* * * * * * * * * *
“เรากลับกันเถอะค่ะ” บราลีเอ่ยชวนกวิน หลังจากมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยความเงียบเชียบดำเนินมาจนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้า
คำปรามาสที่หลุดจากปากของเขา ทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หากเป็นไปได้ เธอก็อยากตะโกนถามเขาเหมือนกันว่า เขาต้องการอะไรกันแน่ ถึงได้รับงานชิ้นนี้แล้วมาทำทีเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แต่เธอก็ไม่กล้า
“มื้อนี้ผมขอจ่ายเองนะครับ”
“อย่าดีกว่าค่ะ คุณเป็นแขกของคุณอมร ให้ฉันจัดการเถอะค่ะ”
“แต่มื้อนี้ไม่เกี่ยวกับคุณอมรนะครับ” เขาแย้ง “แค่เราสองคน”
บราลีสะอึกกับประโยคสุดท้ายของเขา เธอมองเขาอย่างไม่แน่ใจว่า มันมีความหมายลึกซึ้งอะไรหรือเปล่า แต่กวินกลับยิ้มให้เธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะยกมือเรียกพนักงานมาเก็บค่าอาหาร ระหว่างนั้นก็รู้สึกว่าเขามองเธอแปลกๆ ซึ่งความจริงมันก็แปลกมาตั้งแต่พระครูทำนายใบเซียมซีให้เขาแล้ว
“ไปครับ” เขาเอ่ยชวนหลังจากจัดการเรื่องเงินเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนผายมือเชื้อเชิญเธออย่างสุภาพ
หญิงสาวพยักหน้า เธอลุกจากที่นั่ง ก่อนจะเดินไปตามทางเดินที่เป็นแผ่นไม้ยาวปูเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะรู้สึกเสียจังหวะเมื่อปลายส้นสูงตกลงไปในรอยแตกระหว่างแผ่นไม้โดยบังเอิญ
“ว้าย!” บราลีร้องเสียงหลง เกือบจะล้มลง หากกวินไม่เดินตามหลังมาแล้วรีบประคองเธอเอาไว้ได้ทัน เธอก็คงจะลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นจนอายผู้คนอย่างแน่นอน
ทว่าเสียงร้องด้วยความตกใจของเธอก็ดังพอจะเรียกให้ทุกคนในร้านหันมามองเธอกับเขาเป็นตาเดียว โดยเฉพาะเจ้าของร้านร่างใหญ่ที่แทบจะวิ่งมาในทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณลี”
“ไม่เป็นไรค่ะเจ๊” เธอบอกละล่ำละลัก ก่อนจะออกแรงดึงส้นรองเท้าจากร่องนั้น แล้วรีบผละจากอ้อมกอดของกวิน “ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เขายิ้ม
“สงสัยไม้มันผุนะคะเนี่ย” เจ้าของร้านตั้งข้อสังเกตหลังจากทรุดตัวลงนั่งดูจุดเกิดเหตุอย่างพิจารณา “สงสัยพรุ่งนี้คงต้องให้ช่างมาซ่อมเสียแล้ว”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วโผเข้ามาโอบประคองเธอ
“มาค่ะ เดี๋ยวเจ๊ไปส่งคุณลีที่รถดีกว่า”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
“แน่นะคะ” เจ้าของร้านเอ่ยถาม
“แน่ค่ะ” บราลีพยักหน้าแข็งขัน
“ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ” เธอบอกก่อนจะหันไปหากวิน “ฝากคุณเปลวเทียนดูแลคุณลีด้วยนะคะ ไม่รู้เท้าพลิกเท้าแพลงบ้างหรือเปล่า”
“ได้ครับ ผมจะดูแลคุณลีอย่างดีที่สุด”
บราลีหันขวับไปมองอย่างสะกิดใจในคำพูดของเขา ก่อนจะเบือนหน้าหนีแววตาแปลกๆ ของเขาอีกครั้ง แล้วรีบเดินหลบหลีกสายตาของคนในร้านไปที่รถซึ่งจอดอยู่ที่หน้าร้านโดยไม่ทันสังเกตว่า มีนักข่าวหัวเห็ดนั่งอยู่ในร้านนี้ด้วย และเขาคนนั้นก็เก็บชอตเด็ดที่เธอตกอยู่ในอ้อมแขนของกวินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ด้วยกล้องที่ติดอยู่กับโทรศัพท์มือถือของเขา
กวินตามเธอมาติดๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้า แล้วหันไปทางสารถีหนุ่ม “นายเข้ม เดี๋ยวแวะส่งฉันที่ออฟฟิศนะ แล้วค่อยเลยไปส่งคุณกวินที่บ้านพัก”
“ครับคุณลี” คนขับรถหนุ่มรับคำ ก่อนจะขับรถออกจากร้านอาหาร มุ่งหน้าสู่รีสอร์ตหรูกลางเมืองกาญจนบุรี
“ดึกป่านนี้ยังจะทำงานอีกหรือครับ”
“มีเอกสารบางอย่างต้องจัดการให้เสร็จค่ะ”
“ผมเป็นต้นเหตุให้คุณต้องทำงานดึกหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอกค่ะ” บราลีส่ายหน้า ก่อนจะเมินหน้าไปทางหน้าต่าง “คุณเป็นแขกของคุณอมร ก็เท่ากับเป็นงานของฉันที่จะต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ สมัยเป็นดาราฉันทำงานดึกกว่านี้อีก แค่นี้สบายมากค่ะ”
กวินพยักหน้า เธอเองก็ไม่กล้าหันไปมองเขาอีก และคงพูดอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะยังมีนายเข้มอยู่บนรถด้วย จนกระทั่งรถตู้ของรีสอร์ตจอดหน้าอาคารหลังใหญ่ เธอจึงรีบเปิดประตูรถลงไปแล้วกำชับสารถีให้ไปส่งเขาที่บ้านพักให้เรียบร้อยโดยไม่ชายตามองเขาเลย จากนั้นก็ปิดประตู เดินเข้าไปในอาคารซึ่งตอนนี้เงียบเหงาด้วยเป็นเวลาค่ำมากแล้ว จะมีก็แต่พนักงานต้อนรับเวรดึกสองคนที่เมื่อเห็นเธอมาก็ยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม
บราลียิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะปลีกตัวเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง หมกตัวอยู่กับเอกสารต่างๆ บนโต๊ะเป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อยล้าจึงยกแขนเหยียดขึ้นจนสุดแล้วบิดตัวไปมา ก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนบนผนัง
“อุ๊ย จะห้าทุ่มแล้วหรือนี่” เธอพึมพำ ดูเหมือนการทำงานจะทำให้เธอลืมเรื่องวุ่นวายหลายอย่างในจิตใจได้ดีทีเดียว
ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เสียงนั้นเป็นเสียงเรียกเข้าที่เธอตั้งเอาไว้สำหรับเบอร์ที่บ้าน จึงนึกขึ้นมาได้ว่านอกจากเรื่องวุ่นวายแล้ว เธอยังลืมโทร. บอกมารดาซึ่งน่าจะกลับจากอยุธยาแล้วว่าจะนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศด้วย บราลีจึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วกดรับทันที
“ลีอยู่ไหนลูก” มารดาถามทันทีที่เธอรับสาย
“อยู่ออฟฟิศค่ะ” เธอตอบ ก่อนจะถามกลับด้วยความเป็นห่วง “แม่ยังไม่นอนอีกหรือคะ”
“ก็รอลีอยู่นี่แหละ”
หญิงสาวยิ้ม “ไม่ร้องรอหรอกค่ะ เดี๋ยวงานเสร็จหนูจะรีบกลับ แม่นอนก่อนดีกว่านะคะ หมอบอกว่าให้พักผ่อนมากๆ ไม่ใช่หรือคะ”
“ก็ถ้าอยู่ที่ออฟฟิศ แม่ก็หมดห่วง นึกว่ายังไม่กลับจากวัดน่ะสิ”
“รู้ด้วยหรือคะว่าหนูไปวัดมา”
“ตอนเย็น แม่กลับมาเจอยายชมพู่ออกเวรพอดี หล่อนบอกว่าลูกออกไปวัดกับแขกของคุณอมร”
บราลีแอบหัวเราะเบาๆ “ใช่ค่ะ ก็นักเขียนนิยายคนนั้นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรละ รีบทำรีบกลับมานะ”
