3

รัก...ที่ฝากไว้ เมื่อไรมาเอา

รัก...ที่ฝากไว้ เมื่อไรมาเอา

 

เมืองเอะโดะประเทศญี่ปุ่น

เสียงเอะอะโวยวายดังอยู่เบื้องหน้า แม้มองจากตรงนี้ยังเห็นฝุ่นลอยฟุ้งทำให้มาเรียเร่งฝีเท้า ทว่าเกะตะหรือเกี๊ยะไม้ญี่ปุ่นที่เธอสวมกลับถ่วงไม่ให้ทำได้ดั่งใจ เมื่อไรเธอถึงจะชินกับการแต่งกายแบบคนพื้นเมืองเสียที ยิ่งต้องเอาผ้ามาคลุมผมด้วยแล้ว จะผินมองทางไหนก็ลำบาก เวลาเดินจึงได้แต่มองพื้นเท่านั้น ถ้าไม่ติดคำสั่งบิดาที่กำชับว่าห้ามแต่งกายแบบชาวตะวันตกออกนอกบ้านเด็ดขาด เธอคงสวมชุดผ้าลูกไม้กระโปรงยาวทรงสุ่มออกมาแล้ว

“คุณหนูมาเรีย อย่ารีบเจ้าค่ะ ไม่งาม”

สาวใช้ตะโกนตามหลังเมื่อเห็นเธอเร่งฝีเท้า มิโนะคงกลัวเธอล้มคะมำนั่นเอง...ทว่ามาเรียไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย จ้ำอ้าวตามองพื้นดินสลับกับเงยขึ้นมอง ภาพเบื้องหน้าต่างหากที่ดูมีสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจรออยู่ 

เธอ พี่ชาย และมารดาตามบิดามาอยู่เมืองเอะโดะได้เกือบสัปดาห์แล้ว แต่ไม่มีโอกาสออกมาข้างนอกอย่างนี้บ่อยนัก ครอบครัวของเธอเดินทางมาจากเกาะเดะจิมะในอ่าวนางาซากิซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น เมืองที่มีชาวฮอลันดาอาศัยอยู่มาก ด้วยนโยบายของโชกุนอิเอะยะสึ ท่านต้นตระกูลโทะขุงะวะผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งต้องการต้านทานอิทธิพลของชาวตะวันตกที่ค้าขายอาวุธปืนทันสมัยและเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนา จึงมีนโยบายปิดประเทศ ออกกฎขับไล่คนต่างชาติทั้งหมดในประเทศออกไป และไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติอื่นใดเข้าดินแดนญี่ปุ่นได้อีก ยกเว้นชาวฮอลันดากลุ่มเล็กๆ แต่ก็จำกัดบริเวณให้อาศัยที่อยู่เกาะเดะจิมะเท่านั้น และที่นางาซากิก็มีพ่อค้าชาวจีนกลุ่มเล็กอาศัยอยู่บ้างเช่นกัน       

นับตั้งแต่สมัยโชกุนต้นตระกูล ตามกฎระเบียบแล้ว เด็กและสตรีชาวต่างชาติไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบย่างเข้าสู่เกาะญี่ปุ่น ทว่าผ่านไปสองร้อยกว่าปี รัฐบาลบะขุฟุยุคนี้เริ่มผ่อนปรนกฎระเบียบให้แก่ตัวแทนของบริษัทอีสต์อินเดียมากขึ้น เพราะเห็นประโยชน์จากวิทยาการสมัยใหม่โดยเฉพาะความรู้ทางการแพทย์จากโลกตะวันตก จึงยินยอมให้คณะของมิสเตอร์ฟิลิปป์ ฟรานซ์ ฟอน ซีโบลด์ซึ่งมีเด็กและสตรีอยู่ที่เดะจิมะได้ บิดาของเธอจึงให้มารดาและเธอออกจากเมืองปัตตาเวีย ที่พำนักชั่วคราวตามมาอยู่ด้วยกันที่ญี่ปุ่น และนับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งกว่าที่หนนี้เธอกับมารดาได้มาเหยียบเยือนเอะโดะ เมืองหลวงของรัฐบาลท่านโชกุนซึ่งอยู่ห่างไกลถึงแถบคันโต...ภาคตะวันออกของประเทศ แม้จะเป็นการชั่วคราว    

นั่นเป็นเพราะอาชีพของบิดาเธอนั่นเอง เขาเป็นเสมียนอาลักษณ์ของมิสเตอร์ซีโบลด์ซึ่งเดินทางมารายงานตัวที่เอะโดะปีละครั้งตามข้อกำหนดของรัฐบาลโชกุน บิดาเธอต้องติดตามนายเพื่อจดบันทึก และเป็นที่รู้กันว่ามิสเตอร์ซีโบลด์จะนำสินค้าแปลกใหม่ของโลกตะวันตก เช่น ตะเกียงเจ้าพายุ และเครื่องเขียนทันสมัยชั้นดีเช่นกระดาษ พู่กัน หมึกมาจำหน่ายระหว่างพำนักที่เอะโดะเพื่อบริการไดเมียว ซามุไร และข้าราชการที่นี่ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีครอบครัวของเธอดูแลร้านให้ และด้วยมารดาเธอมีความรู้ด้านการรักษาพยาบาล จึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ติดตามมาได้ เพื่อตรวจสุขภาพของภริยาท่านโชกุนและสตรีฝ่ายใน 

แม้การพูดภาษาญี่ปุ่นจะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับมาเรีย แต่ก็ยังไม่คล่องแคล่วเท่าบิดาซึ่งเคยใช้ชีวิตที่เดะจิมะตั้งแต่แตกหนุ่ม ท่านเดินทางกลับฮอลันดาเพื่อสมรสกับมารดาเธอที่นั่นแล้วย้ายมาอยู่ปัตตาเวีย และกลับมาญี่ปุ่นอีกครั้งตามคำชวนของมิสเตอร์ซีโบลด์ซึ่งต้องมารับตำแหน่งผู้ว่าราชการตัวแทนบริษัทอีสต์อินเดียของรัฐบาลฮอลันดาประจำเดะจิมะคนใหม่ตั้งแต่หกปีก่อน

