หลังจากที่ถามเรื่องแมทธิวกับไวโอเล็ตจนเหนื่อย แต่กลับไม่ได้คำตอบอะไรนอกจากเสียเวลาแล้ว วิลเลี่ยมก็เลิกพยายาม เปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระแทน ทั้งเรื่องโรงเรียนและเรื่องงาน และวิลเลี่ยมก็ได้รู้ว่าไวโอเล็ตยังคงเรียนมหาวิทยาลัยในระบบทางไกลอยู่ เพราะเธอต้องมาทำงานในแอลเอ
“ทำไมไม่โอนหน่วยกิตมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแถวๆ นี้ล่ะ มันไม่ง่ายกว่าเหรอ” เขาถามกึ่งเสนอความเห็น “หรือว่ามีเหตุผลอย่างอื่น”
“ฉันใกล้จะเรียนจบแล้วค่ะเลยไม่อยากย้ายให้วุ่นวาย” ไวโอเล็ตปิดปากที่กำลังเคี้ยวขนมอยู่ขณะพูด “อีกเทอมกว่าๆ ก็จะจบแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอ” วิลเลี่ยมพยักหน้าทำเป็นเข้าใจ แล้วเอ่ยถามไวโอเล็ตถึงวันที่เขาไปส่งเธอ “แล้วงานวันนั้นเป็นยังไงบ้าง ทำได้หรือเปล่า”
“เอาจริงๆ ฉันว่าไม่ได้หรอกค่ะ” ไวโอเล็ตเล่าหงอยๆ แล้วทำเสียงแข็งขันใส่วิลเลี่ยม “แต่ฉันไม่ถอยหรอก วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ต้องได้”
“แล้วทำไมคุณถึงอยากเป็นนางแบบล่ะ” วิลเลี่ยมถามด้วยความสงสัยอย่างแท้จริง เพราะปกติเขาไม่สนใจที่จะรู้เรื่องของผู้หญิงคนไหนจริงจังทั้งนั้นละ ทำไมน่ะเหรอ ก็มันเสียเวลาน่ะสิ!
“ไม่รู้สิคะ” ไวโอเล็ตยักไหล่ด้วยท่าทางเก๋ไก๋แล้วเหยียดยิ้ม มองหน้าวิลเลี่ยมด้วยสายตาพราวระยับ “คงเพราะมีคนบอกว่าฉันทำได้ละมั้ง”
“ถามได้มั้ยว่าเป็นใคร” วิลเลี่ยมเอียงคอมองคนตัวเล็ก เผลอจ้องมองตาคู่นั้นอยู่นาน
“แฟนเก่าฉันน่ะค่ะ” ไวโอเล็ตยิ้มเล็กๆ พร้อมคำตอบ
ห่าเอ้ย...แฟนเก่าที่ไหนอีกแล้ววะเนี่ย! ตัวแค่นี้หัดมีแฟนก่งแฟนเก่าแล้วเหรอยายเป็ด! วิลเลี่ยมสบถด่าในใจ
“เขาพูดว่าฉันทำได้”
“แล้วทำไมถึงเลิกกัน” วิลเลี่ยมหันหัวเรือ เปลี่ยนประเด็นใหม่ทันทีโดยไม่สนใจว่าบทสนทนาของเขากับเธอออกจะพิลึกแปลกๆ “คุณทิ้งเขาหรือเขาทิ้งคุณ”
“เราจบกันด้วยดีค่ะ” ไวโอเล็ตจ้องวิลเลี่ยมงงๆ ก่อนจะตอบแบบไม่เต็มเสียง “เราก็แค่โตขึ้น เขารู้ว่าเขาชอบอะไรและฉันก็เข้าใจ...เราเลยเป็นเพื่อนกัน”
“หมายความว่าตอนนี้ยังติดต่อกันงั้นสิ” วิลเลี่ยมไล่บี้ “เขาอยู่ที่แอลเอหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ เขาทำงานอยู่นิวยอร์ก” ไวโอเล็ตส่ายหน้า
“พูดอย่างนี้แสดงว่ายังติดต่อกันอยู่อย่างงั้นสิ” วิลเลี่ยมแกล้งถาม หรี่ตามองไวโอเล็ตด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ “คุยกันบ่อยมั้ย”
“ก็คุยกันปกติค่ะ” แม้จะรู้สึกแปลกกับท่าทางของวิลเลี่ยม แต่ไวโอเล็ตก็ยังตอบคำถาม “ก็อย่างที่บอก เราไม่ได้โกรธกัน ถ้าคิดถึงก็โทร. หา”
“คิดถึงก็โทร. หา!” วิลเลี่ยมอุทาน ควันออกหูหวือๆ คิดถึงก็โทร. หางั้นหรือ บ้าไปแล้ว! “มือถืออยู่ไหน เอามานี่ซิ”
“ทำไมคะ มีอะไรหรือเปล่า” ไวโอเล็ตถามงงๆ
“เอามาเถอะน่า” วิลเลี่ยมพูดตัดรำคาญ มองมืองุ่มง่ามของยายเป็ดน้อยที่กำลังล้วงหาโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กในกระเป๋าถือแล้วก็หน้าตูม อะไรมันจะต้องหานานขนาดนั้น กับอีแค่โทรศัพท์มือถือเนี่ย
“นี่ค่ะ” ไวโอเล็ตส่งโทรศัพท์ให้วิลเลี่ยมอย่างงงๆ และสับสน มองเขากดโทรศัพท์มือถือเธอยุกยิกอยู่เป็นนานพร้อมกับทำหน้าหงุดหงิด
“อะ” วิลเลี่ยมส่งโทรศัพท์มือถือในมือคืนให้เจ้าของ “นี่เบอร์ผม ถ้าเหงาหรือว่าคิดถึงใครก็โทร. มา ไม่ต้องคุยกับแฟนเก่านะรู้มั้ย เดี๋ยวมันจะคิดว่าคุณยังมีเยื่อใย”
“เจมส์เขาไม่คิดอย่างนั้นหรอกค่ะ” ไวโอเล็ตปกป้องอดีตคนรัก
