“โยมลี”
เสียงเย็นที่แฝงความอบอุ่นเรียกให้สองหนุ่มสาวละสายตาจากใบเซียมซีแล้วหันไปมอง เมื่อเห็นพระสงฆ์ผู้มีใบหน้าอิ่มเอิบยืนอยู่ที่ประตูในท่าทางสำรวม ทั้งสองคนจึงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“เจริญพรเถิด” ท่านเอ่ยก่อนจะเดินไปนั่งบนแท่นยกสูงหน้าพระพุทธรูปใหญ่
“ท่านพระครูกิตติค่ะ เป็นพี่ชายของคุณอมร แล้วก็เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ค่ะ” บราลีแนะนำขณะเดินตามไปทรุดตัวลงนั่งพับเพียบเบื้องหน้าท่าน
กวินสังเกตเห็นว่า ผิวพรรณของท่านผ่องใสด้วยลักษณะของคนที่สะสมบุญมามาก แม้จะอายุมากกว่าเศรษฐีใหญ่ของเมืองไทยก็ตาม แต่ดูเหมือนใบหน้าจะอ่อนกว่ากันเยอะ รอยยิ้มของท่านสดใสพลอยทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างประหลาด
“พาใครมาล่ะนั่น”
“คุณกวินค่ะ” บราลีตอบ “เขาเป็นนักเขียน มาหาข้อมูลเขียนหนังสือเรื่องใหม่ค่ะ”
“อ้อ” ท่านเอ่ยรับรู้ พลางยกกาน้ำชารินน้ำสีอำพันลงในจอกทั้งสามแล้วเลื่อนมาด้านหน้า ก่อนจะหยิบจอกหนึ่งขึ้นดื่ม “เขียนหนังสืออะไรล่ะโยม”
“นิยายครับ”
“นามปากกาอะไรล่ะ หือ”
“เปลวเทียนครับ”
พระครูกิตติหันมายิ้ม “ชื่อดีนะ ให้พลังดี”
“ขอบพระคุณครับ” กวินยกมือไหว้ รับคำชมนั้นเอาไว้เป็นมงคลกับอาชีพการงาน
“ผลงานของคุณกวินก็ละครเรื่อง สะใภ้ยมทูต ที่เพิ่งจบไปไงคะ”
พระครูมองคนพูด ก่อนจะหันมามองเขาแล้วก็หัวเราะขึ้นมา
“ตัวต้นเรื่องที่ทำเอาวัดของอาตมาปั่นป่วนอยู่นี่เอง”
“ปั่นป่วนอย่างไรหรือครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างงุนงง
“ก็พวกมาปฏิบัติธรรมชุดก่อนน่ะสิ พอสองทุ่มครึ่งก็เริ่มกระสับกระส่าย พากันหาโทรทัศน์ให้วุ่น บอกว่าติดละคร แต่แรกอาตมาก็งง มันจะอะไรกันนักหนา พอให้เด็กวัดยกโทรทัศน์ที่ห้องไปไว้ที่ศาลาด้านล่าง ปรากฏว่านั่งดูกันแน่นเชียว อาตมาอยากรู้ก็เลยนั่งดูด้วย ปรากฏว่าติดไปอีกคน” ท่านพูดจบแล้วก็หัวเราะร่วน
“ขอบคุณครับ” กวินยิ้มปลื้มปริ่ม
“แล้วเซียมซีว่าอย่างไรล่ะโยม ดีหรือไม่ดี”
ได้ยินท่านถามเช่นนั้น กวินจึงยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้
พระครูกิตติหยิบไปอ่านดูแล้วก็ยิ้ม “ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายอะไรนะ ออกจะดีเสียด้วยซ้ำ”
“ดีหรือคะ”
“งั้นสิ” ท่านหันไปมองหญิงสาวแล้วก็หัวเราะ “ก็เขาบอกว่า ถึงต้องฝ่าฟันอุปสรรคหนักสักหน่อย แต่ทุกอย่างจะสำเร็จลงด้วยความตั้งใจและเต็มที่กับมันไม่ใช่หรือ คนเราน่ะนะ ถ้าสู้ไม่ถอยก็ประสบความสำเร็จได้ ทุกอย่างมันต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ แล้วจะอยู่กับเราอย่างยั่งยืนหรอก จริงไหมโยมกวิน”