มาเรียมาหยุดยืนอยู่หลังวงล้อมที่มีชาวญี่ปุ่นมุงอยู่เต็ม

“ซุมิมะเซ็น...ขอโทษค่ะ”

เสียงร้องขอทางเป็นภาษาญี่ปุ่นสำเนียงแปร่งๆ ของเธอทำให้คนมุงที่บังอยู่ด้านหน้าหันมามอง เมื่อเห็นจากรูปลักษณ์สีนัยน์ตาว่าเป็นชาวตะวันตก ต่างก็ถอยหลบไม่อยากอยู่ใกล้ จึงเปิดพื้นที่ให้เธอเข้าดูด้านหน้าได้ 

มาเรียยกสองมือประสานตรงอก ตาลุกวาวอย่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นว่าผู้คนกำลังยืนซุบซิบขณะมุงดูอะไรกัน...เบื้องหน้าเธอมีชายหนุ่มสองคนซึ่งดูจากเครื่องแต่งกายชุดฮะขะมะ๑๐สีเข้มสวมทับหลายชั้นและทรงผมฉ่งมะเงะ๑๑ที่ใส่น้ำมันหวีเก็บเรียบงามก็รู้ว่าเป็นชนชั้นซามุไร ทั้งคู่ยืนปักหลัก มือกำดาบแน่น ต่างคนต่างจ้องมองอีกฝ่ายไม่กะพริบตา              

นึกอยากให้มิคาเอล...พี่ชายมายืนข้างๆ ตอนนี้ที่สุด เขาต้องตื่นเต้นเช่นเดียวกับเธอแน่นอน เธอกับเขาเคยเห็นซามุไรบ่อย เพราะเป็นลูกค้ามาซื้อสินค้าที่ร้าน แต่การที่มีซามุไรร่างกำยำมายืนจังก้าเตรียมประดาบฟาดฟันกันต่อหน้าแบบนี้ เธอและพี่ชายไม่เคยเห็นมาก่อนแน่นอน ยิ่งในตลาดกลางเมืองอย่างนี้ด้วยแล้วแทบไม่น่าเชื่อ...แต่เธอได้ยินจากบิดาว่าโชกุนท่านนี้ไม่โปรดให้ซามุไรจับดาบโดยไม่จำเป็นมิใช่หรือ

“พวกเขามีเรื่องอะไรกันหรือจ๊ะ” เธออดกระซิบถามผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ 

หามีใครกล้าเสวนากับเธอไม่ จนมิโนะวิ่งตามมาทัน หล่อนก้มหอบเอามือเท้าหัวเข่าอยู่ข้างๆ มาเรียจึงถามคำถามนี้อีกครั้งกับสาวใช้ให้ช่วยสื่อสารแทน 

“อ๋อ จะมีอะไร้...ก็ท่านซามุไรตระกูลมะเอะดะน่ะซี้ ไปกระชากไหล่ซามุไรบ้านอะริโมะริเข้า ถึงเป็นเรื่อง ท่านยืนซื้อของของท่านอยู่ดีๆ แท้ๆ” หญิงสูงวัยนางหนึ่งตอบข้อข้องใจของมิโนะ

“เฮ้ย! ใครว่าล่ะ ป้าเพิ่งมาคงไม่ทันเห็น ถ้าท่านซื้อข้าวซื้อของเฉยๆ ก็ไม่เป็นเรื่องหรอก แต่นี่คุณชายแห่งบ้านอะริโมะริน่ะลวนลามแม่ค้าขายเครื่องประดับต่างหาก ท่านมะเอะดะเข้ามาขวางเลยเป็นเรื่อง” ชายที่อยู่ใกล้ๆ แย้งผสมเล่าเป็นฉาก

“แล้วพวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นซามุไรของตระกูลไหน” มิโนะถามคำถามที่มาเรียอยากรู้พอดี

“โธ่ อีหนูเอ๊ย...ใครๆ เขาก็รู้จักคนของสองตระกูลนี้ทั้งนั้นแหละ สังเกตดูตราประจำตระกูลสีขาวตรงอก แขนเสื้อ หรือไม่ก็ด้านหลังชุดท่านก็ได้ ท่านประจำอยู่ต่างคุ้มไดเมียวกัน” แล้วคนพูดก็หันมากระซิบ “นี่ได้ข่าวว่ากำลังแข่งขันกันเพื่อเป็นคนโปรดท่านโชกุนอยู่” แล้วอยู่ดีๆ ก็หยุดเล่า หันมาถาม “หนูต้องเป็นคนต่างถิ่นแน่ ไม่ก็มัวแต่เอาหัวมุดถังหมักเต้าเจี้ยวอยู่น่ะสิ ถึงไม่รู้เรื่องรู้ราว มาจากที่ไหนล่ะ สำเนียงเหมือนทางใต้”

“นางาซากิจ้ะ ฉันตามเจ้านายมาเอะโดะ” มิโนะตอบพลางยิ้ม

มาเรียยืนดูสองซามุไรกุมด้ามดาบที่ยังอยู่ในฝัก ต่างมองคุมเชิงกัน ทั้งสองไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบด้านรูปร่าง แต่ฝ่ายที่หน้าตาดีกว่าดูเหมือนว่าจะกำยำกว่าเล็กน้อย

“คนไหนคือคนตระกูลอะริโมะริจ๊ะ” มาเรียถาม เพราะเธอพูดด้วยสำเนียงแปร่งเกินไป จึงไม่มีใครยอมคุยกับเธอ มาเรียจึงกระซิบให้มิโนะสนทนาแทน 

“คนหน้าตาดุกว่านั่นละ คุณชายเล็กของตระกูล ขะม่น๑๒ท่านเป็นรูปต้นไม้ตามชื่อตระกูลที่แปลว่าป่า เขาเล่าลือกันว่าท่านอะริโมะริมีนางเล็กๆ ในคุ้มเยอะ” ลุงตอบเมื่อมิโนะถาม

“คนที่กำลังตะโกนด่าคำหยาบท้าทายอยู่ใช่ไหมจ๊ะ” มิโนะถาม 

มาเรียไม่รู้เลยว่าซามุไรคนนั้นร้องด่าถ้ามิโนะไม่พูด เสียงที่ได้ยินนั้นกระโชกโฮกฮากและเร็วมากจนเธอจับใจความไม่ทัน แต่ก็พอจะเดาออกจากโทนเสียงและจับคำหยาบบางคำได้