“ค่ะ” เธอตอบรับอย่างยิ้มแย้ม “หนูทำงานอยู่ที่ออฟฟิศนี่แหละค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงเสร็จ แม่นอนก่อนเถอะ ไม่ต้องรอ”
“อือ...แต่อย่าทำงานดึกนักล่ะ”
“ค่า...” เธอลากเสียงยาว ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์มารดาแล้ววางโทรศัพท์มือถือของตัวเองเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ขะมักเขม้นทำงานต่อจนกระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจ
บราลีบิดตัวอีกครั้งแล้วเงยหน้ามองนาฬิกาอีกครา เมื่อพบว่าเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว จึงรีบลุกจากเก้าอี้ เก็บข้าวของให้เข้าที่อย่างรีบเร่ง ทำให้มองไม่เห็นโทรศัพท์มือถือที่บังเอิญถูกเอกสารแผ่นหนึ่งบังเอาไว้ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายแล้วออกจากห้องทำงานทันที
“คุณลีจะกลับแล้วหรือคะ” พนักงานต้อนรับสาวเวรดึกเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“จ้ะ” เธอพยักหน้า
“หนูขับรถกอล์ฟไปส่งไหมคะ ท่าทางเหมือนฝนจะตก”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ฉันขับไปเองดีกว่า ขืนเธอไปส่งฉัน ขากลับฝนเกิดตกลงมาเธอก็เปียกปอนกันพอดี เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะให้นายเข้มขับกลับมาคืนนะ” บราลีบอก ก่อนจะโบกมือพร้อมส่งยิ้มให้อย่างมีไมตรี จากนั้นก็รีบเดินออกจากอาคารแล้วขับรถกอล์ฟไปตามถนนอย่างรวดเร็ว หวังให้ถึงบ้านก่อนที่ฝนจะเทลงมา
ทว่า...ขับไปได้เพียงครึ่งทาง จู่ๆ รถก็กระตุกและดับลงขณะที่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาพอดี
“บ้าจริง รอให้ถึงบ้านก่อนไม่ได้หรือไงนะ” บราลีบ่นพึม ก่อนจะรีบวิ่งไปยังศาลาที่ใกล้ที่สุด เพราะฝนเริ่มเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนหลังคารถคันเล็กก็เอาไม่อยู่
แต่กว่าจะเข้าไปอยู่ใต้หลังคาศาลาทรงไทยได้ ก็เล่นเอาเธอเปียกมะล่อกมะแล่กไปหมด มิหนำซ้ำศาลาหลังเล็กๆ นี้ก็ไม่อาจทำให้เธอรอดพ้นจากน้ำฝนที่สาดเข้ามาอย่างเต็มทีอีกต่างหาก
บราลีกอดตัวเองแน่นด้วยความหนาวเหน็บ ศาลาที่เปิดโล่งไม่ช่วยบังลมที่พัดมาต้องเนื้อนวลที่เปียกชุ่มได้ เธอมองทางสองแพร่งอย่างชั่งใจ ทางหนึ่งเป็นทางขึ้นเนินกว่าสองร้อยเมตรไปที่บ้านของเธอ ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นทางลาดลงเพียงแค่ห้าสิบเมตรไปยังบ้านพักริมน้ำ ซึ่ง...กวินเป็นผู้ครอบครองอยู่ในตอนนี้
“บ้าจริง คิดอะไรเนี่ย”
หญิงสาวส่ายหน้าไล่ความคิดลังเลนั้นออกไป ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เธอจะวิ่งไปที่นั่น แต่ฝนตกหนักขนาดนี้ เธอจะทนยืนหนาวสั่นอยู่ตรงนี้ไหวไหมล่ะ ในเมื่อเธอกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าอย่างกับอะไรดี
‘โทร. ไปบอกป้าดวงให้คนขับรถมารับดีไหมนะ’
บราลีคิด ก่อนจะค้นหาโทรศัพท์มือถือไปทั่วกระเป๋า แต่ก็ไม่พบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมเอาไว้บนโต๊ะทำงานหลังจากคุยกับมารดาเมื่อครู่ เธออยากจะเขกกะโหลกตัวเองเสียจริงๆ
เปรี้ยง!
