1

แต่งงาน

1

แต่งงาน

 

“อื้อ!” เสียงร้องที่ดังมาพร้อมๆ กับเสียงกล่องหนังสือถูกปล่อยลงพื้น “นี่กล่องสุดท้ายแล้วใช่ไหม” ปิติถามพลางใช้กำปั้นทุบหลังตัวเอง “ปวดหลังเลย มึงจ่ายค่านวดให้กูเลยนะ”

“ช่วยยกของเข้าคอนโดแค่นี้ทำมาบ่นปวดหลัง”

“โธ่ มึงไม่รู้เหรอ ปวดหลังคือเพื่อนยากของวัยเรา”

“วัยมึงคนเดียวเหอะ” กวินวัฒน์ส่ายหน้า ก่อนจะดันกล่องลังที่ซ้อนกันสามชั้นไปทางห้องหนังสือ ปิติที่ตอนนี้ทิ้งตัวนอนแผ่อยู่บนโซฟาก็บ่นไปเรื่อยเปื่อยตามมา

“รู้งี้น่าจะรอไอ้ธันย์มาด้วยก็ดี”

คนที่ปิติพูดถึง คือธันวา เพื่อนอีกคนในกลุ่มที่เรียนแพทย์มาพร้อมกันกับปิติและกวินวัฒน์ หลังเรียนจบก็เข้าเป็นแพทย์อินเทิร์น[1] ที่โรงพยาบาลเดียวกันตลอดสามปี แม้ว่าตอนไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางจะเลือกเรียนคนละสาขา แต่สุดท้ายพอเรียนจบก็ยังกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกันอยู่ดี ซึ่งก็คือโรงพยาบาลรีเซลดาเมดิคอล เป็นโรงพยาบาลที่ครอบครัวของปิติเป็นเจ้าของ และมีพ่อของกวินวัฒน์เป็นผู้อำนวยการอยู่

“นี่ไอ้ธันย์มันรับพาร์ตไทม์ทุกวันเลยรึเปล่า” 

“ก็ไม่นะ อาทิตย์นึงสักสองสามวันได้มั้ง”

เพราะกวินวัฒน์เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศหลังจากไปเรียนต่อเฉพาะทางถึงห้าปี เลยไม่ค่อยรู้ตารางเวลาของเพื่อนเท่าไร

“เลิกจากแพทย์ฟูลไทม์ที่โรงพยาบาลแล้วยังรับจ็อบคลินิกเพิ่มอีก ขยันจังวะ” 

“ก็แหงละ ตามประสาคนโสดผู้มีเวลาว่างหลังงานฟูลไทม์” ปิติผายมือสองข้างออกประกอบการพูดไปด้วย ทำเอาคนฟังที่เดินออกมาจากห้องหนังสือมาเท้าเอว ขมวดคิ้วใส่

“แล้วมึงไม่โสดแล้วหรือไงหาเป๋า”

“กูก็โสดเหมือนกัน แต่คนละอุดมการณ์”

“ยังไง”

“อ้าว ไอ้ธันย์มันเป็นพวกโสดขยัน ส่วนกูนั้นโสดขี้เกียจค้าบบบ”

“เหอะ! ไม่มีใครจ้างมึงมากกว่ามั้ง”

“เฮ้ยๆ อย่างมาดูถูกหมอเป๋านะครับ ผมนี่แพทย์จิตเวชเด็กอันดับหนึ่งของโรงพยาบาล เดินไปทางไหนพยาบาลเรียกอาจารย์ปิติๆ กันเกรียวกราว”

กวินวัฒน์เผลอเหลือบตาขึ้นมองเพดาน มีหมอคนไหนในโรงพยาบาลที่พยาบาลไม่เรียกว่า ‘อาจารย์’ บ้างเล่า!

“หมอจิตเวชเด็กอันดับหนึ่ง?”

“ใช่”

“อันดับหนึ่งเรื่องสติไม่สมประกอบอะดิ” 

“ใช่ที่ไหน อันดับหนึ่งเรื่องอายุน้อยที่สุดต่างหาก” พูดจบก็ขำก๊ากคนเดียวอย่างไม่ทุกข์ร้อน

ปิติเป็นพวกบ้าๆ บอๆ แบบนี้ตั้งแต่กวินวัฒน์จำความได้ เป็นเพื่อนสนิทคนแรกของเขา อันที่จริงเหตุผลหลักๆ ที่มาสนิทกันได้คือพ่อของทั้งคู่เป็นหมอ ทั้งสองเลยวิ่งเล่นในโรงพยาบาลด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนที่เดียวกันตั้งแต่อนุบาลจนจบแพทย์ เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนซี้ที่แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่ก็ยังคบกันได้ตลอดรอดฝั่งมาจนถึงทุกวันนี้

