เสียงเรียกของยามเช้าริมแม่น้ำแควใหญ่ทำให้กวินเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ เขาสูดลมหายใจลึก เก็บเอากลิ่นสดชื่นของแมกไม้และสายธารที่อยู่รอบๆ บ้านพักเข้าสู่ปอด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นก็หยิบชุดวอร์มสีกรมท่ามาสวมคู่กับถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบสีขาว
เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเปิดประตูออกไปยืนที่หน้าบ้าน สูดลมหายใจลึกอีกครั้งพร้อมกับกางแขนตึง กลิ่นยามเช้าหลังฝนตกปรอยๆ ตลอดทั้งคืนสร้างความสดชื่นระคนชุ่มฉ่ำอย่างโรแมนติก กวินยิ้มแล้วหันไปจับจักรยานที่พิงอยู่กับผนังบ้านพัก ซึ่งเขาเช่าจากอาคารกลางของรีสอร์ตตั้งแต่เมื่อคืนมาขึ้นคร่อม ก่อนจะเริ่มปั่นไปตามถนนสายเล็กๆ อันราบเรียบ
กวินชื่นชอบการปั่นจักรยานยามเช้า เพราะสามารถดึงพลังงานสำรองที่สะสมอยู่ในรูปของไขมันออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากหลังตื่นนอนและก่อนมื้ออาหารเช้า ร่างกายยังไม่ได้รับพลังงานใหม่ ทั้งยังเป็นการทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสมองปลอดโปร่งพร้อมสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่อีกด้วย
พื้นที่กว่าหนึ่งร้อยไร่ของรีสอร์ตแห่งนี้ เต็มไปด้วยการจัดวางภูมิสถาปัตย์อย่างลงตัว ถนนที่ลัดเลาะไปตามจุดต่างๆ นั้นมีผิวทางที่ราบเรียบ สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านพัก สวนดอกไม้ และประติมากรรมหลากสไตล์ที่ถูกจัดวางอย่างเหมาะเจาะ ทำให้การออกกำลังในเช้าวันนี้ สามารถเพิ่มพูนความกระตือรือร้นสำหรับการทำงานในวันใหม่ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
แต่แม้ว่าเส้นทางจักรยานของที่นี่จะมีบรรยากาศที่รื่นรมย์กว่าเส้นทางท้องนาในเขตหนองจอกซึ่งเขาพักอาศัยอยู่ และสามารถสร้างความสดชื่นให้เขาได้มากกว่าก็ตามที แต่กวินกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้การออกกำลังในวันนี้ ไม่สมบูรณ์แบบสำหรับเขาเท่าที่ควร
นั่นอาจเป็นเพราะ ทุกครั้งที่จิตใจเริ่มปลอดโปร่ง เขาก็มักจะคิดถึง...บราลี
รีสอร์ตแห่งนี้เป็นของอมร สามีของเธอ
ทุกครั้งที่นึกถึง เขามักจะสงสัยว่า การแต่งงานครั้งนี้อาจมีเงื่อนงำอะไรหรือเปล่า หลายประโยคที่หลุดจากปากของบราลีเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานั้น ทำให้เขารู้สึกว่าเธออาจไม่ได้เต็มใจ มีบางอย่างในคำพูดและแววตาเวลาเธอกล่าวถึงชีวิตหลังแต่งงานที่เขาคิดว่า มันทำให้ความสดใสของเธอจางหายไป
กวินถอนใจ ก่อนจะหัวเราะเยาะกับความคิดที่เอนเอียงเข้าข้างตัวเองเช่นนี้
บางทีเธออาจมีความสุข แต่เขาพยายามมองว่าเธอกำลังทุกข์อยู่ก็ได้
ความหวงแหนสิ่งที่ปล่อยหลุดมือไปอย่างที่ตัวเองไม่ได้ต้องการ ทำให้เขาอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า เธอยังรักเขาอยู่
