3

บทที่ ๓


บทที่ ๓

 

ไอ้ลี! แกฟังฉันอยู่หรือเปล่า!”

เสียงตะโกนแหลมปรี๊ดทำให้ปณาลีต้องรีบดึงโทรศัพท์มือถือออกห่างจากหูโดยอัตโนมัติ

“ทำไมกลับไปบ้านถึงไม่ยอมบอกฉัน ฉันจะได้ไปเป็นเพื่อน!”

“แกอย่าอารมณ์เสียนักเลยน่า ฉันแค่แวะกลับมาเอาพวกสมุดสเก็ตช์กับเสื้อผ้านิดหน่อยเอง ไม่อยากรบกวนแก อีกอย่างนะ อยู่บ้านแกมาทั้งอาทิตย์แล้ว จะให้ยืมแต่เสื้อแกใส่ก็ไม่ค่อยสบายตัว ฉันอ้วนกว่าแกนะจอม” หญิงสาวพูดพลางหยิบเสื้อยืดจากตู้เสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่าใส่ลงไปในเป้ใบโตที่มีสมุดสเก็ตช์ภาพสามเล่มบรรจุไว้อยู่ก่อนแล้ว

“น้อยๆ หน่อย แกผอมกว่าฉันเยอะย่ะ ไอ้ที่อ้วนน่ะอ้วนเฉพาะส่วน โดยเฉพาะไอ้อกปอดบวมของแกต่างหาก” จอมใจแหวเข้าให้ “ฉันโกรธแกจริงๆ นะ ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลย มืดค่ำป่านนี้แล้วกลับไปที่บ้านนั้นคนเดียวได้ยังไง ถ้าเจ้าของปืนกระบอกนั้นย้อนกลับมาฆ่าแกปิดปากจะทำยังไงกันเล่า”

“เบาๆ สิจอม เดี๋ยวใครก็ได้ยินเข้าหรอก เราตกลงกันแล้วนี่ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ แม้แต่เจน...”

ดวงตาคู่งามมองผ่านหน้าต่างออกไปยังท้องฟ้าขมุกขมัวด้านนอกด้วยความรู้สึกกังวลอยู่ลึกๆ ถ้าไม่มีปืนกระบอกนั้นเป็นหลักฐาน เธอคงทำใจให้เชื่อไม่ลงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อนเป็นเรื่องจริง

“ฉันรู้...” จอมใจนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “แต่ฉันไม่สบายใจจริงๆ นะลี ฉันคิดว่าเรื่องมันไม่น่าจะจบง่ายๆ แค่นี้หรอก เจ้าของปืนนั่นฆ่าคนตายเป็นเบือ เผลอๆ ตอนนี้เขาอาจจะกำลังหาทางฆ่าแกปิดปากอยู่ก็ได้นะ บางที...เราน่าจะทำอย่างที่แกบอก ไปหาตำรวจแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ตำรวจฟัง เรามีปืนเป็นหลักฐานนี่ ตำรวจน่าจะช่วยคุ้มครองแกได้”

“จะจับฉันฐานสมรู้ร่วมคิดละไม่ว่า ฉันเก็บปืนกระบอกนี้ไว้ตั้งหนึ่งอาทิตย์ จู่ๆ ก็โผล่ไปหาตำรวจ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไง เขาจะได้หาว่าฉันตั้งใจซ่อนหลักฐานเพื่อช่วยฆาตกรน่ะสิ”

นั่นเป็นเพียงข้ออ้าง ที่จริงแล้วเธอไม่อยากให้คนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ต้องเดือดร้อนต่างหาก รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นฆาตกร แต่เธอกลับเป็นห่วงเขามากเสียจนประหลาดใจตนเอง

“ก็อธิบายไปสิว่าแกกลัวมาก ต้องตั้งสติอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้ามาแจ้งความ แต่งเรื่องเศร้าเล่าความเท็จอะไรก็ได้อย่างที่แกทำเป็นประจำตอนขายของนั่นแหละ งานถนัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

“นี่แกชมหรือหลอกด่าฉันกันแน่ยะ” ปณาลีกลอกตามองเพดาน จะเถียงก็เถียงไม่ออกเพราะที่เพื่อนพูดมานั้นถูกต้องทุกประการ บรรดาหนุ่มๆ ที่หลวมตัวซื้อเสื้อผ้าของเธอไม่ใช่เพียงเพราะถูกใจสินค้า แต่เป็นเพราะหลงคารมและลูกล่อลูกชนของเธอด้วยส่วนหนึ่งนั่นละ “เออ พูดถึงขายของ...ยอดขายตกไปเกือบครึ่ง สงสัยอาทิตย์หน้าฉันต้องไปขายเองบ้างแล้ว ขืนปล่อยให้เจนกับก้องโซโลกันตามใจแบบนี้ ฉันต้องไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าร้านแน่”

“อย่ามาเฉไฉเปลี่ยนเรื่องนะยะ” จอมใจดักคออย่างรู้ทัน “ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”

“อย่าโหดนักเลยน่า คุณเพื่อนจ๋า”

ปณาลีลากเสียงยาวจนคนฟังต้องทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอตอบกลับมาทันควัน

“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานเลยไอ้ลี ลูกอ้อนจ๊ะจ๋าของแกใช้ได้ผลกับไอ้เจนคนเดียวนั่นละย่ะ”

“เอาไว้ค่อยว่ากันตอนฉันกลับไปที่บ้านแกเถอะ” ปณาลีหัวเราะแกนๆ “ขืนคุยกันอยู่อย่างนี้กว่าฉันจะเก็บของเสร็จ ฝนก็คงตกก่อนพอดี”

เสียงครืนๆ และกลุ่มเมฆดำทะมึนที่คล้อยลงต่ำคล้ายถูกถ่วงด้วยน้ำหนักของน้ำฝนปริมาณมหาศาลบ่งชัดว่าอีกไม่นานคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเป็นแน่

“แกก็เลี่ยงบาลีแบบนี้ทั้งปี” จอมใจมักชอบใช้ศัพท์แสงของคนแก่อยู่เสมอจนเป็นที่ล้อเลียนของเพื่อนฝูง แต่เจ้าตัวหาใส่ใจไม่ “เอาเป็นว่ารีบกลับมาก็แล้วกัน ฉันไม่อยากให้แกอยู่ที่นั่นนาน เดี๋ยวก็มีเรื่องอีก”

“ไม่มีหรอกน่า ยังไม่มีใครกลับมาเลยสักคน คุณป้าคงยังอยู่ที่ร้าน พี่หวันก็คงรถติดอยู่ที่ไหนสักที่มั้ง ส่วนคุณลุงก็น่าจะ...”