แล้วสิ่งที่เธอกลัวก็เกิดขึ้นจนได้ เสียงฟ้าผ่าอย่างไม่ทันตั้งตัวทำเอาบราลีสะดุ้งโหยงพร้อมกับกรีดร้องเสียงหลง เธอทรุดตัวลงนั่ง รีบยกสองมือปิดหูเอาไว้ ตัวสั่นงันงกไปหมดด้วยความหวาดกลัวจับใจ เธอซุกหน้ากับหัวเข่า หลับตาปี๋อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับสถานการณ์เช่นนี้
ภาพบิดาถูกสายฟ้าฟาดผุดขึ้นมาในสมองทันที ความหวาดกลัวที่ฝังลึกในจิตใจมานานทำให้เธอกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำตาไหลเป็นสายแข่งกับฝนที่เทกระหน่ำลงมาราวกับเป็นเด็กเล็กที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่กลางพายุร้าย ตอนนั้นเธออายุเพียงสิบขวบ เมื่อเห็นพ่อเสียชีวิตต่อหน้าด้วยอุบัติภัยทางธรรมชาติที่คาดไม่ถึง มันจึงกลายเป็นความทรงจำอันเลวร้ายที่ไม่อาจลบเลือนไปจากใจ และทำให้เธอเกลียดกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าอย่างกับอะไรดี ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงการถ่ายเทประจุไฟฟ้าอันรุนแรง เธอก็แทบคลั่งราวกับได้ยินเสียงเรียกของมัจจุราช
“ลี”
บราลีเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้น หากเปรียบเสียงฟ้าผ่าท่ามกลางความมืดมิดเสมือนเสียงคำรามของมัจจุราชแล้วละก็ เสียงเรียกเมื่อครู่คงเปรียบได้กับเสียงของเทพบุตรที่กำลังยื่นมือลงมาจากก้อนเมฆเพื่อดึงเธอให้ขึ้นจากขุมนรก
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่า เจ้าของเสียงนั้นคือกวิน...จริงๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
หญิงสาวรู้สึกแก้มเปียกชื้นด้วยไออุ่นบางอย่าง ไม่รู้ว่าเพราะสายฝนหรือหยาดน้ำตา ตอนนี้สมองของเธอว่างเปล่า แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยภาพของผู้ชายที่ถือร่มอยู่ตรงหน้า
“วิน”
บราลีโผเข้าหาเขาราวกับร่างกายของชายหนุ่มมีแรงดึงดูดมหาศาล แขนเรียวเล็กเย็นเยียบโอบรอบเอวของเขาแน่นราวกับนักเดินทะเลที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทรอันเวิ้งว้างแล้วเห็นขอนไม้ วินาทีที่วงแขนของเขาโอบรอบตัวเธอ ความหวาดกลัวเสียงฟ้าร้อง และความขุ่นข้องหมองใจที่อัดแน่นอยู่ภายในอกมาตลอดแปดปีก็มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับทำนบที่สร้างขึ้นมาป้องกันหัวใจตัวเองแตก
“พอเถอะ ลีทนไม่ไหวแล้ว”
“เราห้ามฟ้าห้ามฝนไม่ได้หรอก”
“ลีไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือแข่งกับเสียงฝน
“อะไร ลีทนอะไรไม่ไหว”
“อย่าทำเหมือนไม่รู้จักลีอีกได้ไหม” บราลีเอ่ยเสียงแปร่งอยู่แทบอกของเขา