กวินวัฒน์หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องหนังสือแทนการต่อความเพื่อน ทว่าคนที่โซฟาก็เดินตามมา 

“จะจัดหนังสือขึ้นชั้นใช่ไหม มา! กูช่วย”

เจ้าของห้องผลักลังกระดาษใบหนึ่งไปให้ ก่อนจะชี้ไปที่ชั้นหนังสือบิลต์อินซึ่งอยู่ฝั่งที่ใกล้กับประตูห้องที่สุด เป็นเชิงบอกตำแหน่งจัดวางโดยไม่เอ่ยคำพูด แล้วเดินไปเปิดอีกกล่อง เริ่มหยิบหนังสือในนั้นขึ้นชั้นบ้าง 

“มึงนี่โหดนะกาย สองปีหลังมานี้มึงไม่กลับไทยเลยไม่พอ พอกลับมาได้ไม่ถึงอาทิตย์ ก็ย้ายจากบ้านมาอยู่คอนโดคนเดียว แม่มึงไม่โวยแย่เหรอวะ”

“ก็โวย” กวินวัฒน์ตอบสั้นๆ จดจ่ออยู่กับการแยกหนังสือตามชั้นมากกว่าฟังเสียงเพื่อน

“แล้วมึงทำไง”

“ก็ขนของออกมานี่ไง”

“ใจร้าย มึงนี่ชอบใจร้ายกับสุภาพสตรี” ปลายเสียงที่สะบัดราวกับว่าคนพูดเป็นสุภาพสตรีเสียเองนั้นทำเอาคนฟังหลุดขำครั้งหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ

“ช่วยไม่ได้ว่ะ กูอยู่อเมริกามาห้าปี ชินกับการอยู่คนเดียวไปแล้ว พอกลับบ้านแล้วเห็นคนเดินไปเดินมาเยอะๆ รู้สึกไม่ค่อยส่วนตัวเท่าไหร่”

“แหมมม พูดเหมือนบ้านมึงแคบมากเนอะ อยู่กันเป็นยี่สิบสามสิบคนงี้?”

“มึงก็รู้ แค่แม่กูคนเดียว ก็ยิ่งกว่ามีสิบยี่สิบคนคอยจับตาดูกูแล้ว”

“แม่เขาก็เป็นห่วงมึง” ปิติว่าในฐานะคนที่ใกล้ชิดจนเสมือนว่าเป็นลูกอีกคนของแม่กวินวัฒน์ “เขาถามอะไรมึงก็บอกๆ เขาไปบ้างเหอะ เขาจะได้ไม่ต้องคอยสอดส่องเองไง”

ถ้าเป็นสมัยก่อนตอนที่ทั้งสองยังเรียนด้วยกัน ปิติจะเป็นคนคอยรายงานเรื่องต่างๆ ให้แม่ของกวินวัฒน์ทราบแทนเจ้าตัวเสมอ จะมาห่างๆ ไปก็ตอนที่แยกกันเรียนต่อเฉพาะทางนี่แหละ

“มึงคิดว่าแม่กูเลิกสอดส่องได้เหรอ เขาทำแบบนั้นมาทั้งชีวิตแล้ว มึงเชื่อเถอะ ถึงจะย้ายมาอยู่คอนโด แต่เดี๋ยวแม่กูก็มาที่นี่”

“เออจริง” ปิติพยักหน้าเห็นด้วยแล้วยิ้มขำ “ว่าแต่มึงทันซื้อคอนโดนี้ตอนไหนวะ ที่มึงบอกกูว่าจะย้ายของเข้าคอนโด ตอนแรกกูก็นึกว่าเป็นคอนโดเก่าที่มึงอยู่ตอนเรียนซะอีก”

คำถามของเพื่อนทำให้กวินวัฒน์ชะงักไปเล็กน้อย อันที่จริงเขาก็อยากกลับไปอยู่ในที่ที่คุ้นเคยนะ แต่คอนโดห้องนั้นมีความทรงจำหลายอย่างที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าตอนนี้ 

“เพิ่งซื้อเมื่อวาน”

“โอ้โห บิลเลียนแนร์แบงค็อกจริงๆ เพื่อนกู คอนโดหรูใจกลางกรุงเทพฯ ไม่รวยจริงซื้อไม่ได้นะเนี่ย”

“รวยเหี้ยอะไร กูทำงานใช้ทุนโรงพยาบาลพ่อมึงอยู่เนี่ย ซื้อเพราะใกล้ที่ทำงานหรอก”

“เฮ้อออ สมองมึงนี่คิดแต่เรื่องงานจริงๆ เลยนะ” ปิติว่าพลางวนนิ้วชี้ที่ข้างขมับตัวเอง “ผ่อนคลายบ้างเหอะเพื่อน โรง’บาลเราน่ะทำงานกันแบบพี่น้อง ชิลๆ” พูดจบก็หันไปลากอีกกล่องมาเปิด “เออ นี่มึงเข้าโรง’บาลไปสองสามวันติดนี่มึงเริ่มงานแล้วเหรอ”