“คุณเป็นผู้หญิงจะไปรู้ได้ยังไงว่าพวกผู้ชายมันคิดยังไง” วิลเลี่ยมขัดคอ มองไวโอเล็ตด้วยความไม่พอใจ หน็อย...กับอีแค่แฟนเก่าก็ต้องปกป้อง “คนเคยคบกันถ้าเหงาๆ มา มันก็หวั่นไหวกลับไปคบกันได้ทั้งนั้นแหละ หรือว่าอยากกลับไปคบกับมันฮะ” วิลเลี่ยมถามติดจะแง่งอน
“กลับไปคบกันก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ” ไวโอเล็ตกะพริบตาปริบๆ มองคนที่นั่งตัวสั่นอยู่ฝั่งตรงข้ามงงๆ แล้วอ้อมแอ้ม “เจมส์ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
“นี่ยายเป็ด ขึ้นชื่อว่าแฟนเก่ามันก็เป็นของเลวร้ายหมดนั่นแหละ เข้าใจมั้ย!” วิลเลี่ยมพูดลอดไรฟัน กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูด โมโหคนตัวเล็กที่คอยแต่จะเถียง “แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า ต่อให้ดีแค่ไหนก็อย่าไปยุ่งรู้หรือเปล่า รีบทำใจแล้วหาคนใหม่ ผู้ชายดีๆ มีอีกตั้งเยอะแยะ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะกลับไปสักหน่อยนี่คะ” ไวโอเล็ตทำแก้มพอง แสร้งยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม แต่อาการงอนเล็กๆ ของเธอก็ไม่อาจจะพ้นสายตาเสืออย่างวิลเลี่ยมไปได้ “ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วยล่ะคะ”
“ผมพูดเรื่องแฟนเก่าแค่นี้งอนเลยเหรอ” วิลเลี่ยมแหย่ ใช้นิ้วเขี่ยแก้มนวลอย่างหยอกเย้าจนไวโอเล็ตหน้าตูม “โอ๋ๆ ขอโทษนะครับ”
“นี่พอเลยนะคุณวิลเลี่ยม!” ไวโอเล็ตตวาดแว้ด รวบจับมือที่กำลังก่อกวนเธอเอาไว้แล้วกดลงไปที่โต๊ะ ป้องกันไม่ให้วิลเลี่ยมได้ฉวยโอกาสกับร่างกายเธออีก เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ไวโอเล็ตกำลังกุมมือหนาของวิลเลี่ยมบนโต๊ะแทน “แก้มฉันไม่ใช่ของเล่นนะคะ ไม่ต้องมาเขี่ยเลย”
“ก็เห็นมันแดงๆ น่ากัดเหมือนมะเขือเทศ เลยจับดู...อยากรู้ว่ากินได้หรือเปล่า” วิลเลี่ยมยิ้มตาหยี ก่อนจะทำเสียงกระเส่าชวนให้ไวโอเล็ตใจเต้นโครมครามในประโยคสุดท้าย “ถ้ากินได้ก็จะกินให้หมดทั้งตัวเลย”
“บ้า!”
เมื่อดื่มกาแฟและกินเค้กเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไวโอเล็ตที่คิดว่าตัวเองจะได้กลับบ้านก็หน้าชื่นตาบาน ยิ้มกว้างจนวิลเลี่ยมผิดสังเกต
ดูท่ายายเป็ดนี่จะดีใจที่มีข้ออ้างเพื่อหนีเขากลับบ้านสักทีสินะ มันน่าจับกินให้หมดทั้งตัวตรงนี้นัก! ยายเป็ด! วิลเลี่ยมคิดในใจระหว่างเดินตามหลังไวโอเล็ตออกมาจากโต๊ะ
“นี่...คุณจะไปไหนต่อ” วิลเลี่ยมรู้สึกอยากแกล้งยายเป็ดน้อยขึ้นมาตงิดๆ
“ก็กลับบ้านไงคะ” ไวโอเล็ตหันมาตอบ ยิ้มกว้างเชิงสะใจเล็กๆ ที่สลัดพ่อคนเจ้าชู้ได้สักที หลังจากที่เธอต้องทนนั่งใจแกว่งตั้งนานสองนาน “ขอบคุณนะคะที่พามาร้านน่ารักๆ แบบนี้ ฉันคิดว่าฉันคงต้องมาเหมาเค้กมะนาวกลับไปกินที่บ้านสักวัน” ว่าแล้วก็ย่นจมูก ทำท่าว่าจะไปซื้ออีกชิ้นเพราะไม่อิ่มและเพราะเค้กอร่อยมาก วิลเลี่ยมก็เลยสละเค้กของเขาให้เธอด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่อยากนั่งรอเธอไปต่อคิวนานและเขาก็ไม่ชอบกินขนมหวาน ไวโอเล็ตเลยจัดการสวาปามเค้กของเขาอย่างเอร็ดอร่อย
“กินจุขนาดนี้ไม่กลัวอ้วนเหรอ” วิลเลี่ยมแหย่ คิดว่าไวโอเล็ตจะโมโหที่เขาแหย่เธอเรื่องน้ำหนักเหมือนอย่างผู้หญิงคนอื่นแล้วจะได้มีเรื่องทะเลาะกัน และเธอจะอยู่กับเขานานขึ้นอีกนิด “แค่นี้ยังเหมือนเป็ดไม่พอใช่มั้ย อยากจะท้องลากดินเวลาเดินเหมือนเป็ดอีกเหรอ”
