5

แสงสว่าง

               ตลอดช่วงเช้าของวันนี้ กิจกรรมรับน้องยังคงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน เสียงกลองดังระรัวพร้อมกับเสียงร้องรำทำเพลงของพี่ๆ และรุ่นน้องหน้าใหม่ หน้าตาแต่ละคนมอมแมมไปด้วยแป้งฝุ่นกวนผสมกับน้ำ ป้ายไปมาเป็นรูปร่างหน้าตาต่างๆ ตามแต่รุ่นพี่จะเลือกสรรจัดให้เป็น ทรงผมถูกเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของพวกเขา เรียกได้ว่าเด็กใหม่แต่ละคนแทบไม่เหลือเค้าของนักศึกษาใหม่ที่มารายงานตัวเมื่อตอนเช้าเลยสักนิด ยิ่งรุ่นน้องผู้ชายดูเหมือนกับว่าพวกเขาจะถูกเปลี่ยนโฉมมากกว่าเด็กผู้หญิง 

               ส่วนพระพายนั้นถูกแต่งหน้าให้เป็นกระต่าย หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีหนวด 3 เส้นอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง แต้มปลายจมูกของเธอเป็นจุดเล็กๆ ผมเปียยาวด้านหลังถูกแกะออกแล้วมัดขึ้นใหม่เป็นผมแกละ 2 ข้างแทน

               “น่าอายจังเลย” พระพายบ่นอุบอิบ ในขณะที่สองมือเปิดกล่องข้าวที่เหลือข้าวสวยไว้เกินครึ่งกล่อง ยกมือขึ้นไหว้สาขอขมาข้าวที่เธอกินเหลือ ด้วยพระพายไม่ชอบกินข้าวที่ร่วนซุยเป็นเม็ดจนเกินไป จึงทำให้ความอยากอาหารลดน้อยถอยลงไปจนแทบไม่อยากตักเข้าปาก อาศัยตักกินเฉพาะส่วนที่ชุ่มด้วยน้ำซอสของผัดกะเพราที่ใส่ถั่วฝักยาวไปเท่านั้น

               “ไม่อร่อยเหรอ” โรสถามเสียงสดใส หล่อนดูสนอกสนใจการกระทำของพระพายเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ ที่ดูจะสนใจในตัวโรส เพราะหน้าตาหล่อนสะสวยอย่างสาวสมัยใหม่ ยิ่งโดยเฉพาะพวกนักศึกษาผู้ชายด้วยแล้ว บางคนเอาแต่จ้องมองโรสเสียจนหล่อนรู้สึกรำคาญใจ

               “เปล่า ก็อร่อยดี” พระพายเลือกที่จะตอบไปแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เพราะไม่อยากให้ใครเสียใจกับคำพูดของเธอ

               “อร่อยแล้วทำไมกินเหลือ” โรสเอ่ยแซว เพราะหล่อนซัดข้าวหมูกระเทียมในกล่องของตัวเองเสียจนเกลี้ยงกล่องทีเดียว อาจเพราะโรสเป็นเด็กสาวจากจังหวัดทางภาคกลางที่ส่วนใหญ่นิยมข้าวเจ้าแบบร่วนซุย แตกต่างไปจากพระพายที่ชอบกินข้าวหุงนิ่มๆ แฉะๆ ก็เป็นได้

               “ก็...ข้าวมันแข็ง...” 

