19

ตอนที่ 19


สองวันต่อมา กวินก็ขับรถออกจากกรุงเทพฯ มาถึงจังหวัดกาญจนบุรี เขาลงทะเบียนเข้าพักที่บ้านริมน้ำหลังเดิมกับชมพู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะชะเง้อมองไปยังห้องด้านหลังเคาน์เตอร์ด้วยความคิดถึงคนที่อยู่ในห้องนั้น

“คุณลีอยู่หรือเปล่าครับ”

“อยู่ค่ะ”

เขายิ้ม “งั้นผมเข้าไปทักทายเธอสักหน่อยก็แล้วกัน”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันแจ้งคุณลีให้นะคะ” ชมพู่เอ่ย ก่อนจะต่อสายเข้าไปหาเธอในห้องเพื่อแจ้งถึงการมาของเขา จากนั้นก็วางสายแล้วหันมาผายมือให้พร้อมรอยยิ้มพริ้มเพรา

“เชิญค่ะ” หญิงสาวเอ่ย หันไปหยิบปึกจดหมายและซองเอกสารฉบับหนึ่งที่ถูกยางรัดรวมกันเอาไว้ขึ้นมา จากนั้นจึงเดินนำเขาไปที่ห้องทำงานของบราลี เคาะประตูแล้วรอให้เจ้าของห้องตอบรับ จึงค่อยเปิดประตูเข้าไปพร้อมนำจดหมายและซองเอกสารไปวางเอาไว้บนโต๊ะ

“ของคุณอมรค่ะ ทางสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯเพิ่งจะส่งมาเมื่อเช้า”

“ขอบใจมากจ้ะ” บราลีเอ่ย ก่อนจะเหลือบมองมาที่เขาแล้วหันกลับไปสั่งงานชมพู่สองสามอย่าง ไม่นานประชาสัมพันธ์สาวสวยก็ขอตัวออกไป ทิ้งให้เขาอยู่ตามลำพังกับเธอในห้องอันเงียบสงัด

“นั่งรอสักครู่นะคะ” เธอยิ้มให้เขาแล้วผายมือมาที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน

กวินทรุดตัวลงนั่ง มองบราลีคัดแยกจดหมายปึกนั้น เธอคัดเอาจดหมายสองสามฉบับแยกไว้ตามชั้นวางเอกสารเล็กๆ บนโต๊ะ ก่อนจะเพ่งพิศดูซองเอกสารสีน้ำตาลซองหนึ่งด้วยความแปลกใจและรำพึงออกมา

“ของใคร ไม่จ่าหน้าผู้ส่ง”

บราลีมองมันอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยักไหล่แล้ววางมันเอาไว้ในชั้นวางเอกสารรวมกับจดหมายอีกสองสามฉบับเพื่อรอให้อมรมาเปิดดูเอง

“โอเคค่ะ” เธอเอ่ยเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย

เขายิ้มให้เธอ “วินเพิ่งมาถึง ก็เลยแวะเข้ามาทักสักหน่อย ลีเป็นไงบ้าง”

“ก็ดีค่ะ” เธอตอบสั้นๆ พลางควงปากกาในมือเล่นเหมือนสมัยเรียน “วินล่ะ ทำงานไปได้เยอะไหม”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ก็พอสมควรนะ”

หลังจากคำตอบของเขา ความเงียบก็เขาครอบงำทั้งห้องโดยปริยาย เขามองเธอนิ่ง ส่วนเธอก็หมุนปากกาอย่างคล่องแคล่วราวกับมีใบพัดติดอยู่ที่ปลายนิ้ว บราลีมักจะทำอย่างนั้นเสมอเมื่อมีปากกาอยู่ในมือ จนมันคงกลายเป็นนิสัยส่วนตัวของเธอไปแล้ว และมันก็ทำให้เขานึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่ร่ำเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ความสุขอบอวลขึ้นในโพรงอกเขาอีกครั้งเมื่อนึกถึงมัน

“เย็นนี้ลีว่างไหม”

สิ้นคำถามของเขา ปากกาในมือของเธอร่วงผล็อยลงบนโต๊ะ เขาไม่เคยเห็นเธอพลาดในการหมุนปากกาด้วยปลายนิ้วมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก

“ทำไมคะ” เธอย้อนถามโดยยังไม่ยอมตอบคำถามเขา ดวงตากลมโตจ้องมองเขาด้วยแววสงสัย

“จำได้ไหมว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เรานัดทานข้าวเย็นกัน”

บราลีถอนใจเบาๆ “ลีขอโทษค่ะที่ไม่ได้ไปหาวินวันนั้น”

“วันนี้มันก็ยังไม่สายนะ”

เธอส่ายหน้า “คุณแม่ต้องไม่พอใจแน่ ถ้ารู้ว่าลีไปหาวินตามลำพัง”

“ก็อย่าให้คุณแม่รู้สิ”

หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นมองเขา “วินทำแบบนี้เพื่ออะไรคะ วินก็รู้ว่า...”

“ลีมีสามีแล้ว” เขาต่อประโยคให้เธอ

บราลีชะงักมองเขา กวินจ้องเธอตอบอย่างแสดงความตั้งใจจริง จนในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้

“ใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นลีก็ไม่ควรอยู่ตามลำพังกับวินอีก ไม่อย่างนั้นมันอาจเกิดเรื่องเหมือนที่...น้ำตก”

“แต่วินมีเรื่องจะคุยกับลี” เขายืนกราน “แล้วมันก็เกี่ยวกับเรื่องที่น้ำตกนั่นด้วย”

“เกี่ยวกับเรื่องที่น้ำตก...หรือคะ” หญิงสาวทวนคำ คิ้วเลิกขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความพิศวง “เรื่องอะไรหรือคะ”

กวินยักไหล่ “ตอนแรก วินก็คิดว่าจะไม่บอกลี แต่มาคิดอีกที เกิดวินเป็นอะไรไป ลีอาจไม่ปลอดภัย”

“ไม่ปลอดภัย?” เธอจ้องเขาเขม็ง “ฟังดูร้ายแรงนะคะ”

“ก็ค่อนข้างร้ายแรง แต่ไม่ต้องห่วงนะ วินจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่วินคิดว่าลีน่าจะรู้เอาไว้ด้วย เพราะมันเกี่ยวกับเราสองคน”

“เรื่องอะไรกันคะ” น้ำเสียงของเธอฟังดูตื่นเต้นไม่ใช่น้อย

“ถ้าลีอยากรู้ เย็นนี้เราทานข้าวด้วยกันนะ วินมีอะไรบางอย่างจะให้ดูก่อนที่วินจะทำลายมันทิ้ง”

“ดูตอนนี้ไม่ได้หรือคะ”

กวินส่ายหน้า “มันอยู่ในกระเป๋าเดินทาง วินไม่อยากหยิบเข้ามาในนี้ ที่นี่คนเยอะเกินไป วินไม่แน่ใจว่ามันจะปลอดภัยไหม”

“วินทำให้ลีอยากรู้เสียแล้วสิ”

“ก็ถ้าอยากรู้ ก็ไปหาวินที่บ้านพักริมน้ำสิ” เขายิ้ม

บราลีนั่งจ้องหน้าเขาอย่างลังเลอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งในที่สุดเธอก็พยักหน้าอย่างจำยอม “ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเลิกงานแล้วลีจะเลยไปหาวินก่อนกลับบ้านก็แล้วกัน แต่ไม่มีมื้อเย็นนะคะ”

“อ้าว” เขาครางอย่างเสียใจ

เธอยิ้ม “ฉันจะถือกาแฟไปสักสองแก้ว พร้อมกับขนมนิดๆ หน่อยๆ เราคงคุยกันระหว่างดื่มได้”

เขายิ้มแป้นด้วยความโล่งอก “อย่างนั้นก็ได้ งั้นเย็นนี้เจอกันนะ”

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ

กวินลุกจากเก้าอี้ด้วยหัวใจพองโต เขาบอกลาเธอ ออกจากห้องแล้วขับรถไปจอดที่หน้าบ้านพัก จากนั้นก็สั่งอาหารกลางวันมารับประทานที่ห้อง เมื่ออิ่มแล้วก็ออกไปนั่งทำงานที่ระเบียงท่ามกลางเสียงธรรมชาติและสายน้ำไหลด้วยความเพลิดเพลินเจริญใจเป็นพิเศษ

