8

บทที่ ๘


บทที่ ๘

 

ไม่...ไม่...ไม่...

เสียงครวญแหบต่ำที่ดังเป็นระยะปลุกปณาลีให้ตื่นขึ้นจากนิทรา หญิงสาวนอนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่เพื่อตั้งสติให้แน่ใจว่าไม่ได้หูแว่วไปเอง เมื่อได้ยินว่าเสียงนั้นยังคงดังอยู่ เธอจึงค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่งแล้วกวาดตามองฝ่าความมืดรอบตัวอย่างระแวดระวัง ดวงตาคู่งามกะพริบถี่ๆ ขับไล่ความง่วงงุนที่ยังหลงเหลืออยู่แล้วมองตรงไปยังเตียงฝั่งตรงข้าม

วายุ...อยู่ตรงนั้น...

ปณาลีใช้เวลาไม่นานในการปรับสายตาให้เข้ากับความมืดจึงเห็นเงาร่างสีดำทะมึนนอนเหยียดยาวอยู่บนฟูก เธอจำได้ว่าเขาออกไปจากห้องตั้งแต่ช่วงบ่าย ส่วนเธอก็มัวแต่วุ่นวายกับการจัดทำโพรไฟล์งานออกแบบที่ผ่านมาของตนเองจนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าเขานอนกระสับกระส่ายอยู่ตรงหน้าแล้ว

“ไม่...”

เสียงพึมพำไม่เป็นภาษาของชายหนุ่มเรียกให้หญิงสาวสลัดผ้าห่มออกจากร่างแล้วก้าวลงจากเตียงโดยอัตโนมัติ เท้าเล็กเปลือยเปล่าค่อยๆ สืบเข้าไปใกล้เจ้าของเสียงอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอรู้ว่าวายุเป็นบุคคลอันตรายและไม่ชอบให้เธอวุ่นวายกับเขามากเกินความจำเป็น แต่เธออดเป็นห่วงเขาไม่ได้ เสียงของเขาฟังแล้วเหมือนกำลังทรมานมาก หากเขาไม่สบาย หรือ...แย่กว่านั้นคือได้รับบาดเจ็บเล่า

“วายุ...”

ปณาลียืนห่างจากฟูกนอนของเขาราวคืบหนึ่ง เธอไม่แน่ใจว่าควรรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเขามากกว่านั้นหรือไม่ ถึงเขาจะแสดงออกว่าดีต่อเธอมากเพียงใด แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำอันตรายเธอ

ราชสีห์หลับใหล ไม่ได้การันตีว่าจะไม่ลุกขึ้นมาขย้ำคอเหยื่อไม่ใช่หรือ...

“เควาน...”

วายุพึมพำคำหนึ่งออกมาแผ่วเบา ปณาลีไม่รู้ความหมายของมัน ที่จริง...เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังพูดภาษาอะไร รู้เพียงไม่ใช่ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ยิ่งสายตาคุ้นชินกับความมืดมากเท่าใด ก็ยิ่งเห็นชัดว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงกำลังขยับตัวอย่างกระสับกระส่ายด้วยความอึดอัด แม้ไม่เห็นสีหน้า แต่มือหนาที่กำผ้าห่มไว้แน่นฟ้องว่าอาการของเขาไม่สู้ดีนัก

“วายุ คุณโอเคหรือเปล่า”

หญิงสาวโน้มตัวลงไปมองเขาในระยะใกล้พลางเอื้อมมือไปเบื้องหน้า แต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วจะแตะถูกตัวชายหนุ่ม เขาก็ลืมตาโพลง มือใหญ่โตคว้าข้อมือของเธอไว้แล้วกระชากจนล้มหงายลงไปบนฟูกก่อนที่เขาจะพลิกร่างขึ้นคร่อมเธอเอาไว้

“อย่า!”

ปณาลีกรีดร้องเมื่อเขาเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมาตะปบรอบคอเธอไว้แน่นจนหายใจไม่ออก วูบหนึ่งเธอเห็นชัดว่าดวงตาของเขาเรืองแสงสีแดงราวหยาดเลือดและเขาก็มี...เขี้ยว!

“ลี...” วายุคำรามเสียงต่ำ เขาคลายมือออกจากลำคอของหญิงสาวทันทีที่ตั้งสติได้และเห็นว่าคนที่อยู่ใต้อาณัติเป็นใคร “ฉัน...”