“ครับ” เขาตอบ
พระครูกิตติยิ้มให้เขา
“ส่วนเรื่องความรักน่ะ เขาว่าจะมีลมพัดหวนนะ”
กวินกับบราลีถึงกับอึ้งไปแทบจะพร้อมกัน เขาแอบเหลือบมองเธอ เห็นเธอก้มหน้างุดสีหน้าเคร่งเครียด ก็รู้ว่าเธอตีความหมายของพระครูกิตติออกว่าท่านหมายถึงอะไรเช่นเดียวกับเขาแน่ๆ
“แล้วจะสมหวังไหมครับ” เขาหันไปถามพระครูอย่างกล้าได้กล้าเสีย
ท่านมองกระดาษเซียมซีอย่างใคร่ครวญ ก่อนจะพยักหน้า
“ถ้าโยมยังรักผู้หญิงคนนั้นอยู่ คิดทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด สุดท้ายคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกันหรอกโยม”
“ครับ” กวินยกมือไหว้รับอย่างกระหยิ่มใจ รู้สึกเหมือนมีกำลังใจเพิ่มพูนขึ้นอย่างประหลาด
“แต่ก็อย่างที่บอกนะ อย่าประมาท”
“ทำไมล่ะครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“ใบเซียมซีบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่โยมจะพบอุปสรรคเยอะแยะไปหมด ต้องอดทน ตั้งใจ ไม่ย่อท้อ ทุกอย่างก็จะสำเร็จ”
นักเขียนหนุ่มยกมือไหว้ “ผมจะจำคำหลวงพ่อเอาไว้ครับ”
“ดี” ท่านพยักหน้า ก่อนจะหันไปหาน้องสะใภ้ “แล้วเราล่ะ ได้เสี่ยงเซียมซีกะเขาบ้างไหม”
“เปล่าค่ะ” บราลีส่ายหน้า
พระครูกิตติพยักหน้า “แล้วโยมอมรล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า”
“สบายดีค่ะ” หญิงสาวตอบ “ตอนนี้ไปทำธุระที่ญี่ปุ่นค่ะ”
“อืม...ไม่เห็นหน้ามาพักใหญ่ทีเดียว”
“ช่วงนี้กำลังร่วมทุนกับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นค่ะ ก็เลยงานหนักสักหน่อย หลังจากเคลียร์งานแล้ว คุณอมรบอกว่าจะมาพักผ่อนปฏิบัติธรรมที่นี่สักครึ่งเดือนค่ะ”
ท่านยิ้ม “ครึ่งเดือนก็ยังดีกว่าไม่ทำเสียเลยนะ”
“ค่ะ” บราลีตอบสั้นๆ
“แล้วโยมแม่ล่ะ หายดีแล้วใช่ไหม”
“หายแล้วค่ะ คุณอมรให้มาอยู่บ้านที่รีสอร์ต ได้อากาศดีอาการก็ทุเลาค่ะ อากาศปลอดโปร่งของเมืองกาญจน์ช่วยได้มากทีเดียว แต่ยังต้องไปพบหมอที่กรุงเทพฯ เป็นประจำทุกเดือนค่ะ”
“อือ” ท่านพยักหน้าช้าๆ “สังขารมันไม่เที่ยง ถึงเวลาปัจฉิมวัยแล้ว มันก็บกพร่องหย่อนยานไปบ้าง ต้องบำรุงรักษาดูแลและฟื้นฟูกันให้ดีที่สุด แต่ตรงไหนมันก็ไม่สำคัญเท่าจิตใจหรอกนะ หมั่นทำบุญถือศีลให้เป็นอาหารใจบ่อยๆ ก็แล้วกันนะโยม”
“ค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ “นี่คุณแม่ก็พากันไปทำบุญกับเพื่อนๆ ที่อยุธยาตั้งแต่เมื่อวาน คงจะกลับมาวันนี้ตอนเย็นๆ ค่ำๆ น่าจะได้บุญกลับมาเพียบละค่ะ”