สองสามชั่วโมงต่อมา กวินก็ยังคงนั่งพิมพ์งานอยู่อย่างตั้งใจที่ระเบียงหลังบ้าน จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู จึงรีบเดินกลับเข้าไปในบ้านและเปิดประตูให้บราลีที่ยืนรออยู่พร้อมกล่องคุกกี้ทรงกลมสีแดง ซึ่งมีถ้วยกาแฟพลาสติกปิดฝาเอาไว้อย่างดีวางอยู่ด้านบนสองใบ

“เข้ามาสิ” เขาเอ่ยชวน

“ค่ะ” เธอยิ้ม

กวินเดินนำบราลีไปที่ระเบียง เขารีบเก็บเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาบนโต๊ะกลับเข้าไปเก็บเอาไว้ในห้อง เมื่อเดินกลับมาอีกครั้ง กล่องคุกกี้ก็ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะและเปิดรอเอาไว้แล้ว ถ้วยกาแฟถูกวางขนาบกล่องนั้น กลิ่นหอมของมันโชยออกมาจากรูเล็กๆ ที่เจาะเอาไว้สำหรับดื่ม จนเขารู้สึกได้เลยว่ามันต้องอร่อยลิ้นแน่ๆ

“วินจำได้ว่า ลีชอบกินเจ้าวานิลลาริงมากที่สุดในกล่อง” เขาเอ่ยขณะทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้แล้วหยิบบัตเตอร์คุกกี้รูปร่างคล้ายก้นหอยขึ้นมากัดกิน

บราลีหัวเราะ “วินเองก็ชอบ เปิดออกมาทีไรแย่งกันแทบตาย ปรากฏว่าเจ้าวานิลลาริงก็หมดอย่างรวดเร็วเป็นอย่างแรก แล้วเราก็ต้องมาทนกินแบบอื่นกันต่อ”

“โดยที่ไม่ต้องแย่งกัน” เขาเสริมแล้วหัวเราะไปพร้อมเธอ “ไอ้ที่เหลือ กว่าจะกินกันหมดกล่องก็ปาเข้าไปตั้งหลายเดือน”

“ใช่ๆ” บราลีเสริม “บางปีกินไม่หมดด้วย”

กวินมองเธอหัวเราะสดใส เขาไม่ได้เห็นภาพอย่างนี้มานานมากแล้ว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอทำให้โลกของเขาเต็มไปด้วยความงดงามเสมอ แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ตาม แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้มันสะดุดลง

บราลีถอนใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงเศร้า “แปดปีแล้วสินะ ที่เราไม่ต้องแย่งกินคุกกี้ในกล่องเดียวกัน”

น้ำเสียงของเธอเล่นเอาอารมณ์ครึกครื้นของเขาหดหายไปด้วย กวินถอนใจเบาๆ เอนหลังพิงพนักแล้วเหยียดกายด้วยความเกียจคร้าน หลังจากหลังขดหลังแข็งพิมพ์งานมาตลอดบ่าย ประหนึ่งว่าไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายจากปากของเธอ

“วินบอกว่ามีอะไรจะให้ลีดู” เธอท้วงหลังจากนั่งเงียบอยู่พักใหญ่

“อ้อ...ใช่” เขานึกขึ้นได้ ยกกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนจะลุกจากเก้าอี้ เดินกลับเข้าไปในบ้าน หยิบซองเอกสารที่ได้มาจากคอลัมนิสต์หนุ่มจอมปั้นเรื่องกลับมายื่นให้เธอ

“อะไรคะ” บราลีจ้องหน้าเขาด้วยสายตาสงสัย

กวินยักไหล่ “ลีเปิดดูเองเถอะ”

เธอรับซองนั่นไปแล้วค่อยๆ เปิดมันออก จากนั้นก็ล้วงมือเข้าไปดึงสิ่งของภายในนั้นออกมา แผ่นซีดีร่วงลงบนตักเธอ ภาพทุกภาพคว่ำหน้าอยู่ มือเธอสั่นเล็กน้อย เมื่อพลิกข้อมือหงายรูปขึ้นมา บราลีก็อุทานออกมาเสียงดังพร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ

“มีคนจัดฉากที่น้ำตกขึ้น”

บราลีหันมามองเขาแล้วเอ่ยถามเสียงเบาหวิว “ใครกันคะ”

“เจ๊แจ๊คกี้ คนที่เขียนคอลัมน์สาวไส้ไฮโซไงล่ะ”

“เขา...อีกแล้ว”