ชายหนุ่มหยุดพูดเพียงเท่านั้นแล้วรีบผละออกจากปณาลีประหนึ่งเธอเป็นถ่านติดไฟร้อนๆ

หญิงสาวลุกพรวดขึ้นนั่งไอโขลกๆ สมองสั่งการให้เธอวิ่งหนีเขาไปให้ไกลที่สุด แต่ขาทั้งสองข้างกลับทรยศ สิ้นเรี่ยวไร้แรงจะขยับได้ดังใจ จึงได้แต่นั่งตัวสั่นเผชิญหน้ากับเขาอยู่อย่างนั้นราวคนโง่งม

“ฉันขอโทษ”

เขาเอ่ยเสียงเบายิ่งกว่ากระซิบแล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้างอย่างอ่อนแรง เสื้อบริเวณแผ่นหลังของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเช่นเดียวกับตามกรอบหน้าและไรผม แม้ปิดตาตนเองอยู่เช่นนี้ เขาก็ยังเห็นภาพใบหน้าของผู้คนในฝันอย่างชัดเจน...ชัดเสียจนไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือเป็นเพียงจินตนาการเลื่อนเปื้อนกันแน่

“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ...” ปณาลีข่มความกลัวแล้วยื่นมือไปหาชายหนุ่ม เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอารมณ์เปราะบางแบบมนุษย์ออกมาให้เห็น “เจ็บตรงไหนบ้าง บอกฉัน...”

“อย่าแตะตัวฉัน” วายุพูดทั้งที่ยังฝังหน้าอยู่ในฝ่ามือทั้งสองข้าง เขาพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกหวาดหวั่นในเบื้องลึกของจิตใจไว้อย่างสุดความสามารถ ทว่าทำได้ยากยิ่ง เศษเสี้ยวของอารมณ์อ่อนไหวส่งผลให้ไหล่ทั้งสองข้างสั่นนิดๆ ดุจใบไผ่ยามต้องลมหนาว “ครั้งหน้าถ้าได้ยินอะไรอีกก็ไม่ต้องสนใจ เข้าใจไหม”

...เขาไม่อยาก...ทำร้ายเธอ...

“เข้าใจค่ะ” ปากบอกว่าเข้าใจ แต่มือเรียวกลับวางบนแผ่นหลังของเขาสวนทางกับสิ่งที่พูดโดยสิ้นเชิง

“ทำอะไร” วายุหันกลับไปมองหญิงสาวด้วยสีหน้านิ่งขึง ทว่าหัวใจกลับตอบรับสัมผัสอบอุ่นที่แผ่จากฝ่ามือนุ่มนิ่มของเธออย่างน่าพิศวง “ไหนว่าเข้าใจ แล้วนี่อะไร”

เขาหมายถึงมือของเธอที่อยู่บนแผ่นหลังของเขา เธอลอบถอนใจเมื่อเห็นว่าดวงตาของเขาเป็นปกติดี ไม่ได้มีสีแดงอย่างที่เห็นในตอนแรก แถมยังไม่มีเขี้ยวอีกด้วย เธอคง...ตาฝาดไปเองกระมัง

“เข้าใจ แต่ไว้ทำตามครั้งหน้าก็แล้วกันค่ะ” เสียงของปณาลีสั่น กลัวเขาหักมือก็กลัว แต่ห่วงอาการของเขามากกว่า “ตัวคุณร้อนมาก ฉันว่าคุณน่าจะเป็นไข้ ถ้ายังไงกินยาสักเม็ดดีไหมคะ ฉันมียาลดไข้ติดกระเป๋าอยู่”

“ไม่ต้อง” วายุปัดมือของหญิงสาวทิ้งแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง “ขอน้ำสักแก้วก็พอ”

เขาพูดพลางรูดเสื้อยืดชื้นเหงื่อออกทางศีรษะโยนทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี กายท่อนบนเปลือยเปล่าที่ปรากฏต่อหน้าทำเอาปณาลีต้องรีบลุกพรวดขึ้นยืนอย่างเคอะเขิน แก้มนวลร้อนผ่าวราวสุมเพลิง ดวงตาที่ชินกับความมืดเริ่มมองเห็นโครงร่างแข็งแกร่งของเขาชัดเจนขึ้นทีละนิด แม้จะเคยเห็นเขาถอดเสื้อเดินไปเดินมาหลายครั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำใจให้ชินไม่ได้เสียที

“หะ...ให้...ให้ฉัน...หรี่แอร์สักหน่อยดีไหมคะ เดี๋ยว...เดี๋ยวจะไม่สบาย”

หญิงสาวร้องถามขณะเดินตรงไปเปิดตู้เย็นเพื่อรินน้ำดื่มให้เขา บ่อยครั้งที่เธอต้องถามตนเองซ้ำๆ ว่าเสียสติหรืออย่างไรที่กล้าอาศัยอยู่ในห้องเดียวกับผู้ชายที่ดูคุ้มดีคุ้มร้าย ไม่รู้ว่าจะลุกขึ้นมาหักคอเธอเมื่อใดเช่นนี้ จะว่าไป...เธอก็บ้าตั้งแต่กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ตามเขามาที่นี่เมื่อวันนั้นแล้วไม่ใช่หรือ มิหนำซ้ำยังดึงดันขอให้เขาช่วยคุ้มกะลาหัวอีก แต่อีกไม่นานเธอก็จะไปแล้ว อดทนอีกสักนิดจะเป็นไรไปเล่า

“ไม่ต้อง”

คำตอบของวายุห้วนสั้นเช่นเคย เขามองปณาลีที่เดินกลับมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมแก้วน้ำเย็นเฉียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลุบตามองพื้น ความมืดไม่เคยเป็นอุปสรรคต่อดวงตาของเขา ตรงกันข้ามมันคือมิตรแท้ที่เปิดเผยทุกความลับที่ซ่อนเร้นให้เห็นอย่างชัดเจนเต็มสองตา ใช่แล้ว...เขามองเห็นทุกอย่างใต้ม่านสีดำสนิทของราตรีอย่างแจ่มชัดราวเวลากลางวัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขามองเห็นรอยมือของตนเองบนลำคอขาวผ่องของหญิงสาวอยู่ในขณะนี้

“เจ็บหรือเปล่า” เขาเอื้อมมือไปรับแก้วน้ำจากปณาลีแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด

“คะ?”