ใครกันล่ะที่ได้เป็นภรรยาของมหาเศรษฐีซึ่งมีเงินมีทองมากมายขนาดนี้แล้วจะไม่มีความสุข แถมยังได้ใช้ชีวิตสงบร่มรื่นอยู่กับบรรยากาศอันสดชื่นและเงียบสงบเช่นนี้ทุกวันอีกต่างหาก
นักเขียนหนุ่มจบการออกกำลังแบบคาร์ดิโอด้วยร่างกายที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขาจอดจักรยานเอาไว้ที่หน้าบ้านดังเดิม จากนั้นก็กลับเข้าบ้านพักไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดสดชื่น แล้วเดินไปที่อาคารหลังใหญ่เพื่อรับประทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ที่ทางรีสอร์ตจัดเอาไว้บริการแขกเหรื่อที่มาพัก
เมื่ออิ่มแล้วเขาจึงเดินออกจากห้องอาหารเพื่อกลับไปยังบ้านพัก แต่เมื่อผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็ต้องชะงักฝีเท้าลงด้วยเสียงเรียกแสนหวานของชมพู่
“พี่วินคะ”
นักเขียนหนุ่มหันไปยิ้มให้ “อ้าวชมพู่ สวัสดีตอนเช้าครับ”
เธอวิ่งอ้อมเคาน์เตอร์มาหาเขา “คุณลีโทร. มาสั่งไว้ค่ะว่า ถ้าพี่วินทานอาหารเช้าเสร็จให้ไปหาเธอที่บ้านค่ะ”
กวินเบิกตากว้าง หัวใจเต้นตึ้กตั้กด้วยความตื่นเต้น “คุณลีเธอบอกหรือเปล่าว่ามีธุระอะไรกับผม”
“เห็นว่าจะให้ไปเซ็นหนังสือให้คุณอมรที่ห้องสมุดน่ะค่ะ”
ความตื่นเต้นในหัวใจลดระดับลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินชื่อสามีของเธอ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มให้พนักงานต้อนรับสาวสวย
“ได้ครับ ว่าแต่บ้านพักของคุณลีอยู่ที่ไหนครับ”
“อ๋อ อยู่บนเนินใกล้บ้านพักพี่วินน่ะค่ะ หลังใหญ่ๆ ไม่เหมือนบ้านพักหลังอื่นน่ะค่ะ เดี๋ยวฉันขับรถกอล์ฟพาไปก็ได้ค่ะ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ” กวินโบกมือ “เมื่อเช้าตอนปั่นจักรยานผมเห็นอยู่ ยังนึกสงสัยอยู่ว่าหลังใหญ่แล้วก็หรูหราเกินว่าจะเป็นบ้านพักน่ะครับ”
“ค่ะ หลังนั้นแหละ”
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเดินไปเอง ชมพู่ไปทำงานต่อเถอะครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างร่าเริง ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินกลับไปประจำที่
กวินเดินทอดน่องไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปสู่บ้านหลังใหญ่ที่เขาเห็นเมื่อเช้านี้ ไม่นานเขาก็มาถึงทางแยกระหว่างบ้านพักของเขากับบ้านหลังใหญ่ของเธอ เขาเดินเลี้ยวขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ จนกระทั่งเข้าสู่บริเวณสวนสวยที่โอบล้อมบ่อน้ำพุสามชั้นอันหรูหราหน้าบ้าน จากตรงที่ยืนอยู่นี้ กวินสามารถมองเห็นหลังคาบ้านพักของตัวเองได้อย่างชัดเจน
เมื่อเดินไปถึงหน้าบ้านซึ่งเป็นบันไดหินอ่อนขึ้นไปจนถึงประตูไม้สักบานใหญ่ที่เปิดกว้างอยู่ เขาก็เห็นหญิงสูงวัยคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูบานนั้นด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ยูนิฟอร์มสีกรมท่าปกขาวกับผ้ากันเปื้อนของเธอทำให้เขารู้ว่าเธอคงเป็นคนรับใช้ในบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน
“คุณกวินใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“เชิญค่ะ” หญิงสูงวัยผายมือเข้าไปในบ้านอันโอ่อ่า “คุณลีเธอรออยู่ที่ห้องสมุดแล้วค่ะ”
นักเขียนหนุ่มเดินตามแม่บ้านสูงวัยไปจนถึงประตูไม้สีวอลนัตบานใหญ่ เธอเปิดมันแล้วพาเขาเข้าไปภายในซึ่งเป็นห้องทรงแปดเหลี่ยม กลางห้องมีชุดโซฟาหนังขนาดหกที่นั่งวางล้อมโต๊ะเตี้ยที่ทำจากไม้โอ๊กอย่างดี ผนังทุกด้านถูกตกแต่งเป็นชั้นหนังสือ มีหนังสือมากมายเรียงรายกันอย่างแออัดอยู่แทบทุกชั้น ใกล้กับผนังด้านหนึ่งมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่พร้อมเก้าอี้พนักสูงน่าสบายตั้งอยู่ด้วย
และตรงโต๊ะทำงานตัวนั้นเอง บราลีกำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ด้วยความตั้งใจ
“คุณกวินมาแล้วค่ะคุณลี”
หญิงสาวชะงัก เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมปิดหนังสือเล่มนั้น หน้าปกหนังสือทำให้เขารู้ว่าเธอกำลังอ่านนิยายของเขาอยู่
“ขอบใจมากค่ะป้าดวง ป้ามีอะไรทำก็ไปทำเถอะ”
“ค่ะ” หญิงสูงวัยค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินออกจากห้องแล้วปิดประตูลง
“ตัวหนังสือของคุณทำให้ฉันเพลินจนไม่รู้ว่ามีใครมา” บราลีเอ่ยพร้อมวางมือทั้งสองทาบลงบนหนังสือ
“ขอบคุณครับ” กวินยิ้มให้เธอ
หญิงสาวลุกจากเก้าอี้น่าสบาย หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่เดินมาหาเขา
“คุณอมรอยากให้คุณเซ็นหนังสือให้ ฉันก็เลยต้องรบกวนคุณให้มาที่นี่ เพราะหนังสือคุณมีหลายเล่มเหลือเกิน”
“ยินดีครับ” เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย
“เริ่มจากเล่มนี้ก็แล้วกัน” เธอยื่นหนังสือเล่มนั้นให้เขา
กวินรับหนังสือเล่มนั้นมา เธอผายมือให้เขาไปนั่งแทนที่เธอตรงโต๊ะทำงานตัวใหญ่พร้อมกับดึงปากกาออกจากแท่นเสียบปากกาที่ตัวฐานเป็นกล่องเก็บของกระจุกกระจิกทำจากไม้แกะสลักลวดลายป่าหิมพานต์อย่างวิจิตรบรรจง จากนั้นก็ยื่นปากกานั้นให้เขา
“เดี๋ยวฉันทยอยหยิบผลงานของคุณมาให้นะคะ”
นักเขียนหนุ่มพยักหน้า ก้มลงเปิดหน้าที่เป็นคำนำนักเขียนแล้วจดปากกาลงไปเพื่อเขียนคำขอบคุณและเซ็นชื่อกำกับเอาไว้พร้อมกับวันที่ จากเล่มสู่เล่มจนกระทั่งครบถ้วนจึงส่งเล่มสุดท้ายให้บราลีนำกลับไปเก็บที่เดิมของมัน
ทว่า...การส่งมอบครั้งสุดท้ายกลับเกิดผิดจังหวะอย่างไม่มีใครตั้งใจ หนังสือเล่มนั้นหลุดจากมือของเธอหล่นลงไปนอนทอดตัวอยู่บนโต๊ะทำงาน กวินรีบเอื้อมมือไปหยิบตามสัญชาตญาณเดียวกับเธอ ทำให้สองมือสัมผัสกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
วินาทีนั้น กวินรู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างไหลจากปลายนิ้วของเธอเข้าสู่ร่างกายของเขา สัมผัสนั้นคล้ายการต่อสวิตช์ไฟฟ้าทำให้วงจรครบสมบูรณ์ ทำให้เกิดความชะงักงันไปชั่ววินาทีหนึ่ง ก่อนจะเป็นเธอที่ดึงมือข้างนั้นกลับไปกุมเอาไว้แทบอก