“ใช่ คนเดียวกับที่เขียนเรื่องที่เราไปทานข้าวกันที่ร้านเจ๊คิ้มนั่นแหละ”

“และอีกหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับข่าวฉาวของลี” บราลีเสริม

“ดูเหมือนเขาจ้องเล่นงานลี มีอะไรกันหรือเปล่า”

“เข้าใจผิดกันนิดหน่อยค่ะ” เธอเอ่ยแล้วถอนใจออกมา ก่อนจะเอนหลังพิงพนักบ้าง “ช่วงที่ลีแสดงเป็นนางพิมในละครเรื่องขุนแผนแสนสะท้านน่ะค่ะ มีข่าวแพร่ออกไปว่าลีกับพระเอกของเรื่อง...”

บราลีทอดเสียงลงแล้วมองหน้าเขาด้วยความลังเล แต่ในที่สุดก็เอ่ยออกมาจนได้ด้วยน้ำเสียงอึดอัด

“มีข่าวว่าลีกับพระเอกคนนั้นคบหาดูใจกันอยู่ค่ะ”

“แต่จริงๆ ไม่มีอะไรใช่ไหม” เขาช่วยผ่อนคลายน้ำเสียงอึดอัดของเธอลง ซึ่งมันได้ผล

บราลีพยักหน้า “เราแค่สนิทกันแบบเพื่อน จริงๆ เวลาไปไหนมาไหนก็ไปกันเป็นกลุ่มใหญ่นะคะ พวกนักข่าวกับแฟนคลับไปสร้างกระแสคู่จิ้นกันเอง”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ๊แจ๊คกี้ล่ะ”

“พระเอกคนนั้นเขาคบอยู่กับเจ๊แจ๊คกี้ก่อนมาเข้าวงการค่ะ พอละครดังพร้อมกับกระแสคู่จิ้นกับลี เขาก็ตีตัวออกห่าง เจ๊แจ๊คกี้ก็เลยคิดว่าลีเป็นต้นเหตุ ตั้งแต่นั้นแกก็ไม่เคยเขียนข่าวลีในแง่ดีเลย”

“แหม...ความรักนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ นะ”

“ค่ะ” บราลีพยักหน้า ก่อนจะก้มลงมองภาพทั้งหลายด้วยแววตาเป็นกังวล “เราจะรู้ได้ยังไงคะว่าเจ๊แจ๊คกี้จะไม่มีภาพพวกนี้อีก คนอย่างเขาคงไม่ปล่อยให้คุณเอามาง่ายๆ หรอกค่ะ”

“เพราะอย่างนี้แหละ วินถึงชวนลีมาที่นี่” เขาเอ่ย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดแอปพลิเคชั่นอัดเสียงให้มันเล่นคลิปเสียงที่เขาอัดเอาไว้

บราลีเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของเขากับเอกชัย ทั้งหมดนั่นเป็นหลักฐานมัดตัวคอลัมนิสต์หนุ่มคนนั้นไม่ให้แตะต้องเขากับเธอได้เป็นอย่างดี เพราะหากคลิปเสียงนั้นหลุดไป รับรองได้ว่าเอกชัยคงไม่มีที่ยืนในวงการข่าวสายบันเทิงอีกแน่

“วินจะส่งคลิปเสียงนี้ให้ลีเก็บเอาไว้อีกชุด”

“ทำไมคะ วินเก็บไว้ก็ดีแล้วนี่”

เขาส่ายหน้า “ไม่ดีหรอก ก็อย่างที่ลีสงสัยนั่นแหละว่าเจ๊แจ๊คกี้อาจมีก๊อปปี้อื่นอีก ถ้าเกิดวินเป็นอะไรไป เขาก็จะคิดว่าคลิปเสียงนี้คงสูญหายไปกับวินด้วย เขาก็อาจเอาภาพที่เขาก๊อปปี้เก็บไว้ออกมาโจมตีลีได้อีกน่ะสิ”

หญิงสาวยิ้มเจื่อนอย่างนึกไม่ถึง “วินรอบคอบจัง”

กวินไหวไหล่ “สงสัยอยู่กับนิยายชิงไหวชิงพริบมากไปหน่อย”

บราลีพยักหน้า ก้มลงมองภาพในมืออีกครั้ง “แล้วเราจะทำยังไงกับของพวกนี้ล่ะคะ”