“วิจารณ์เรื่องรูปร่างของผู้หญิงต่อหน้าอย่างนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยนะคะคุณวิลเลี่ยม!” ไวโอเล็ตกัดปากอิ่มของตัวเองที่มักจะโดนล้อว่าเหมือนเป็ดบ่อยๆ เอาไว้แน่น แล้วมองหน้าคมของคนที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ตาขวาง “ฉันแปลกใจจริงๆ เลยว่าทำไมผู้หญิงถึงชอบคุณเข้าไปได้ คุณไม่เห็นน่าชอบตรงไหนเลย”
“พูดงี้หยามกันเกินไปหรือเปล่าสาวน้อย” วิลเลี่ยมหน้าเสีย โดนเป็ดลูบคมแบบนี้มันเอาไว้ไม่ได้ “ผู้หญิงที่ไหนจะไม่ชอบ วิลเลี่ยม เทรเวนบ้างครับ ไหนลองพูดชื่อมาสิ”
“ก็ฉันไงคะ” ไวโอเล็ตเชิดหน้าบอกวิลเลี่ยมด้วยท่าทีเหนือกว่า “ฉันไม่ได้ชอบคุณค่ะคุณวิลเลี่ยม เทรเวน เห็นมั้ยคะว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะชอบคุณสักหน่อย”
“นั่นเพราะเธอชอบแมทธิวอยู่ไม่ใช่หรือไง” วิลเลี่ยมกัดฟันพูด “เธอมีคนที่ชอบอยู่แล้วก็พูดได้สิว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับเสน่ห์ของฉันน่ะ”
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย” ไวโอเล็ตเถียง “มีคนที่ชอบอยู่แล้วก็ชอบคนอื่นได้”
“ไม่ได้” วิลเลี่ยมพูดเสียงเขียว
“ได้สิ ขนาดคุณยังชอบผู้หญิงหลายคนพร้อมกันเลย ทำไมคนอื่นจะทำไม่ได้ล่ะคะ” ไวโอเล็ตย้อน “หรือคุณจะเถียงว่าไม่จริง”
“ไม่จริง” วิลเลี่ยมตอบเร็วๆ จ้องหน้าคนที่ลอยหน้าลอยตาพูดอย่างอวดเก่งแล้วกัดฟันกรอด ยายเด็กนี่...กล้าอวดเก่งใส่เสืออย่างเขาเชียวนะ “ถ้าชอบคนหนึ่งแล้วจะไปชอบคนอื่นได้ยังไง มันจะไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอที่จะทิ้งคนที่ชอบคนแรกไปหาอีกคนน่ะ”
“แล้วที่คุณทำมันใจร้ายไปหรือเปล่าล่ะคะ”
“ผมไม่ได้มีคนที่ชอบสักหน่อย” วิลเลี่ยมพูดลอดไรฟัน “เมื่อไม่ได้ชอบใคร ถ้ามีคนเข้ามาเราก็มีสิทธิ์คุย”
“ได้ยินว่าไม่ได้ทำแค่คุยสักหน่อย” ไวโอเล็ตบ่นกับตัวเองอุบอิบ แต่วิลเลี่ยมก็ไม่วายได้ยิน
“ก็ทำอย่างอื่นแล้วทำไมล่ะ ผมก็ไม่ได้บังคับใครให้มาสมยอมผมสักหน่อย เราพอใจกันทั้งสองฝ่าย...คุณพูดเองว่าเราอยู่อเมริกา...ที่นี่เป็นประเทศเสรี ถ้าเขาไม่เต็มใจผมก็ไม่บังคับหรอกคนสวย ของแบบนี้คุณก็น่าจะรู้อยู่ โตที่นี่ไม่ใช่หรือ”
“ก็รู้ค่ะ” ไวโอเล็ตรับแกนๆ เถียงวิลเลี่ยมไม่ออกสักแอะ เพราะเพื่อนๆ ของเธอก็ไม่ได้จริงจังกับความสัมพันธ์ระยะสั้นกันสักเท่าไร แค่ต่างฝ่ายต่างพอใจในข้อตกลงก็พอ “แต่พูดแบบนั้นมันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอคะ”
“อย่าคิดว่าผู้ชายเห็นแก่ตัวได้ฝ่ายเดียวสิเป็ดน้อย” วิลเลี่ยมอมยิ้ม ส่ายหน้ามองเด็กไม่ประสาอย่างไวโอเล็ต เธอยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก “มันไม่ยุติธรรมเลยนะที่เธอตัดสินฉันจากสิ่งที่คนอื่นเขาพูดมา เธอคิดเหรอว่าผู้หญิงจะเห็นแก่ตัวไม่ได้”
“ก็ได้ค่ะ” ไวโอเล็ตอ้อมแอ้ม รู้สึกผิดเมื่อวิลเลี่ยมพูดจี้ใจดำ “ฉันขอโทษนะคะที่เสียมารยาทกับคุณ เอาเป็นว่าฉันเสียใจก็แล้วกันค่ะ”
“อย่าเสียใจเลย” วิลเลี่ยมก้าวฉับๆ เข้าไปล็อกตัวไวโอเล็ต กดร่างเล็กแนบกระจกใสหน้าร้านกาแฟ แล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้ “บางทีสิ่งที่เธอได้ยินมามันอาจจะไม่จริงก็ได้ อย่าด่วนตัดสินใจ”
“คุณหมายความว่ายังไงคะ” ไวโอเล็ตชักสีหน้าใส่วิลเลี่ยมด้วยความรำคาญ “ฉันเชื่อสิ่งที่เขาพูด...คุณก็ว่าฉันหูเบา พอฉันเชื่อที่คุณพูด...คุณก็บอกให้ฉันอย่าเชื่ออีก ฉันงงไปหมดแล้วนะคะ”
“ก็อย่าเชื่อใคร” วิลเลี่ยมกระตุกยิ้มเหมือนเสือร้าย ชวนให้ท้องไส้ของไวโอเล็ตปั่นป่วน ไม่รู้ว่าเพราะรอยยิ้มของเขา หรือเพราะว่าปากเขาอยู่ใกล้หน้าเธอจนเกินไปกันแน่ “เพราะบางครั้งเรายังโกหกตัวเองเลย ใช่หรือเปล่าเป็ดน้อย”