“ดีแล้ว” พระครูกิตติพยักหน้า ก่อนจะสนทนากับกวินและบราลีอยู่อีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งเย็นย่ำเต็มที สองหนุ่มสาวจึงกราบลาท่านแล้วลงมาจากเขา
บริเวณลานสนามหญ้าเต็มไปด้วยผู้คนที่พากันมานั่งเล่นพูดคุยกันเป็นจำนวนมาก หลังจากปฏิบัติธรรมกันมาเกือบทั้งวันแล้ว บราลีจึงพาเขาเดินเลี่ยงไปตามทางเดินโดยรอบ แต่ก็ยังไม่วายพบคนที่จำเธอได้ ต่างก็พากันมาทักทายพูดคุยกับเธออย่างเป็นมิตร กวินจึงเดินเลี่ยงออกมาห่างๆ เพราะไม่อยากให้เธอลำบากใจ กว่าจะกลับลงมาจากเขาถึงที่จอดรถก็เล่นเอากินเวลานานทีเดียว
“เรากลับรีสอร์ตกันเลยนะคะ”
“อืม” กวินคราง นึกถึงคำของพระครูแล้วก็ทำทีเป็นลูบท้อง “ผมหิว ไปนั่งกินอะไรที่แพริมแม่น้ำแควกันไหม”
บราลีหันมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
ชายหนุ่มไหวไหล่ “ถ้าคุณไม่สะดวกใจ ไปส่งผมที่ร้านไหนสักร้านก็ได้นะ ผมอยากกินบรรยากาศริมแม่น้ำยามเย็นเสียหน่อย กินเสร็จแล้วผมจะหาทางกลับรีสอร์ตเองก็ได้”
เธอมองเขานิ่ง แววตาครุ่นคิด ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ “ก็ได้ค่ะ ฉันจะพาคุณไปร้านที่รู้จักก็แล้วกัน”
“ดีครับ” เขายิ้มกระหยิ่มใจ
บราลียิ้มเล็กน้อยอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่นายเข้มเปิดประตูรอเอาไว้แล้ว เมื่อกวินตามไปขึ้นไปนั่งข้างๆ เธอ หญิงสาวก็บอกคนขับรถให้พาไปยังร้านอาหารชื่อดังที่เขาจำได้ว่าอยู่ในหนังสือ ท่องเที่ยวเมืองกาญจนบุรี ที่เขาซื้อมาด้วย
เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว นายเข้มจึงออกรถมุ่งหน้ากลับเข้าเมือง จนกระทั่งถึงถนนเทศบาลตำบลแก่งเสี้ยนก็เลี้ยวรถเข้าจอดในที่จอดรถหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง พอเจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงสูงอายุร่างใหญ่เห็นรถตู้ของรีสอร์ตเข้ามาจอดเทียบก็รีบเดินออกมาต้อนรับ เพราะสนิทกับอมรที่ชอบมารับประทานอาหารที่ร้านบ่อยๆ ครั้นเห็นว่าผู้ที่โดยสารมาคือบราลี เธอก็กรีดร้องเสียงดังด้วยความดีใจ
“ต๊าย...คุณลี เชิญค่ะเชิญ”
“ขอบคุณค่ะเจ๊” หญิงสาวยิ้มแย้ม ก่อนจะหันมาแนะนำเขา “นี่แขกของคุณอมร เป็นนักเขียนชื่อดัง นามปากกาเปลวเทียนค่ะ”
“จริงหรือคะ” หญิงสูงวัยทำตาโต “คุณเปลวเทียนที่แต่ง สะใภ้ยมทูต น่ะหรือคะ”
“ครับ” เขายิ้มเจื่อนให้