“เอ่อ...ผมไปเก็บให้ดีกว่า” เขาเอ่ยแก้เก้อ ก่อนจะหยิบหนังสือแล้วเดินอ้อมโต๊ะไปที่ชั้นหนังสือสำหรับเปลวเทียน จากนั้นก็เสียบมันเข้าไประหว่างหนังสือเล่มอื่น รู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้เห็นว่ามีคนที่ชื่นชมผลงานของเขาขนาดนี้กับตา
แต่มันคงจะดีกว่านี้หากคนคนนั้นไม่ใช่สามีของ...ผู้หญิงที่เขารัก
“ไม่รู้ว่าคุณอมรเป็นแฟนตัวยงของเปลวเทียนนะครับ ไม่อย่างนั้นคงจะหยิบเล่มใหม่ติดมากำนัลสักเล่ม” เขาพยายามหาเรื่องคุยเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดนั้นเสีย
บราลียิ้มไม่เต็มปากนัก “ถ้าจะกำนัล คงต้องหลายเล่มหน่อยค่ะ เพราะที่บ้านทุกหลังของคุณอมรมีหนังสือของคุณอยู่หลังละชุดเชียวค่ะ”
“จริงหรือครับ” เขาหันไปมองเธอด้วยความทึ่งระคนปลื้มใจ แต่เมื่อเห็นวงหน้าสวยใสอันน่าหลงใหลก็ทำเอาไม่สามารถถอนสายตาจากเธอได้ พวงแก้มใสแดงเรื่อขึ้น บราลีเม้มปากก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง
“จริงค่ะ คุณอมรชอบผลงานของคุณมาก”
กวินมองใบหน้าด้านข้างของเธอด้วยหัวใจเต้นระรัว นึกถึงวันที่เคยประคองกอดและหอมแก้มนวลนั้นแล้วก็ทำให้รู้สึกร่างกายตะครั่นตะครอขึ้นมาอย่างประหลาด
“แล้วคุณล่ะ...ชอบไหม”
บราลีสะอึก เธอหมุนตัวหันหลังให้เขาแล้วเดินไปยืนกอดอกอยู่ที่หน้าต่าง
“ปรกติฉันไม่ค่อยได้อ่านนิยายค่ะ อ่านแต่บทละคร”
“แต่เมื่อครู่ ผมเห็นคุณอ่านบินแหลกแจกกระสุนอยู่”
“นั่นเป็นเล่มแรกที่ฉันอ่านในรอบหลายปี” เธอกล่าวเสียงเรียบ “ตอนแรกฉันไม่รู้จักหน้าตาของคุณ กลัวจะต้อนรับไม่ถูกคน คุณอมรเลยบอกให้ฉันมาดูที่ปกหลังของหลังสือ ฉันเผลออ่านไปสองสามตอนก็เลยติดค่ะ คุณเขียนได้ดีจริงๆ”
“แสดงว่าคุณชอบ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้า “อ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางเอกอย่างไรไม่รู้”
กวินยิ้ม เขาเดินไปยืนข้างๆ เธอเงียบๆ ลอบมองเสี้ยวหน้าของเธอ ก่อนจะเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน
“ทุกอย่างที่ผมบรรยายเอาไว้เกี่ยวกับนางเอกของเรื่อง มาจากผู้หญิงที่ผม...รัก”
บราลีสะดุ้ง ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วเบือนหน้าหลบสายตาของเขาไปทางอื่น
“เธอคงเป็นผู้หญิงที่โชคดี”
เขาหัวเราะฝืนๆ ก่อนจะเอ่ยล้อคำพูดของเธอเมื่อคืนวาน
“เรื่องแฮปปีเอนดิงมันมีแต่ในนิยายครับ เรื่องจริงมันไม่ได้ลงเอยอย่างมีความสุขแบบนั้น”
“ทำไมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงเบาหวิว ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงเข้มที่แฝงเอาไว้ด้วยความขึ้งเคียดจนเขารู้สึกได้ “คุณหมดรักเธอแล้วหรือ”
กวินรู้สึกโพรงอกถูกบีบแน่นด้วยคำถามนั้น เขารีบสูดลมหายใจลึกเพื่อต้านแรงมหาศาลนั้น ก่อนจะตอบออกไปด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย
“ผมไม่เคยหมดรักเธอ”
“แล้ว...” บราลีทอดเสียงลง ก่อนจะหันไปมองเขาเขม็ง ดวงตาของเธอแดงก่ำจนน่ากลัว “ทำไมคะ มันเกิดอะไรขึ้น”
เขานิ่งไปนาน รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่แฝงมากับคำถามและแววตาของเธอ เขารู้สึกเหมือนเธอกำลังถามคำถามเดียวกันกับเมื่อครั้งที่เขาบอกเลิกเธอเมื่อหลายปีก่อน มันทำให้เขาอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้องทีเดียว
“เรื่องบางอย่าง เราก็ไม่สามารถบอกใครได้ มีหลายเหตุผลเหลือเกินที่สามารถทำให้คนที่รักกันแยกจากกันได้ โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่เคยหมดรักกันเลย”
บราลีขมวดคิ้วมุ่น แววตาของเธอยังคงตัดรอนหัวใจของเขาจนความรู้สึกผิดกระหน่ำรุนแรง
“คุณอาจจะประเมินผู้หญิงคนนั้นผิดไป” เธอเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึก เบือนหน้าจากเขาหันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง “บางทีเธออาจจะลืมคุณไปแล้วก็ได้”
“ผมไม่สน” กวินโพล่งออกไปอย่างเผลอตัว
หญิงสาวสะอึก หันมามองเขาด้วยแววตาสงสัย “คุณหมายถึงอะไรคะ”
นักเขียนหนุ่มจ้องอดีตคนรักเขม็ง พยายามค้นหาตัวเองในดวงตากลมโตคู่นั้นเพื่อหาคำตอบที่เหมาะสม แต่กลับหาไม่เจอ
“ผมหมายถึง ผมไม่สนว่าเธอจะยังรักผมอยู่หรือเปล่า ผมรู้แต่เพียงว่า...” เขาทอดเสียงลง ดวงตาสองคู่สบกันนิ่งราวกับกำลังแข่งเกมจ้องตากันอยู่ ไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่งเขาตัดสินใจเอ่ยประโยคที่เหลือออกไป
“ผมรู้แต่เพียงว่า ผมยังรักเธออยู่ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
น้ำตาของบราลีไหลอาบแก้ม เมื่อเธอรู้สึกตัวจึงรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกแล้วหันหลังให้เขา
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณอมรบอกว่าให้คุณใช้ห้องนี้ทำงานได้หากคุณต้องการ” เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือแล้วก้าวเท้าจากไป
น้ำตาของเธอทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ พอเธอหันหลังให้แล้วทำท่าจะเดินจากไป กวินก็รู้สึกตัว เขารีบยกมือขึ้นหมายจะคว้าแขนของเธอ รั้งเธอให้กลับมาพูดคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ความคิดนั้นกลับช้ากว่าการตัดสินใจก้าวจากเขาไปของเธอ เขาคว้าได้แต่เพียงลม ได้แต่มองเธอเดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตูขังเขาเอาไว้ในห้องกว้างใหญ่เพียงลำพัง
เสียงประตูปิดดังขึ้นพร้อมกับเสียงทอดถอนใจของเขา กวินหันไปที่หน้าต่าง เท้าสองแขนลงบนวงกบ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