คนถูกถามส่ายหน้า “ยังหรอก ยังมีหลายเรื่องต้องจัดการ แค่เข้าไปฟังวิชาการเฉยๆ เริ่มงานจริงๆ ก็วันมะรืน”

“ดีๆ พวกเราสามคนจะได้กลับมาอยู่ครบแก๊งกันสักที มึงว่างานนี้มันต้องฉลองหน่อยไหม” ปิติเอ่ยถามพร้อมกับหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งขึ้นมา ตั้งใจจะวางไว้บนชั้นที่อยู่เหนือศีรษะ ทว่าในขณะที่เขากำลังยกหนังสือขึ้นสุดแขนนั้น ก็มีอะไรบางอย่างร่วงกราวลงมาจนเจ้าตัวต้องหลับตาเพราะเกรงว่าของจะหล่นใส่หน้า 

“เฮ้ยยย เดี๋ยว อะไรวะเนี่ย!”

กวินวัฒน์หันไปมองตามเสียงโวย ก่อนจะต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นหนังสือเล่มที่อยู่ในมืออีกฝ่าย ชายหนุ่มรีบพุ่งตัวไปฉวยหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในมือ ก่อนจะกุลีกุจอดันคนที่ยังไม่ทันตั้งตัวได้ให้ออกไปจากห้อง

“วันนี้กูว่ามึงกลับไปก่อนดีกว่า ที่เหลือเดี๋ยวกูจัดการเอง” เขาว่าพร้อมกับปิดประตูห้องหนังสือตามหลัง

ปิติหันมองซ้ายขวาด้วยอาการงงไม่หาย “อะไรของมึงเนี่ย อยู่ดีๆ ก็ไล่กูกลับ ยังจัดหนังสือไม่เสร็จเลย”

“ดึกแล้ว มึงกลับไปก่อน วันนี้ขอบใจมาก เรื่องฉลองเดี๋ยวค่อยคุยตอนไอ้ธันย์อยู่ละกัน” กวินวัฒน์รีบสรุปทุกประเด็นที่คุยค้างไว้เสร็จสรรพ เดินนำไปหยิบกุญแจรถให้เพื่อนด้วย “ลิฟต์กดลงชั้นจีได้เลยไม่ต้องใช้การ์ด ไว้เจอกันที่โรง’บาล”

“อะไรของมึง เออๆ กลับก็ได้วะ” คนโดนไล่เกาท้ายทอยอย่างงงๆ แต่ก็ยอมออกจากห้องมาแต่โดยดี

ประตูห้องปิดลงแล้ว แต่เจ้าของห้องยังคงยืนมองอยู่อย่างนั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เกือบไปแล้ว...”

กวินวัฒน์เดินกลับมาที่ห้องหนังสือ ทว่าก็ชะงักในจังหวะที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปเมื่อเสี้ยวหนึ่งของความคิดร้องเตือนให้รู้ว่าเขากำลังจะเจอกับอะไร

ความทรงจำในวันเก่าที่ถูกเก็บให้พ้นสายตามาห้าปี 

“เฮ้อออ ไอ้เป๋าแม่ง...” คนตัวสูงเอ่ยอย่างหักใจ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้อง แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ทั้งรูปถ่ายโพลารอยด์ กระดาษโพสต์-อิต หรือแม้แต่การ์ดเล็กๆ ที่เขาเคยสอดเก็บไว้ตามหน้าต่างๆ ในหนังสือเล่มนั้นร่วงกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด

กวินวัฒน์นั่งลงเก็บมันขึ้นมาอย่างลวกๆ พยายามไม่อ่านข้อความใดๆ ที่ใครบางคนเขียนไว้ ไม่อยากกวนตะกอนความทรงจำให้ลอยฟุ้งขึ้นมาอีก แต่ถึงอย่างนั้นรูปถ่ายโพลารอยด์ใบสุดท้ายที่เขาหยิบขึ้นมาจากพื้นก็ทำให้ความพยายามทั้งหมดไร้ความหมาย

เข้าปีที่ 6 ได้แล้วสินะ ที่ความสัมพันธ์ของชายหญิงในรูปนี้สิ้นสุดลง ถ้าจำไม่ผิด นี่เป็นรูปที่เขากับเพียงฟ้าถ่ายเล่นกันที่คอนโดของเขาสมัยที่ทั้งคู่ยังเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเธอเพิ่งซื้อกล้องโพลารอยด์มาใหม่ เห่อเสียจนถ่ายทุกอย่างที่ขวางหน้า จำได้ว่าถ่ายไปตั้งหลายใบกว่าจะได้รูปคู่ที่ทั้งสองอยู่ตรงกลางเฟรมพอดีแบบนี้ได้ รูปใบนี้เธอเคยติดเอาไว้บนตู้เย็นที่คอนโดเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอามันติดตัวไปด้วยตอนไปเรียนต่อต่างประเทศ เห็นทีไรก็นึกถึงความสุขความสดใสในครานั้น 