“นั่นแหละ” หญิงวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ เป็นฝ่ายให้ข้อมูลบ้าง “ส่วนตราตระกูลมะเอะดะน่ะ เป็นรูปหยินหยางเหมือนหยดน้ำวางเรียงกัน มองไกลๆ อาจจะดูยาก แต่ป้าน่ะจำได้ คุณชายเล็กของตระกูลมะเอะดะมาอุดหนุนขนมป้าประจำ แล้วหนูดูหน้าท่านสิ ป้าเพิ่งเห็นหน้าเคร่งขรึมน่ากลัวของท่านครั้งแรกเอาวันนี้แหละ ปกติท่านใจดีจะตาย ท่านไม่ถือตัวว่าเป็นชนชั้นบุชิ๑๓” ป้าซึ่งตอนแรกไม่กล้าคุยกับเธอเผลอตอบ เพราะมัวจดจ่ออยู่กับภาพตรงหน้า

“ช่าย...ไม่ว่าจะเป็นชาวนาชาวไร่ ช่างฝีมือ พ่อค้า หรือชาวบ้านธรรมดาอย่างเราๆ ท่านทักทายหมด ปกติแค่ซามุไรเดินผ่าน พวกเราก็ต้องรีบก้มหน้างุดแล้ว แต่ท่านนี่...ถือว่าเป็นคนหนุ่มที่อารมณ์ดีมีเมตตา” ชายข้างๆ ให้ข้อมูลเสริมบ้าง “และก็คงเพราะชอบช่วยเหลือคนนั่นแหละ ถึงเกิดเรื่องแบบนี้”

“แล้วซามุไรทั้งสองมาจากไดเมียวไหนหรือจ๊ะ” มาเรียถามบ้าง

“อ๋อ...ท่านเทะรุโมะโตะแห่งตระกูลอะริโมะริ มาจากแคว้นคามาคุระ๑๔ใกล้ๆ เอะโดะนี่แหละ มาอยู่ก่อนถึงกร่างไง” ลุงป้องปากกระซิบ “ส่วนท่านชุนโนะสึเกะแห่งตระกูลมะเอะดะมาจากแคว้นนารา๑๕ เมืองหลวงเก่าเหมือนกัน เพิ่งมาได้ไม่กี่เดือนนี่เอง”

 “นั่นสิ ชาวบ้านแถวตลาดก็ภาวนาว่าเมื่อไหร่คุณชายเทะรุโมะโตะจะอยู่ครบสองปีเสียที ท่านจะได้กลับถิ่น” ป้าที่ขายขนมเสริม

 “หมายความว่าอย่างไรหรือจ๊ะ” มาเรียสงสัย

 “อ้อ...หนูเป็นต่างชาติคงไม่รู้สินะ ตั้งแต่สมัยท่านโชกุนอิเอะยะสึ ต้นตระกูลโชกุนโทะขุงะวะแล้ว ท่านออกกฎให้บรรดาไดเมียวส่งลูกหลานหนุ่มๆ มาอยู่ที่เอะโดะสองปี และท่านไดเมียวเจ้าเมืองก็ต้องเดินทางมาเยี่ยมคารวะท่านโชกุนทุกปีเหมือนกัน”

“ส่งมาอยู่ที่นี่เพื่อรับราชการหรือจ๊ะ”

“ถ้าพูดให้หรูก็ใช่ แต่เหตุผลจริงๆ ใครจะกล้าเอ่ยล่ะ” พ่อค้าตอบ

“แล้วคุณลุงคุณป้าว่าซามุไรสองท่านนี้จะประดาบกันจริงๆ ไหมจ๊ะ”

ยังไม่ทันที่ใครจะตอบ เสียงร้อง “โวะ!” หนักๆ สั้นๆ จากทั้งสองฝ่ายเสมือนสัญญาณพร้อมบุกก็ดังขึ้น สองซามุไรต่างย่อเข่ากางขา วางสองเท้าจิกกับพื้นดินแน่นตามตำแหน่งเตรียมต่อสู้ ขยับตัวซอยเท้าเผชิญหน้ากัน ดาบทั้งสองฟาดฟันทั้งบนและล่างกระทบกันอย่างแรงจนเกิดประกายไฟพร้อมเสียงเหล็กเนื้อดีฟาดฟันกระทบกันฟังดูน่ากลัว ทั้งคู่ผลัดกันรุกและรับโดยไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ หลายครั้งที่อีกฝ่ายถอยร่นจนหมู่คนมุงวงแตก เปิดทางให้ทั้งคู่ประดาบอย่างน่าหวาดเสียว

มาเรียได้แต่ยืนเอามือปิดปากไม่กล้าร้องสักแอะ ตาจ้องการต่อสู้ด้วยดาบของจริงเป็นครั้งแรก มันทำให้เธอตื่นเต้นเลือดฉีดพล่านทั่วร่าง ใจเต้นแรง ที่ผ่านมาเธอเคยเห็นซามุไรยืนจับดาบแต่ในรูปวาดเท่านั้น ของจริงน่ากลัวขนลุกขนพองจนแทบลืมหายใจขนาดนี้เชียวหรือ น่าหวาดเสียวยิ่งเมื่อเห็นแสงวาววับของคมดาบซามุไรที่ว่ากันว่าฟันฉับเดียวตัดกระดูกตัดคอขาดได้ง่ายๆ ช่างแตกต่างจากภาพวาดซึ่งวางขายในร้านเธอลิบลับ

มิโนะสาวใช้ของเธอยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลัง หลับตาปี๋อย่างหวาดกลัว ก้มหน้าก้มตาซบไหล่เธออยู่ บางคราวก็ชะโงกข้ามไหล่ ลืมตามองลอดนิ้วมือที่กางปิดหน้าไว้ พอถึงตอนหวาดเสียวก็ผลุบอยู่ข้างหลังอีก ถ้าบิดามาเห็นมิโนะต้องถูกตัดเบี้ยแน่ เพราะนอกจากจะไม่ออกหน้าปกป้องดูแลแล้ว ยังซุกอยู่ข้างหลังเอาตัวเธอเป็นกำบังอีกด้วย ทว่ามาเรียไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เธอยังคงมองซ้ายทีขวาทีไปตามทิศทางที่ซามุไรทั้งสองเคลื่อนไหวตาไม่กะพริบ