               กระทั่งพระพายยอมบอกออกไปตามความรู้สึกของเธอ โรสจึงพอใจที่เห็นว่าเพื่อนยอมเปิดปากพูดกับหล่อนเสียที

               “พระพายยังโกรธอยู่เหรอ” โรสถามพลางขยับยกแก้วน้ำของหล่อนขึ้นดื่ม แล้วกระเถิบเข้าหาพระพายอย่างต้องการสนิทสนมด้วย

               “โกรธอะไร...ไม่ได้โกรธสักหน่อย” พระพายรีบปฏิเสธ เธอไม่ใช่คนที่จะโกรธใครง่ายๆ อยู่แล้ว เพียงแค่ไม่อยากพูดถึงเรื่องเหนือธรรมชาติมากนักเท่านั้น

               “จริงง่ะ” เพื่อนเธอยังคงเซ้าซี้

               “จริงๆ” พระพายยืนยันหนักแน่น

               “หลังจากนี้เราจะไปไหว้อาจารย์เป็นธรรมกันนะเด็กๆ ใครกินเสร็จแล้วก็เอาขยะไปทิ้งแล้วมาเข้าแถวได้แล้วนะ” 

               ตอนนั้นเองที่เสียงประกาศของรุ่นพี่ดังกึกก้องทั่วลานกิจกรรมซึ่งเป็นลานว่างที่ตั้งอยู่ด้านในของอาคารทรงแปดเหลี่ยม ค่อนข้างร่มรื่นและเต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย เพียงแต่ต้นที่เด่นสะดุดตาเป็นพิเศษเห็นจะเป็นต้นฉำฉาใหญ่ที่งอกขึ้นยังใจกลางลาน

สิ้นเสียงแจ้งข่าวเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นต่อในช่วงบ่ายแล้ว พระพายกับโรสจึงพากันเดินไปทิ้งขยะและล้างไม้ล้างมือ ก่อนจะกลับมาหอบข้าวหอบของพะรุงพะรังทั้งอุปกรณ์การเรียน และขนมนมเนยที่รุ่นพี่มอบให้ไปยืนรอเข้าแถวเพื่อเดินไปพร้อมๆ กันกับเพื่อนคนอื่นๆ 

เพียงไม่นานขบวนเด็กปี 1 ก็พลันเริ่มเดินไปยังประตูฝั่งทิศตะวันออกของวิทยาลัย ข้ามถนนสายเล็กออกไปผ่านตลาดใหญ่ที่เวลานี้เงียบสนิท เนื่องจากตลาดแห่งนี้เป็นตลาดที่เปิดขายกันในช่วงเช้าและช่วงเย็นเท่านั้น ในตอนกลางวันจึงเงียบสนิท จะมีก็แต่สุนัขฝูงใหญ่ที่นอนพุงโรเฝ้าตลาด แม้เด็กนักศึกษากว่าหลายชีวิตเดินผ่าน มันก็ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามอง

กลุ่มนักศึกษามุ่งหน้าเข้าไปยังซอยเล็กที่อยู่ถัดออกไปจากตลาดใหญ่ เดินต่ออีกเพียงไม่ถึงสิบห้านาทีก็เข้าสู่เขตของบ้านเรือนต่างๆ บนถนนลาดยางมะตอยที่มีร่องน้ำกว้างประมาณ 2 เมตรเศษๆ ขนาบข้าง ภายในร่องน้ำมีน้ำใสไหลเย็นอยู่เอื่อยเฉื่อย แทรกแซมไปด้วยต้นแว่นแก้วที่ชูใบกลมเขียวขึ้นเหนือผิวน้ำ ขยับไหวระริกเป็นระลอก ครั้นเมื่อต้องกันเอนไหวไปมา 

นกกรงหัวจุกที่ส่งเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์เสียจนได้ชื่อทางเหนือว่า ‘นกปิ๊ดจะลิว’ เกาะอยู่ตามกิ่งไม้พลางร้องหาพรรคพวกสนุกสนาน บรรยากาศตอนนี้ร่มรื่นขึ้นกว่าตอนเดินผ่านหน้าตลาดใหญ่อยู่มาก แต่ทุกคราที่สายลมพัดผ่านมาก็ทำให้หนาวกายขึ้นได้เช่นกัน

ทุกคนเดินเลียบไปตามร่องน้ำเล็กและกำแพงสีส้มสดที่ทอดยาวไป จนกระทั่งถึงปากทางเข้าใหญ่ก็เจอสะพานเล็กๆ ที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างถนนกับทางเข้าบ้านหลังหนึ่ง ราวสะพานสองฝั่งเป็นรูปตัวเหงา2 ประดับด้วยลวดลายละเอียดอ่อนตามความชอบของเจ้าของบ้านที่บัดนี้ยืนรอเด็กนักศึกษาอยู่แล้ว