กวินนิ่งไป เธอไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับคำพูดของเธอ เสียงฝนที่กระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่วทำให้เธอไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจของเขา ถึงใบหน้าของเธอจะอยู่ใกล้แค่นี้เอง
“ได้ไหมคะ...วิน” เธอถามย้ำ
ทรวงอกของเขาขยาย ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงลมหายใจและรู้สึกว่ามันเป่ารดอยู่ที่ต้นคอ สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายที่หนาวเหน็บ
“เมื่อเช้า...วินบอกลีแล้วไงล่ะ ว่าวินไม่เคยลืมลี” เขากล่าว ก่อนจะกอดเธอแนบแน่น “ไปที่บ้านวินก่อนเถอะ ฝนตกหนักมาก ตัวเปียกแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบาย”
ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอพยักหน้าเพื่อให้เขาพาไปสู่สถานการณ์อันล่อแหลม เพราะหากใครมาเห็นว่าเธอตามเขาเข้าไปในบ้านพักสองต่อสอง คงไม่พ้นคำครหานินทาอย่างแน่นอน
กวินประคองร่างเปียกปอนของเธอฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำไปยังบ้านพักริมแม่น้ำ เขาวางร่มที่ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเลยบนพื้นหน้าบ้าน แล้วประคองเธอเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้โต๊ะทำงาน จากนั้นก็เดินหายเข้าไปหลังฉากกั้นหัวเตียงสักพัก ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่และเสื้อคลุมอาบน้ำของรีสอร์ต
“ไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
บราลีรับผ้าขนหนูและเสื้อคลุมมาอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ปลีกตัวเดินไปเข้าห้องน้ำด้านหลัง เอื้อมมือจะกดล็อกลูกบิดประตู แต่กลับชะงักด้วยความลังเลสองจิตสองใจ ในที่สุดก็ปล่อยมือจากลูกบิดโดยไม่ได้กดล็อก
หญิงสาวถอนใจ ค่อยๆ เดินไปที่หน้ากระจก ปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่เปียกโชกออกทีละชิ้นจนร่างกายเปล่าเปลือย
เธอมองดูรูปร่างตัวเองอย่างอดนึกภาคภูมิใจไม่ได้ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนนั้นมาเช็ดตัวให้แห้ง แล้วใช้เสื้อคลุมอาบน้ำห่อหุ้มร่างกายเปล่าเปลือยเอาไว้
บราลีสำรวจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วอีกครั้ง ก่อนจะนำเสื้อผ้าเปียกมาบิดน้ำออกแล้วถือมันออกไปด้านนอก เธอเห็นกวินยืนอยู่ใกล้ๆ เครื่องชงกาแฟ กลิ่นหอมของมันโชยมาเตะจมูกของเธอเข้าอย่างจัง
“หอมจังค่ะ”
เขาหันมายิ้มแล้วเดินถือถ้วยที่มีควันฉุยมายื่นให้ “ดื่มกาแฟร้อนๆ สักหน่อยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
กวินดึงเสื้อผ้าของเธอไปวางบนโต๊ะชงกาแฟ เธอรับถ้วยจากเขามาถือด้วยสองมือ ความร้อนจากของเหลวสีน้ำตาลอ่อนทำให้มือของเธออุ่นขึ้นโข