ไวโอเล็ตพยักหน้ารับ ไม่ได้ยินที่วิลเลี่ยมถามด้วยซ้ำ ขอแค่ให้เขารีบเอาหน้าออกไปห่างๆ เธอก็เห็นดีเห็นงามไปกับเขาทั้งนั้นละ
“เด็กดี” วิลเลี่ยมยิ้มสมใจ ยอมถอนหน้ากลับเมื่อแกล้งเธอได้สมใจแล้ว “มาเถอะ เราต้องรีบไปแล้ว”
“ไปไหนกันคะ” ไวโอเล็ตถามด้วยอารามตกใจและแปลกใจที่เห็นเขาเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้ “คุณไม่ต้องรีบไปก่อนที่คุณแมทธิวจะกลับหรือคะ”
“ไม่” วิลเลี่ยมตอบห้วนๆ กระตุกมือไวโอเล็ตเข้ามาใกล้ บังคับให้เธอเดินกุมมือไปกับเขาหน้าตาเฉย “และเราจะไปเดตกัน”
“เดี๋ยวๆ เดตอะไรกันคะ” ไวโอเล็ตรั้งแขนของวิลเลี่ยมให้หยุด บังคับเท้าของเธอให้ปักหลักบนพื้นแน่น “ฉันคิดว่าเราแค่มาทานกาแฟกันเฉยๆ ไม่ใช่หรือคะ”
“ก็วันนี้ผมหยุด แล้วคุณก็ว่าง เราสองคนเลยจะไปเดตกันไง” วิลเลี่ยมกวนประสาท ไม่สนว่าเหตุผลที่เขาอ้างมันไม่ได้น่าเชื่อถือหรือคล้อยตามได้เลย “อย่าทำหน้าเหมือนผมจะพาคุณไปโดดเหวอย่างนั้นสิ ไปเดตกับผมสนุกนะจะบอกให้”
“แต่ฉันไม่ได้อยากไปเดตกับคุณสักหน่อย” ไวโอเล็ตบอกเสียงแข็ง “ฉันชอบพี่ชายคุณ ไม่ได้ชอบคุณนะคะคุณวิลเลี่ยม คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
“ไปเดตกับผมก่อนแล้วค่อยพูดว่าไม่ชอบ” วิลเลี่ยมดึงแขนคนตัวเล็กให้เดินตาม “ผมไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณได้ยินมาหรอก เปิดใจหน่อยสิยายเป็ด”
“คุณมันไว้ใจได้ที่ไหนล่ะ” ไวโอเล็ตบ่นอุบอิบ บิดมือออกจากอุ้งมือของวิลเลี่ยมแล้วจำยอมเดินตามเขาไปอย่างไม่มีทางเลือก “ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะคะ”
“ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้โง่ก็ไม่เห็นต้องมีอะไรให้กลัว” วิลเลี่ยมกระตุกยิ้มมองคนที่ทำหน้าบึ้งเพราะโดนเขาบังคับให้เดตด้วยสายตาพราวระยับ คิดไม่ถึงว่ายายสาวน้อยนี่จะปากเก่งเอาเรื่อง “มีใครเคยบอกคุณหรือเปล่าว่าคุณปากเก่งมากเลย”
“ปกติฉันก็ไม่เป็นอย่างนี้หรอกค่ะ” ไวโอเล็ตพูดเสียงสะบัด “แต่เพราะคุณทำให้ฉันโมโห ฉันก็เลยคุมตัวเองไม่ได้”
“สองบุคลิกงั้นสิ” วิลเลี่ยมยิ้มล้อเลียน หาเรื่องแกล้งยายเป็ดน้อยอีกจนได้
“เขาเรียกว่ารู้จักกาลเทศะค่ะ” ไวโอเล็ตพูดเสียงเข้ม “คุณทำตัวไม่น่าให้เกียรติ ฉันก็ไม่ให้เกียรติ ยุติธรรมดีไม่ใช่เหรอคะ”
“ยุติธรรมดี” วิลเลี่ยมอมยิ้ม เหลือบมองปากเล็กที่พูดจ้อด้วยความอวดดีอย่างชอบใจ ยายเป็ดนี่ท่าจะแสบเอาเรื่องเหมือนกัน “เลิกทะเลาะกัน แล้วมาทำเหมือนคู่เดตปกติดีมั้ย”
“เราไม่ได้เป็นคู่เดตกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องแกล้งทำเลยนี่คะ”
“เอาน่า ถือว่าทำแก้เซ็งไง” วิลเลี่ยมตีขลุมเข้าข้างตัวเอง จัดการสอดมือเข้าไปผสานนิ้วกับไวโอเล็ตแล้วว่า “เราเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจะตาย คุณว่างั้นมั้ย”
“ไม่ค่ะ” ไวโอเล็ตมองวิลเลี่ยมตาขวาง ไม่ยอมอ่อนข้อกับวิลเลี่ยมเลยสักเรื่อง เล่นเอาพ่อคนกะล่อนถึงกับแอบกลอกตาขึ้นฟ้า
“นี่แม่คุณ จะหัวแข็งไปถึงไหนครับ” วิลเลี่ยมถามยียวน “กับผมนี่ดื้อจัง ทีอยู่กับแมทธิวว่านอนสอนง่ายอย่างกับคนละคน”
“ก็ฉันชอบคุณแมทธิว ไม่ได้ชอบคุณนี่” ไวโอเล็ตทำปากยื่น จะต้องให้เธอพูดอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ
“รู้แล้วครับ ไม่ต้องย้ำ” วิลเลี่ยมยิ้มกว้าง แต่ไวโอเล็ตกลับหน้าเสีย รู้สึกว่าเสียงของเขาแฝงการตักเตือนมาด้วยกลายๆ “ถ้าขืนยังไม่หยุดพูดอีก ผมจะเอาลิ้นผมยัดเข้าไปในปากเล็กๆ ของคุณเสียให้เข็ด ดูซิ...จะพูดได้อีกมั้ย”