‘อาจารย์เป็นธรรม’ หนึ่งในอาจารย์พิเศษของวิทยาลัยผู้มีชื่อเสียงทางด้านพุทธศิลป์ กว่าหลายปีแล้วที่อาจารย์เป็นธรรมรับทำงานสอนนักศึกษาไปพร้อมๆ กับงานศิลปะของตัวแกเอง แต่การเรียนการสอนในทุกๆ วิชาที่แกเป็นผู้สอน ต้องเข้ามาเรียนยังบ้านของแกเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าหลังจากกิจกรรมรับน้องในช่วงเช้า เด็กปีหนึ่งทุกคนจึงต้องถูกพามายังบ้านของแก เพื่อให้รู้จักเส้นทางและรับการบ้านชิ้นแรก แม้ว่าวิทยาลัยจะยังไม่เปิดเทอมก็ตาม

“น่ากลัวจัง...” 

ตอนนั้นเองที่โรสเริ่มแสดงความหวาดหวั่นขึ้นมา ทำเอาพระพายแปลกใจขึ้นในทันที

ทั้งคู่เดินตามคนอื่นๆ ไปช้าๆ กระทั่งทุกคนเดินผ่านซุ้มประตูไม้ใหญ่ที่เปิดอ้าออกกว้าง ภายในสถานที่แห่งนี้ร่มรื่นกว่าที่เห็นจากภายนอกอยู่มาก ทางเดินที่นำเด็กๆ เข้าไปยังภายในบริเวณบ้านของอาจารย์เป็นธรรมถูกปูด้วยหินสีขาวก้อนใหญ่ แม้จะทำให้เดินลำบากอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้บริเวณนี้สว่างขึ้นมากโขทีเดียว 

เมื่อมองตรงเข้าไปด้านใน จะพบว่าบ้านหลักของอาจารย์อยู่ทางซ้ายมือ เป็นบ้านปูนชั้นเดียวยกพื้นสูงไม่ต่างกับบ้านชาวบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป เสาด้านหน้าก่อด้วยอิฐมอญสีส้มสด หลังคายังมุงกระเบื้องดินขอแบบเก่า ทุกคนที่เดินเข้ามาไม่ได้สนใจบ้านของแกมากเท่ากับศาลาไม้สักใหญ่ทางขวามือที่แกสร้างไว้ริมสระบัว และมีทางเดินโอบรอบสระ เพราะลวดลายทั่วทั้งศาลาใหญ่นี้แกเป็นคนแกะสลักมันเองกับมือ

“เป็นอะไรเหรอ...” 

พระพายเอ่ยถามเพื่อนพลางหันมองไปรอบๆ กาย น่าแปลกใจที่เธอกลับมองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมใดๆ เลย นั่นรวมไปถึงเงาสีดำและกลิ่นแปลกๆ ที่เธอมักได้กลิ่นเมื่อมีวิญญาณหรือภูตผีปีศาจเข้ามาใกล้ 

สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พระพายรู้สึกว่ามันปลอดโปร่ง เพราะโดยปรกติแล้วไม่ว่าสถานที่ใดก็ตาม มักจะมีดวงวิญญาณที่ติดอยู่กับสถานที่นั้นๆ ทว่าตั้งแต่เธอก้าวผ่านสะพานตัวเหงาเข้ามาด้านใน ก็กลับไม่พบเห็นดวงวิญญาณดวงใดอีกเลย พระพายเบาใจอยู่น้อยๆ พลางกระชับกอดของที่เธอหอบหิ้วมาในท่าทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น

“ไม่มี...นั่นก็ไม่มี...นี่ก็ไม่มี...พระพาย ฉันว่าที่นี่มันแปลกๆ” โรสกระซิบ น้ำเสียงของหล่อนแสดงความกังวลใจออกมาอย่างชัดเจน