หลังจากประดาบหลายกระบวนท่า ตอนนี้ทั้งคู่ยืนประจันหน้า กำดาบยื่นสุดแขนจนปลายดาบแตะกัน ต่างฝ่ายต่างขยับขาลองเชิง   พลันทั้งสองต่างกระชับด้ามไว้มั่นแล้วสืบเท้าเข้าหากัน เพียงก้าวเดียวดาบต่อดาบก็ไขว้เหมือนเป็นกันชน จนข้อศอกของทั้งคู่ติดหน้าอก ใบหน้าห่างกันไม่กี่คืบ จ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตายลอดดาบที่ไขว้ขัดจนปลายดาบทั้งสองตั้งชี้ฟ้าเห็นเงาคมวาวปลาบ

ทั้งคู่เปล่งเสียงเค้นพลังดังลั่น ดูเหมือนเทะรุโมะโตะจะได้เปรียบเพราะเป็นฝ่ายได้รุก ทว่าชุนโนะสึเกะขยับถอยหลังเพื่อหลอกต่างหาก เขาถอยสองก้าวแล้วเบี่ยงตัว พลิกมือตวัดรวดเร็วจนดูแทบไม่ทัน ดาบคมกริบเฉือนไหล่ซ้ายของอีกฝ่าย แขนเสื้อกิโมโนขาดจนเห็นเนื้อขาวและเลือดซึมเป็นแนวยาว เทะรุโมะโตะมีสีหน้าตกใจ เซแซ่ดๆ ล้มลงกุมแผลและก้มมองรอยคมบาดอย่างหน้าเสีย  ชุนโนะสึเกะขยับเข้าหา เอาปลายดาบชี้อีกฝ่าย

“ท่านต้องยอมขอโทษนาง และมอบเบี้ยตอบแทนที่ทำให้นางขวัญเสีย”

“ขวัญเขวิญมันเสียที่ไหน นางน่าจะยินดีที่บุชิ...ชนชั้นนักรบอย่างข้าสนใจ ข้าอุตส่าห์ลดตัวล้วงสาบชุดยูกะตะเพื่อสัมผัสเนื้อนิ่มของนาง นางน่าจะพอใจด้วยซ้ำ”

“ท่านพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร เราเป็นชนชั้นปกครอง ไฉนมาทำให้ผู้คนหวาดกลัว ขอให้ท่านลุกขึ้นมาขอโทษนางเดี๋ยวนี้ เร็วสิ ไม่อายพวกชาวบ้านร้านถิ่นที่กำลังมุงดูอยู่นี่หรือไร”

ชุนโนะสึเกะลดดาบลง ขยับถอยหนึ่งก้าวเพื่อเปิดทางให้เทะรุโมะโตะลุกขึ้น

“ข้าไม่ขอโทษ!” เทะรุโมะโตะบอกเสียงกร้าว “ไม่เคยมีซามุไรคนไหนขอโทษคนชั้นต่ำกว่าหรอก ท่านจะมาบังคับข้าไม่ได้!” แววตาบ่งบอกความไม่พอใจชัดเจน พลางกัดฟันใช้ดาบยันพื้นลุกขึ้นยืน

“ลูกผู้ชายนักรบ หากทำผิด ต้องกล้ารับผิด” ชุนโนะสึเกะเตือนสติ

“ก็ข้ามิได้ทำผิด บอกแล้วไงว่าข้าทำให้นางเคลิบเคลิ้มยินดีต่างหาก คนอย่างนังพวกนี้ ข้าโยนเศษเบี้ยให้ พวกนางก็วิ่งโร่เข้าไปมอบร่างให้ข้าคลี่ล้วงกิโมโนถึงในคุ้มของข้าแล้ว” เทะรุโมะโตะกล่าววาจาดูถูกพลางบุ้ยปากไปทางสาวน้อยนางหนึ่ง แต่ยังจ้องมองชุนโนะสึเกะอย่างเคียดแค้น “ท่านมะเอะดะ ท่านไม่มีสิทธิ์มาตัดสินหรือบังคับข้า ครั้งนี้ท่านเป็นฝ่ายเริ่มหาเรื่องก่อน แล้วยังทำข้าบาดเจ็บ เรื่องไม่จบแค่นี้แน่ ข้าจะยื่นเรื่องผ่านสภาไดเมียวถึงท่านโชกุน” คนบาดเจ็บพอลุกขึ้นได้ก็เริ่มขู่

“ท่านกรุณาเขียนเนื้อความให้ถูกต้องด้วยแล้วกัน เล่าเรื่องราวตามความเป็นจริง และที่สำคัญ...อย่าใช้ตัวอักษรคันจิ๑๖กับคะนะ๑๗ผิดเหมือนคราวก่อนอีก หรือท่านจะมาหาข้าให้ช่วยแก้คำร้องให้ ข้าก็ยินดีนะ” ชุนโนะสึเกะเก็บดาบเข้าฝัก แต่ยังกุมด้ามดาบแน่น

“หน็อย...ถือว่าเป็นเอกด้านอักษรแล้วมาเย้ยข้าเหรอ” เทะรุโมะโตะเก็บดาบบ้าง ตาที่จ้องมาเผยแววคั่งแค้นเกลียดชัง “เตรียมรับหนังสือจากข้าได้เลย ข้าไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่ายๆ หรอก”

กล่าวจบเทะรุโมะโตะก็กุมแขนจงใจชนไหล่อีกฝ่ายเดินออกไป ขณะที่ชุนโนะสึเกะเบี่ยงตัวเพื่อเดินไปหาหญิงสาวที่นั่งคู้ตัวสั่นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมาเรียนัก หล่อนคงเป็นแม่ค้าซึ่งถูกซามุไรจอมกร่างคนนั้นลวนลาม 