“คอน่ะ” เขาชี้ไปที่ลำคอของตนเอง “เจ็บไหม”

“อ๋อ” หญิงสาวยิ้มแหยๆ พลางยกมือขึ้นแตะคอ “ไม่เจ็บค่ะ แต่...ตกใจมากกว่า”

ประโยคหลังแม้แผ่วเบานัก ทว่าชายหนุ่มได้ยินชัดทุกถ้อยคำเหมือนที่เขาได้กลิ่นหอมหวานจากผิวกายของเธอโชยมาเตะจมูกเต็มๆ นี่ละ เขาไม่รู้ว่ามันคือพรสวรรค์หรือคำสาปที่ทำให้ทุกประสาทสัมผัสของเขาไวเหนือธรรมดา เขาสามารถรับรู้ทุกการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตในรัศมีร้อยเมตรได้อย่างง่ายดาย ทั้งรูปร่างลักษณะ เสียงฝีเท้า เสียงลมหายใจไล่ไปจนถึงกลิ่นเฉพาะตัว ด้วยความสามารถนี้เขาจึงแทบไม่เคย ‘ทำงาน’ พลาดเลยสักครั้ง แต่ในขณะเดียวกัน ประสาทสัมผัสอันเฉียบไวนี้ก็สร้างความทุกข์ทรมานให้เขาไม่น้อย เขาต้องเห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็น ได้ยินในสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน และได้กลิ่นที่ใจไม่พึงปรารถนาโดยไม่อาจปฏิเสธได้เลย เขาถึงไม่ชอบให้สิ่งมีชีวิตใดมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ให้รำคาญใจ

เว้นแต่เธอ...ปณาลี การมีอยู่ของเธอทำให้เขาผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด...

เขาชอบ...จ้องมองดวงหน้าของเธอยามหลับ

ชอบ...ฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเธอในยามนิทรา

ชอบ...เสียงเวลาเธอพลิกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม

และชอบ...กลิ่นครีมอาบน้ำและแป้งเด็กหอมอ่อนๆ ที่ลอยกรุ่นอยู่รอบตัวเธอ

“คุณฝันร้ายเหรอคะ”

คำถามที่เพิ่งได้ยินทำให้ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวด้วยสีหน้านิ่งสนิทแล้วยื่นแก้วคืนให้เธอโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ การใช้ชีวิตเพียงลำพังในโลกมืดโดยแทบไม่เคยปฏิสัมพันธ์กับใครเลยทำให้เขาไม่ชินกับการถูกมองด้วยสายตาแสดงความห่วงใยเช่นนี้เท่าใดนัก

“ฉันจะไปเอาเสื้อตัวใหม่มาให้นะคะ” ปณาลีถอนใจ เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องหน้าเธอนิ่ง ไม่ตอบอะไร เธอก็เดาเอาเองว่านั่นคงแทนคำตอบว่าไม่...ที่จริงเขาพูดน้อยมากจนเธอต้องเดาเอาเองแทบทุกเรื่อง “แอร์เย็นเจี๊ยบแบบนี้ เดี๋ยวคุณจะเป็นไข้...”

หญิงสาวชะงักทันทีที่มือร้อนจัดของเขารั้งข้อมือของเธอไว้

“ไม่ต้อง” ดวงตาของชายหนุ่มสั่นไหวแปลกๆ “ไม่ต้องไปไหน อยู่ตรงนี้แหละ”

“เอ๊ะ?”

ปณาลีมองวายุอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่ตอบอะไรอีกเช่นเคย เขาเพียงแค่ละมือจากเธอแล้วทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวด้วยท่าทางอ่อนล้า หญิงสาวระบายลมหายใจยาว เธอวางแก้วลงบนพื้นแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายเขาอย่างเบามือ

วายุขบกรามแน่นเพื่อข่มความรู้สึกอ่อนหวานแปลกๆ ที่ตีวนอยู่ในอกยามลอบมองสาวน้อยตรงหน้า เป็นเพราะเธอ...เครื่องนอนทุกชิ้นและเสื้อผ้าทุกตัวจึงมีกลิ่นหอมน้ำยาปรับผ้านุ่มเจือกลิ่นแดด เวลาเขาทิ้งตัวลงนอนจึงรู้สึกสบายและผ่อนคลายอย่างไม่เคยรู้สึกมานานหลายสิบปีแล้ว แต่กลิ่นที่หอมที่สุดคงเป็นกลิ่นของเธอ...กลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เธออยู่ใกล้ๆ