หลังจากโดนวิลเลี่ยมขู่ ไวโอเล็ตก็รีบหุบปากฉับ ไม่กล้าพูดอะไรอีกเลยสักแอะ ปล่อยให้วิลเลี่ยมกุมมือเธอเดินไปด้วยหัวใจตุ้มๆ ต๊อมๆ
ผู้ชายคนนี้ยังไงกันนะ บางครั้งเธอก็คิดว่าเธอสู้กับเขาได้สูสี แต่บางทีไอ้หน้ายิ้มๆ แต่ตาไม่ยิ้มไปด้วยนั้นกลับทำให้เธอกลัวจนหัวหด ไม่ได้ๆ อยู่ใกล้เขาอันตรายเกินไป เธอจะต้องรีบหนี
“ถ้าคิดจะหนีอยู่ละก็ เลิกคิดไปได้เลย” วิลเลี่ยมกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูไวโอเล็ต มองลูกเป็ดตัวน้อยผงะถอยห่างเขาด้วยความสะใจ
“คะ...คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันคิดอะไรอยู่” ไวโอเล็ตพูดเป็นคำแรกตั้งแต่โดนเขาขู่จะเอาลิ้นมายัดปากเธอ
“เด็กน้อย...คุณเก่งมากแล้วคนดี” วิลเลี่ยมเอ่ยชมไวโอเล็ตที่เกือบไล่ทันเล่ห์เหลี่ยมของเขา “แต่ผมเก่งกว่าผู้ชายที่คุณเคยเจอมาเยอะ เพราะงั้นคุณต้องพยายามมากกว่านี้หน่อยถ้าอยากจะชนะผม”
“งั้นฉันจะตามคุณให้ทัน” ไวโอเล็ตพูดอย่างมาดมั่น เชิดหน้ามองวิลเลี่ยมอย่างท้าทาย บางครั้งการกลัวอะไรสุดๆ ก็มีข้อดีเหมือนกัน...ก็ข้อดีที่ทำให้เราบ้าบิ่นขึ้นมาไงล่ะ! “จากนั้นฉันก็จะจัดการคุณซะ!”
“ผมจะรอ” วิลเลี่ยมยิ้มกริ่ม เขาจะนับวันรอวันที่เธอตามเขาทันแล้วจัดการเขาเลยละ “ขอแค่คุณสัญญาว่าจะทำอย่างที่พูดก็พอ”
“ฉันทำแน่ค่ะ” ไวโอเล็ตตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว “และพอถึงวันนั้นคุณจะเสียใจที่ท้าฉัน”
“ตกลง” วิลเลี่ยมยกหลังมือเล็กขึ้นมาประทับจูบหนักๆ เป็นสัญลักษณ์การทำข้อตกลงระหว่างกัน “ผมพนันว่าคุณเองก็ต้องเสียใจเหมือนกันที่โดดมาเล่นเกมนี้”
“แล้วเราจะได้รู้กันค่ะ” ไวโอเล็ตจ้องวิลเลี่ยมเขม็ง เธอไม่ยอมแพ้เขาง่ายๆ หรอก เธอไม่มีทางยอมหลงกลเขาแน่ ความเจ้าชู้ของ วิลเลี่ยม เทรเวน ไม่มีทางใช้ได้ผลกับเธอ ไม่เชื่อก็คอยดู
ทั้งคู่ใช้เวลาเดตทั้งวันโดยการทะเลาะกันแบบเด็กๆ แอบจิกกัดและเอาคืนกันอย่างเจ็บแสบ แต่กระนั้นวิลเลี่ยมก็ซื้อแว่นตาอันใหม่ให้ไวโอเล็ตแทนอันเก่าที่เขาทำหักไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ทั้งสองเจอกัน และไวโอเล็ตก็รับไว้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะมันเป็นความรับผิดชอบของเขาที่ต้องซื้อแว่นให้เธออยู่แล้ว
ทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาได้ตกอยู่ในสายตาของใครบางคนที่แอบตามมาตั้งแต่ออกจากร้านกาแฟ
“เธอจะยืนดูนิ่งๆ อย่างนี้เหรอแองจี้ นังเด็กนั่นกำลังออเซาะแฟนเธออยู่นะ” นาตาชากัดฟันกรอด ถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ขณะจ้องชายหญิงที่เดินจูงมือกันอยู่
“นังเด็กนั่นเป็นใคร เธอรู้หรือเปล่านาตาชา” แองจี้ นางแบบสาวที่คิดว่าตัวเองยังคงครองบัลลังก์นางแบบมาแรงตลอดกาลถามเพื่อนสนิทลอดไรฟัน “ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นใคร แล้วกล้าดียังไงเผยอมาควงกับวิลเลี่ยม”
“ก็เข้าไปจัดการมันเลยสิ” นาตาชายุส่ง “มันเป็นใคร ไม่เห็นต้องสน รีบๆ จัดการไปก็แล้วกัน”
“ฉันไม่โง่ทำตัวงี่เง่าให้วิลเลี่ยมหาทางเขี่ยฉันทิ้งหรอก” แองจี้ว่าเสียงเครียด รู้ดีที่วิลเลี่ยมคบเธอนานกว่าคนอื่น เพราะว่าเธอทำตัวอยู่ในขอบเขตความสัมพันธ์ที่ตกลงกับวิลเลี่ยมตั้งแต่ตอนแรกได้ แม้จะหึงหวงเขาแทบตาย แต่เธอก็พยายามกัดฟันทน
“เธอก็เลยจะทนให้วิลเลี่ยมสวมเขาแทนงั้นสิ” นาตาชาที่เข้าใจว่าเพื่อนตัวเองเป็นแฟนกับวิลเลี่ยมจริงๆ ถามอย่างเย้ยหยัน “อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่าแองจี้ เธอก็รู้ เพราะมีวิลเลี่ยมเธอถึงได้ต่อสัญญา...”