ทันใดนั้นก่อนที่ใครจะคาดคิด เทะรุโมะโตะก็วิ่งกลับมากระแทกชุนโนะสึเกะจากด้านหลังจนล้ม แล้ววิ่งหนีไป ซามุไรผู้กล้าไม่ทันระวังตัวจึงเสียหลักล้ม เซมาชนมาเรียซึ่งทรงตัวไม่ค่อยดีอยู่แล้วยามยืนอยู่บนเกี๊ยะไม้คู่เล็ก หญิงต่างแดนล้มลงในอ้อมกอดของเขา เธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บเพราะด้ามดาบของซามุไรร่างใหญ่กระแทกใต้อกเธออย่างจัง ยกมือกุมบริเวณที่เจ็บด้วยสัญชาตญาณจนมือไปเกี่ยวสายห้อยดาบ

ซามุไรหนุ่มกล่าวขอโทษละล่ำละลัก และพยุงเธอลุกขึ้น

“เจ้า...เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

ซามุไรหนุ่มถามอย่างใส่ใจด้วยเสียงทุ้ม เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็ทันเห็นแววตาห่วงใยของเขา เพียงวูบเดียวเท่านั้น แววตาที่ปรากฏอยู่บนวงหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแปลกใจเมื่อเห็นสีตาของเธอ แต่เขาไม่กล่าวอะไรอีก 

มิโนะก้าวเข้ามาประคองเธอ เขาคงเห็นว่าหญิงต่างชาติอย่างเธอไม่เป็นไรแล้วจึงก้มศีรษะให้เล็กน้อย แล้วหันไปไต่ถามแม่ค้านางนั้นก่อนเดินจากไป

“เจ็บไหมเจ้าคะคุณหนู”

“เจ็บสิ ถามได้ อูย...” เธอลูบใต้อกป้อยๆ “ถ้าเป็นชุดกิโมโนฤดูอื่นจะไม่เจ็บเท่านี้เลย ชุดยูกะตะนี่บางกว่าตั้งหลายชั้น เพิ่งรู้นะว่าด้ามดาบของพวกซามุไรนั้นแข็งมาก”

“แข็งสิเจ้าคะ ทั้งด้ามทั้งปลอกดาบทำจากไม้หุ้มด้วยหนังกระเบนชั้นดี เพราะต้องห่อหุ้มรักษาดาบเหล็กอันคมกริบขนาดนั้น เดี๋ยวถึงบ้านมิโนะขอดูหน่อยนะเจ้าคะ ถ้าฟกช้ำจะได้ทายา โถ...ผิวอ่อนๆ ของคุณหนู...นี่คงเจ็บ” สาวใช้เอ่ยอย่างเป็นห่วง

“โอย...เจ็บจนจุกเลย” หญิงสาวสูดปาก แล้วขยับปากบางเอ่ยเจื้อยแจ้วอย่างตื่นเต้นขณะก้าวเดิน “ดาบซามุไรนี่ช่างคมมากเลยนะ มิโนะเห็นบาดแผลนั่นไหม หูย...ขนลุก เห็นเนื้อขาวๆ กับเลือดสดๆ นั่นแล้ว ต้องรักษาหลายวันแน่เลย แต่คนอะไรยังอุตส่าห์ทนเจ็บกลับมากระแทกอีกได้”

“ซามุไรชั้นต่ำสิเจ้าคะ” มิโนะเหลียวดูซ้ายขวา แล้วกระซิบ “เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลหมด ทำร้ายคนจากด้านหลัง เล่นเอาทีเผลอ”

มาเรียพยักหน้าเห็นด้วย แล้วชะงักเท้าเมื่อปลายนิ้วสัมผัสสิ่งเย็นๆ บางอย่าง คิ้วบางขมวดอย่างสงสัย 

“นี่...มัน...อะไรน่ะ” มาเรียแบมือให้มิโนะดูจี้ทรงกลมคล้ายเหรียญที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงขอบโอบิ๑๘ตั้งแต่เมื่อไร

“ตายจริง เหรียญตราประจำตระกูลค่ะคุณหนู ของท่านมะเอะดะแน่เลย รูปหยินหยางสามอันเหมือนตราขะม่นที่เสื้อท่านเลย”

“แล้วมันมาอยู่ที่ข้าได้ยังไงกัน”

“นั่นสิเจ้าคะ”

มิโนะใช้นิ้วเคาะกะโหลกตัวเอง เหลือบมองขึ้นด้านบนอย่างใช้ความคิด 

“รู้แล้ว!” คนพูดตาโตเมื่อนึกออก “เดาว่า...ท่านคงจะร้อยสายห้อยปลอกดาบแน่เลย ปกติจะมีผ้าพันทับอีกชั้น สงสัยจะหลวมๆ ตั้งแต่ประดาบกันแล้ว พอโดนพุ่งชนล้มเมื่อครู่ คงหลุดติดมาเจ้าค่ะ”

“โอ...นิ้วข้าคงไปเกี่ยวเข้าให้สิ แล้วจะทำยังไงดีล่ะมิโนะ”

“ก็เก็บไว้เป็นของที่ระลึกสิเจ้าคะคุณหนู พวกเราจะเข้าไปหาท่านซามุไรข้างในได้ยังไง ของแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ เดี๋ยวท่านก็สั่งให้คนทำจี้ขึ้นมาใหม่เอง ดีไม่ดีท่านอาจมีหลายอัน ติดประดับดาบทุกเล่มก็ได้ รีบกลับเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวนายผู้ชายท่านจะเป็นห่วง”

มาเรียพยักหน้า ปล่อยให้มิโนะประคองเธอเดิน หญิงสาวรู้สึกอุ่นวาบเมื่อจี้ประจำตระกูลของซามุไรผู้นั้นอยู่ในมือ ราวกับอุปาทาน ใบหน้าของซามุไรหนุ่มที่ส่งสายตามองเธออย่างห่วงใยแวบขึ้นมา แม้เพียงแวบเดียวแต่ติดตาไม่ลืม

เมื่อมาเรียกลับถึงที่พัก เธอแทบรอพี่ชายกลับมาไม่ไหว สาวน้อยเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญให้พี่ชายของเธอฟังอย่างตื่นเต้น มิคาเอลบ่นอิจฉาน้องสาวที่ได้เห็นฉากการประดาบจริงๆ ของซามุไรซึ่งทั้งคู่เคยเห็นแต่ในรูปวาด มาเรียค้นรูปในร้านมาดูและอธิบายอย่างออกรสชาติ ทั้งหยอกล้อและเกทับพี่ชาย เสียงหัวเราะปนเสียงสนทนาของทั้งสองดังลั่นจนบิดาเดินมาใกล้ๆ ก็ยังไม่มีใครรู้ตัว

“ดาบคะทะนะคมมากเลยสินะ คิดว่าฟันทีเดียวขาดสองท่อนได้เลยหรือเปล่า”

“หูย...ที่สุดของที่...”