หญิงสาวจิบกาแฟช้าๆ เหลือบมองเขาเป็นบางจังหวะ ทว่าทุกครั้งต้องรีบก้มหน้าหลบสายตาของเขาที่จ้องเธอเขม็งตลอดเวลา
เป็นเวลาเนิ่นนานที่บราลีได้ยินแต่เพียงเสียงฝนและลมหายใจของตัวเอง หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอรู้สึกอึดอัดกับความเงียบแบบนี้
“ทำไมวินถึงไปที่ศาลานั่นคะ” เธอเอ่ยถามอย่างอยากจะทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดลงมากกว่า เพราะยังมีคำถามอีกมากมาย ยาวเป็นหางว่าวที่เธออยากถามเขามากกว่าคำถามที่เพิ่งเอื้อนเอ่ยออกไป
เขาหัวเราะในลำคอ “วินจำได้ว่าลีกลัวเสียงฟ้าฝ่า”
เธอขมวดคิ้วมุ่น “ก็เลยออกไปดูหรือคะ”
กวินยิ้มเขินๆ “ความจริงวินเดินมาจากตึกใหญ่”
“หมายความว่าไงคะ”
“วิน...เดินไปแอบดูลีตรงหน้าต่างออฟฟิศน่ะ”
ได้ยินแค่นั้น หัวใจของบราลีก็พองโต เธอมองเขาอย่างลึกซึ้งขึ้น เพิ่มความหวานในรอยยิ้มจนเกือบจะเหมือนเมื่อครั้งที่คบเป็นแฟน
“วินรู้ไหม ลีมีคำถามเยอะแยะอยากจะถามวิน”
“เช่นอะไรบ้างล่ะ”
เธอมองเขาอย่างลังเล มีคำถามร้อยแปดพันเก้าอยู่ในหัว แต่คำถามหนึ่งที่ดูจะเด่นชัดว่าเธออยากจะรู้มากที่สุดกลับมีคำถามเดียว
“ว่าไงล่ะ”
“ทำไมวินถึง...” บราลีกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ก่อนจะตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “ทำไมวินถึงบอกเลิกลีล่ะ”
กวินอึ้งไปกับคำถามนั้น บราลีไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน จะว่าเขาไม่เตรียมพร้อมสำหรับคำถามนี้มาก่อนก็คงไม่น่าจะใช่ เพราะหากเขาต้องการมาเผชิญหน้ากับเธอจริง เขาก็ต้องคิดมาบ้างละว่าเธอจะต้องทวงคำถามที่ค้างคาใจมาแปดปีกับเขาอย่างแน่นอน
“วินขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด แต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบที่จะให้ความกระจ่างแจ้งในหัวใจของเธอ
บราลีจ้องมองเขาอย่างรอคอยคำอธิบายเพิ่มเติม ฟันขาวขบแน่นลงบนริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น แต่การนิ่งเฉยของเขาที่ผ่านไปในแต่ละวินาที กลับทำให้ความตื่นเต้นของเธอเริ่มจางหายไปทีละน้อย
“ทำไมคะ...” เธอถามย้ำ หัวตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีก
“วินขอโทษกับการกระทำตอนนั้น แต่...” กวินทอดเสียงและนิ่งนาน ก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วระบายออกมาจนหมด “วินไม่ขอบอกเหตุผลได้ไหม”
“ทำไมล่ะคะ” บราลีร้องถามออกไปแทบจะทันทีที่เขาพูดจบ
“อย่าถามวินเลยนะ” เขาบอกเสียงเข้ม ก่อนจะผละไปทางห้องน้ำแล้วเดินกลับมาพร้อมไดร์เป่าผม “มา วินเป่าผมให้ดีกว่า”