“ทำลายทิ้ง” เขาตอบ ลุกขึ้นไปยิบถังสังกะสีเก่าๆ มาวางไว้บนพื้นหน้าเก้าอี้ จากนั้นก็ดึงรูปใบหนึ่งจากมือของเธอมาเผาด้วยไฟแช็คแล้ววางลงไปในถังนั้น

หญิงสาวมองรูปอย่างลังเล แต่ในที่สุดก็ผสมโรงกับเขา จัดการเผารูปทั้งหมดจนไหม้ดำเป็นตอตะโก ก่อนที่สุดท้ายเธอจะโยนแผ่นซีดีลงไปในกองเพลิงนั้นด้วย

กวินปัดมือสองสามทีแล้วหันไปยิ้มให้เธอ “แค่นี้ก็เรียบร้อย คุณอมรไม่มีวันเห็นภาพพวกนี้แน่”

บราลียิ้มไม่เต็มปากนัก สายตายังคงทอดจับอยู่ที่เปลวเพลิงซึ่งกำลังลุกไหม้ เขาไม่แน่ใจว่าเธอกำลังคิดอะไร แต่ที่แน่ๆ เขารู้สึกเสียดายภาพเหล่านั้นเหลือเกิน หากไม่ติดว่ามันเป็นภาพที่จะนำพาความเดือนร้อนมาให้เธอแล้วล่ะก็ มันก็เหมาะที่จะนำมาขยายใหญ่ใส่กรอบติดเอาไว้บนข้างฝาห้องนอนไม่น้อยทีเดียว

เสียงปลากระโดดดังจ๋อมทำให้บราลีสะดุ้งเล็กน้อย เธอก้มลงมองนาฬิกาข้อมือราวกับจะบอกว่า เวลาได้ล่วงเลยมาเกินพอดีแล้ว เขาลอบมองเธออย่างเงียบๆ พยายามยื้อเวลาเอาไว้ให้นานที่สุด แต่แล้วเธอก็ผุดลุกขึ้น

“ลีกลับดีกว่าค่ะ”

“อยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ”

หญิงสาวมีท่าทีลังเล แต่แล้วก็ถอนใจออกมาเบาๆ “ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคุณแม่จะเป็นห่วง”

“งั้นวินเดินไปส่งที่หน้าบ้านนะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ วินอยู่ตรงนี้เถอะ” เธอปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มให้เขา

กวินรู้สึกได้เลยว่าเธอพยายามจะตีตัวออกห่างจากเขาให้มากที่สุด ซึ่งมันก็เข้าใจได้ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นคือเธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาอยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มอย่างเขาได้อย่างอิสระแล้ว เขาได้แต่มองเธอเดินไปที่ประตูระเบียงด้วยความว้าวุ่น จนเมื่อเธอจับลูกบิดประตูจะเปิดออก เขาก็ตัดสินใจร้องเรียกเธอ

“ลี”

หญิงสาวชะงัก ก่อนจะหันกลับมามองเขา

ชายหนุ่มสูดหายใจลึก รวมรวมความกล้าเอ่ยถามออกไป “พรุ่งนี้เช้า มากินคุกกี้กับกาแฟกันอีกนะ”

บราลีจ้องเขาด้วยสายตาพิศวง เขาคิดว่าคำว่า ‘ไม่’ คงจะหลุดออกมาจากปากของเธอในวินาทีใดวินาทีหนึ่งนับจากนี้ เพราะมันเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เป็นคำตอบที่จะสามารถหยุดยั้งเรื่องยุ่งยากเหมือนที่เกิดขึ้นที่น้ำตกเอราวัณเอาไว้ได้ แต่เขาไม่อยากได้ยินคำปฏิเสธจากเธอในเวลานี้

“นะ” เขาย้ำคำ อย่างน้อยมันก็ยืดเวลาที่เธอจะปฏิเสธเขาออกไปได้

เธอยิ้มน้อยๆ ให้เขา มันเป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย แสงแดดยามเย็นสัมผัสแก้มของเธอเป็นประกายระยิบระยับ กวินจ้องมองเธออย่างไม่วางตา

...แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น

“ก็ได้ค่ะ”