เสียงหวานขาดหายไป เมื่อคนตอบรู้ตัวว่าเสียงที่ถามไม่ได้ออกมาจากปากพี่ชาย แม้โทนจะคล้ายกันมาก แต่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของใครสักคนที่อาวุโสกว่า และคนคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...

“ปาป้า!” มาเรียอุทานอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นบิดายืนกอดอกมอง

“นี่ไปซนมาขนาดนี้เลยหรือมาเรีย ที่นี่เอะโดะนะ ไม่ใช่นางาซากิ พวกเราจะไปเดินเที่ยวเล่นโน่นนี่เหมือนเดิมไม่ได้ ถึงเราจะมีลูกค้าเป็นคนใหญ่คนโตก็เถอะ แต่เดินทางเข้าไปในเมือง ไปเที่ยวตลาดแบบนั้นมันอันตราย”

“แต่ลูกสวมชุดยูกะตะ เกล้าผมมีผ้าคลุมปิดมิดชิดให้กลมกลืน ไม่มีใครสังเกตหรอกค่ะ”

“สีตาลูกน่ะเด่นแปลกกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ลูกก็รู้ ที่เอะโดะไม่มีหญิงต่างชาติอื่นใดนอกจากคณะเรา พ่อขอร้องและสั่งห้าม ไม่ให้ลูกแอบหนีออกไปในเขตเมืองอย่างนี้อีก ถ้าจะไปต้องไปกับพ่อหรือแม่เท่านั้น ถ้าดื้อไม่ฟัง พ่อจะส่งกลับไปอยู่กับญาติที่นางาซากิไม่ก็ปัตตาเวีย หรือไม่ก็ส่งกลับฮอลันดาไปเลย...ให้ลูกกลับคนเดียวด้วย แล้วจะเรียกมิโนะมาลงโทษ”

 “ขอโทษค่ะปาป้า อย่าลงโทษมิโนะ และอย่าโกรธลูกเลยนะคะ” เธอวิ่งไปเกาะแขนพลางออดอ้อน “นะ...นะ...คราวหน้าคราวหลังลูกจะไม่ไปไหนตามลำพังอีก”

“ดี ไปกับมิคาเอลสองคนก็ไม่ได้ เข้าใจไหม ชาวเอะโดะไม่ชอบคนตะวันตกลูกก็รู้ เขาให้เราอยู่เป็นที่ชั่วคราว เราอยู่แถวๆ นี้ได้ แต่ห้ามเข้าไปเพ่นพ่านในเมือง”

“ค่ะ” มาเรียรับคำเสียงอ่อย

“ลูกขายของที่ร้านก็พบเจอผู้คนอยู่แล้ว ไม่ต้องออกไปผจญภัยข้างนอกหรอกลูก เชื่อพ่อนะ”

บิดาของเธอพูดไว้ไม่ผิดเลย วันหนึ่งๆ เธอพบผู้คนมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นสูงทั้งสิ้น ด้วยสินค้าในร้านคนที่มีการศึกษาเท่านั้นถึงจะใช้สอยและเป็นของนำเข้า แปลกใหม่หาไม่ได้ตามร้านทั่วไป แม้ราคาสูง แต่สินค้าก็เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ชีวิตที่ได้พบและต้อนรับลูกค้ามากหน้าหลายตาก็ไม่ทำให้เธอเบื่อนักหรอก 

 

แล้วชีวิตที่น่าตื่นเต้นจนยากจะลืมเลือนก็คืบคลานมาหาเธอในเช้าวันหนึ่ง วันที่เธออยู่เฝ้าร้านคนเดียว บิดาและมิคาเอลออกไปส่งของที่คุ้มไดเมียวในเมือง ส่วนมารดาติดตามไปตรวจสุขภาพและแนะนำเครื่องสำอาง ทั้งเครื่องหอมชนิดใหม่ให้แก่บรรดาภริยาฝ่ายใน ร้านขายของเล็กๆ แห่งนี้จึงมีโอกาสต้อนรับบุคคลที่เธอไม่คาดคิด

“อิรัสไชมาเสะ”

มาเรียกล่าวต้อนรับเป็นนิสัยตามธรรมเนียมของพ่อค้าแม่ขายชาวญี่ปุ่น เมื่อเห็นโนะเรน๑๙ผ้าม่านที่ติดตรงประตูทางเข้าร้านขยับไหว และเมื่อเห็นแขกผู้นั้นเต็มตาเธอก็เหมือนถูกแช่แข็ง ชายร่างกำยำสวมชุดฮะขะมะสวมทับด้วยเสื้อนอกซามุไร ทรงผมฉ่งมะเงะของเขาขับใบหน้าคมสันสมชายญี่ปุ่นให้เด่นขึ้น 

มะเอะดะ ชุนโนะสึเกะ วีรบุรุษที่เธอเห็นเขาประลองดาบวันนั้นนั่นเอง เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เพียงแค่นี้หัวใจเธอก็เต้นเร็วขึ้น

“ได้ยินว่าที่นี่มีกระดาษกับหมึกชนิดใหม่เข้ามา ช่วยนำมาให้ดูหน่อยได้ไหม”

มาเรียมองปากได้รูปของเขาขยับพร้อมเสียงทุ้มนุ่มสุภาพอย่างเพลิดเพลิน จนเขาโบกมือผ่านตรงหน้าและเรียก เธอจึงรู้ตัว 

“ค...คะ...คะ...ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ”

ซามุไรหนุ่มถอนหายใจยาว “ค่อยยังชั่ว ข้านึกว่าเจ้าไม่เข้าใจภาษาเอะโดะเสียอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าคงต้องเดินกลับออกไป”