“น่าจะเมาอยู่ที่ไหนสักที่” คนปลายสายต่อประโยคให้เสร็จสรรพ “ที่ฉันไม่อยากให้แกกลับไปที่บ้านคนเดียวก็เพราะห่วงเรื่องคนหลังสุดนี่แหละ ถ้ามันเมาแล้วทำเรื่องบ้าๆ กับแกอีกจะทำยังไงลี”

“ฉันดูแลตัวเองได้ แกไม่ต้องห่วงไปหรอก” หญิงสาวมองไปยังกระเป๋าถือที่วางอยู่บนเตียงนอนแวบหนึ่ง หากจอมใจรู้ว่าเธอหอบหิ้วหลักฐานที่ควรส่งให้ตำรวจติดตัวมาด้วยละก็ต้องสติแตกแน่ “เอาเป็นว่าฉันจะรีบเก็บของแล้วหอบสังขารกลับไปให้แกบ่นก่อนสามทุ่มก็แล้วกัน”

ปณาลีกดตัดสายโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายทักท้วง เธอเหลือบมองนาฬิกาติดผนังเรือนเก่าที่ชี้บอกเวลาทุ่มครึ่งเศษแล้วรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าอีกสองสามชุดในตู้ยัดใส่เข้าไปในกระเป๋า จากนั้นจึงรีบรูดซิปปิดอย่างรวดเร็วโดยไม่อาลัยอาวรณ์ต่อข้าวของที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในห้องเท่าใดนัก

ว่ากันตามจริงแล้ว...เธอแทบไม่รู้สึกผูกพันกับสิ่งใดในบ้านหลังนี้สักนิด ไม่ว่าจะเป็นข้าวของหรือผู้คน สำหรับเธอ...บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความทรงจำอันขมขื่นมากมายเสียจนอยากจะหนีไปเสียพ้นๆ โดยเร็วที่สุด นับตั้งแต่วินาทีที่ก้าวผ่านรั้วไม้เตี้ยๆ ที่กำลังผุไม่ผุแหล่นั้นเข้ามา ชีวิตในขุมนรกก็เริ่มต้นขึ้น

แต่การต้องอยู่ในขุมนรกก็ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นและเรียนรู้วิธีเอาตัวรอด...

หญิงสาวเดินตรงไปยังโต๊ะหนังสือตัวเก่าที่ตั้งอยู่มุมห้อง แล้วล้วงมือเข้าไปหยิบอัลบัมรูปที่ซ่อนอยู่ด้านหลังโต๊ะฝั่งที่ติดกับผนังห้องออกมา นึกโล่งใจนักที่ดารณีกับดาหวันซึ่งชอบแอบมารื้อค้นข้าวของในห้องนอนของเธอบ่อยๆ ไม่พบสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ของเธอเข้า...สมบัติเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เธอกล้ำกลืนผ่านคืนวันอันแสนทุกข์ทรมานในขุมนรกที่เรียกว่า ‘บ้าน’ แห่งนี้มาได้

พ่อจ๋า...แม่จ๋า...

มือเรียวพลิกเปิดอัลบัมรูป ในขณะที่ดวงตาคู่งามหลุบลงมองภาพด้านในด้วยความรู้สึกคล้ายมีก้อนแข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย...รูปที่เรียงรายอยู่ในแต่ละหน้าอัดแน่นไปด้วยความทรงจำครั้งสมาชิกในครอบครัวยังอยู่กันพร้อมหน้าเอาไว้ เธอยังคงจดจำไออุ่นจากบิดาและกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มจากเสื้อผ้าของมารดาได้อย่างแม่นยำ จำได้กระทั่งเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยและบทสนทนาสัพเพเหระราวกับสิ่งเหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

หากรู้อนาคตล่วงหน้า...เธอคงจะกอดพวกท่านให้แน่นกว่านี้...

หากรู้ว่าจะไม่ได้พูดคุยกันอีก เธอคงนอนพูดคุยกับพวกท่านทั้งวันทั้งคืน...

เธอคงกินอาหารที่แม่ทำโดยไม่บ่นว่าทำไมต้องบังคับให้เธอกินผักเยอะๆ...

คงไม่เถียงพ่อด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องจนต้องงอนกันข้ามวันข้ามคืน...

แต่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดล่วงรู้พระประสงค์ขององค์เทพผู้ลิขิตอนาคต จึงมักเสียใจต่อวันเวลาและโอกาสที่ล่วงเลยผ่านเสมอ...ปณาลีก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เธอเคยคร่ำครวญ ร่ำไห้โทษฟ้า โทษเทวดาและชะตาชีวิต ก่อนจะรู้ในเวลาต่อมาว่าช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี สิ่งที่ควรทำก็คือใช้ทุกวินาทีของชีวิตให้คุ้มค่าจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลังอีก เหมือนที่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะออกจากบ้านหลังนี้ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ได้...

โครม!