แม้ว่าตอนนี้ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงอดีตที่ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังตัดใจทิ้งรูปใบนี้ไม่ลง...ก็เหมือนที่เขาไม่เคยลบเธอออกจากใจได้เลยแม้สักลมหายใจเดียว

รอยยิ้มของเธอในวันนั้นช่างสดใส เป็นความเปล่งประกายที่ทำให้เขาลืมความเหนื่อยล้าทุกอย่างไปหมดสิ้น เพียงฟ้าคือผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของเขาเสมอ 

สองปีแล้ว...ที่เพียงฟ้าแต่งงาน

แล้วก็เป็นสองปีที่กวินวัฒน์ไม่กลับมาเหยียบเมืองไทยอีกเลย ไม่อยากรับรู้ความเป็นไปใดๆ ของเธอทั้งสิ้น หวังเพียงแค่ว่าหญิงสาวจะมีความสุขกับชีวิตที่เธอเลือก

แม้ชีวิตนั้น...จะไม่มีเขาก็ตาม

เกือบเจ็ดปีที่คบกัน ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่กวินวัฒน์คิดว่าชีวิตเขาจะไม่มีเพียงฟ้า เขาและเธอเข้ากันได้ดีมาก หญิงสาวเป็นโลกที่สดใสของเขาเสมอ เป็นยายตัวแสบที่แสนน่ารัก เขาเคยคิดฝันเอาไว้ถึงงานแต่งงานของเรา ฝันว่าจะสร้างครอบครัวไปด้วยกัน 

แต่สุดท้าย...ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด

ความฝัน...ยังคงเป็นแค่ความฝัน

วันนี้...เธอแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นไปแล้ว และก็กำลังมีความสุขกับครอบครัวที่ร่วมกันสร้างขึ้นด้วยเช่นกัน

 

“ผึ้งจ๊ะ ไฟโซนฝั่งขวายังไม่ต้องปิดนะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“ค่ะ พี่เฟย์”

เจ้าของร้านพยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นหน้าผ่านช่องส่งอาหารเข้าไปในครัว เอ่ยกับชายวัยสี่สิบต้นๆ ผู้รับตำแหน่งกุ๊กครัวร้อนของร้าน “พี่สมหมายคะ ขยะถุงเล็กยังไม่ต้องทิ้งนะคะ เอาออกไปแค่ถุงใหญ่พอ เดี๋ยวเฟย์มีทำครัวต่อค่ะ”

“ได้ครับเชฟ”

“วันนี้ขอบคุณนะคะ กลับบ้านได้เลยค่ะ”

“เจอกันพรุ่งนี้เช้านะครับเชฟเฟย์ เชฟแก้ว”

“ค่าาา กลับบ้านดีๆ นะคะ” สองสาวประสานเสียงพร้อมกัน ก่อนที่แก้วเจ้าจอมจะปลดชุดเชฟออกแล้วเดินออกจากครัวมาสมทบกับเพื่อนข้างนอก

“ไอ้เฟย์แกดูสิ เหมือนฝนจะตกเลย พวกเจ๊เปิ้ลต้องมาสายแน่ๆ”

เพียงฟ้าโบกมือให้หนูนาที่ออกจากประตูหลังร้านไปเป็นคนสุดท้าย ก่อนหมุนตัวกลับมาหาเพื่อน “แต่ไอ้จีนมารถไฟฟ้านะ น่าจะมาถึงก่อน เรากินข้าวกันสามคนก่อนก็ได้”

“อื้ม เอางั้นก็ดี” แก้วเจ้าจอมพยักหน้า เดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบเครื่องดื่มแก้วหนึ่งออกมายื่นให้เพื่อน “เฟย์ แกชิมดูซิว่าสัดส่วนได้รึยัง”

“น้ำกระเจี๊ยบมินต์เมล็ดเจียออร์แกนิกที่จะเริ่มขายวันคริสต์มาสนี้น่ะเหรอ”

“อื้ม คราวที่แล้วฉันว่ามันเปรี้ยวไปนิดนะ แก้วนี้ลองปรับสัดส่วนใหม่ตามที่แกเสนอ”

เพียงฟ้าก้มลงดูดน้ำสีแดงเข้มที่มีเมล็ดเจียเม็ดเล็กลอยอยู่ก้นแก้ว ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “ฉันว่าโอแล้วนะ เปรี้ยวนิดๆ มีกลิ่นมินต์หน่อยๆ วางใบมินต์ที่ปากแก้ว ก็จะได้สีเขียวตัดสีแดงให้ฟีลคริสต์มาส แกว่าไง”

คนถูกถามยกนิ้วโป้งให้ “สัดส่วนที่แกประมาณไว้เป๊ะมาก เพื่อนฉันนี่ใช้ลิ้นเก่งไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”

“ไอ้บ้า!”