กวินยิ้มแป้น มองเธอเปิดประตูแล้วหายวับไปราวกับนางฟ้าที่กลายเป็นกลุ่มควัน ก่อนจะสูดลมหายใจอันสดชื่นเข้าสู่ปอด จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้อย่างมีความสุขกับคำตอบสั้นๆ ที่เพิ่งได้รับ เขานั่งมองสายน้ำไหลไปพร้อมกับตั้งตารอคอยดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งในวันพรุ่งนี้อย่างใจจดจ่อ

บราลีตื่นแต่เช้าตามปรกติ เธอมองไปที่ประตูระเบียงซึ่งมีแสงของเช้าวันใหม่สาดส่องผ่านม่านบางๆ เข้ามาด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ความฝันอันแสนอบอุ่นที่ยังคงเกาะกุมหัวใจเธอเอาไว้อย่างยากที่จะเลือนหาย

หลายปีแล้วที่เธอไม่เคยตื่นขึ้นมาพบกับความสุขเช่นนี้ เมื่อไม่นานนี้มันกลับมาอีกครั้ง ในวันที่เธอลุกขึ้นมาทำอาหารจานโปรดให้เขากิน และวันนี้มันเวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง

หญิงสาวลุกจากเตียง เดินไปที่ระเบียงแล้วเปิดประตูออกไปรับอากาศสดชื่นยามเช้า สายตาไม่วายเหลือบมองไปที่บ้านน้อยริมแม่น้ำด้วยรอยยิ้มที่เกลื่อนอยู่บนใบหน้างามพริ้ง

แล้วเธอก็เห็นเขา

กวินกำลังปั่นจักรยานออกจากบ้านพัก ท่าทางของเขาคล่องแคล่วทะมัดทะแมงไม่น้อย ดูจากต้นขาที่ซ่อนอยู่ในกางเกงขี่จักรยานแบบรัดรูปสีดำสนิทก็รู้แล้วว่าเขาออกกำลังด้วยวิธีนี้เป็นประจำ

บราลีเท้าข้อศอกกับราวระเบียง จ้องมองเขาปั่นจักรยานไปตามถนนด้วยความรู้สึกหลงใหล ความรู้สึกวัยสาวที่เคยนั่งมองเขาว่ายน้ำ เตะฟุตบอล หรือแม้แต่วิ่งแข่งกับเพื่อนๆ หวนคืนกลับมาอีกครั้ง และถ้าหากเป็นไปได้ เธอก็อยากจะย้อนเวลากลับไปวันนั้นเหลือเกิน

แต่มันคงเป็นไปไม่ได้

เธอถอนใจแล้วกลับเข้าไปในห้อง อาบน้ำฝักบัว ชะโลมครีมบำรุงผิวต่างๆ นานา แต่งหน้าแต่งตาแล้วค่อยหยิบเดรสสีชมพูอ่อนมาสวม จากนั้นก็ลงไปที่ห้องครัว ชงกาแฟกลิ่นหอมฉุยใส่กระบอกเก็บความร้อนจนแม่บ้านสูงวัยต้องเอ่ยทัก

“ลงทุนชงกาแฟเองเลยนะคะวันนี้”

“ค่ะ” เธอยิ้ม ก่อนจะเดินฮัมเพลงออกจากบ้านไปที่รถกอล์ฟ

ดีที่หลังจากอมรกลับมาจากญี่ปุ่น นายเข้มก็ไม่มาคุมเข้มเธอเหมือนเดิม เธอจึงสามารถขับรถกอล์ฟมุ่งหน้าไปยังบ้านพักริมน้ำได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่กวินกลับจากการปั่นจักรยานยามเช้าพอดี

“อ้าวลี มาเร็วจัง” เขาเอ่ยพร้อมกับดึงผ้าที่พาดคออยู่ขึ้นมาซับเหงื่อ

“สายกว่านี้แดดจะร้อนค่ะ”

“งั้นไปรอที่ระเบียงก็แล้วกันนะ เดี๋ยววินขออาบน้ำแป๊บ”

“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน หยิบถ้วยกาแฟสองใบพร้อมกับกล่องคุกกี้ที่เธอหอบหิ้วมาเมื่อวาน เดินออกไปนั่งรอที่ระเบียง

ไม่นานนัก กวินก็ออกมานั่งที่เดิมด้วยเนื้อตัวที่กรุ่นกลิ่นหอมของสบู่ที่เขาใช้เป็นประจำ บราลีรู้สึกว่ากลิ่นนั้นทำให้ยามเช้านี้สดใสเพิ่มขึ้นอีกเป็นกองทีเดียว