เสียงบางอย่างกระแทกกับพื้นในห้องรับแขกชั้นล่างทำเอาปณาลีสะดุ้งสุดตัว เธอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาติดฝาผนังอีกครั้ง แล้วรีบกระโจนไปหยิบกระเป๋าเป้อย่างรีบร้อน

ไม่จริงน่า...ทำไมธำรงถึงกลับมาเร็วนัก ปกติเขาต้องนั่งก๊งเหล้ากับพรรคพวกจนถึงสี่ทุ่มทุกคืนไม่ใช่หรือ

หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงจนแทบโลดออกมานอกอก เธอจำเสียงโครมครามที่ดังมาจากชั้นล่างได้อย่างแม่นยำ...เสียงยามธำรงเมาแอ๋กลับมาจากร้านเหล้าหน้าปากทาง แล้วชนข้าวของในบ้านจนล้มระเนระนาด เธอรู้ดีว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขาจะเดินโซซัดโซเซขึ้นมาบนชั้นสองแล้วทุบประตูห้องนอนของเธอเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร้องบอกให้เปิดประตู

ความทรงจำอันน่าสะอิดสะเอียนยามผู้เป็นลุงพยายามแตะเนื้อต้องตัวเธอนั้นยังประทับอยู่ในสมอง ราวเนื้องอกร้ายที่นอกจากจะรักษาไม่หายแล้ว ยังขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน จนสุดท้ายก็กลายเป็นความเกลียดชังอันไม่มีวันเยียวยาได้ เธอยังจำได้ว่าทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกำปั้นกระทบบานประตูไม้ เธอต้องกระโจนไปซุกอยู่มุมห้อง กอดตนเองเอาไว้แน่นแล้วซบหน้าแนบเข่า รอคอยนานนับชั่วโมงให้เขาหมดแรงไปเองหรือไม่ก็ถูกดารณีลากกลับห้องอย่างโกรธเกรี้ยว

เรื่องที่ดารณีเกลียดเธอไม่ใช่ความลับของจักรวาลแต่อย่างใด เพื่อนบ้านในละแวกนี้ต่างก็รู้ดี พวกเขาพากันมองเธอด้วยสายตาสมเพชเวทนาทุกครั้งที่ได้ยินคนเป็นป้าเรียกหลานแท้ๆ ว่า ‘นังเด็กกาฝาก’ แต่ไม่เคยมีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจริงจังแม้แต่รายเดียว มิหนำซ้ำบางครายังนินทาผสมโรงไปกับดารณีเรื่องที่เธอ ‘ให้ท่า’ ธำรง ทั้งที่ไม่มีมูลสักนิด อย่าว่าแต่จะเข้าใกล้คนขี้เมาพรรค์นั้นเลย แค่ต้องใช้อากาศหายใจร่วมกันเธอยังรังเกียจเสียด้วยซ้ำไป

เธอขยะแขยง...สายตาโลมเลียมของธำรง...

เขาเริ่มมองเธอด้วยสายตาชนิดนั้นเมื่อเธอมีอายุได้เพียงสิบสามปี เป็นช่วงที่ร่างกายของเธอเริ่มเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กเข้าสู่วัยสาว ณ ตอนนั้นเธอยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจแววตาวับวาวแปลกๆ ของธำรงได้ ประกอบกับมัวแต่ดีใจประสาเด็กๆ ที่ตนเองสูงพรวดขึ้นมาเกือบสิบเซนติเมตรในระยะเวลาเพียงหกเดือน จนกระทั่งเขาเริ่มสัมผัสเนื้อตัวของเธออย่างจาบจ้วงนั่นละ เธอถึงเริ่มตระหนักว่าเขาคือภัยคุกคามที่อันตรายเสียยิ่งกว่าดารณีกับดาหวันเสียอีก!

คิดถึงตรงนี้ปณาลีก็ตัดสินใจเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกมองด้านล่าง ก่อนจะกลืนน้ำลายเอื๊อก...สูงเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ แถมยังมืดจนเห็นไม่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเหยียบพลาดขึ้นมาก็อาจตกลงไปคอหักเอาได้ง่ายๆ...แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับธำรงตามลำพังนั่นละน่า! เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หญิงสาวจึงคว้าย่ามคู่ใจและเป้ขึ้นสะพายหลัง แล้วปีนขึ้นไปนั่งบนกรอบหน้าต่างอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ยังไม่ทันยื่นขาออกไปแตะขอบบัวด้านนอก เป้ที่อัดแน่นไปด้วยสัมภาระก็ปัดไปถูกกล่องเหล็กที่บรรจุพวกเครื่องเขียนตกลงกระแทกพื้นดังตึง

“ลี? นั่นแกใช่ไหม”

เสียงพูดอ้อแอ้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆ ย่ำขั้นบันไดตรงขึ้นมาชั้นบน ปณาลีหน้าเสีย ให้ตาย...เธอไม่ได้ล็อกประตูห้อง!

“นั่นแก...ทำอะไรของแก...”

ประตูห้องนอนถูกดันเปิดออกในขณะเดียวกับที่ร่างของชายวัยกลางคนแทรกเข้ามาอย่างรีบร้อน กลิ่นเหล้าลอยคละคลุ้งรอบกายผู้มาใหม่ทำเอาหญิงสาวรู้สึกอยากอาเจียนออกมาเสียเดี๋ยวนั้น...ภาพความทรงจำเลวร้ายในอดีตยังคงแจ่มชัดอยู่ในห้วงความคิดเสียจนแทบทนมองหน้าเขาไม่ได้ ธำรงยังคงดูน่ารังเกียจเหมือนเคย แม้เขาจะมีโครงหน้าที่พอมองออกว่าครั้งหนึ่งน่าจะเคยหล่อเหลาไม่น้อย แต่ฤทธิ์ร้ายของสุราก็ทำให้ใบหน้าของเขาบวมฉุจนดูเหมือนลูกบอลหนังที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นของกาลเวลา ร่างของเขาสูงใหญ่ แต่มีช่วงไหล่งองุ้มจึงดูไม่สง่างามอย่างที่ควรเป็นเท่าใดนัก เสื้อผ้าหรือก็ยับย่นและมีคราบสกปรกเป็นดวงๆ ไม่น่ามองเลยสักนิด

“มันเรื่องของหนู” ปณาลีเม้มริมฝีปากแน่น เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่บนขอบหน้าต่าง ลังเลว่าจะกระโดดลงไปทั้งอย่างนี้ดีหรือ...หยิบ ‘ของ’ ที่อยู่ในย่ามออกมาจัดการเขาดี

“อย่ามาทำปากดีในบ้านฉัน นังตัวดี” ธำรงหรี่ตามองสาวน้อยตรงหน้าด้วยแววตาลุกวาว “เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งมากใช่ไหม หายหัวไปเป็นอาทิตย์ไม่บอกไม่กล่าว เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง”

ไม่พูดเปล่า ผู้สูงวัยกว่ายังปราดเข้าไปคว้าต้นแขนของหญิงสาวแล้วกระชากเต็มแรง เดชะบุญว่ามือของเธอยึดกรอบหน้าต่างไว้แน่น จึงมีเพียงเป้สัมภาระเท่านั้นที่ร่วงหล่นจากไหล่ลงไปกองอยู่บนพื้นห้อง

“อย่ามาแตะนะ!” ปณาลีผวา สะบัดตัวดิ้นรนด้วยความรังเกียจเป็นที่สุด เธอยังไม่ลืม และไม่มีวันลืมสิ่งเลวร้ายที่เขาพยายามยัดเยียดให้เกิดขึ้นกับเธอไปจนตลอดชีวิต!