“ไม่มีก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” พระพายยังคงยืนยัน เธอเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ต้องมีอะไรสักอย่างคุ้มครองอยู่ และใครก็ตามที่คุ้มครองที่แห่งนี้...คงไม่ธรรมดา

               กระทั่งพระพายรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในรองเท้าของเธอ ดูเหมือนจะมีเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ หลุดเข้าไปในรองเท้าคัตชูเสียแล้ว สาวเจ้าจึงแยกตัวออกจากแถวเล็กน้อย ย่อตัวลงจัดการกับรองเท้าของเธอเสียก่อน

“เป็นอะไรคะน้อง” รุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง โรสเองก็หยุดคอยเธออยู่เช่นกัน

“อ๋อ ทรายมันหลุดเข้าไปในรองเท้าน่ะค่ะ” พระพายว่า ในขณะที่เธอหันมองเพื่อนคนอื่นๆ ที่ค่อยๆ เดินจากไป ท่าทีของโรสที่ดูร้อนรนขึ้นทำให้พระพายรับรู้ว่าอีกฝ่ายหวั่นใจกับสถานที่นี้อยู่จริงๆ

“ไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูเดินตามไป” พระพายจึงบอกกับรุ่นพี่ของเธอและโรสให้เดินนำไปก่อน พลางวางข้าวของมากมายที่หอบมาพะรุงพะรังไว้พิงกับเสาใหญ่หน้าบ้านของอาจารย์เป็นธรรม เท้ามือเรียวลงกับเสาใหญ่ที่เย็นเฉียบ ค่อยๆ ถอดรองเท้าคัตชูหนังของเธอ ก่อนจะเคาะตบเอาเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ออกมา

“รีบๆ ตามมานะ เดินไปจนสุดทาง พอถึงต้นหมากก็เลี้ยวซ้ายจะมีโถงเรียนอยู่” รุ่นพี่เธอว่า ท่าทางร้อนรนพอๆ กัน ดูเหมือนหล่อนจะกังวลเพราะเดินตามเพื่อนไม่ทัน ส่วนโรสนั้นดูหวั่นใจกับสิ่งที่หล่อนมองไม่เห็น

“ค่ะพี่” พระพายรับคำพลางพยายามตบรองเท้าของเธอ ตอนนั้นเองที่เม็ดทรายเม็ดใหญ่กระเด็นออกมาจากรองเท้า กลิ้งกระดอนไปรวมกันกับกองหินสีขาวที่ปูบนทางเดินใหญ่ เธอจ้องมองมันอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้สังเกตว่ามันหน้าตาอย่างไร เพราะมันก็คงเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง

รองเท้าคัตชูส้นเตี้ยถูกสวมไว้เช่นเดิม พร้อมกับสองมือเรียวที่ค่อยๆ หอบเอาสิ่งของต่างๆ ขึ้นอุ้มไว้แนบอก แต่อยู่ๆ สัมภาระชิ้นหนึ่งของเธอก็พลันเกี่ยวสร้อยยันต์ที่ผูกอยู่กับลำคอระหง มันคล้องอยู่อย่างนั้นแม้พระพายจะพยายามปลดมันออกด้วยการขยับข้าวของในมือก็ตาม ก่อนข้าวของมากมายจะเทกระจาดลงกับพื้น พระพายพยายามฝืนจนสุดแรงแล้ว แต่ก็หอบของทั้งหมดนี้ไม่ไหว มันหล่นลงกองกับพื้นไปพร้อมๆ กับยันต์ของเธอที่ไม่ควรจะหลุดออก

“อ๊ะ!!” พระพายร้องเสียงหลง ร่างบางรีบย่อตัวลงมองหายันต์ของเธอที่จมหายลงไปในกองข้าวของ พยายามควานหาก่อนใบหูเล็กจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ทำให้หวาดหวั่น