“นั่งสิ”

วายุหลับตาแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนทุกอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ให้ฉายชัดทางแววตา ปณาลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งพับเพียบข้างฟูกนอนอย่างเกร็งๆ แม้จะยังกลัวรังสีอำมหิตของเขาอยู่บ้าง แต่ท่าทางอ่อนล้าของเขาก็ทำให้เธออดรู้สึกสงสารไม่ได้ หากเขาเป็นเครื่องแก้ว คงเป็นเครื่องแก้วเก่าคร่ำคร่าที่เต็มไปด้วยรอยร้าวจนยากจะประสานได้ และอาจ...ป่นสลายเป็นผุยผงหากเธอสัมผัสแตะต้องอย่างไม่ระมัดระวัง

“คุณ...ไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวให้ฉันโทรศัพท์ตามเจ๊จงดีไหมคะ”

“ไม่ต้อง เจ๊จงพูดมาก ฉันไม่อยากหักคอคนตอนดึกๆ” วายุพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่ทำเอาคนฟังต้องรีบหุบปากฉับด้วยไม่แน่ใจนักว่าเขาคิดจะหักคอใครก่อนกัน ระหว่างตัวเธอกับจงกลณี “เธอนั่งเงียบๆ ตรงนี้สักเดี๋ยวก็พอ”

“ยาก็ไม่กิน จะตามเจ๊จงให้ก็ไม่เอา คุณนี่ดื้อจริงๆ ฉันไม่ใช่หมอนะคะ จะช่วยอะไรได้”

ปณาลีส่ายหน้าอย่างระอาใจ วายุพลิกตัวนอนตะแคงแล้วผ่อนลมหายใจยาว

“บอกให้นั่งเงียบๆ ไง”

เขาเอ็ดเสียงเบาอย่างไม่จริงจังนัก ที่จริง...เขาแสร้งทำเป็นรำคาญไปอย่างนั้นเอง เสียงพูดคุยของเธอทำให้ห้องอันแสนเงียบเหงานี้มีชีวิตชีวาขึ้นมากจนเขาเริ่มรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ทั้งที่อยู่ร่วมกันมายังไม่ทันครบเดือนด้วยซ้ำ

“หิวไหมคะ ให้ฉันทำอะไรให้กินไหม”

ความเงียบชนิดที่ได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันทำให้เธอรู้สึกขัดเขินมากกว่าอึดอัด เธออยู่ร่วมห้องกับเขามาสักพักหนึ่งแล้วก็จริง แต่นอกจากซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขาบ้างเป็นครั้งคราวแล้ว เธอก็ไม่เคยอยู่ใกล้ชิดเขามากขนาดนี้เลย

“เธอหุบปากไม่เป็นจริงๆ ใช่ไหม” วายุทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคอเหมือนไม่สบอารมณ์ แต่ริมฝีปากที่ไม่เคยมีรอยยิ้มแตะแต้มกลับยกแย้มขึ้นจนคล้ายสิ่งที่เรียกว่ารอยยิ้มขึ้นทุกที “ไม่ละ ฉันไม่หิว”

“ถ้าอย่างนั้น...พรุ่งนี้เช้าก่อนออกไปข้างนอก ฉันจะทำข้าวต้มไว้ให้นะคะ เอาเป็นข้าวต้มหมูดีไหมคะ”

หญิงสาวนั่งนึกว่าในตู้เย็นมีของสดอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง

“ออกไปข้างนอก? ไปไหน”

น้ำเสียงของวายุเข้มขึ้น พร้อมกับรังสีอำมหิตประจำตัวเริ่มแผ่ซ่านจนปณาลีรู้สึกได้

“ไปพบมัทธีอัส ดรากอสค่ะ คนที่เราเจอที่หน้าร้านขายเสื้อผ้าของฉันวันก่อนโน้นไงคะ” หญิงสาวรีบตอบโดยเร็ว จากประสบการณ์ หากเธอตอบช้าหรือทำท่าอ้ำอึ้ง เขาจะมองเธอด้วยสายตาแสดงความหงุดหงิดรำคาญใจ “ฉันต้องไปคุยกับเขาเรื่องแบบดีไซน์เสื้อผ้า ฉันต้องพิสูจน์ความจริงให้เขารู้ให้ได้ว่า ฉันไม่ได้เป็นหัวขโมยอย่างที่พี่หวันไปบอกเขา”

“อ้อ...” เขาเอ่ยเท่านั้นแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปส่ง”

“อุ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ”

ปณาลีรีบร้องห้ามเสียงดังจนอีกฝ่ายผุดลุกขึ้นมานั่งจ้องเธอด้วยแววตาคาดคั้นโดยอัตโนมัติ

“ทำไม”

ภาพใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีฟ้าและเส้นผมสีเข้มผุดขึ้นมาในสมอง เขาไม่ชอบที่ไอ้หมอนั่นถือวิสาสะแตะเนื้อต้องตัวปณาลี เธอเป็นคนที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขา ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง!