กวินไม่ได้นั่งทำงานที่ห้องสมุดของคุณอมรตามคำเชื้อเชิญของบราลี นั่นเพราะเขาไม่ได้เตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาไปด้วย จึงตัดสินใจเดินกลับไปทำงานที่บ้านพัก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ว่าจะเปลี่ยนที่นั่งจากภายในบ้านไปที่ระเบียง หรือสวนหน้าบ้านก็ตาม
ในที่สุด กวินก็ตัดสินใจพับหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขาลงแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
นักเขียนหนุ่มเดินกลับเข้าบ้านพัก วางเครื่องมือทำมาหากินลงบนโต๊ะ ก่อนจะล้มตัวนอนบนเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์ของรีสอร์ตขึ้นมา กดหมายเลขไปยังส่วนต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ” เขากรอกเสียงลงไป “โทร. จากบ้านพักริมน้ำนะครับ”
“อ๋อ...สวัสดีค่าพี่วิน มีอะไรให้ชมพู่รับใช้คะ”
เขายิ้มกับน้ำเสียงแจ่มใสของเธอ “คือผมมีข้อมูลบางอย่างอยากจะสอบถามคุณลีอีกนิดหน่อย ไม่ทราบว่าชมพู่จะต่อสายให้ได้หรือเปล่าครับ”
“ยินดีค่า รอสักครู่นะคะ”
สิ้นเสียงของพนักงานต้อนรับสาว สัญญาเพลงรอสายก็ดังขึ้น กวินรอด้วยหัวใจเต้นระรัว จนกระทั่งเสียงหวานใสดังลอดออกมาจากลำโพง
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับคุณลี”
“คุณกวินมีอะไรจะสอบถามอีกหรือคะ”
“อืม...ก็ไม่เชิงหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากเห็นบรรยากาศของวัดที่คุณไปปฏิบัติธรรมน่ะครับ”
บราลีเงียบไปพักใหญ่จนหัวใจของเขาเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ กับการรอคอยอันน่าอึดอัดครั้งนี้
“ฉันจะให้นายเข้มขับรถพาไปก็แล้วกันนะคะ”
กวินถอนใจออกมาเบาๆ เธอคงไม่อยากจะพบหน้าเขาอีกหลังจากเกิดเรื่องเมื่อเช้านี้
“ผมกำลังเขียนเรื่องเกี่ยวกับคุณนะครับ ไม่ใช่นายเข้ม”
หญิงสาวเงียบไปอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เขาพูดออกไป แต่เขารู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่านครอบงำจิตใจจนเอ่ยออกไปด้วยคำพูดและน้ำเสียงเข้มเช่นนั้น
“ได้ค่ะ” ในที่สุดบราลีก็เอ่ยออกมา “ถ้าอย่างนั้นฉันขอเตรียมตัวสักครู่ เดี๋ยวจะวนรถไปรับที่บ้านพักนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
กวินถอนหายใจก่อนจะวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้นแล้วนอนรอรถอยู่บนเตียง จนกระทั่งได้ยินเสียงแตรรถยนต์จึงลุกขึ้น หยิบสมุดโน้ตกับโทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกไปที่หน้าบ้าน
หลังรถของเขา มีรถตู้คันใหญ่จอดต่อท้ายอยู่ คนขับรถซึ่งน่าจะชื่อเข้มยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างรถอย่างเป็นมิตร ก่อนจะหันไปเปิดประตูให้เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้
บราลีนั่งอยู่ที่เบาะแถวหน้าในส่วนของห้องโดยสารด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ดวงหน้าของเธอเรียบเฉย เมื่อเขาก้าวขึ้นไปนั่งข้างๆ เธอก็เพียงหันมาค้อมศีรษะให้พร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ไปวัดเขาพุทธฯ นะ นายเข้ม” เธอหันไปบอกสารถี