“ทำไม! แกคิดว่าเนื้อตัวแกเลี่ยมทองหรือไงวะนังลี ฉันถึงจับไม่ได้ หา!”

ธำรงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางคว้าไหล่ของหญิงสาวเอาไว้ แล้วกระชากเต็มแรงจนเธอหงายหลังร่วงลงมาจากกรอบหน้าต่าง แผ่นหลังกระแทกพื้นโครมใหญ่ทำเอาเธอรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งตัว เธอพยายามหยัดกายขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่ผู้เป็นลุงก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดลอย เขากระโจนขึ้นคร่อมร่างบางระหงเอาไว้แล้วกดข้อมือทั้งสองข้างของเธอแนบไปกับพื้น

“อย่า!” ปณาลีกรีดร้อง กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ผสมกับกลิ่นเหงื่อไคลจากคนที่อยู่เหนือร่างกระตุ้นภาพความทรงจำเลวร้ายเมื่อครั้งอายุสิบห้าปีให้ลอยฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง...ภาพที่ธำรงขึ้นคร่อมเหนือร่างเธออยู่แบบนี้และพยายามทำเรื่องต่ำช้าอย่างไร้ยางอายเป็นที่สุด

“อย่าทำเป็นสะดีดสะดิ้งไปหน่อยเลย น่าจะเคยๆ มาบ้างแล้วไม่ใช่หรือไง” ธำรงใช้น้ำหนักตัวโถมเข้ากดร่างของหญิงสาวเอาไว้จนกระดิกกระเดี้ยแทบไม่ได้ ดวงตาหลุบมองทรวงอกอิ่มใต้เสื้อยืดเนื้อบางที่สะท้อนขึ้นลงแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหาย “ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะแต่งตัวล่อตะเข้แบบแกไปขายของกันเล่า อยาก ‘โดน’ นักก็บอกกันดีๆ ก็ได้ แกแค่เสนอ ฉันก็พร้อมสนองอยู่แล้ว”

“โดนแบบนี้ใช่ไหม!”

ปณาลีดิ้นพราด เธอรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกระแทกเข่าใส่ท้องของธำรงจนเขาร้องโอ๊ก แล้วฉวยโอกาสที่เขากำลังจุกอยู่นั้นผลักเขาเต็มแรงจนล้มกลิ้ง จากนั้นจึงกระโจนพรวดออกไปทางประตูอย่างไม่คิดชีวิต

“นังตัวดี!” ธำรงคำรามลอดไรฟัน จุกจนแทบลุกไม่ขึ้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังวิ่งโซซัดโซเซไล่ตามหญิงสาวที่หนีลงบันไดไปด้วยความเร็วเทียมกัน ความเจ็บปวดทำให้สร่างเมาและเติมเชื้อไฟให้แก่ความโกรธเกรี้ยวที่คุกรุ่นอยู่ในใจเขามากขึ้นไปอีก...ปณาลีคือเด็กกาฝากที่เขาสู้อุตส่าห์ยอมรับเลี้ยงไว้ทั้งที่ชังน้ำหน้าพ่อแม่ของมันเต็มทน นับว่ามีบุญคุณกับนังเด็กคนนี้ล้นหัว ดังนั้นเขามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรกับมันก็ได้ไม่ใช่หรือ “แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ!”

“โอ๊ย!”

หญิงสาวถูกคนที่วิ่งตามมาติดๆ กระชากเรือนผมยาวสยายจนหน้าหงายก่อนจะก้าวพ้นประตูบ้านออกไปข้างนอกเพียงก้าวเดียว เพียงครู่ฝ่ามือหยาบกร้านของธำรงก็ฟาดลงมาบนใบหน้าสุดแรงจนเธอทรุดลงไปกองกับพื้น รสเลือดคาวปร่าในโพรงปากทำเอาหญิงสาวตัวสั่นงันงก เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นลุงด้วยแววตาเต้นระริก

เหตุการณ์เลวร้ายเช่นในอดีตกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งแล้วหรือ...

ไม่! ไม่! ไม่!

ความหวาดกลัวสั่งให้มือของปณาลีล้วงลงไปในย่ามโดยอัตโนมัติ วัตถุเย็นเฉียบที่สัมผัสกับปลายนิ้วพาให้หัวใจของเธอพลอยหนาวเหน็บไปด้วย ถ้าเขากล้าแตะต้องเธออีก เธอจะ...เธอจะ...

“ยิงสิ รออะไรอยู่เล่า”

เงาร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังของธำรงพร้อมกับเสียงฟ้าร้องครืนคราง ปณาลีเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อแสงจากฟ้าที่กำลังแลบแปลบปลาบด้านนอกหน้าต่างส่องให้เห็นเสี้ยวหน้าคมคายของอาคันตุกะแปลกหน้าอย่างเลือนราง ทว่า...ชัดเจนในความทรงจำยิ่ง โครงหน้าแบบนี้...เส้นผมหยักศกยาวประบ่าเช่นนี้...เขาคือผู้ชายที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้คืนนั้น!

แล้ว...เขามาทำอะไรที่นี่กันเล่า หรือ...หรือว่า...เขาคิดจะตามมา ‘เก็บ’ เธออย่างที่จอมใจบอกจริงๆ!

“แก...แกเป็นใคร แล้วเข้า...เข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง...” ธำรงพูดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่อถูกมือใหญ่โตและแข็งแรงปานคีมเหล็กของอีกฝ่ายตะปบเข้าที่คอแล้วดันร่างไปจนกระแทกผนังดังโครม ดวงตาของชายวัยกลางคนเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวขณะดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด “แก...แก...อ๊อก!”