“คุณไม่สบายนี่คะ คุณควรจะพักผ่อน ปัญหานี้เป็นปัญหาของฉันเอง ฉันไม่อยากให้คุณต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”

หญิงสาวพยายามทำเป็นใจดีสู้เสือ แต่หน้าตาถมึงทึงของเขาทำเอารอยยิ้มของเธอแหยเสียจนเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนั้น

“กี่โมง”

“คะ?” คำถามของเขาสั้นเสียจนเธอตั้งหลักไม่ถูก

“จะออกไปกี่โมง” วายุถามย้ำ เสียงลมหายใจหนักๆ และภาษากายของเขาบ่งชัดว่ากำลังเริ่มหงุดหงิด

“เอ่อ...ฉันมีนัดกับเขาตอนเที่ยง ก็เลยว่าจะออกไปสักสิบโมงเช้าน่ะค่ะ อยากออกเร็วหน่อย เผื่อรถติด”

“สิบโมงครึ่ง” ชายหนุ่มคว้ามือของหญิงสาวมากุมไว้แล้วทิ้งตัวลงนอนตะแคงหน้าตาเฉย “พรุ่งนี้สิบโมงครึ่ง ฉันจะไปส่งเธอเอง”

“นี่...นี่คุณปล่อยฉันก่อน” แรงของคนตัวโตเป็นยักษ์ปักหลั่นดึงให้ปณาลีแทบเซถลาไปทับอกเขา โชคดีที่ใช้มืออีกข้างยันฟูกไว้ได้ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังใกล้กันเสียจนทำให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เธอพยายามกระตุกมือหนี ทว่าเขาก็จับมือเธอเอาไว้แน่นหนา “คุณทำอะไรของคุณคะเนี่ย”

“กันคนหนี” เขาตอบสั้นๆ แล้วกุมมือเรียวแน่นเข้า “พรุ่งนี้ฉันจะไปส่ง ห้ามหนีออกไปก่อนเด็ดขาด”

“หมายความว่าคุณจะล็อกตัวฉันไว้ ให้นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเนี่ยนะ!”

ปณาลีทั้งขำทั้งขวางท่าทางเหมือนเด็กเอาแต่ใจของเขาเต็มทน จะเรียกว่าน่ารักก็ไม่เต็มปากเพราะเขาตัวโตและหน้าโหดเกินกว่าจะใช้คำนั้นได้

“หรือจะขึ้นมานอนตรงนี้กับฉันเล่า” ไม่พูดเปล่า เขายังตั้งท่าจะขยับที่ทางให้เธอขึ้นมานอนเคียงข้างกันด้วย “จะเอาอย่างนั้นก็ได้นะ”

“ไม่เอา!”

หญิงสาวปฏิเสธโดยไม่หยุดคิดแม้สักวินาที เลือดในกายสูบฉีดขึ้นไปกองอยู่บนหน้าจนเห่อร้อนไปหมด วายุยักไหล่

“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งอยู่อย่างนี้ละ ฉันหลับแล้วเธอค่อยกลับไปนอน” กลิ่นหอมจากเนื้อตัวนุ่มนิ่มของปณาลีก่อให้เกิดความรู้สึกหวงแหนอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน “ห้ามหนี เข้าใจไหม”

“ไม่อยากเข้าใจเลยค่ะ” ปณาลีพึมพำอยู่ในลำคอ สัมผัสจากฝ่ามือชื้นเหงื่อของเขาทำให้รู้สึกจักจี้หัวใจพิกล “เผด็จการชะมัด”

“บ่นอะไร”

“บ่นคุณนั่นละ” หญิงสาวรวนเข้าให้ “ไม่ต้องจับมือไว้แบบนี้ได้ไหมคะ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก ฉันกลัวคุณหักขาฉันจะตายไป”

“กลัวก็ดีแล้ว” วายุหลุดเสียงหัวเราะออกมาให้เธอได้ยินเป็นครั้งแรก เธอถึงกับต้องหันไปมองให้ชัดๆ ว่านั่นคือเสียงหัวเราะจริงๆ ไม่ได้หูฝาดไป “ถ้าไม่อยากให้ฉันหักขาจริงๆ ละก็ พรุ่งนี้ใส่กางเกงขายาวเสียด้วยนะ”

“หือ? ใส่ขายาว” ปณาลีทำหน้างง “ทำไมล่ะคะ”

ถึงเขาไม่บอก เธอก็ไม่คิดแต่งตัวลำลองถึงเพียงนั้นไปคุยธุระสำคัญอยู่แล้ว

“เพราะฉันไม่ชอบ” วายุมองดวงหน้ากระจ่างใสของหญิงสาวอย่างเผลอไผล “ฉันไม่ชอบให้ใครมองขาของเธอ ฉัน...หวง”

 