“ครับคุณลี” นายเข้มค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วบังคับรถให้เคลื่อนไปตามถนนสายเล็กๆ ของรีสอร์ต ก่อนจะออกสู่ถนนหลัก
ตลอดทาง บราลีมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งทำให้เขาเห็นแต่ผมยาวสลวยของเธอเท่านั้น ดูเหมือนการสนทนาเมื่อเช้าจะทำให้เกิดปฏิกิริยาอะไรบางอย่างกับเธอไม่น้อย ถึงทำให้เธอแสดงท่าทีเย็นชากับเขาแบบนี้
“ขอโทษที่ต้องรบกวนเวลาทำงานของคุณลีนะครับ แต่ผมอยากรู้ว่าคุณใช้ชีวิตอย่างไรตอนอยู่ที่วัดน่ะครับ” กวินเอ่ยอย่างหาเรื่องชวนคุย
“ก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวค่ะ ฉันรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวจริงๆ” เธอเอ่ยเสียงแข็งขึ้นมา
“แล้ว...พวกดาราหนุ่มๆ ที่คุณเคยคบล่ะครับ”
“ฉันไม่เคยคบใคร” บราลีปฏิเสธเสียงแข็งโดยไม่คิดจะหันกลับมาสักนิด “ถ้าคุณมีรักมั่นคงกับคนรักของคุณจริงอย่างที่คุณเล่าให้ฟัง ฉันก็มีความรักมั่นคงของฉันเหมือนกันค่ะ ความรักของฉันไม่ใช่ขนมหวานที่จะเที่ยวเร่แจกให้ใครชิม”
กวินถึงกับอึ้ง รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มแทงหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในโพรงอก
“รักมั่นคงของคุณ คงหมายถึง...คุณอมร”
บราลีหันขวับกลับมามองเขา ริมฝีปากของเธอสั่นระริก ดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยน้ำใสเขม้นมองเขาอย่างขึ้งเคียด ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางหน้าต่างเหมือนเดิม
“สำหรับคุณอมร มันเป็นมากกว่าความรักค่ะ”
กวินรู้สึกเหมือนผีดิบที่ถูกตอกลิ่ม รู้สึกจุกอกจนพูดอะไรไม่ออก หลังจากได้ยินคำพูดเปรียบเทียบที่เหมือนตัวเองถูกลดทอนความสำคัญลงกลายเป็นฝุ่นผงไร้ค่า ต่างจากสามีของเธอที่ลอยสูงขึ้นไปโดดเด่นอยู่บนฟ้า เขากลั้นลมหายใจ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางหน้าต่างบ้าง สายตาทอดมองทิวทัศน์ข้างทางอย่างเงียบๆ แต่หัวใจปวดร้าวลึกจนยากเกินบรรยาย
ความเงียบครอบงำไปทั่วทั้งรถ บรรยากาศสองข้างทางกลายเป็นท้องทุ่งนากว้างไกล ก่อนจะกลายเป็นเส้นทางแคบๆ ขนาบด้วยภูเขาใหญ่ จนกระทั่งไปถึงลานจอดรถซึ่งมีรถทัวร์จอดอยู่หลายคัน
“สงสัยจะมีคณะมาปฏิบัติธรรม” บราลีเอ่ย ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดอันโตขึ้นมาสวมปิดใบหน้าเล็กๆ ของเธอเอาไว้เกือบครึ่ง
“ถ้าคุณไม่สะดวก เอาไว้วันหลังก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอบอกโดยไม่หันมามอง “คนพวกนี้มาด้วยใจรักในพระพุทธศาสนา ไม่ได้สนใจเรื่องฉาวทางโลกหรอกค่ะ”