“หุบปาก!” แองจี้ตวาด “ฉันได้งานเพราะตัวฉันเอง วิลเลี่ยมไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยทั้งนั้นแหละ”
“ฉันขอโทษ” นาตาชาเอ่ย หันหน้าหนีเพื่อนสนิทของตัวเองแล้วเบ้ปากอย่างรังเกียจ ใครๆ ก็รู้ว่าแองจี้นอนกับวิลเลี่ยมเพื่อให้ได้งานของห้องเสื้อครอบครัวเขา และถ้าเป็นเธอ เธอก็จะทำแบบเดียวกัน
“นังเด็กนั่น...ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร” แองจี้กำหมัด เม้มปากมองผู้หญิงที่เดินควงกับคนรักของเธอด้วยสายตามุ่งร้าย “ฉันไม่ยอมให้มันมาเกาะแกะวิลเลี่ยมได้นานกว่านี้แน่”
“แต่เธอจะไม่ทำอะไรจริงๆ เหรอ เธอจะปล่อยให้นังนั่นเดินชูคอควงวิลเลี่ยมหน้าตาเฉยนี่นะ” นาตาชาถามอีก
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง เธอก็รู้ว่าวิลเลี่ยมไม่ชอบผู้หญิงงี่เง่า” แองจี้ถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์ มองชายหญิงที่กำลังเดินเข้าร้านกระเป๋ายี่ห้อดังก่อนจะเบิกตากว้าง “ล้อเล่นน่า!”
“ทำไมวิลเลี่ยมพานังเด็กนั่นไปที่ร้านกระเป๋าล่ะ ไหนเธอบอกว่าเขาไม่ชอบพาผู้หญิงมาซื้อของไง” นาตาชาตาโตไม่แพ้กัน
ความเจ้าอารมณ์ของวิลเลี่ยมนั้นขึ้นชื่อพอๆ กับความเจ้าชู้ แม้เขาจะคบแต่นางแบบกับเซเลบริตี แต่เขาก็ไม่เคยพาใครมาเดินเลือกซื้อของด้วย เพราะวิลเลี่ยมไม่มีความอดทนมากพอที่จะรอผู้หญิงเลือกกระเป๋า “แต่ทำไมเขาจับมือนังเด็กนั่นเดินเข้าร้านไปหน้าตาเฉยอย่างนั้นล่ะ”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะวิลเลี่ยม!” แองจี้สบถ กระแทกส้นรองเท้าสูงปรี๊ดแล้วก้าวฉับๆ ตรงดิ่งไปยังร้านกระเป๋าที่วิลเลี่ยมเพิ่งเดินเข้าไปกับนังเด็กหน้าจืดนั่น
“เอาละ เธอว่าใบไหนสวย” วิลเลี่ยมลากไวโอเล็ตเข้ามาในร้านกระเป๋ายี่ห้อดังที่สาวๆ ในบ้านเทรเวนถือติดมือเป็นประจำ “เลือกมาสักใบสิ” เขาแนะแล้วมองไวโอเล็ตที่ทำตัวเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างดูท่าที
“คุณจะซื้อให้แฟนคุณเหรอคะ” ไวโอเล็ตถามตาปริบๆ
“เปล่า” วิลเลี่ยมส่ายหน้า “เลือกมาสักใบสิตัวเล็ก เธอชอบใบไหน”
“ฉันไม่ชอบค่ะ” ไวโอเล็ตกวาดตามองแล้วส่ายหัว เธอชอบกระเป๋าใบใหญ่ที่สามารถใส่ทุกอย่างได้มากกว่ากระเป๋าราคาหมื่นเหรียญ แต่ใส่ของได้เพียงไม่กี่อย่าง “ไม่ใช่แนวฉัน”
“ทางร้านเรามีหลายรุ่นนะคะคุณผู้หญิง จะลองเดินดูก่อนก็ได้นะคะ” พนักงานในร้านเอ่ยอย่างมีมารยาทหลังจากยืนฟังลูกค้ารายใหญ่คุยกันได้สักพัก “หรือจะรับแบบเดียวกับคุณแซนดีเมื่อวันก่อนดีคะ” พนักงานสาวเอ่ยถาม
“แสนดีมาที่นี่เหรอ” วิลเลี่ยมหันไปถามพนักงาน “แล้วมากับใคร”
“เธอมาคนเดียวค่ะคุณวิลเลี่ยม” พนักงานคนนั้นยิ้มหวาน พร้อมกับเหลือบมองผู้หญิงคนใหม่ของ วิลเลี่ยม เทรเวน อย่างประเมิน “แล้วคุณ...”
