นมิสเตอร์ไวส์แมน”

                “ยินดีที่ได้รู้จักแนต ซาร่าห์พูดถึงคุณบ่อยมาก ดีใจที่ได้เจอกันเสียทีนะ” ชายหนุ่มยื่นมือออกไปสัมผัสมือของอีกฝ่าย เรียกชื่อเล่นด้วยภาษาไทยแปร่งๆ

                “เรียกฉันว่านีน่าเถอะค่ะ”

เพียงสัมผัสมือกัน นีรนารถก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆ แล่นปราดไปทั่วร่าง ตัวจริงของผู้ชายคนนี้ดูดีกว่าที่เธอเห็นผ่านวิดีโอคอลหลายเท่า เขาสูงใหญ่มาก แต่กลับไม่ได้ดูเก้งก้างเหมือนคนตัวสูงทั่วๆ ไป สูทสีกรมท่าแบบพอดีตัวทำเอาเธอหน้าร้อนผ่าว เมื่อจินตนาการถึงเรือนร่างกำยำที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้าม คิ้วดกหนาสีน้ำตาลเข้มที่ปลายตวัดเฉียงบอกนิสัยเด็ดขาดเอาแต่ใจ ตัดกับสีฟ้าน้ำทะเลของดวงตาทรงเสน่ห์อย่างน่ามอง เธอยอมรับว่าพอลมีดวงตาสวยที่สุดเท่าที่เคยเจอ มันทรงพลัง ชวนให้หลงใหลและครั่นคร้ามในเวลาเดียวกัน ยามเขามองศราวณะ เธอเห็นความหวานเชื่อมลึกซึ้งอยู่ในนั้น แต่ก็มั่นใจว่าหากโกรธเกรี้ยวขึ้นมา คงทำให้ฝ่ายตรงข้ามขวัญหนีดีฝ่อ

                “โอเคนีน่า ซาร่าห์บอกคุณเรื่องที่เราจะเป็นโฮสต์แล้วใช่ไหม”

                รอยยิ้มและสายตาของเขาทำเอานีรนารถแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ผู้ชายคนนี้ดูดีทุกอิริยาบถ เวลาไม่ยิ้มและอยู่ในชุดสูท เขาดูเหมือนนายแบบที่เพิ่งเดินออกมาจากปกของจีคิวแมกาซีน แค่น้ำเสียงทุ้มต่ำชวนฟังกับรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ก็พาให้โลกของเธอสดใสขึ้นมาทันตา 

                “ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ฉันเกรงใจคุณกับดาว เอ่อ…ซาร่าห์เหลือเกิน แต่ก็ขอบคุณจริงๆ ค่ะที่หยิบยื่นโอกาสใหม่ให้ฉัน

                “ต้องขอบคุณโชคชะตามากกว่าที่คุณมีปัญหากับโฮสต์ หลังจากที่พี่เลี้ยงคนเก่าของอลิซลาออกไปได้แค่เดือนเดียว ผมหวังว่าคุณจะชอบที่นี่ และคิดว่ามันเป็นบ้านอีกหลังของคุณนะ” ชายหนุ่มเหลือบมองแม่ครัวที่สาละวนกับการทำอาหาร “เมนูเย็นนี้มีอะไรบ้าง”

                “สตาร์ตเตอร์ของผู้ใหญ่เป็นกุ้งมะนาวเปรี้ยวแซ่บค่ะ ส่วนของอลิซก็ทอดมันข้าวโพดกุ้งสับ เมนูหลักมีฟักทองผัดไข่ ต้มข่าไก่ และก็ลาบหมู” หญิงสาวส่งจานกุ้งมะนาวเปรี้ยวแซ่บที่เพิ่งทำเสร็จมาวางลงบนเคาน์เตอร์หินอ่อน ตามด้วยจานใส่ทอดมันข้าวโพดกุ้งสับ แต่ละจานถูกตกแต่งอย่างสวยงาม จนคนมองถึงกับทึ่งในความสามารถในการประดิดประดอย

                “หม่ามี้ทั้งสวยทั้งเก่งเนอะอลิซ”

                “หม่ามี้สวย หม่ามี้เก่ง” แม่หนูน้อยทั้งชมทั้งปรบมือให้คุณแม่คนเก่งที่ยิ้มแก้มแทบแตก

                “ชมอย่างเดียวไม่พอนะคะ ต้องกินให้หมดด้วย ไม่งั้นหม่ามี้จะเศร้ามาก”

                “อลิซเรียกดาวว่าแม่ เรียกเขาว่าพ่อเหรอ” นีรนารถถามเป็นภาษาไทย เพราะไม่อยากให้พอลเข้าใจ

                “อืม คืออลิซดูทีวีแล้วเห็นเด็กคนอื่นมีพ่อแม่มั้ง ก็เลยเหมาว่าดาวเป็นแม่ แล้วเขาเป็นพ่อ” หญิงสาวโยนทุกอย่างให้หลาน เนื่องจากกลัวว่าหากบอกความจริงว่านั่นเป็นความต้องการของพอลจะโดนซักฟอกหนักขึ้นไปอีก

                “ท่าทางเขาสนใจดาวมากนะ ซื้อดอกไม้มาฝากด้วย ทั้งๆ ที่ในคฤหาสน์ก็มีเรือนกระจกปลูกดอกไม้เยอะแยะ”

“เขากำลังจะมีลูกกับดาราคนหนึ่ง อีกไม่กี่เดือนก็จะเป็นพ่อคนแล้ว” ศราวณะเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะอึดอัดที่จะเล่าเรื่องระหว่างเธอกับเขา

                “ใคร ชื่ออะไร”

                “ดาวเองก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไร รู้แต่ว่าเขากำลังจะมีลูกด้วยกัน เขาคงไม่บอกว่าดาราคนไหน เพราะกลัวว่าจะรั่วไหลถึงหูนักข่าวมั้ง นารถก็น่าจะรู้ว่าปาปารัซซีที่นี่ทำงานกันหนักแค่ไหน ชิมลาบกับต้มข่าไก่ให้หน่อยสิว่ารสชาติใช้ได้หรือยัง” เธอจำใจโกหก ก่อนเบี่ยงเบนประเด็นสนทนาโดยการตักอาหารทั้งสองอย่างมายื่นให้ชิม

                “หูย…อร่อยทั้งสองอย่างเลย โดยเฉพาะลาบ รสชาติไทยแท้ ต้นตำรับสุดๆ

                “แหงละ เครื่องครบแถมข้าวคั่วก็คั่วแบบสดๆ ร้อนๆ ด้วย”

                หญิงสาวตอบเพื่อนแล้วหันมาถามสองพ่อลูกที่เคี้ยวเมนูเรียกน้ำย่อยกันตุ้ยๆ ว่าเป็นอย่างไร เมื่อทั้งคู่ยกนิ้วโป้งทั้งสี่เป็นเชิงบอกว่าอร่อยมากก็ยิ้มแก้มตุ่ย เธอใช้เวลาไม่กี่นาทีในการทำเมนูสุดท้าย ตักใส่จานและยกไปวางบนโต๊ะดินเนอร์โดยมีนีรนารถคอยเป็นลูกมือ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น