เมื่อนายเข้มเปิดประตูให้ บราลีก็ก้าวลงจากรถลงไปยืนคอยเขาอยู่ที่ด้านล่าง กวินก้าวตามลงไป ก่อนจะมองไปรอบๆ บริเวณ แล้วก็พบว่าพื้นที่ในหุบเขาแห่งนี้ค่อนข้างร่มรื่นไม่น้อย หัวใจที่เต็มไปด้วยความว้าวุ่นตลอดทางกลับสงบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์เมื่อได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีกัน ผสมผสานกับเสียงนกที่ดังแว่วมาเป็นจังหวะ
“สมกับเป็นที่สงบจิตสงบใจนะครับ”
บราลีหันมายิ้มแห้งแล้งให้เขา ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินไปยังบันไดหินสำหรับขึ้นไปบนภูเขา คะเนดูแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสองถึงสามร้อยเมตรเลยทีเดียว
เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของบันได เขาพบว่าด้านบนนี้เป็นลานสนามหญ้ากว้างใหญ่เอามากๆ ที่กลางลานนั้นมีอาคารหลังใหญ่สีขาวหลังคาสีเขียวตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า รอบๆ ลานมีกระท่อมหลังเล็กๆ ปลูกอยู่ใต้ร่มทิวไม้ใหญ่ที่เรียงรายล้อมลานแห่งนี้อยู่นับร้อยหลังคาเรือน ด้านหลังอาคารนั้นเป็นภูเขาสูงมีบันไดหินขึ้นไปด้านบนเฉกเช่นเดียวกับที่เขาเพิ่งจะไต่ขึ้นมา
“ไม่เห็นมีคนเลยนะครับ ทำไมข้างนอกมีรถจอดเต็มไปหมด”
“สงสัยฝึกสมาธิกันอยู่บนศาลานั่นมั้งคะ” บราลีชี้ไปที่อาคารใหญ่หลังคาเขียว ก่อนจะชี้ไปยังกระท่อมหลังเล็กๆ “นั่นเป็นที่พักของผู้มาปฏิบัติธรรมค่ะ ชายหญิงจะพักแยกกันคนละฝั่ง และถ้าเราขึ้นบันไดไปอีกก็จะเป็นส่วนของวัดกับกุฏิของพระสงฆ์ค่ะ”
“แล้วสนามหญ้านี่ล่ะครับ กว้างทีเดียว เอาไว้ทำอะไรหรือครับ”
“เป็นลานอเนกประสงค์ค่ะ ส่วนใหญ่ก็เอาไว้เดินจงกรมตอนเย็น” เธออธิบายให้ฟัง ก่อนจะพาเขาเดินชมสถานที่อย่างเงียบๆ เพื่อจะได้ไม่ไปรบกวนสมาธิของผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ก่อนจะพาเขาเดินขึ้นไปไหว้พระพุทธรูปที่โบสถ์ด้านบน
หลังจากกราบพระประธานแล้ว บราลีก็หันมาหาเขาพร้อมกับผายมือไปยังกระบอกไม้ไผ่สีแดงที่มีแผ่นไม้เล็กๆ อัดแน่นอยู่ภายในเต็มไปหมด
“ลองเสี่ยงเซียมซีดูไหมคะ เห็นหลายคนบอกว่าท่านศักดิ์สิทธิ์นัก”
กวินขมวดคิ้ว ก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระบอกไม้ไผ่สีแดงมาอธิษฐานเรื่องงานและความรัก จากนั้นก็เขย่าแรงๆ อยู่หลายครั้งกว่าแผ่นไม้แผ่นหนึ่งจะหล่นออกมาทอดตัวอยู่บนพื้นโบสถ์
“หมายเลขสามสิบห้า” เขาเอ่ยหลังจากหยิบขึ้นมาดูตัวเลขสีแดงที่ปลายไม้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่แผงเก็บใบเซียมซีแล้วหยิบใบที่สามสิบห้าออกมาอ่าน
“เขาว่าไงคะ”
ชายหนุ่มมองอดีตคนรัก ก่อนจะหันไปอ่านใบเซียมซีด้วยเสียงที่ดังพอให้ได้ยินกันสองคนโดยไม่รบกวนความสงบของวัด
“สามสิบห้าว่าไว้เหมือนเรือเล็ก ล่องระเห็จฝ่าคลื่นลมที่โถมใส่
จะข้ามฝั่งแสนยากเข็ญลำเค็ญใจ แต่หากใจมุ่งมั่นจะสมปอง
ทิศประจิมคือทิศที่หวังไว้ ถ้ามุ่งไปจะได้ดีไม่มีหมอง
จะประจักษ์แจ่มแจ้งไม่แรมรอน จะสมปองเคียงคู่สู่แดนสรวง
ถามรักร้างท่านว่าจะได้คืน แต่ต้องฝืนลิขิตผิดใหญ่หลวง
ความคิดเห็น |
---|