สองสาวหัวเราะร่วนไปพร้อมๆ กับฝนด้านนอกที่เริ่มโปรยลงมา เวลาอยู่กันสองคนในวันฝนตกแบบนี้ เพียงฟ้ามักนึกถึงช่วงเวลาที่เธอไปเรียนทำอาหารบ่อยๆ หญิงสาวได้เจอกับแก้วเจ้าจอมที่นั่น เธอเป็นสาวไทยที่ไปเติบโตในอเมริกา ก่อนจะอยากหาประสบการณ์ด้วยการไปเรียนทำอาหารที่ประเทศอังกฤษ

ด้วยเพราะการเรียนที่ใช้เวลาเพียงสองปีแต่ต้องเรียนรู้หลายอย่าง จึงเป็นการเรียนที่ทรหดเอามากๆ และก็ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ทั้งคู่กลายเป็นคู่ซี้ปึกกันในเวลาไม่นาน

หลังจากเรียนจบและเข้าทำงานในครัวของโรงแรมแห่งหนึ่งอยู่ครึ่งปีก็กลับมาเมืองไทย เพียงฟ้าได้หิ้วเพื่อนรักของเธอมาเที่ยวด้วย เป็นตอนนั้นเองที่ความสวยของสองสาวไปเตะตา ‘เจ๊เปิ้ล’ เข้า จึงทาบทามให้เข้าสู่วงการบันเทิง แต่เพียงฟ้าบอกว่าเธอเป็นตัวเองเกินกว่าที่จะแสดงเป็นคนอื่นได้ ต่างกับแก้วเจ้าจอมที่อยากได้คอนเนกชันในสายงานนี้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง จึงตกปากรับคำ เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดของเจ๊เปิ้ลตั้งแต่นั้นมา

ทว่าถึงอย่างนั้นสองสาวก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากเป็นเชฟ หลังจากที่เพียงฟ้าแต่งงานกับชยุตเมื่อสองปีก่อน ทั้งคู่จึงตัดสินใจเปิดร้านอาหารสำหรับสายสุขภาพที่มีชื่อว่า ‘Organic Kitchen’ เป็นร้านเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น G ของตึก J.W. Tower เป็นอาคารสำนักงานให้เช่าในย่านธุรกิจ อันเป็นกิจการในเครือของตระกูลจรรยาวรรธน์ ตระกูลของชยุต สามีของเพียงฟ้าเอง

“เออแก เจ๊เปิ้ลบอกว่าเพิ่งรับละครให้ฉัน ถ้าเปิดกล้องแล้วฉันอาจจะไม่ได้เข้าร้านทุกวัน แกคุมครัวคนเดียวไหวไหม”

เพียงฟ้าหันไปทำตาวาวใส่คนพูด “หูยยย นี่เพื่อนฉันจะดังแล้วเหรอเนี่ย”

“ดังบ้าอะไร ก็แค่ตัวประกอบน่ะ เจ๊เปิ้ลแค่เห็นว่าฉันรับงานโฆษณามาเยอะแล้ว เลยให้ลองงานละครดูบ้าง”

“ตื่นเต้นปะ”

แก้วเจ้าจอมอมยิ้ม “ก็ตื่นเต้น แต่ไม่เท่าแกตอนนี้หรอก”

“อ้าว เพื่อนฉันจะโดนขุดจากก้นครัวไปเล่นละครทั้งที ไม่ตื่นเต้นได้ไง” เพียงฟ้าว่าพลางกอดอกราวกับอยากจะอวดอ้างสรรพคุณ “จะบอกอะไรให้นะ สมัยเรียนเนี่ยฉันประกาศตลอดว่าฉันสวย แต่ฉันยอมให้แกคนนึงก็ได้” กระแอมแล้วทำเสียงใหญ่ขึ้น “คุณแก้วเจ้าจอม คุณสวยเหมือนเจ้าหญิงเลยครับ” ว่าเสร็จก็หัวเราะก๊าก “ฉันยังจำตอนอิตาฝรั่งลูกครึ่งไทยนั่นมาพูดแบบนี้กับแกได้”

“แกก็รู้ว่าฉันไม่ใช่เจ้าหญิงที่ไหน”

คนฟังยื่นมือไปเชยคางเพื่อนขึ้นเล็กน้อย “หน้าตาแกเป็นเจ้าหญิงได้นะ แต่เบ๊อะบ๊ะไปหน่อยแค่นั้น”