เสียงฝีเท้ามหึมาดังขึ้นดั่งอสุนีบาตฟาดลงกับผืนพสุธา พื้นดินหนาสั่นสะท้านในทุกคราที่สิ่งนั้นก้าวย่ำเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทำเอามือไม้ของพระพายสั่นเทาและตัวแข็งทื่อไปหมด 

ท้องฟ้าที่เคยสดใสกับพระอาทิตย์ดวงโตที่เฉิดฉายอยู่เหนือหัวอยู่ๆ ก็พลันมืดมิดลงสนิท ดั่งมีอะไรบดบังดวงสุริโยให้ดับไปในชั่วพริบตาเดียว พระพายรับรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเธอไร้ซึ่งสิ่งใดปกป้อง...

“พ่อ...” ภายในหัวที่ว่างเปล่าขาวโพลนของพระพายมีเพียงใบหน้าของพ่อเท่านั้นที่เธอนึกถึง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกำลังจะได้เผชิญหน้ากับสิ่งใด แต่มันทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวเสียจนแทบสิ้นสติ ริมฝีปากเล็กของพระพายสั่นระรัว แม้จะพยายามพร่ำสวดมนต์บทที่พ่อเคยสอน แต่ปากไม่รักดีมันก็ดันสั่นเทาด้วยความหวาดผวาเสียจนเธอเองต้องพยายามขบกรามข่มมันเอาไว้

น้ำตาใสเอ่อนองท่วมดวงตากลมไปหมดแล้ว ถึงอย่างนั้นแสงสว่างก็ยังคงไม่หวนกลับคืนมาอยู่ดี  แม้บรรยากาศตอนนี้จะทำให้เธอรู้สึกหนาวเหน็บเสียจนถึงสันหลัง แต่เหงื่อกาฬเม็ดโตกลับผุดขึ้นจากผิวกายขาว ไหลซึมลงกับเสื้อตัวบางเสียจนแทบโซมกายเธอ 

หัวใจดวงเล็กๆ ของพระพายเต้นแรงถี่รัวจนแทบจะระเบิดคาอก ลมหายใจหอบถี่พ่นออกมาจากริมฝีปากและปลายจมูกเสียจนเธอรับรู้ได้ถึงความปวดร้าวที่เกิดขึ้นภายในปอด ในขณะที่เสียงตึงตังยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ พระพายรับรู้ว่าอะไรบางอย่างกำลังขยับเข้ามาใกล้ แต่เธอไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมอง

ทันใดนั้นเองอยู่ๆ แสงสว่างเรืองรองก็พลันปรากฏขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ ความอบอุ่นดั่งแสงตะวันยามรุ่งสางช่วยขับไล่ความหนาวเหน็บนี้ให้ออกไปจนหมดสิ้น ก่อนดวงสุริยาดวงโตกลับมาสว่างเฉิดฉายได้อีกครา สองมือเธอกลับมาขยับได้อีกครั้ง จึงรีบควานหาสร้อยยันต์จนเจอ มือเล็กๆ กำมันไว้จนแน่นก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นเป็นการถามไถ่

“หาอะไรอยู่หรือ” 

เจ้าของเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร ทำให้พระพายต้องรีบเช็ดน้ำตาออก หอบหิ้วของมากมายของเธอขึ้นมายังที่เดิม ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา

“พะ...พอดีทำของตกน่ะค่ะ...” 