ท่าทางทุรนทุรายและเสียงที่เกิดจากการสำลักน้ำลายของคนตรงหน้าไม่ได้ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะเห็นแววสั่นไหวในดวงตาเสียด้วยซ้ำ มีเพียงความว่างเปล่าและมืดดำจนน่าขนลุกเท่านั้น

“ว่าไง จะยิงหรือไม่ยิง” เขาผินหน้ากลับมามองปณาลีครู่หนึ่ง ก่อนจะกดนิ้วลงบนคอของธำรงแน่นเข้าจนเจ้าตัวหายใจไม่ออกแทบหมดสติไปเสียเดี๋ยวนั้น

“ฉัน...ฉัน...ไม่...”

มือของปณาลีสั่น...อย่าว่าแต่จะยิงเลย แค่ปลายนิ้วแตะด้ามปืนอยู่แบบนี้เธอก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

“ตามใจ”

ชายหนุ่มเหวี่ยงร่างของธำรงไปบนโต๊ะรับแขกที่ตั้งอยู่กลางห้อง แรงกระแทกอันรุนแรงทำให้โต๊ะไม้นั้นหักเป็นชิ้นๆ ในทันที ส่วนคนถูกโยนนั้นจุกจนร้องไม่ออก ได้แต่นอนบิดตัวอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด

ปณาลีตกใจจนนั่งตัวแข็งทื่อ ยิ่งเห็นว่าอาคันตุกะนิรนามเดินตรงดิ่งมาหาตนด้วยสีหน้าถมึงทึงเหมือนรูปปั้นยักษ์ในวิหาร หัวใจที่เต้นรัวเร็วจนแทบกระดอนออกมานอกอกในคราแรกก็แทบจะหยุดเต้นไปเสียเดี๋ยวนั้น ดวงตาคู่งามสั่นระริกยามที่เห็นฝ่ามือใหญ่โตของเขายื่นมาเบื้องหน้าในขณะที่เลือดในกายแตะจุดเยือกแข็งจนเย็นเฉียบ

เขา...เขาจะฆ่าปิดปากเธอจริงๆ ใช่ไหม

“มาเถอะ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาทรงอำนาจเสียจนปณาลีสั่นสะท้านไปทั้งกาย เธอเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับดวงตาสีเขียวเข้มราวอัญมณีน้ำงามของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำในสิ่งที่บ้าที่สุดในชีวิต...วางมือลงบนฝ่ามือของเขา แล้วปล่อยให้เขาฉุดเธอให้ลุกออกเดินไปยังมอเตอร์ไซค์คันโตที่จอดอยู่นอกรั้วบ้าน

รู้...ว่าการตอบรับคำเชิญของเขาไม่ต่างอะไรกับการตอบรับคำเชิญของมัจจุราช

รู้...ว่าเขาอาจพาเธอไปฆ่าหั่นศพที่ไหนสักที่ก็ได้

และรู้...ว่าต่อจากนี้ชีวิตของเธอจะไม่มีวันเหมือนเดิม...อีกต่อไป...

 

มอเตอร์ไซค์ยามาฮ่าเอ็มที-๑๐ สีดำสนิทแล่นฝ่าสายฝนที่กระหน่ำลงมาไม่ขาดเม็ดจนถึงซอยแคบๆ ในย่านสุขุมวิท ด้วยความเร็วสูงเสียจนปณาลีที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังเผลอกอดเอวสอบเพรียวของคนขับแน่นด้วยความหวาดกลัว รูปทรงของรถสองล้อคันใหญ่โตราวอาชาเหล็กนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อขับขี่ผาดโผนเพียงลำพังทำให้เบาะด้านหลังไม่เหมาะสำหรับการมีผู้โดยสารเท่าใดนัก หญิงสาวจึงจำใจต้องเบียดเนื้อตัวจนแนบไปกับกายแกร่งของคนข้างหน้าจนแทบหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน

‘นี่เรา...กำลังทำอะไรอยู่...’

หญิงสาวถามตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดระยะเวลาเกือบสี่สิบนาทีที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มากับชายแปลกหน้า สายฝนที่กระทบผิวกายจนเปียกปอนไปทั้งตัวนั้น ยังไม่ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเท่ากับความคิดที่ว่าคนที่เธอยึดเขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่มีคนนี้อาจจะสังหารเธอทิ้งได้ทุกเมื่อ

“ลงไป”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบผ่านหมวกกันน็อกที่สวมอยู่ขณะจอดเทียบที่หน้าอาคารซอมซ่อขนาดสามชั้นซึ่งตั้งอยู่สุดซอย

“คะ?”

ปณาลีกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง เธอไม่ได้สวมหมวกกันน็อก จึงเห็นว่าอาคารเบื้องหน้าเป็นร้านเช่าหนังที่มีเหลืออยู่น้อยเต็มทน ป้ายไฟสีเหลืองเหนือประตูทางเข้าร้านนั้นติดๆ ดับๆ ประกอบกับซอยแห่งนี้ค่อนข้างเปลี่ยวจึงทำให้บรรยากาศรอบกายดูวังเวงอย่างที่สุด

“ลงไป”

ชายหนุ่มเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงที่ติดจะหงุดหงิดนิดๆ เขาดับเครื่องแล้วแกะมือของหญิงสาวออกจากเอวตนเองด้วยท่าทางคล้ายรำคาญเต็มทน เธอจึงค่อยๆ ปีนลงจากรถอย่างเงอะงะ

“เข้าไป”

ยังไม่ทันที่เท้าจะแตะพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนดี เขาก็ชี้ไปยังประตูพร้อมออกคำสั่งอีกคำรบ ปณาลีสังเกตได้เดี๋ยวนั้นเองว่าเขาพูดน้อยมาก แม้จะสั้นได้ใจความ ทว่าห้วนมากเสียจนเธออดตกประหม่าแกมพรั่นพรึงไม่ได้ เธออ่านอารมณ์เขาผ่านกระจกหมวกกันน็อกไม่ได้เลยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงได้แต่ยืนละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจำใจเดินเข้าไปในร้านเช่าหนังอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากกายใหญ่โตของเขา

ดูเหมือนเขาคุ้นชินกับการออกคำสั่งสินะ...