เท่านั้นเอง เจ้าของร้านก็กรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ ทุกคนในร้านตื่นเต้นกันใหญ่ ต่างพากันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาถ่ายรูปกับเขา จนดาราสาวซึ่งคงจะมาที่ร้านนี้บ่อยแล้ว หมดความสำคัญไปเลยทีเดียว ท้ายที่สุด เจ้าของร้านก็จัดที่นั่งริมน้ำให้เขากับบราลีได้นั่งในมุมที่ค่อนข้างสงบ และไม่พลุกพล่านไปด้วยนักกินที่เริ่มทยอยกันมาตามชื่อเสียงของร้านแล้ว
“ท่าทางคุณจะดังไม่ใช่เล่นเลยนะคะ”
กวินหัวเราะเบาๆ “คงเป็นอานิสงส์จากละครมั้งครับ”
“แหม...ของไม่ดีเขาจะซื้อไปทำละครหรือคะ”
“คงงั้นมั้งครับ” เขาไหวไหล่ “แต่คงจะลืมไม่ได้ว่า ละครทำให้คนรู้จักเปลวเทียนมากขึ้น ยอดขายหนังสือก็พลอยเพิ่มตามไปด้วย”
“น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ใช่ไหมคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า ขณะที่พนักงานทยอยนำอาหารมาวางบนโต๊ะพร้อมโปรยยิ้มให้เขา ก่อนจะพากันเดินจากไป ทิ้งให้เขาอยู่กับเธอตามลำพังต่อ
“เมื่อครู่พระครูบอกว่าแม่ของคุณไม่สบาย ท่านเป็นอะไรหรือครับ”
“หลายโรคค่ะ” บราลีตอบก่อนจะถอนใจออกมา “คงสะสมมานานแล้ว พอเกิดเรื่องกับฉัน คุณแม่ก็เครียดมาก โรคต่างๆ เลยกำเริบขึ้นมา ทั้งความดัน หัวใจ ที่สำคัญคือโรคปลายประสาทอักเสบค่ะ”
“ผมเคยหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ไปประกอบในนิยาย ค่ารักษาแพงมากเลยนี่ครับ”
“ก็ประมาณห้าหกหมื่นบาทต่อเดือนน่ะค่ะ”
“แล้วคุณจัดการกับมันยังไงครับ” กวินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
บราลีถอนหายใจออกมาเบาๆ “ตอนนั้นงานฉันก็ไม่มี เงินก็ไม่เข้า ต้องเอาเงินที่เก็บหอมรอมริบตลอดชีวิตมาใช้ ค่าใช้จ่ายหลายๆ อย่างทำให้เงินในบัญชีร่อยหรอลงทุกวัน ก็ได้คุณอมรนี่แหละค่ะที่ช่วยเหลือ จ้างฉันมาทำงานที่รีสอร์ต ไม่งั้นก็คงจะแย่”
คำพูดนั้นทำเอากวินรู้สึกสะกิดใจขึ้นมา พาลคิดไปว่า การเข้าตาจนคงทำให้เธอต้องยอมพลีร่างกายเพื่อเงินอย่างที่คนพูดกัน
“ตอนนี้คุณคงไม่ลำบากกับเรื่องนั้นแล้ว”
คำพูดไม่คิดของเขาทำให้เธอตวัดสายตามองเขม็ง ริมฝีปากได้รูปขยับเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยท่าทางขึ้งเคียด
“ผมขอโทษ” กวินเอ่ยอย่างสำนึกผิด “ผมเพียงต้องการรู้แง่มุมที่ควรรู้ เพราะเรื่องที่ผมกำลังจะเขียน เป็นเรื่องที่คนอื่นอาจไม่รู้ข้อเท็จจริงเลยสักนิด”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาเบาๆ “คุณจะไม่ตอบผมก็ได้นะครับ บางทีผมอาจไม่เขียนถึงมันก็ได้”
“ไม่ยักรู้นะคะ ว่าเรากำลังทำงานกันอยู่ ฉันนึกว่าคุณจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของฉันกับแม่ด้วยความเป็นห่วงจริงๆ เสียอีก”