บราลีถอนหายใจ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวเดิม กวินเสียบปลั๊กแล้วเปิดไดร์เป่าผมเธอพร้อมใช้อีกมือหนึ่งขยี้ผมของเธอเบาๆ ให้แห้งอย่างถ้วนทั่วด้วยความใส่ใจ
“ลีถามอะไรวินอีกได้ไหมคะ”
“ได้สิ ถ้าไม่เกี่ยวกับคำถามเดิมนะ” เขาเอ่ยแข่งกับเสียงไดร์เป่าผม ขณะที่มือก็ไม่หยุดยีผมของเธอเพื่อให้มันแห้งเร็วขึ้น
“ทำไมวินถึงรับงานนี้คะ”
กวินหัวเราะเบาๆ “ความจริงก็ไม่อยากรับหรอกนะ แต่ บก. บังคับน่ะ”
หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยวลง
“ที่แท้วินก็ไม่ได้อยากมา”
เสียงไดร์เป่าผมเงียบลงพร้อมกับมือของเขาที่ถอนออกจากเรือนผมของเธอ เขานิ่งเงียบ บราลีไม่กล้าหันไป ได้แต่ก้มหน้านิ่งพร้อมดวงตาที่แดงก่ำ แต่ไม่นานก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อเขาอ้อมมาคุกเข่าต่อหน้าเธอ
กวินเอื้อมมือมาจับมือเธอแผ่วเบา “ไม่ใช่เพราะวินไม่อยากมาที่นี่หรอกนะ แต่ที่วินอยากปฏิเสธงานนี้เป็นเพราะว่า วินไม่กล้าสู้หน้าลีต่างหากล่ะ”
“ไม่กล้าสู้หน้าหรือคะ”
กวินก้มหน้าลงแล้วถอนใจ
“วินบอกเลิกลี แถมเวลาที่ลีลำบาก วินกลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรลีได้เลยสักนิด อย่างนี้แล้วลีคิดว่าวินจะมีหน้ามาพบลีอีกหรือ”
บราลียิ้มจางๆ รู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเหตุผลของเขา
“ตอนที่วินได้ข่าวลี วินรู้สึกอย่างไรคะ”
เขาหัวเราะฝืนๆ “ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกนะ แต่พอตามข่าวไปเรื่อยๆ ก็เป๋ไปเหมือนกัน”
“เป๋” เธอทวนคำ “วินเชื่อพวกนักข่าวเหรอ”
“ก็คล้อยตามไปบ้างน่ะ วินอยู่อีกฟากหนึ่งของชีวิตลีนี่นา” กวินกล่าวเสียงเศร้า “แต่ลึกๆ แล้ววินก็ยังเชื่อว่าลีไม่ใช่คนอย่างนั้นแน่ หลังจากนั้นวินตัดสินใจอยู่นานเลยกว่าจะหยิบโทรศัพท์มาโทร. หาลีดีหรือเปล่า แต่พอตัดสินใจได้ว่า อย่างน้อยลีคงจะต้องการใครสักคนที่สามารถพูดคุยด้วยได้ วินก็โทร. หาลีไม่เคยติดเลย”
หญิงสาวหัวเราะในลำคอเยาะเย้ยชะตาชีวิตของตัวเอง
“มีคนโทร. เข้ามามากเหลือเกินค่ะ ล้วนแต่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง ลีเลยตัดสินใจปิดแล้วเปิดเบอร์ใหม่สำหรับรับสายแม่กับคนที่ใกล้ชิดจริงๆ เท่านั้นค่ะ”
“รวมทั้งคุณอมรด้วยใช่ไหม”
คำถามนั้นทำเอาบราลีถึงกับอึ้ง หลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด อยากจะบอกความจริงให้เขารับรู้ แต่สัญญาที่ทำเอาไว้กับอมรก็เหมือนกับน้ำที่ท่วมปากของเธออยู่ หากคายออกไปก็รังแต่จะทำให้ตัวเองเลอะเทอะเปล่าๆ
“วินถามอะไรลีตรงๆ ได้ไหม”
เธอพยักหน้า “ถ้าลีสามารถตอบได้นะคะ”
กวินบีบมือเธอแน่น ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบออกไป
“ลีรักคุณอมรหรือเปล่า”
ความคิดเห็น |
---|