“ไวโอเล็ตค่ะ” ไวโอเล็ตหันมาตอบเร็วๆ เดินวนดูกระเป๋าอีกรุ่นที่ใบใหญ่กว่าอย่างชั่งใจ บางทีน่าจะถึงเวลาที่เธอจะซื้อกระเป๋าใบใหม่ได้แล้ว...ใบนี้ก็ใช้มาตั้งหลายปีแล้ว
“ชอบใบไหนก็เลือกสิ” วิลเลี่ยมกอดอกมองสีหน้าคิดไม่ตกของไวโอเล็ตแล้วเร่ง
“กระเป๋าราคาใบตั้งเท่าไหร่ ก่อนจะซื้อก็ต้องคิดหน่อยสิคะว่าจะใช้คุ้มหรือเปล่า” ไวโอเล็ตหันขวับมาบอก “นี่มันเงินทั้งนั้นเลยนะคะ”
“แล้วใบนั้นน่ะคิดกี่ปีกว่าจะซื้อ” วิลเลี่ยมพยักพเยิดไปที่กระเป๋าใบเก่าซอมซ่อของไวโอเล็ต เหลือบมองยี่ห้อกระเป๋าแล้วแอบสงสัย “แพงกว่าร้านนี้อีกไม่ใช่เหรอใบนั้นน่ะ”
“ซื้อเองที่ไหนล่ะคะ” ไวโอเล็ตบ่นอุบอิบ มองกระเป๋าที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดครบสิบแปดปีของตัวเองที่ได้จากพ่อแล้วย่นจมูก “ขืนซื้อเอง จนไปอีกแปดชาติ”
“นี่ก็ไม่ได้ว่าจะให้ซื้อเองสักหน่อย” วิลเลี่ยมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไวโอเล็ตจนเธอต้องรีบถอยห่าง “เลือกๆ มา เดี๋ยวซื้อให้”
“คุณจะมาซื้อกระเป๋าให้ฉันทำไมคะ” ไวโอเล็ตถามอย่างไม่ไว้ใจ หรี่ตามองคนเจ้าเล่ห์อย่างระแวดระวัง “คุณมีแผนอะไรอยู่ใช่มั้ยคะ คุณวิลเลี่ยม”
“ไม่บอก” วิลเลี่ยมยิ้มอย่างมีแผนการ “เร็วเข้าหน่อยครับคนสวย ชอบใบไหนเอ่ย”
“วิลเลี่ยมคะ!”
“แฟนคุณมาแล้ว สงสัยคุณจะเจ้าชู้ไม่ได้แล้วละค่ะ” ไวโอเล็ตยักคิ้วกวนๆ ให้วิลเลี่ยม ยกมือตบต้นแขนเขาเชิงให้กำลังใจ “เห็นทีวันนี้เดตเราจะล่มไม่เป็นท่าแล้วนะคะคุณวิลเลี่ยม” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็ป้องปากหัวเราะคิกอย่างชอบอกชอบใจ สนุกที่จะได้เห็นคนเจ้าชู้อย่างวิลเลี่ยมโดนแฟนกำราบ โดยไม่ทันคิดว่าคำพูดที่เธอตั้งใจอำวิลเลี่ยมเล่นจะเป็นเรื่อง
“นี่คุณมาเดตเหรอคะวิลเลี่ยม” แองจี้ถามเสียงแข็ง เหลือบมองนังเด็กที่หัวเราะเยาะเย้ยเธอด้วยสายตาชิงชัง “คุณไม่เห็นบอกฉันก่อนเลย”
“รบกวนดูแลยายตัวเล็กให้ผมด้วยครับ” วิลเลี่ยมฝากฝังคนตัวเล็กกับพนักงานขายเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะทำหน้าตาย หันมาหาแองจี้เมื่อไวโอเล็ตโดนกันออกไปเรียบร้อยแล้ว “คุณตามผมมาอย่างนั้นหรือแองจี้” วิลเลี่ยมมองแองจี้ด้วยหางตา ก่อนจะเหลือบแลไปที่เพื่อนของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ก็ใช่น่ะสิคะ” แองจี้กระฟัดกระเฟียดตอบ ไม่พอใจที่วิลเลี่ยมไม่ได้แสดงอาการเดือดร้อนที่ถูกเธอจับได้ว่าเขานอกใจ “ถ้าฉันไม่แอบตามมา ฉันก็คงไม่รู้ว่าคุณควงนังเด็กนั่นมาหยามหน้าฉัน”
“ระวังคำพูดหน่อยแองจี้” วิลเลี่ยมพูดน้ำเสียงเนิบนาบ จ้องหญิงสาวที่กำลังเต้นเป็นเจ้าเข้าอย่างเย็นชา “คุณได้ทุกอย่างที่คุณต้องการไปแล้ว ถ้าขืนยังล้ำเส้น ไม่ทำตามข้อตกลงแบบนี้ ผมก็ไม่ทนเหมือนกันนะครับ”
“ฉะ...ฉันขอโทษค่ะ” แองจี้หน้าเสีย แม้จะไม่เคยเจอวิลเลี่ยมตอนที่ไม่อดทน แต่เธอก็ไม่คิดอยากจะเจอ “ฉันแค่...”
“ทำตัวน่ารำคาญ” วิลเลี่ยมต่อให้ น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าบาดลึกไปทั้งใจของคนฟัง แม้แต่ไวโอเล็ตก็ยังแอบสะดุ้งจนต้องหันมามองหน้าแองจี้
“ผมว่าพวกคุณสองคนควรจะกลับไปทำสิ่งที่พวกคุณตั้งใจจะทำตั้งแต่แรกดีกว่านะครับ อย่าเสียเวลามาวิ่งเต้นอย่างนี้เลย เดี๋ยวจะเหนื่อยเปล่าๆ”
“แล้วคุณจะไปไหนต่อคะวิลเลี่ยม คืนนี้คุณจะค้างที่ไหน” แองจี้โพล่งถาม กลัวว่าวิลเลี่ยมจะค้างกับนังเด็กนั่นแล้วหลงมัน ไม่ทันคิดว่าตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่กลางร้านกระเป๋าที่มีลูกค้าอยู่ประปราย
ส่วนคนที่แอบฟังแต่ทำทีเป็นดูกระเป๋าอย่างไวโอเล็ตก็อ้าปากเป็นรูปตัวโอ หันไปทำตาโตกับพนักงานขาย แล้วพยายามซ่อนยิ้ม ไม่รู้จะขำหรือจะอายแทนผู้หญิงคนนั้นดี ถ้าเป็นเธอ ต่อให้หึงแค่ไหนก็ไม่กล้าถามแบบนี้นะ...ก็แหม...