กวินถึงกับอึ้งกับคำประชดประชันนั้น ดูเหมือนบราลีจะฉลาดพอที่จะเข้าใจว่า การเอ่ยถามถึงอาการป่วยของลีลาวดีแต่แรกนั้นมาจากความห่วงใยต่อผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยและเป็นที่เคารพมาก่อน แต่เหตุผลเรื่องงานที่เขาใช้สนับสนุนคำขอโทษ เป็นเพียงข้ออ้างที่เขาใช้ปกปิดความพลั้งเผลอที่ปรามาศศักดิ์ศรีความเป็นหญิงของเธอออกไปเมื่อครู่เท่านั้นเอง
“เอาเถอะค่ะ ฉันบอกคุณตามตรงก็ได้” บราลีเอ่ยเสียงแข็ง “การตัดสินใจแต่งงานกับคุณอมร เหตุผลหนึ่งก็มาจากค่ารักษาพยาบาลของคุณแม่ เขาคือคนเดียวที่ช่วยฉันได้”
นักเขียนหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดใจกับคำตอบที่ได้รับ เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่า บราลีที่เขาเคยรู้จักได้เปลี่ยนไปแล้ว
แต่เรื่องแบบนี้คงจะโทษเธอไม่ได้เต็มปากนัก เพราะเขาก็มีแม่ที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดเหมือนกัน แม้จะอาการไม่หนักเท่า และไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากขนาดของลีลาวดีก็ตาม แต่หากแม่ของเขาเป็นอะไรไป เขาก็คงจะยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของท่านเอาไว้เหมือนกัน
กวินไม่ได้สอบถามอะไรต่อ เพราะท่าทางของบราลีบ่งบอกว่าไม่พอใจเขามากทีเดียว อาหารมื้อนั้นเลยดำเนินไปอย่างเงียบเชียบและอึดอัด ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำที่ควรจะโรแมนติกสำหรับชายหญิงที่ถูกความรักโอบล้อมเอาไว้ มิใช่คู่ที่เลิกร้างห่างกันไปนานแล้วเช่นเขากับเธอ
“เจ๊ๆ นั่นใช่คุณบราลีหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มที่ถือช้อนส้อมในมือค้างอยู่หันมาสะกิดคนข้างตัวพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
คำถามนั้นทำเอา เอกชัย ไสย์วิเชียร หรือที่รู้จักกันในวงการนักข่าวสายบันเทิงว่า ‘เจ๊แจ็กกี้’ หันขวับไปมองด้วยความตื่นตัว เจ้าของคอลัมน์สาวไส้ไฮโซในนิตยสารรายสัปดาห์ เซเลบริตี้ ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความดีใจเมื่อพบว่า สิ่งที่ปาปารัซซีฝึกหัดของเขาตั้งข้อสังเกตนั้น...เป็นความจริง
“ใช่จริงๆ ด้วย มากับใครอะ” เอกชัยจีบปากจีบคอถามลูกน้อง
“โห...เจ๊ไม่รู้ แล้วผมจะรู้เหรอ”
คอลัมนิสต์หนุ่มหัวใจสาวค้อนปาปารัซซีหนุ่ม หนึ่งในช่างภาพฝึกหัดที่เขาวางเอาไว้ทั่วทุกแหล่งท่องเที่ยวทั่วไทยเพื่อหาข่าวคาวของคนดังอย่างนึกหมั่นไส้
“หล่อนไม่หัดรู้เอาไว้บ้างล่ะยะ ทำอาชีพนี้ต้องรู้รอบตอบได้นะยะ”
เด็กหนุ่มหน้าจ๋อย นี่ดีนะที่มันหน้าตาดีพอใช้ได้ ไม่อย่างนั้นจะไล่ตะเพิดให้ไปกระโดดแม่น้ำแควเสียให้รู้แล้วรู้รอดเลย ดันมาย้อนเจ๊แจ็กกี้ได้