“ขอโทษ ข้ามัวแต่นึกอะไรเพลินไปหน่อย ท่านจะรับอะไรนะเจ้าคะ”

“ข้าได้ยินว่าที่นี่มีกระดาษและหมึกชนิดใหม่เข้ามา ได้ข่าวว่ามีหมึกที่ไม่ต้องฝนกับน้ำใช่ไหม”

“อ๋อ เป็นหมึกในขวด ท่านไม่ต้องใช้หมึกแท่งฝนกับน้ำให้เสียเวลาอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ”

“แต่ข้าเคยลองใช้สินค้าคล้ายๆ กันจากเมืองจีน พอใช้ปลายพู่กันจุ่มแล้วเขียน หมึกซึมตัวอักษรแตก ไม่สวยเลย ข้าขอดูสินค้าของเจ้าและขอลองเขียนได้ไหม”

“ได้สิเจ้าคะ กรุณารอสักครู่ ข้าจะไปหยิบของมาให้ท่านลอง”

มาเรียตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูกจนอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ เธออยากให้มิคาเอลอยู่ที่นี่ด้วย น่าสงสาร พี่ชายเธอไม่มีดวงแบบนี้เลยสักครั้ง

ท่าทางซามุไรหนุ่มคงจะจำเธอไม่ได้...ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะวันนี้เธอปล่อยผมยาวและสวมชุดกระโปรงแบบชาวตะวันตกยามอยู่บ้านหรืออยู่ร้าน ชุดกิโมโนเดินเหินลำบากไม่คล่องตัว เธอจึงไม่ชอบสวมใส่ แถมกว่าจะแต่งชุดเสร็จ เธอต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงทุกทีหากไม่มีมิโนะช่วย

มาเรียกระวีกระวาดหยิบสินค้ามาให้เขาลองขีดเขียน เธอมองเขาเพลินที่เห็นเขามีความสุขขณะทดลองใช้สินค้า แม้เธอจะไม่เก่งในการเขียนอักษรญี่ปุ่น แต่ก็พอจะมองออกว่าเขาเป็นคนที่เขียนโชะโด๒๐ซึ่งก็คือการเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันได้สวย จึงเอ่ยชม

“เจ้ารู้จักการเขียนพู่กันแบบโชะโดด้วยรึ”

“ค้าขายเครื่องเขียนก็ต้องรู้ไว้บ้างเจ้าค่ะ” เธอยิ้มกว้าง

“เจ้ามีหมึกแท่งไหม เขียนด้วยหมึกขวดของร้านเจ้านี่สวยใช้ได้ก็จริง แต่ข้าไม่ชิน”

“มีสิเจ้าคะ หมึกแท่งของเราก็ดีไม่แพ้ที่อื่นเช่นกัน ท่านซีโบลด์นายของพ่อข้านำวิทยาการแบบตะวันตกของเราผสมกับสูตรของนายช่างชาวจีนผลิตหมึกสูตรนี้ออกมา ท่านลองดูสิเจ้าคะ ราคาก็ไม่แพง”

ซามุไรหนุ่มยิ้มให้ ขณะหยิบหมึกแท่งและแท่นฝนอันใหม่ที่เธอเตรียมให้ มาเรียมองเขาเทน้ำเปล่าลงเบ้าเพียงเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ฝนแท่งหมึกขึ้นลงช้าๆ อย่างใจเย็น

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมท่านต้องมาเสียเวล่ำเวลาฝนหมึกทั้งๆ ที่มีหมึกน้ำพร้อมใช้ในขวดอยู่แล้ว”

“เจ้าขายสินค้าพวกนี้ก็ควรรู้ไว้ การฝนแท่งหมึกถือเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง เราใช้เวลาฝนมันช้าๆ ทีละนิดๆ เพื่อชำระจิตใจให้สงบก่อนจะเริ่มทำอะไรเมื่อมีสมาธิ งานก็จะออกมาดี นั่นเป็นเหตุผลให้ข้าชอบหมึกแท่ง เพราะเขียนได้งามดั่งใจมากกว่า” เขาขยับมือฝนหมึกอย่างช้าๆ ขณะอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ซามุไรหนุ่มใช้เวลาอยู่ในร้านเธอเกือบชั่วโมง ทดลองสินค้าจนพอใจ แล้วตัดสินใจซื้อหมึกแท่ง พู่กัน และกระดาษไปหลายแผ่น

“ท่านดูมีความสุขกับการจับพู่กันมากกว่าจับดาบนะเจ้าคะ” เธอพูดขณะกำลังห่อสินค้า เมื่อเงยหน้าจึงเห็นเขานิ่วหน้ามองอย่างสงสัย “ข้าเห็นท่านประดาบในตลาดวันก่อนน่ะเจ้าค่ะ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ วางเงินแล้วขยับตัวจะออกไป

“เดี๋ยวเจ้าค่ะ กรุณารอตรงนี้สักครู่ ข้ามีของจะคืนท่าน” มาเรียวิ่งปรู๊ดกลับเข้าไปหลังร้าน เมื่อกลับออกมา เธอกำของอย่างหนึ่งยื่นให้เขา “ท่านคงจำไม่ได้ว่าเราเคยเจอกันแล้ว วันนั้นข้าสวมกิโมโน ต้องขอโทษด้วยที่ข้าเพิ่งนึกได้ วันนั้นท่านถูกซามุไรคู่ปรับชนเซล้มมาทับ แล้วสิ่งนี้ก็หลุดติดอยู่ที่โอบิของข้า เอ้า...ท่านแบมือรับคืนไปสิ”

ซามุไรหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจ เธอจึงแบให้เขาเห็นของในมือ ยิ้มละไม และคิดว่าเขาน่าจะพอใจที่ได้ของคืน ทว่าเธอกลับเห็นเขาตกใจสุดขีดจนหน้าซีดเผือด นอกจากไม่หยิบของจากมือเธอแล้ว เขายังรวบข้าวของที่สั่งซื้อแล้วรีบหมุนตัวผลุนผลันออกจากร้านไปจนโนะเรนหน้าร้านปลิว

“ท่าน...ท่านเจ้าคะ” เธอตะโกนร้องเรียก “เดี๋ยวค่ะ...”