“พอเลย สรุปว่าแกไหวไหม ที่ถามค้างไว้น่ะ”

“โอ๊ยยย สบายมาก เดี๋ยวนี้ทีมกุ๊กของเราก็คล่องขึ้นเยอะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เชิญไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้าอย่างสบายใจได้เลยค่ะคุณเพื่อน”

“ไอ้เฟย์ แกก็รู้ว่าที่ฉันยอมเข้าวงการเพราะอะไร ยังไงซะความสุขของฉันก็คือการได้จับมีดอยู่ดี”

เพียงฟ้าหรี่ตา ถามเสียงกระซิบกระซาบ “จับมีดทำครัวหรือแทงคน”

“แทงแกนี่แหละ กวนจริงๆ” ย่นจมูกใส่เพื่อนก่อนจะยื่นใบเสร็จที่เพิ่งพิมพ์ออกจากเครื่องให้ “นี่! เอาไป เอารายการบัญชีของร้านวันนี้ไปดูเลย” 

คนโดนว่ารับมา แต่ก็ยังยิ้มล้อหน่อยๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งของโซนที่ยังเปิดไฟทิ้งไว้ ไม่นานแก้วเจ้าจอมก็เดินตามมานั่งลงฝั่งตรงข้ามพร้อมกับรายการอาหารที่สั่งผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี

“สองสามวันมานี้มีคนสั่งสปาเกตตีโบโลเนสไปส่งที่โรงพยาบาลทุกวันเลย”

“ลูกค้าประจำเราไปแอดมิตที่นั่นรึเปล่า” คนกำลังจดจ่ออยู่กับรายการบัญชีตอบโดยไม่เงยหน้ามองเพื่อน

“แต่เราไม่เคยมีลูกค้าประจำเดลิเวอรีที่สั่งโบโลเนสบ่อยๆ นะ”

“งั้นก็อาจจะเป็นลูกค้าใหม่ที่เพิ่งมาติดใจ”

“อืมมม คงงั้นมั้ง”

พอเห็นว่าเพื่อนเสียงแผ่วลง เพียงฟ้าเลยเงยหน้าขึ้นมอง ถามคนที่ยังทำหน้าฉงนอยู่ “แล้วแกติดใจอะไร จะให้พิเศษเขาเหรอ”

“เปล่า แค่รู้สึกว่าแปลกดี เขาน่าจะชอบโบโลเนสสูตรของแกมากๆ ถึงได้สั่งกินทุกวันไม่มีเบื่อขนาดนี้”

สปาเกตตีโบโลเนส หรือที่คนมักเรียกกันง่ายๆ ว่าสปาเกตตีซอสมะเขือเทศ แต่เดิมคนที่เคยสอนเธอทำใช้หมูสับเป็นส่วนประกอบ แต่เพราะที่ร้านเป็นอาหารสุขภาพ เพียงฟ้าจึงปรับจากหมูสับมาใช้ไก่สับแทน

หญิงสาวมองเพื่อนที่เล่าด้วยรอยยิ้ม ทว่ามันกลับทำให้เธอรู้สึกวูบโหวงในอก ก่อนจะยิ้มกลับด้วยแววตาแสนเศร้า “ฉันดีใจนะที่มีคนชอบ...แต่มันไม่ใช่สูตรของฉันหรอก”

แก้วเจ้าจอมกำลังจะถามต่อ แต่แล้วเสียงผลักประตูหน้าร้านก็ดึงความสนใจของสองสาวไป

“มาแล้วค่าาา คนสวยเสด็จจจ” เจ้าของเสียงว่าพร้อมกับปรี่มาที่โต๊ะ ก่อนจะเอาก้นเบียดให้เพียงฟ้าขยับเข้าไปด้านใน “ไม่สวยชิดในค่ะ องค์หญิงจะนั่ง”

คนที่มาถึงโต๊ะเป็นคนแรกคือแทมมี่ เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมจนจบมหาวิทยาลัย เพื่อนสาวในร่างชายของเพียงฟ้า ที่ล่าสุดเปลี่ยนชื่อจริงเป็น ‘ลลิตา’ ที่แปลว่า ‘หญิงงาม’ แต่พอผันตัวจากวิศวกรบริษัทเอกชนมาเป็นพิธีกรงานอีเวนต์ใต้สังกัดของเจ๊เปิ้ล นางก็ใช้ชื่อในวงการว่า ‘แทมมี่’ แต่ต่อให้จะเปลี่ยนไปอีกสักกี่ชื่อ เพียงฟ้าก็ยังเรียกเพื่อนคนนี้ว่า ‘อีเจ้’ เหมือนเดิมอยู่ดี