เอกชัยค้อนลูกน้องอีกหนึ่งที ก่อนจะหันไปสนใจเหยื่อของเขาที่กำลังนั่งรับประทานอาหารในบรรยากาศโรแมนติกของท้องฟ้าและสายน้ำอีกครั้ง เขามองดูพร้อมทำปากจู๋อย่างใช้ความคิด ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะบรรเจิดขึ้นมาท่ามกลางภาพแสนหวานตรงหน้า
“ช่างประไร พ่อหนุ่มหล่อล่ำคนนั้นจะเป็นใครก็ช่าง แค่นี้ฉันก็ได้อะไรมันๆ ไปเขียนแล้ว” เขาหันไปเอ่ยลอยหน้าลอยตา ก่อนจะทำมือราวกับวาทยกรประจำวงดนตรีออร์เคสตรา
“ดาราสาวอักษรย่อ บ ใบไม้ แอบสามีวัยทองมาดินเนอร์สุดโรแมนติกริมแม่น้ำแควกับกิ๊กหนุ่มสุดหล่อ เป็นไงเก๋ไก๋สไลเดอร์ไหม”
“อะไรพี่ เขาอาจแค่มากินข้าวคุยธุระกันนะครับ ตอนนี้คุณบราลีเธอเป็นเมียนักธุรกิจเต็มตัวแล้วนี่ครับ”
“อีโง่” เอกชัยใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากปาปารัซซีรุ่นน้องแล้วดันจนหน้าหงาย “เขียนแบบนั้นใครจะอยากอ่านกันล่ะยะ”
เด็กหนุ่มยิ้มแหย “เจ๊ไม่กลัวเขาฟ้องเอาเหรอ”
“ฟ้องได้ไง ฉันไม่ได้เอ่ยชื่อใครสักหน่อย” เขาเอ่ย ก่อนจะหยิบกล้องแคนนอนคู่ใจออกมาจากกระเป๋าสะพาย ทำเป็นเนียนๆ วางกล้องไว้บนโต๊ะโดยให้เลนส์หันไปทางเป้าหมาย แล้วกดชัตเตอร์ “ต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นหลักฐานสักหน่อย”
“อ้าวเจ๊ มีภาพเป็นหลักฐานแบบนี้คนเขาก็รู้สิว่า บ ใบไม้ คือใคร”
“แกนี่มันมีหัวเอาไว้คั่นหูจริงๆ” เอกชัยใช้นิ้วดันหน้าผากรุ่นน้องอีกครั้ง “ถ่ายย้อนแสงแบบนี้ เห็นไม่ชัดหรอก พอเห็นรางๆ ให้คนเดากัน ไอ้พวกปากหอยปากปูมันชอบ รับรองเป็นกระทู้ดังแน่”
“แหม...เจ๊นี่เก่งจริงๆ เรื่องปั้นน้ำเป็นตัวเนี่ย” ชายหนุ่มยกนิ้วหัวแม่มือให้สองนิ้ว
“นี่แกชมฉันใช่ไหม” คอลัมนิสต์หนุ่มขมวดคิ้ว
“ชมสิเจ๊”
เอกชัยมองเด็กหนุ่มอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก ก่อนจะโบกมืออย่างไม่ถือสา เพราะมันเป็นอาชีพของเขานี่นา ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปดันรุ่นน้องให้ขยับไปด้านข้างอีกนิด
“ทำไมล่ะพี่”
“ฉันจะถ่ายชัดๆ อีกรูป แต่ทำทีเป็นถ่ายรูปแกแล้วโฟกัสไปที่คู่นั้น เรียนรู้เทคนิคของปาปารัซซีเอาไว้มั่งนะยะ”
“ครับๆ” เด็กหนุ่มรับคำ ขยับตามจนได้ระยะ
“พอๆ ตรงนั้นแหละ” เอกชัยบอก พร้อมกับยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์รัวราวกับปืนกล จนกระทั่งได้ภาพที่พอจะเอามาสร้างเรื่องขายได้จึงยิ้มกริ่มแล้วเก็บกล้องกลับเข้ากระเป๋าดังเดิม “เท่านี้ ฉันก็มีข่าวเล่นไปสองสามปักษ์ละ...สบายใจ ลั้นลาๆ”
ความคิดเห็น |
---|