มอเตอร์ไซค์ยามาฮ่าเอ็มที-๑๐ จอดด้านหน้าตึกหรูย่านสาทรเมื่อเวลา ๑๑.๓๐ น. ปณาลียังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เบาะด้านหลังอยู่อีกราวนาทีเศษก่อนจะตั้งสติปีนลงจากรถอย่างทุลักทุเล สองขาของเธอสั่นระริกด้วยสารถีเจ้าอารมณ์ขับรถเร็วมากจนเล่นเอาใจหายใจคว่ำมาตลอดทาง

“จะให้มารับกี่โมง”

คำถามที่เพิ่งได้ยินทำเอามือที่กำลังถอดหมวกกันน็อกคืนให้เจ้าของชะงัก ปณาลีหันกลับไปมองคนที่ดันชีลด์หมวกกันน็อกให้เปิดออก แล้วต้องรีบหลบตาวูบเมื่อสบประสานสายตากับดวงตาคมกริบราวนัยน์ตาเหยี่ยวของเขาพอดี...คนอะไรตาดุเป็นบ้า เห็นแล้วเสียวสันหลังที่สุด!

“ไม่ต้องมารับก็ได้ค่ะ ฉันกลับเองได้ แค่คุณมาส่งก็เกรงใจแย่แล้ว”

ที่จริงกลัวที่ต้องซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของเขาจนขนหัวตั้งต่างหากเล่า!

“กี่โมง”

วายุถามคำถามเดิมด้วยรูปประโยคที่สั้นลงไปอีกบ่งชัดถึงระดับความหงุดหงิดที่เริ่มเพิ่มขึ้นทีละนิด หญิงสาวทำท่าอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ฉัน...ไม่รู้ว่าจะคุยกับเขาเสร็จเมื่อไหร่ ไม่อยากให้คุณมารอ เผื่อว่าคุณมีธุระต้องทำ ฉันเกรงใจ...”

เธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเขาและเขาก็ไม่เคยให้ จะติดต่อบอกกล่าวเขาได้อย่างไรกันเล่า

“ฉันจะมาตอนบ่ายสอง ถ้าเสร็จเร็วก็นั่งรอที่ร้านกาแฟตรงโน้น แต่ถ้าเสร็จช้ากว่านั้น ฉันจะรอเธอตรงนี้”

เขาพูดเองเออเองเสร็จสรรพโดยไม่เปิดโอกาสให้ปณาลีท้วง ไม่สิ...ถึงเธอค้านเขาก็ไม่ฟังอยู่ดีจึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงักรับคำไปทั้งที่แสนหนักใจและสับสน ทำไมจะไม่สับสนเล่า...ก็เขาคุ้มดีคุ้มร้าย บทจะโหดก็เหี้ยมเกินรับ แต่บทจะดีก็ดีใจหาย ไม่รู้ว่าแบบไหนคือตัวตนที่แท้จริงของเขากันแน่

‘ฉัน...หวง’

แก้มทั้งสองข้างของปณาลีซับสีเลือดจนแดงระเรื่อเมื่อนึกถึงถ้อยคำสั้นๆ ที่เขาพูดก่อนหลับไป เธอแน่ใจว่าได้ยินเขาพูดเช่นนั้นจริงๆ แต่ยามแสงของวันใหม่มาเยือน เขาก็ตีหน้ายักษ์ใส่เธอตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้นจนเธอคิดว่าคงหูแว่วไปเอง ที่น่าขันที่สุดก็คือประโยคแสนสั้นนั้นทำให้เธอหวั่นไหวมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ลี” วายุส่งเสียงเรียกคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด “ลืมของ”

“คะ?” ปณาลีกะพริบตาปริบๆ ขณะพยายามเรียกสติให้คืนสู่ร่างก่อนจะเห็นว่าตนเองลืมพอร์ตโฟลิโอที่นั่งทำมาหลายวันไว้บนเบาะมอเตอร์ไซค์จึงรีบคว้ามาถือไว้อย่างเก้ๆ กังๆ

“ไม่ต้องกังวล เธอทำได้อยู่แล้ว”

วายุพูดพลางสตาร์ตเครื่องรถแล้วขับออกไปทิ้งให้หญิงสาวยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ เดี๋ยวนะ...นี่เธอไม่ได้หูฝาดไปเหมือนเมื่อคืนใช่ไหม เขา...พูดให้กำลังใจเธอ!

“มิสปณาลีใช่ไหมคะ”

เสียงพูดเป็นภาษาอังกฤษดังขึ้นจากเบื้องหลัง ปณาลีสะดุ้งนิดๆ เธอรีบหันกลับไปหาต้นเสียงแล้วพบว่ามีหญิงสาวต่างชาติเจ้าของเรือนผมสีน้ำผึ้งที่รวบตึงเป็นมวยต่ำยืนอยู่ ดวงตาหลังแว่นตากรอบทองนั้นคมกล้าและนิ่งสนิทจนเดาความรู้สึกของเจ้าตัวไม่ออก

“สวัสดีค่ะ”

เธอยื่นมือไปเชกแฮนด์กับหญิงสาวในชุดสูทกางเกงทะมัดทะแมงที่ตอบรับคำทักทายด้วยรอยยิ้มชืดชา