“แหมมม วันนี้รับบทองค์หญิงเหรอจ๊ะ”

แทมมี่จือปากพร้อมกับพยักหน้า “เพิ่งเสร็จจากงานอีเวนต์เปิดตัวซีรีส์จีนน่ะ อินเนอร์ยังไม่ถอด”

เพียงฟ้ากลอกตา “ดีนะ ไม่ใช่เปิดตัวหนังอินเดีย ไม่งั้นคงระบำหน้าท้องมาตั้งแต่ในรถ”

“เฟย์ก็พูดไป” เจ๊เปิ้ลที่ตามมาทีหลังว่าระคนขำ “เจ๊ก็สกรีนงานให้นางอยู่”

“ดึงสติมันบ้างนะเจ๊เปิ้ล ยิ่งแก่ยิ่งเลอะเทอะ”

เจ๊เปิ้ลเดินไปลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงหัวโต๊ะ พอดีกับที่สมาชิกคนสุดท้ายมาถึง “โอ๊ยยยย กว่าจะถึง นี่กรุงเทพฯ เมืองบาดาลหรือไง ฝนตกทีไรน้ำนองทุกที ถ้าจระเข้มางาบกูไป จะมีผู้ชายที่ไหนมาช่วยกูไหมเนี่ย”

“โอ้โห มาถึงก็บ่นชุดใหญ่เชียว แล้วไม่ต้องฝันว่าชายใดจะมาช่วยหรอกนะแม่ตะเภาทอง ถ้ามึงโดนงาบแถวนี้ ชาละวันลากมึงกลับถึงเมืองพิจิตรแล้ว ผู้ยังรถติดอยู่แยกอโศกจ้าาา”

“โอ๊ย! ไม่บ่นได้ไงอีเจ้ มึงดูสภาพกูก่อน”

ทั้งโต๊ะส่ายหน้าให้สภาพกระเซอะกระเซิงของสาวคนพูดที่ดูแล้วน่าจะโดนละอองฝนไปไม่น้อย เพียงฟ้าทั้งขำทั้งสงสาร 

“มาๆ มานั่งก่อน เดี๋ยวหาอะไรให้กิน”

จิณณาที่เพิ่งมาถึงตรงเข้าไปรวมกับกลุ่มเพื่อน ทว่าก็ชะงักเท้าในจังหวะที่เดินผ่านเคาน์เตอร์แคชเชียร์ “โอ้โห ทำไมวันนี้มีดอกไม้ด้วย”

“ตั้งแต่เมื่อวานแล้วละจีน” แก้วเจ้าจอมตอบแทนเจ้าของดอกไม้ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเพียงฟ้า พออีกฝ่ายไม่ว่าอะไรเลยขยายความต่อ “ของพี่ยุตส่งมาให้เฟย์... ครบรอบวันแต่งงาน”

“โห พี่ยุตนี่เขา...” จิณณายักไหล่ “เกินความคาดหมายกูจริงๆ”

จิณณาก็เป็นเพื่อนสนิทอีกคนที่เรียนมาพร้อมกับเพียงฟ้าและแทมมี่ ซึ่งตอนนี้เป็นวิศวกรสิ่งแวดล้อมในบริษัทรับกำจัดน้ำเสียให้โรงงาน แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานอิสระเหมือนเพื่อนอีกสองคน แต่หญิงสาวก็ยังติดต่อและหาเวลานัดเจอเพื่อนอยู่บ่อยๆ จึงนับเป็นอีกคนที่อยู่ในทุกเหตุการณ์ของเพียงฟ้าตั้งแต่สมัยเรียนมาจนถึงทุกวันนี้

“ครบองค์แล้ว เดี๋ยวไปยกอาหารที่ทำไว้มาให้ดีกว่า” เพียงฟ้าตัดบทพร้อมกับผุดลุกขึ้น ก่อนจะส่งสัญญาณให้แทมมี่ถอยตัวออกจากเก้าอี้ตัวยาวที่นั่งอยู่ด้วยกัน แล้วรีบชิ่งหนีออกจากวงสนทนาหมายจะให้เรื่องของเธอที่ถูกพูดถึงจบลง 

ทว่าก็เหมือนไม่ได้เป็นอย่างที่หญิงสาวคิด เพราะทันทีที่เพียงฟ้าเดินพ้นระยะออกไป จิณณาก็ยื่นหน้ามาพูดกลางวง

“เอาจริงๆ ถ้าเทียบกายกับพี่ยุต กูชอบกายมากกว่า”

แทมมี่ทำหน้าหงอยแล้วพยักหน้า “จริง เมื่อก่อนตอนอีเฟย์อยู่กับหมอกาย มันดี๊ด๊ากว่าตอนนี้เยอะ”

แก้วเจ้าจอมที่เพิ่งได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกผูกคิ้ว “กายคือใครเหรอ” 