หญิงสาวยิ้มแล้วเปิดกระติกรินกาแฟใส่ถ้วยให้เขา ควันและกลิ่นหอมฉุยของกาแฟก็ยังไม่อาจเทียบได้กับกลิ่นหอมจากเนื้อตัวของเขา

กวินหยิบถ้วยของเขาขึ้นดื่ม ก่อนจะยิ้ม “กาแฟลีนี่หอมอร่อยเสมอนะ”

“มันก็เนสกาแฟธรรมดาๆ นี่แหละค่ะ” เธอหัวเราะ

เขายักไหล่ ยกถ้วยขึ้นจิบอีกครั้ง “ไม่รู้สิ วินว่าดื่มกาแฟฝีมือใครก็ไม่เหมือนของลี”

บราลีจ้องมองเขา ก่อนจะสะอึกแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อเขาช้อนสายตาขึ้นมองเธอ

“เป็นไงคะ เมื่อวานเขียนไปได้เยอะไหม”

“ก็โอเคนะ เขียนได้เยอะกว่าที่บ้านอีก สงสัยได้เปลี่ยนบรรยากาศเลยทำให้สมองมันโปร่งขึ้น”

“อย่างนี้สงสัยวินต้องขายบ้านที่กรุงเทพฯแล้วย้ายมาทำงานที่นี่แล้วมั้ง” เธอหัวเราะคิกคัก

“ถ้าทำงั้นได้ วินก็อยากจะทำนะ เพราะ...” เขาทอดเสียงลงพาลให้เธอสงสัย

“เพราะอะไรคะ”

กวินหันมามองเธอ สายตาของเขาเหมือนกับจะสะกดเธอให้จ้องมองตอบ ก่อนที่เธอจะสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเอื้อมมือมาจับมือเธอไว้

“เพราะวินอยากอยู่ใกล้ๆ ลี”

คำพูดและมือของเขาที่กุมมือเธออยู่คล้ายมีกระแสไฟแรงสูงแผ่ออกมา ทำให้เธอแทบชะงักนิ่งราวกับถูกพลังอะไรบางอย่างดึงดูดเอาไว้ ไม่ให้เคลื่อนสายตาจากเขา และไม่ให้เธอดึงมือออกจากการกอบกุมของเขาได้

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทั้งคู่กอบกุมมือกันนิ่ง เนิ่นนาน ก่อนที่จะเป็นเธอเองที่ตัดสินใจยุติสถานการณ์อันชะงักงันนี้เสีย ด้วยการดึงมือออกจากมือของเขาแล้วดึงมากุมกันไว้ที่หน้าอกของตัวเอง

“วินขอโทษ”

เธอยิ้มจางๆ “ไม่เป็นไรค่ะ”

บราลีเหลือบดูนาฬิกา เวลายังเหลืออีกมากกว่าจะเข้างาน แต่เธอคิดว่าไม่ควรจะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปแล้ว เพราะการอยู่ใกล้กวินทำให้เธอรู้สึกว่า เรื่องไม่ดีไม่งามอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เธอไม่มีความต้านทานเขามากพอที่จะนั่งอยู่กันสองต่อสองในบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกอย่างนี้ได้

ทว่าเขาก็กลับไม่ปล่อยให้เธอไปง่ายๆ

“อย่าเพิ่งไปเลยนะลี นั่งต่ออีกนิดนะ” เขาเอ่ยเหมือนรู้ว่าเธอกำลังจะปลีกตัวไป คงเพราะเห็นเธอเหลือบมองนาฬิกา

“แต่...”