ปณาลียืนนิ่งอยู่กลางร้านด้วยความรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ในยุคที่ร้านเช่าภาพยนตร์ต่างพากันทยอยปิดตัวลงเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ไฉนร้านเก่าซอมซ่อที่ตั้งอยู่สุดซอยเปลี่ยวไร้ผู้คนเช่นนี้ถึงยังเปิดกิจการอยู่ได้หนอ ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่หันไปเสพภาพยนตร์จากยูทิวบ์หรือดาวน์โหลดซีรีส์จากเว็บไซต์กันเกือบหมดแล้ว ไปไหนมาไหนก็ดูเรื่องราวข่าวสารต่างๆ ผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ยังแทบจะถูกทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับเสียด้วยซ้ำ ประสาอะไรกับร้านเช่าดีวีดีกันเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร้านที่มีแต่ภาพยนตร์ฝรั่งเก่าๆ เหมือนหลุดมาจากยุค ๙๐ เช่นนี้

หญิงสาวกวาดตามองไปยังชั้นวางดีวีดีที่ตั้งเรียงรายอยู่ในร้านแล้วอดขนลุกไม่ได้ ภาพยนตร์ส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์เก่า และกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ!

“เธอทำร้านฉันเปียกนะยายหนู”

“เอ๊ะ...เอ่อ...” ปณาลีก้มลงมองพื้นที่มีน้ำหยดเป็นดวงๆ แล้วหันไปหาต้นเสียงที่นั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ “ฉัน...ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ คือ...ข้างนอกฝนตกแล้ว...แล้วเขา...ผู้ชายคนนั้น...บอกให้ฉันเข้ามาในนี้...”

เธอพูดตะกุกตะกัก พนักงานในร้านจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนให้เธอเข้ามา ขนาดเธอยังไม่รู้เลยว่า ‘เขา’ ชื่ออะไร

“รู้แล้ว”

ผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์พูดพลางก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ดูเหมือนไม่สนใจจะมองหน้าปณาลีเลยสักนิด เธอเป็นหญิงวัยสามสิบตอนปลายที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าย้อนยุคสีสันฉูดฉาดพอๆ กับสีของเครื่องสำอางที่ฉาบอยู่บนใบหน้า เธอสวมแว่นตาทรงแหลมและเกล้าผมตึงเปรี๊ยะเหมือนบรรณารักษ์ในหนังสือภาพโบราณ ผิวของเธอขาวซีดเหมือนไม่เคยต้องแดดทำให้สีชมพูบานเย็นที่เคลือบบนริมฝีปากลอยเด่นคู่กับไฝเม็ดย่อมที่อยู่ใกล้กับมุมปากข้างซ้าย

“ระ...รู้แล้ว?”

ปณาลีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ บรรยากาศในร้านช่างวังเวงเสียจนหญิงสาวต้องห่อไหล่อย่างหวาดๆ อุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศหรือก็เย็นเจี๊ยบเสียจนทำเอาคนที่เนื้อตัวเปียกปอนอย่างเธอเริ่มหนาวเสียจนตัวสั่น แต่ก่อนที่เธอจะได้อ้าปากพูดอะไรต่อ ประตูทางเข้าออกของพนักงานที่อยู่ข้างเคาน์เตอร์ก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ราวรูปปั้นยักษ์ในวิหารปรากฏตัวขึ้น

“มานี่”

ชายหนุ่มเอ่ยสั้นๆ เช่นเคย ครั้งนี้หญิงสาวเห็นสีหน้าถมึงทึงของเขาชัดเจนเพราะเขาถอดหมวกกันน็อกออกเรียบร้อยแล้ว

“จะพาขึ้นข้างบนเหรอ” คนที่เอาแต่นั่งมองจอโทรศัพท์ในตอนแรกเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มสลับกับหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึงเหมือนถูกผีหลอก “ถ้าคุณพ่อรู้...”

“อย่าปากมาก เจ๊จง”

เสียงของเขาเข้มขึ้น ทำเอาเจ๊จงหรือจงกลณีต้องรูดซิปปากในบัดดล รู้อยู่ว่าเวลาโกรธพ่อยักษ์ใหญ่น่ากลัวเพียงไหน พายุทอร์นาโดดีๆ นี่เอง!

“มาเถอะ” ชายหนุ่มเดินตรงไปคว้าข้อมือของปณาลีแล้วพาเดินผ่านประตูที่ติดป้ายว่า ‘เฉพาะพนักงาน’ ไปอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าด้านหลังประตูไม่ใช่ห้องเก็บของหรือห้องพักของพนักงานอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นบันไดที่นำไปสู่ชั้นบน เดิมทีเธอก็รู้สึกว่าตนเองบ้ามากพออยู่แล้วที่ตามผู้ชายอันตรายคนนี้มา แต่การตามเขาขึ้นไปชั้นบนแบบนี้ยิ่งบ้ากว่าเสียอีก ถ้าเขาเกิดทำเรื่องไม่ดีไม่งามกับเธอขึ้นมาเล่าจะทำอย่างไร แล้วถ้า...เขาคิดฆ่าเธอ...

ไม่หรอกน่า...ถ้าเขาจะฆ่าเธอจริงๆ ก็คงลงมือตั้งแต่ที่บ้านแล้ว ไม่จำเป็นต้องช่วยเธอจากเงื้อมมือของธำรงเลยสักนิดไม่ใช่หรือ...

“เข้าไป”

ชายหนุ่มพาปณาลีขึ้นมาบนชั้นสาม แล้วดันแผ่นหลังของเธอให้เดินผ่านประตูเข้าไปด้านในห้องซึ่งมืดมากจนมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร หญิงสาวจึงได้แต่ยืนเคว้ง ไม่กล้าขยับไปไหน

“คะ...คือ...เอ่อ...”

เอ่ยได้เพียงเท่านั้น ปณาลีก็ต้องหลับตาปี๋ ยืนตัวแข็งทื่อเมื่อร่างใหญ่โตของชายหนุ่มเดินตรงเข้ามายืนซ้อนด้านหลัง เขาถือวิสาสะล้วงมือลงไปในกระเป๋าย่ามของเธอแล้วหยิบปืนออกมา ลมหายใจของหญิงสาวแทบขาดห้วงไปเสียเดี๋ยวนั้น ในใจคิดสะระตะล้านแปด...เขาจะฆ่าเธอไหม เวลากระสุนเจาะผ่านร่างจะเจ็บมากหรือเปล่า...