วิลเลี่ยมเหลือบมองยายเป็ดน้อยที่กลั้นขำจนตัวสั่นกับพนักงานขายที่หันหน้าหนี แล้วแสร้งทำทีเอามือมาเช็ดจมูกแรงๆ ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนวูบไปถึงหู รู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันว่าฉันเอาใบนี้ค่ะ” ไวโอเล็ตหันไปบอกพนักงาน พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง ตัดสินใจซื้อกระเป๋าถือที่ใบไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปสำหรับเธอ “เราไปจ่ายเงินกันดีกว่านะคะ”
“อ้ะๆ อย่าได้ริอ่านจ่ายเองเป็นอันขาดนะยายเป็ด” วิลเลี่ยมชี้หน้าคนตัวเล็กที่กำลังจะหยิบบัตรเครดิตออกมา “ผมบอกแล้วไงว่าจะซื้อให้”
“ฉันก็คิดว่าฉันบอกคุณแล้วว่าฉันก็มีเงินเหมือนกันนะคะ หรือฉันยังไม่ได้พูด” ไวโอเล็ตเลิกคิ้วมองวิลเลี่ยมด้วยความประหลาดใจ นี่เขาจงใจจะฉีกหน้าแฟนเขาแบบไม่คิดจะรักษาน้ำใจเลยหรือ...ผู้ชายคนนี้เป็นแฟนประสาอะไร ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ
“วิลเลี่ยมคะ...คุณ...”
“ผมบอกให้คุณกลับไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอครับแองจี้” วิลเลี่ยมถามเสียงเย็นชา “นาตาชา รบกวนพาเพื่อนคุณออกไปด้วยครับ ผมไม่อยากจะเสียมารยาทไปมากกว่านี้”
“แองจี้มาเถอะ เรากลับกันก่อนดีกว่า” นาตาชาดึงแขนเพื่อนสนิท มองหน้าคมคายที่แผ่รังสีอำมหิตใส่พวกเธอแล้วขนลุกเกรียว หรือว่าแองจี้ใกล้จะโดนวิลเลี่ยมเขี่ยทิ้งอีกคนแล้ว...
“วิลเลี่ยม คืนนี้คุณจะไปหาแองจี้หรือเปล่าคะ” คนที่กำลังโดนเพื่อนสนิทลากออกไปจากร้านกระเป๋าขืนตัว ยังตื๊อที่จะคุยกับชายหนุ่มให้รู้เรื่อง ไม่ยอมให้เขาขับไล่ไสส่งเธอไปง่ายๆ อย่างนี้หรอก “ได้โปรดเถอะค่ะ แองจี้มีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณนะคะ”
เมื่อโดนตื๊อมากๆ เข้า หน้ายิ้มแย้มของวิลเลี่ยมก็เข้มขึ้นตามอารมณ์ ตาคมมองผู้หญิงที่เข้ามารบกวนการเดตของเขาขุ่นขวาง ริมฝีปากหนาที่มักมีถ้อยคำหวานชวนหลงเม้มแน่นเป็นเส้นตรง บอกให้รู้ว่าความอดทนของเขากำลังใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด
ไวโอเล็ตเองเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็หันไปสะกิดพนักงาน พยักหน้าส่งซิกให้จัดการเอากระเป๋าไปคิดเงิน และเตรียมชิ่งออกจากร้านให้เร็วที่สุด
“จะทำอะไรยายเป็ด” วิลเลี่ยมคว้ามือคนที่กำลังหันไปจ่ายเงินเอาไว้ แล้วออกแรงบีบข้อมือเล็กอย่างลงโทษจนไวโอเล็ตหน้าเสีย “ผมพูดอะไรไป ได้ฟังหรือเปล่าครับเด็กดี”
“ปล่อยมือจากไวโอเล็ตเถอะครับ” เสียงพูดดังข้ามหัวไวโอเล็ต ก่อนที่มือของวิลเลี่ยมจะถูกปัดออกแรงๆ ราวกับรังเกียจ จากนั้นชายร่างสูงในชุดลำลองสบายๆ ก็ก้าวเข้ามาขวาง “ผมว่าคุณน่าจะมีธุระ ปล่อยเรื่องไวโอเล็ตให้ผมจัดการเองจะดีกว่านะครับ” ชายที่เพิ่งก้าวเข้ามาร่วมวงสนทนายิ้มกริ่ม ค้อมหัวให้วิลเลี่ยมเล็กน้อยเชิงขออภัย
“เธอมากับผม” วิลเลี่ยมพูดเสียงห้วน มองไวโอเล็ตที่อยู่ข้างหลังชายแปลกหน้า แต่ดูมีความน่าเกรงขามจนวิลเลี่ยมไม่กล้าเสียมารยาทด้วย ก่อนขยิบตาบังคับให้ยายเป็ดน้อยกลับมาหาเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว “มาเถอะไวโอเล็ต กลับกันได้แล้ว”
“เชิญคุณกลับไปก่อนได้เลยครับ ผมจะไปส่งเธอเอง” ชายแปลกหน้าว่า
“ไวโอเล็ต” วิลเลี่ยมเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงเข้มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้เจ้าของชื่อต้องโผล่หน้าจากแผ่นหลังกว้างมามอง “มานี่”
“คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะคุณวิลเลี่ยม ฉันกลับเองได้” ไวโอเล็ตบอกกล้าๆ กลัวๆ มองผ่านวิลเลี่ยมไปยังผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาแล้วขนลุกเกรียว ไตร่ตรองดีแล้วว่าจะไม่เข้าใกล้วิลเลี่ยมอีก “ฉันขอบคุณมากนะคะ...ทุกอย่างเลยที่คุณทำให้ฉันวันนี้”
“ไวโอเล็ต!”
“ขอตัวนะคะ” ไวโอเล็ตหน้าซีด ไม่ลังเลที่จะจ่ายเงินค่ากระเป๋าและเดินหนีวิลเลี่ยมออกจากร้านไป โดยมีผู้ชายอีกคนตามหลังไปติดๆ
ความคิดเห็น |
---|