“นะ...ลี” เขาแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

หญิงสาวมองเขาอย่างลังเล ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ “ก็ได้ค่ะ” เธอตอบเขา ก่อนที่เขาจะชวนเธอคุยถึงเรื่องความหลังอันหวานชื่น เธอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาพยายามจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาทำไม ในเมื่อมันคืออดีต

อดีตที่เขาตัดสินใจละทิ้งมันไปเอง

“ลีเห็นจะต้องไปจริงๆ ซะที” เธอเอ่ยขึ้นพร้อมกับดูนาฬิกาข้อมือหลังจากทอดเวลาผ่านมานานพอสมควร

คราวนี้เขาไม่รั้งเธอไว้อีก เพราะคงรู้ว่าเวลาได้ล่วงเลยมานานแล้ว ทั้งคู่ต่างลุกขึ้น ก่อนจะพากันเดินกลับเข้าไปในบ้าน เพื่อที่จะเดินผ่านไปยังประตูหน้าบ้าน แต่เธอกลับซุ่มซ่ามเดินไปเตะขาโต๊ะเตี้ยข้างเตียงจนต้องร้องโอดโอยออกไป

“โอ๊ย...เจ็บจัง”

“เจ็บมากไหมลี นั่งก่อนๆ” กวินเอ่ยด้วยความอาทร ก่อนจะประคองเธอนั่งที่ขอบเตียงช้าๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอส่ายหน้า “ลีนี่ซุ่มซ่ามจัง”

“ผมผิดเองแหละ เมื่อคืนดันอยากนอนพิมพ์งานบนเตียง เลยลากโต๊ะตัวนี้มาวางคอมฯ”

“ไม่ใช่ความผิดวินหรอก ลีเองที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ โต๊ะตัวเบ้อเร่อยังมองไม่เห็นอีก” บราลีเอ่ยกลั้วหัวเราะ พลางขยับข้อเท้าหมุนไปมา ยังรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย

“ทายาหม่องเสียหน่อยนะ” กวินบอก พร้อมกับลุกเดินไปที่กระเป๋าสะพายของเขาแล้วรื้อค้นอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งได้ยาหม่องมาหนึ่งตลับ

ทว่าเมื่อเขากำลังเดินกลับมา โต๊ะเตี้ยเจ้ากรรมดันก่อเรื่องขึ้นอีกจนได้ กวินเดินอ่านสรรพคุณอันมากมีข้างตลับยาเพลินจนสะดุดกับขาโต๊ะเข้า ก่อนจะเสียหลักล้มลงมาคร่อมร่างของเธอพอดี

เกิดความชะงักงันระหว่างกันขึ้นมา สองสายตาผสานกันอย่างแนบชิด ปลายจมูกของเขาห่างจากจมูกของเธอเพียงแค่องคุลีเดียว หากเขาโน้มศีรษะเข้าหาเธออีกนิด รับรองได้ว่าริมฝีปากของทั้งคู่จะต้องสัมผัสกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่

ระหว่างที่หัวใจของเธอว้าวุ่นและเต้นระทึกอยู่นั้นเอง ประตูบ้านพักก็ถูกเปิดผลัวะออก เมื่อเธอกับเขาหันไปมองก็พบว่าร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูนั้น คือ...ลีลาวดี มารดาของเธอเอง

ทั้งเธอและกวินต่างจ้องมองลีลาวดีด้วยความตกตะลึง ต้องใช้เวลาชั่ววินาทีหนึ่งทีเดียวกว่าจะรู้ว่าเราสองคนอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะไม่ควรนักบนเตียง กวินจึงรีบผละออกจากเธอ จากนั้นเธอก็รีบลุกขึ้นจากเตียง แทบลืมความเจ็บที่เท้าไปเลยเมื่อเผชิญกับสถานการณ์คับขัน

“นี่พวกแกทำบัดสีอะไรกัน”

“คุณแม่ครับ คือ...”

“ฉันไม่ใช่แม่แก” ลีลาวดีตวาดลั่น ก่อนจะหันมามองเธอเขม็ง “นี่มันอะไรกันหือ...ลี”

“มะ...มันไม่ใช่อย่างที่แม่เห็นนะคะ คือ...ลี...เอ่อ...”

“แกจะหาข้อแก้ตัวอะไรล่ะ ในเมื่อฉันเห็นอยู่ตำตาว่าแกกำลังนอนให้มันกกกอดอยู่บนเตียงนั่น”

“แม่” เธอร้องออกมาอย่างไม่คิดว่านั่นจะเป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากบุพการี

“คือเรื่องนี้ผมอธิบายได้นะครับ”

“ไม่ต้อง คุณมันนักแต่งนิยาย ฉันไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคุณหรือเปล่า” ลีลาวดีคำราม ก่อนจะหันมาหาลูกสาว “กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้”

“แม่คะ”

“ไม่ต้องมาคะขา กลับบ้าน” ท่านยื่นคำขาด

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น