เธอพยายามวิ่งตามไปแต่ขากลับแข็งไม่ยอมขยับ

“อือ...อะ...ออ...รอ...เดี๋ยว...” เธอพยายามเปล่งเสียง แต่มันช่างออกมาอย่างยากเย็นเหลือเกิน รู้สึกร่างหนักอึ้งราวกับโดนอะไรทับ เธอพยายามบิดตัวโดยแรง แล้วในที่สุดก็หลุดพ้นจากสิ่งนั้นได้

หญิงสาวลืมตาโพลงในความมืด ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน

ฝัน...เธอฝันอีกแล้ว หลังจากไม่ฝันเกี่ยวกับญี่ปุ่นมานานมากแล้ว คราวนี้เธอฝันถึงเหตุการณ์ย้อนอดีตไปไกลมากทีเดียว ผู้คนแต่งกายประหลาด แถมเธอก็เข้าใจภาษาญี่ปุ่นยุคเก่านั้นอีก ถ้าเล่าให้มาร์กุสฟังว่าเธอพูดภาษาของภรรยาเขาได้ พี่ชายเธอคงขำตาย ภาษาญี่ปุ่นสมัยอะไรนะ...เอะดะ อืม...ไม่ใช่มั้ง เอะ...เอะโดะ ถ้าเธอจำไม่ผิด ในฝันเธอได้ยินคำนั้น ‘เอะโดะ’ นี่มันยุคไหนกัน เธอไม่ใคร่สนใจประวัติศาสตร์ของชาติไหนเสียด้วย

มาร์เซียค่อยๆ ปรับสายตาให้ชินกับความมืด จากนั้นเปิดไฟที่หัวเตียง ดูนาฬิกาแล้วก็ต้องถอนหายใจ...อีกหลายชั่วโมงกว่าจะเช้า หญิงสาวตัดสินใจลงจากเตียงเดินไปห้องน้ำ 

หลังเสร็จธุระหญิงสาวหมุนก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้า วักน้ำเย็นที่ไหลจากก๊อกขึ้นลูบหน้าสองสามทีเพื่อล้างหน้าล้างตาและล้างความมึนงงออกให้หมด แล้วมองใบหน้าตัวเองที่ฉายบนกระจก...ไม่มีส่วนไหนเหมือนกับใบหน้าของหญิงสาวในฝันเลยสักนิด ผู้หญิงในฝันที่ชื่อมาเรียแม้ไม่เหมือนกับเธอ แต่กลับรู้สึกราวกับว่าเธอคือผู้หญิงคนนั้น

ซามุไรผู้นั้นเธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่สังหรณ์ลึกๆ ว่าเขาคือ ‘ใคร’

ไม่มีอะไรในฝันที่เธอเคยเห็น รู้จัก หรือเคยสัมผัสมาก่อน ยกเว้นสิ่งเดียวเท่านั้นคือ จี้โบราณ ที่เธอเขวี้ยงทิ้งไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง

“ประสาท คงคิดเรื่องจี้มากจนเก็บมาฝันเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้” มาร์เซียสรุปกับตนเอง พลางถอนหายใจ   “ประหลาดจัง นอกจากจี้แล้ว ในฝันยังเหมือนกันอยู่อีกอย่าง ผู้ชายสองคนนี้ไม่อยากได้ของคืน คนหนึ่งหน้าซีดแถมปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ใช่ อีกคนยิ่งแล้วใหญ่ วิ่งหนีไปเลย พวกผู้ชายญี่ปุ่นนี่เขาเป็นอะไรของเขากันนะ ของของตัวเองแท้ๆ ไม่อยากได้คืนหรือไง แปลกจัง...เฮ้อ...ปวดหมอง”

มาร์เซียทอดถอนใจ ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ 

“ทำไมต้องมาฝันประหลาดๆ ย้อนยุคแบบนี้ด้วยนะ โอ๊ย...ฉันจะเป็นบ้าไหมเนี่ย” เธอพึมพำคนเดียวอย่างหัวเสีย “ช่างหัวใคร...มันปะไร พรุ่งนี้มีงานต้องทำอีกเยอะ กลับไปนอนต่อดีกว่า”

หญิงสาวหยิบผ้าขนหนูผืนนุ่มซับหยดน้ำบนใบหน้าจนแห้ง เดินกลับไปที่เตียง ปิดไฟ แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนฟูกนุ่ม ลืมตามองเพดาน ครุ่นคิดว่าเธอจะเล่าฝันประหลาดนี้ให้ใครฟังดี ไม่เล่าก็ไม่ได้ มันค้างคาใจเหลือเกิน คนที่เธอควรคุยด้วยต้องเป็นคนญี่ปุ่น

โคสึเกะ...หึ! ไม่เอาเด็ดขาด เดี๋ยวเขาหาว่าเธอเพ้อ ฝันเฟื่อง ประสาทเสื่อมอีก

ญศกา...ใช่แล้ว พี่สะใภ้อาจช่วยเธอได้ แต่หล่อนไม่อยู่เซาเปาลูตอนนี้นี่ จะให้รอก็อดใจรอไม่ไหวเสียด้วย

ใครดีน้า...มาเรียนอนกอดอก เอานิ้วเคาะแขน กัดริมฝีปากครุ่นคิด

คุณย่า! 

บิงโก! 

ใช่แล้ว ท่านเป็นคนที่อยู่ประเทศญี่ปุ่นนานกว่าใครทั้งหมด ย่อมต้องรู้ประวัติศาสตร์ยุคนั้นแน่ คำถามที่เธออยากถามที่สุดคือจี้ตราประจำตระกูลมีความหมายอะไร และทำไมผู้ชายญี่ปุ่นเห็นจี้ตราประจำตระกูลตัวเองถึงต้องตกใจหน้าซีด ปฏิเสธ

มาร์เซียยิ้มออกเมื่อไขปริศนาในใจได้สำเร็จ และพรุ่งนี้เธอจะขอร้องให้คุณย่าช่วยไขปริศนาในฝันให้เธอ

หญิงสาวกลิ้งตัวไปคว้าหมอนข้างมากอด และหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น