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ ลินดา ลองแมน เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของมิสเตอร์มัทธีอัส ดรากอส เราคุยเรื่องนัดหมายกันทางโทรศัพท์”

ลินดาลอบสำรวจคนตรงหน้า แล้วพอจะเข้าใจว่าทำไมเจ้านายหนุ่มถึงทำตาวิบวับเวลาพูดถึงสาวน้อยคนนี้นัก ในรูปว่าสวยแล้ว แต่ตัวจริงสวยกว่าเป็นสิบเท่า ขนาดสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายอย่างกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้มและเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวเข้าคู่กับรองเท้าผ้าใบสีเดียวกันยังดูโดดเด่นสะดุดตาถึงเพียงนี้ ถ้าจับมาลอกคราบแล้วขัดสีฉวีวรรณสักหน่อยก็เป็นนางแบบแถวหน้าได้แบบสบายๆ

“ฉันจำได้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” ปณาลีสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองสำรวจเธออยู่จึงส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้ “เอ่อ...ฉันขอโทษนะคะที่แต่งตัวไม่เป็นทางการเท่าไหร่คือ...”

เธอจะบอกอย่างไรดีเล่าว่ามีเสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อยที่สุดอยู่เท่านี้เอง

“คุณแต่งตัวสมวัยคุณดีแล้วค่ะ มิสปณาลี อีกอย่างเจ้านายก็ให้ฉันเรียนคุณแล้วนี่คะว่าวันนี้เป็นการพบปะอย่างไม่เป็นทางการ แต่งตัวสบายๆ ก็ได้ คุณไม่ต้องเครียดจนเกินไปนักหรอกค่ะ”

ลินดาลอบมองรูปร่างเพรียวบางสมส่วนของหญิงสาวแล้วค่อนขอดเจ้านายหนุ่มในใจ สะโพกกลมกลึงแถมขายาวเรียวแบบนี้หากไม่ใส่อะไรติดตัวเลยสักชิ้น มัทธีอัสชอบนักละ!

“ขอบคุณค่ะ” ปณาลียังรู้สึกเกร็งจนเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องอยู่ดี “แล้ว...เจ้านายคุณคิดจะฟ้องฉันจริงๆ ใช่ไหมคะ”

“ฉันไม่สามารถออกความคิดเห็นแทนเจ้านายได้ แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวของฉันละก็ ฉันคิดว่า ๖๐-๔๐ ค่ะ”

ลินดาตอบตามความสัตย์จริง ถึงมัทธีอัสจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนใจสาวสวยผู้นี้จนออกนอกหน้าเพียงไหน แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องของการทำธุรกิจแล้ว ทายาทของตระกูลดรากอสอย่างเขาก็พร้อมกลายเป็นคนเลือดเย็นได้ทุกเมื่อ

“อะไร ๖๐ แล้วอะไร ๔๐ คะ”

“เอาไว้ถามเขาเองดีกว่าค่ะ มิสปณาลี” สีหน้าของลินดาเรียบเฉย “คุณกลัวเหรอคะ”

“ตอบตามจริงแบบไม่กั๊กไว้เลยก็กลัวค่ะ” หญิงสาวยอมรับโดยดุษณี ก่อนหน้าจะมาที่นี่ เธอคิดว่าตนเองพกความมั่นใจมาเต็มร้อย แต่พอคิดว่าจะต้องไปสู้รบปรบมือกับคนที่เหนือกว่าทุกด้านอย่างมัทธีอัส ดรากอสก็เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมานิดๆ “แต่ฉันมีหลักฐานมายืนยันครบถ้วน ฉันคิดว่า...”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวนี่คะ ถ้าคุณพูดความจริง มีหลักฐานมายืนยัน คนที่ต้องกลัวคงไม่ใช่คุณ แต่เป็นทางเรามากกว่า จริงไหมคะ”

ปณาลีฟังไม่ออกว่าคนตรงหน้ากำลังปลอบใจหรือข่มขู่ให้เธอกลัวมากกว่าเดิมกันแน่ แต่น่าแปลกที่ทำให้เธอรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาได้บ้าง ลินดาพูดถูก เธอไม่ผิดแล้วจะกลัวอะไรกันเล่า สู้ด้วยความจริงและความถูกต้องสิ!

“จริงค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า เริ่มฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย...”

“แต่ความจริงทำให้คนตายได้ถ้าพูดผิดที่ผิดเวลา”

ร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้มดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าเดินออกมาจากประตูเลื่อนอัตโนมัติ ใบหน้าหล่อเหลาแบบเทพบุตรกรีกประดับด้วยรอยยิ้มกว้างชวนมอง ดวงตาสีฟ้าทอประกายวิบวับยามทอดมองสาวสวยผู้มาเยือน ปณาลีทำหน้าตึงใส่เขาในขณะที่ลินดาลอบกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย

แหม...เก็บอาการหน่อยเถอะค่ะเจ้านาย!