“คืนนี้นอนที่นี่ได้ แต่พรุ่งนี้ต้องไปก่อนฉันกลับมา”

ปณาลีลืมตาทันควันเมื่อได้ยินคำพูดที่ยาวที่สุดที่เคยได้ยินจากปากของชายหนุ่ม เธอหมุนตัวกลับไปหาเขาในจังหวะที่เขากดเปิดสวิตช์ไฟพอดี เธอจึงเห็นว่าตนเองยืนอยู่กลางพื้นที่โล่งกว้างซึ่งเกิดจากการทุบผนังกั้นห้องทะลุถึงกันเกือบทั้งหมด ทว่าไม่ได้ดูสวยงามหรือเก๋ไก๋เหมือนอะพาร์ตเมนต์หรูหรือเหมือนคอนโดมิเนียมราคาแพงลิบลิ่วที่เห็นในภาพยนตร์ด้วยสีของผนังค่อนข้างกระดำกระด่างและไม่มีเครื่องเรือนใดๆ นอกจากฟูกขนาดใหญ่ที่วางอยู่ตรงมุมห้อง และข้าวของที่กองกระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบบนพื้น...เหมือนเจ้าของห้องใช้ที่นี่เป็นเพียงที่ซุกหัวนอน ไม่มีความผูกพันใดๆ กับสถานที่แห่งนี้ทั้งสิ้น จึงไม่ทิ้งร่องรอยแสดงตัวตนหรือรสนิยมไว้แม้แต่น้อย

“ที่พูดนี่เข้าใจหรือเปล่า”

ชายหนุ่มรูดเสื้อยืดเปียกชื้นออกทางศีรษะแล้วโยนทิ้งลงบนพื้น เผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างสีแทนทองซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นมากมาย น่าแปลกที่นอกจากแผลปูดนูนเหล่านั้นไม่อาจลดทอนความงดงามของเรือนกายใหญ่โตราวรูปจำหลักพญามารของเขาได้แล้ว ยังเพิ่มความสง่างามแบบดิบเถื่อนให้เขาอย่างน่าพิศวง

“ฉะ...ฉัน...”

หญิงสาวพูดตะกุกตะกักได้เพียงเท่านั้นก็ต้องเงียบเสียงลง เมื่อเห็นรอยสักหัวสิงโตคำรามอยู่บนหัวไหล่ซ้ายของเขา สีสันของมันงดงามสมจริง ยิ่งดวงตาสีทองของมันจ้องมองมาทางเธอ เธอก็ยิ่งรู้สึกประหนึ่งว่ามันมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

“หูแตกหรือไง ถามว่าเข้าใจไหม”

เสียงของเขาดุมากสวนทางกับมือใหญ่โตที่ยื่นผ้าเช็ดตัวสะอาดมาให้ เธอมองเลยไปทางด้านหลังก็เห็นตู้เสื้อผ้าใบโตที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าและข้าวของต่างๆ ที่ยังไม่ได้แกะออกจากห่อพลาสติกแม้แต่ชิ้นเดียว

แปลก...หรือเขาจะเป็นพวกบ้าความสะอาดเข้าเส้น แต่ดูจากสภาพห้องแล้วก็ไม่น่าจะรักความสะอาดอะไรนักหนานี่นา...

“ว้าย!”

ปณาลีร้องเสียงดังลั่นเมื่ออีกฝ่ายหันหลังถอดกางเกงต่อหน้าต่อตา แถมใต้กางเกงยีนเปียกจนชุ่มตัวนั้นยังไม่มีอะไรปกปิดเลยสักนิด...คนบ้าอะไร กางเกงในก็ไม่ใส่! แถมยังหน้าด้านหน้าทนยืนแกะเสื้อผ้าจากถุงพลาสติกมาสวมหน้าตาเฉยเหมือนไม่สนใจสักนิดว่าเธอยืนอยู่ในห้องนั้นด้วย เป็นเธอเสียอีกที่ต้องรีบยกผ้าเช็ดตัวขึ้นปิดหน้าแล้วหันหลังให้เขา เธอเพิ่งระลึกได้เดี๋ยวนั้นเองว่าเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ทั้งแท่ง และที่เธอควรกลัวมากกว่าถูกเขาฆ่าปาดคอก็คือถูกเขาฆ่าข่มขืนต่างหาก!

ไอ้ลีหนอไอ้ลี ตามเขาขึ้นมาบนห้องนอนหน้าตาเฉย เท่ากับเสนอตัวให้เขาเชือดเองชัดๆ!

“ฉันจะนอนละ เหนื่อย” หางเสียงของคนพูดติดจะรำคาญนิดๆ “จะเว้นเตียงไว้ให้ครึ่งหนึ่ง อยากนอนก็มา แต่ถ้าอยากนอนกับพื้นก็ตามใจ”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นช้าๆ อย่างหวาดระแวง เมื่อหันกลับไปมองเจ้าของห้องก็เห็นว่าเขาทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันหลังบนฟูกไปแล้ว เธอลอบถอนใจอย่างโล่งอกที่เห็นว่าเขาสวมเสื้อผ้าครบทั้งบนและล่างแล้ว เธอมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกสับสนระคนหวาดหวั่น ใจหนึ่งคิดว่าควรวิ่งหนีออกไปเสียตอนนี้แล้วโทรศัพท์เรียกให้จอมใจหรือเจนภพมารับ แต่อีกใจก็รู้ว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นที่บ้านอาจทำให้เพื่อนกับครอบครัวเดือดร้อนได้ หากดารณีกับดาหวันกลับมาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่ และที่แรกที่สองคนนั้นจะส่งตำรวจไปตามหาตัวเธอก็คือบ้านของจอมใจ

ธำรงจะตายหรือเปล่านะ...