“ผัวเก่าอีเฟย์ สมัยเรียนมหา’ลัย” 

เพียงฟ้าเดินกลับมาถึงโต๊ะทันได้ยินตอนแทมมี่พูดประโยคนั้นพอดี แก้วเจ้าจอมเลยหันไปถามกับเจ้าตัว “จริงเหรอเฟย์ ไม่เห็นแกเคยพูดถึงเลย” 

คนถูกถามยิ้มมุมปาก แล้วส่ายหน้าน้อยๆ คล้ายจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร “ก็เลิกกันแล้ว จะมีเรื่องอะไรให้พูดถึงล่ะ เลิกกันก่อนไปเรียนที่อังกฤษไง แกเลยไม่เคยได้ยินชื่อนี้”

“ไม่ได้ติดต่อกันแล้วเหรอ”

“จะติดต่อกันทำไมล่ะ อีกอย่าง เขาเป็นหมอน่ะ ค่อนข้างยุ่ง” คนพูดรู้แก่ใจดีว่าประโยคสุดท้ายนั้นก็ประชดเย้ยหยันตัวเองอยู่ลึกๆ “พอเขาไปเรียนต่อเฉพาะทางที่อเมริกา เราก็เลิกกัน หลังจากนั้นก็ไม่ติดต่อกันอีกเลย สี่ห้าปีได้แล้วมั้ง นี่ถ้าพวกนี้ไม่พูดขึ้นมา ฉันก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย” หญิงสาวว่าเสียงระรื่น ก่อนจะผลักจานใกล้มือไปให้คนหัวโต๊ะ “ยำส้มโอย่างเกลือสีชมพูที่เจ๊เปิ้ลชอบค่ะ ส้มโอรอบนี้เปรี้ยวไปนิด แต่เฟย์เพิ่มเกลือไปตัดให้แล้วค่ะ เจ๊เปิ้ลลองชิมดู”

“ขอบใจจ้ะ เชฟเฟย์นี่รู้ใจเจ๊ตลอด บอกให้มาเป็นลูกรักเจ๊อีกคนก็ไม่ยอมใจอ่อนสักที”

“ให้เฟย์หัวหมุนในร้านนี่เถอะเจ๊เปิ้ล ไปออกทีวีคงไม่รอด”

แทมมี่เลื่อนสายตาไปสานสบกับจิณณาอย่างรู้กันว่าแม้เพื่อนสาวคนสนิทของทั้งคู่จะพูดเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่การพยายามจะเปลี่ยนเรื่องอยู่เรื่อยๆ นั้นก็ส่อพิรุธอยู่ไม่น้อย แทมมี่เลยว่าขึ้น

“ล่าสุดที่ได้ยินมา หมอธันย์บอกว่าพอเรียนจบเฉพาะทาง หมอกายก็เรียนแยกย่อยต่อไปอีก ยื้อเวลาไม่ยอมกลับไทยซะที”

เพียงฟ้าสะบัดสายตาไปหาคนพูดราวกับไม่อยากจะเชื่อเท่าไร “มึงไปสนิทกับหมอธันย์ตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็ตั้งแต่ที่เขามาเป็นหมอที่คลินิกหนังหน้าประจำของกูไง เป็นปีๆ แล้วย่ะ เนี่ย เราก็เลยได้คุยกันเรื่องเก่าๆ บ้าง อารมณ์แบบว่า ดิฉัน หมอธันย์และความสัมพันธ์กดสิว อะไรแบบนี้ หมอธันย์ยังพูดเลยว่าไม่รู้หมอกายจะหาเรื่องอยู่ต่อไปทำไม”

“เขาอาจจะได้เมียใหม่เป็นฝรั่งหน้าสวยไปแล้วก็ได้” เพียงฟ้าสวนกลับทันควันอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะได้สติว่าพูดอะไรออกไปก็ตอนที่แทมมี่ส่ายหน้าแล้วตอบกลับมาว่า

“แรงมาก อินเนอร์พลังประชดประชันหึงหวงอดีตผัวของมึงแรงมาก”

“ไม่ได้หึง” น้ำเสียงแผ่วลงอย่างพยายามจะลดความจริงจังของการสนทนา ก่อนจะให้เหตุผลว่า “ก็ขนาดกูยังแต่งงานกับคนใหม่ เลยคิดว่าเขาอาจจะมีแฟนใหม่บ้างก็เท่านั้นเอง”

 


[1] แพทย์อินเทิร์น คือ แพทย์ที่จบการศึกษาตามหลักสูตรแพทยศาสตร์ 6 ปี แล้วเข้าทำงานเป็นแพทย์ใช้ทุน หรือแพทย์เพิ่มพูนทักษะตามโรงพยาบาลรัฐ เป็นเวลา 1-3 ปี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น