มัทธีอัสคือคนที่ออกคำสั่งให้เธอมายืนรอรับปณาลีตั้งก่อนเวลานัดเกือบสี่สิบนาทีแล้วยังกำชับให้พาตรงไปยังห้องรับรองทันทีที่หญิงสาวมาถึง แล้วดูสิ ยังไม่ทันไรก็อดรนทนไม่ไหวออกมาคอยรับเจ้าหล่อนด้วยตัวเองเสียนี่ ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะเคยสนใจไยดีกระทั่งจะออกมาพูดคุยกับแขกระดับวีไอพีแบบเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ แต่กับแม่เด็กกะโปโลคนนี้ดันทำท่าเหมือนจะกระโจนเข้าไปอุ้มอย่างไรอย่างนั้น คอยดูเถอะ เดี๋ยวพวกพนักงานปากหอยปากปูคงได้นินทากันสนุกปากแน่

“สวัสดีครับ มิสปณาลี” มัทธีอัสยื่นมือไปเบื้องหน้าเพื่อเชกแฮนด์ “คุณมาก่อนเวลาเสียอีก แสดงว่าต้องตื่นเต้นที่จะได้เจอผมแน่นอนใช่ไหมครับ”

“ฉันกลัวรถติดต่างหากล่ะคะ มิสเตอร์ดรากอส” ปณาลีจับมือทักทายเขาตามมารยาท มือของเขาใหญ่โต แต่นุ่มเสียยิ่งกว่ามือของเธอเสียอีก “สวัสดีค่ะ ฉันต้องขอบคุณที่เปิดโอกาสให้ฉันได้ชี้แจงในส่วนของตัวเองนะคะ”

หญิงสาวต้องกระตุกมือกลับเมื่ออีกฝ่ายยังทำเป็นอ้อยอิ่งไม่ยอมปล่อยมือเธอง่ายๆ

“อย่าเพิ่งขอบคุณผมสิ เรายังไม่ทันได้คุยกันเลย จะออกหัวหรือก้อยก็ยังไม่รู้ คุยกันจบแล้วคุณอาจจะเปลี่ยนจากขอบคุณเป็นอยากข่วนหน้าผมแทนก็ได้”

ไม่ต้องรอถึงตอนนั้นก็ข่วนได้ย่ะ!

แม้ในใจของปณาลีจะคิดเช่นนั้น แต่ประโยคที่ล่วงพ้นริมฝีปากออกไปกลับเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดทุกประการ

“ผลจะเป็นยังไงเป็นเรื่องของอนาคต แต่การขอบคุณเป็นเรื่องที่ฉันควรทำเดี๋ยวนี้ค่ะ”

เพราะเขา...เป็นคนแรกที่ให้โอกาสเธอได้พูดถึงเธอจะไม่ค่อยชอบหน้าเขานักก็ตาม

“ช่างเป็นคนที่มีมารยาทจริงๆ” มัทธีอัสหัวเราะ “รู้ตัวไหมว่าคุณเป็นคนที่น่าสนใจมาก”

“อะแฮ่ม!” ลินดากระแอมเสียงดังจนเจ้านายหนุ่มหันกลับมามอง “คิดว่าตอนนี้อาหารที่ห้องรับรองคงพร้อมแล้ว เชิญเลยดีกว่าค่ะ เพราะช่วงบ่าย มิสปณาลีคงงานหนักทีเดียว ควรจะกินอะไรรองท้องเอาไว้ก่อน”

“งานหนัก? หมายความว่ายังไงกันคะ” ปณาลีมองหน้าชายหนุ่มกับเลขานุการส่วนตัวของเขาสลับกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ “นี่คุณมีแผนอะไรกันแน่คะ คุณดรากอส”

“เรียกผมว่าแมทดีกว่าครับ ฟังคุณเรียกเป็นทางการแล้วดูห่างเหินพิกล” มัทธีอัสดึงแฟ้มในมือของหญิงสาวไปเปิดดูโดยไม่ขออนุญาต “อื้อหือ เตรียมตัวมาดีนี่คุณ แต่แค่นี้น่ะ มันยังไม่พอสำหรับผมหรอกนะ ปณาลี”

“คุณยังไม่ตอบฉันเลยว่าคุณมีแผนอะไรกันแน่ มิส-เตอร์-ดรา-กอส” เธอพูดเน้นย้ำทีละคำ ช้าๆ ชัดๆ เพื่อให้เขารู้ว่าเธอจะไม่เรียกเขาอย่างสนิทสนมเหมือนที่เขาเรียกเธอด้วยชื่อเฉยๆ เป็นอันขาด

“สำหรับคนพิเศษก็ต้องแผนพิเศษสิคุณ” ดวงตาของมัทธีอัสทอประกายวับวาวขณะกวาดมองพอร์ตโฟลิโอในมือทีละหน้า “หลักฐานเด็กๆ แบบนี้ใครก็ทำขึ้นมาอ้างได้ ถ้าจะพิสูจน์ตัวเองละก็ ดวลกันตรงๆ ไปเลยดีที่สุด”

“ดะ...ดวล?”

“ใช่แล้ว คุณผู้หญิง ดวลกันซึ่งๆ หน้าไปเลย ผมจะเป็นกรรมการตัดสินเอง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น