ภาพตอนที่ลุงเขยถูกผู้ชายตรงหน้าเหวี่ยงไปกระแทกโต๊ะรับแขกจนพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพาให้ร่างกายของปณาลีสะท้านเยือก เธอไม่มั่นใจนักว่าของเหลวข้นๆ บนพื้นที่เห็นแวบๆ ทางหางตาคือเลือดของเขาหรือไม่ แต่ถึงจะเป็นเลือดจริงก็สาสมกับสิ่งที่เขาทำแล้วไม่ใช่หรือ เพราะไอ้คนสารเลวคนนั้น เธอถึงต้องทนอยู่กับความหวาดกลัวและเจ็บปวดมายาวนานเพียงนี้ เพราะมัน...เธอถึงต้องมีชีวิตแบบนี้ ถ้าธำรงตายจริงๆ ก็สมควรแล้ว!

จู่ๆ น้ำตาก็ไหลทะลักออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ความเจ็บแค้นที่เคยเก็บกดให้อยู่ก้นบึ้งของหัวใจถูกความหวาดกลัวระคนสับสนดันจนเอ่อล้นสุดที่จะกลั้นไว้ได้ วินาทีนี้เธอรังเกียจความคิดดำมืดของตนเองมากกว่าความสกปรกโสมมของธำรงเสียอีก เธอเคยจินตนาการไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่าจะมีใครสักคนหรือไม่ก็ปีศาจร้ายสักตนฉีกทึ้งคนชั่วช้าอย่างธำรงเป็นชิ้นๆ แล้วโยนทิ้งให้สุนัขกิน แต่ไม่รู้ทำไมพอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง เธอกลับไม่รู้สึกยินดีเลยสักนิด

“นี่เธอ มานี่ซิ” คนที่น่าจะนอนหลับไปแล้วผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกวักมือเรียกหญิงสาว สีหน้าของเขาบึ้งตึงเมื่อเธอยังคงยืนนิ่ง “จะมาดีๆ หรือจะให้ไปลากมา เลือกเอา”

ดูเหมือนคำขู่จะได้ผล ปณาลียอมเดินลากขาอันสั่นเทาตรงไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม

เขามองดวงหน้าเล็กที่อาบไปด้วยคราบน้ำตา แล้วระบายลมหายใจยาวคล้ายเหนื่อยหน่ายเต็มทน มือหนาฉุดข้อมือของเธอให้นั่งแปะลงบนฟูก

“สมองเธอมีปัญหาใช่ไหม ต้องให้ฉันบอกทุกอย่างเลยหรือไง” เขากระชากผ้าเช็ดตัวมาจากหญิงสาวแล้วคลุมไปบนศีรษะของเธอ “เปียกขนาดนี้ยังยืนโง่อยู่อีก”

เขาพูดจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย แต่มือไม้ของเขาที่ขยี้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมให้เธอกลับนุ่มนวลอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นมือเดียวกับที่ช่วยเธอเอาไว้จากเงื้อมมือของธำรง...คิดถึงตรงนี้เธอก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เล็กจนโตเธอเฝ้าร่ำร้องอธิษฐานให้เทพเทวดาบนสรวงสวรรค์ส่งเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยพาเธอไปให้พ้นจากความโหดร้ายที่เผชิญอยู่เสียที แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่เคยมีใครช่วยเหลือเธออย่างจริงจังสักคน ขนาดเพื่อนบ้านที่รู้อยู่แก่ใจว่าเธอถูกครอบครัวนั้นกดขี่ข่มเหงอย่างไรบ้าง ยังวางเฉยไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย อย่างดีก็มองเธอด้วยแววตาเวทนาหรือไม่ก็พูดจาปลอบใจสองสามคำเท่านั้น

ไม่นึกเลย...ว่าคนที่ช่วยเหลือเธอกลับเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิงเช่นนี้...

“คุณ...ทำไมคุณถึงช่วยฉันคะ...” ปณาลีพูดเสียงปนสะอื้น เธอดึงผ้าเช็ดตัวให้ใบหน้าโผล่ออกมาแล้วช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคมคายของเขาด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม

เขากวาดตามองดวงหน้าเล็กที่อาบไปด้วยคราบน้ำตาอยู่ครู่หนึ่ง เด็กคนนี้สวยมาก ยิ่งร้องไห้ก็ยิ่งสวยอย่างไม่น่าเชื่อทำให้เขาต้องข่มใจอย่างหนักที่จะไม่เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ

เขาไม่เคยแพ้น้ำตาผู้หญิง แต่ไม่รู้ทำไมเห็นน้ำตาของเธอแล้วถึงใจอ่อนยวบแบบนี้...

“มีเสื้อผ้าอยู่ในตู้ตรงนั้น เปลี่ยนแล้วนอนซะ”

เขาชี้นิ้วออกคำสั่งแทนการตอบคำถาม ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตามเดิมเอาดื้อๆ ทิ้งให้ปณาลีนั่งอึ้งอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่

“คุณ...ชื่ออะไรคะ ฉัน...ฉันชื่อปณาลี เรียกฉันว่าลีก็ได้”

หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มลวกๆ พยายามหาเรื่องคุยกับเขาเพื่อให้บรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้ผ่อนคลายลงบ้าง

“จะชื่ออะไรก็ช่าง ฉันไม่สน พรุ่งนี้เธอก็ไปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักกัน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ถ้าไม่เปลี่ยนก็ลงไปนอนที่พื้น ฉันไม่อยากให้ที่นอนเปียก”

ปณาลีเม้มริมฝีปากแน่น แล้วลุกขึ้นไปยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า นึกผิดหวังอยู่ลึกๆ ที่ฮีโรของเธอเป็นคนหยาบกระด้างกว่าที่คิดมาก แต่เธอจะคาดหวังอะไรจากคนที่ควงปืนแล้วฆ่าคนกันเล่า แค่เขาไม่ยิงเธอทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ก็บุญมากแล้ว...หญิงสาวใช้สองมือตบแก้มตนเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ แล้วหยิบเสื้อผ้าในซองพลาสติกที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเธอหลายเท่าออกมาชุดหนึ่งเพื่อเปลี่ยน เธอมัวแต่หันซ้ายแลขวาหามุมผลัดเสื้อผ้าโดยไม่รู้ว่าดวงตาสีเขียวมรกตลอบมองตามเธอไปอย่างเงียบเชียบ

“ปณาลี...” เขาพึมพำเสียงแผ่ว “ลี...”

ชื่อเพราะดี...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น