ทันทีที่สาวเจ้าหันกลับมามอง ภาพของชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับทำให้พระพายถึงกับตกตะลึง ชายร่างสูงใหญ่กับเรือนผมยาวสีทองสว่าง แผ่นอกหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามใหญ่ของเขาเปล่งปลั่งดั่งทองคำ ใบหน้าคมรับกับคิ้วดกหนาได้รูป และนัยน์ตาสีทองเป็นประกายระยิบระยับยิ่งเมื่อต้องแสงอาทิตย์ น่าแปลกที่ชายคนนี้สวมเพียงกางเกงสะดอสีขาวตัวเดียวเท่านั้น แม้แต่สองเท้าเองก็ยังเปลือยเปล่า

“อยากให้ข้าช่วยหารึเปล่า” เขาเอ่ยถาม

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ!! หะ...หาเจอแล้ว” พระพายรีบตอบ พลันรีบละสายตาออกจากเรือนกายอันน่าหลงใหลนั้น เสียก่อนที่ใจเธอจะเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้ ใบหน้างามแดงขึ้นน้อยๆ รวมถึงใบหูเล็กก็ร้อนฉ่าไปด้วย

“ข้าขอดูหน่อยได้หรือเปล่า” ตอนนั้นเองที่เจ้าของกายาใหญ่พลันก้าวเข้ามาหา แล้วหยุดเว้นระยะห่างให้สาวเจ้าไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป ก่อนจะยื่นมือหนาให้เธอ

เจ้าของดวงตางามเหลือบขึ้นมองใบหน้าคมของเขาอีกครา จ้องมองอย่างพิจารณาว่าชายคนนี้จะไว้ใจได้หรือเปล่า ด้วยเส้นผมยาวกับสีตาที่ไม่คุ้นเคย มิหนำซ้ำส่วนสูงที่สูงกว่าพระพายอยู่เกือบครึ่งเมตรได้ทำให้สาวเจ้าคิดเองเออเองว่า เขาคงเป็นชาวต่างชาติ กระทั่งเธอยอมยื่นยันต์ในมือให้เขาดู ชายร่างใหญ่จึงมองมันอย่างพิจารณา ก่อนจะบริกรรมคาถาหนึ่งใส่ลงยันต์

“มาสิ ข้าผูกให้” 

สิ้นคำเขาพระพายก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูง ดวงตางามมีแววเลิ่กลั่กอยู่น้อยๆ ก่อนจะหันหลังให้เขาผูกยันต์บนคอเธอ แม้จะกล้าๆ กลัวๆ แต่ใจหนึ่งก็ยังคงคิดว่า หากอะไรบางอย่างนั้นกลับมาตอนเธอไม่มียันต์นี้ผูกติดกับตัว มันคงไม่ดีแน่ๆ

“ขะ...ขอบคุณค่ะ” 

พระพายเอ่ยด้วยเสียงสั่น หัวใจของเธอเต้นโครมครามอย่างไม่มีสาเหตุ ในขณะที่เส้นผมสีทองเส้นหนึ่งถูกแซมลงกับเส้นฝ้ายสีแดงสดของสร้อยยันต์ ชายหนุ่มผูกปลายทั้งสองฝั่งจนเชื่อมกันสนิท พระพายไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าเขาผูกยันต์บนคอเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยมือหนาเขานุ่มนวลกับเธอเหลือเกิน 

สายลมเย็นเอื่อยเฉื่อยโชยพัดมาแผ่วเบา ยามมันต้องกายขาวของพระพายก็พากลิ่นหอมของเธอโชยไปแตะปลายจมูกคม กลิ่นหอมของน้ำอบโบราณทำให้ชายหนุ่มเผลอดอมดมเส้นผมเงางามนี้อย่างเผลอไผล ทุกอย่างรอบกายเหมือนหยุดนิ่ง เวลาที่กำลังเดินไปข้างหน้าดูเหมือนหยุดลงชั่วขณะหนึ่ง ปล่อยให้เจ้าของกายาใหญ่ได้ดอมดมกลิ่นนี้จนพอใจเสียก่อน เพียงแต่...

“อะ...อ๊ะ...” สาวเจ้ากลับรีบขยับตัวออกห่าง หันใบหน้างามมองชายร่างใหญ่ที่ยังคงยืนโหยหาอยู่ที่เดิมของเขา

“คะ...คือ...ขอบคุณค่ะ” สาวเจ้ารีบเอ่ยขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับค้อมศีรษะให้เขาแทนการไหว้ ด้วยเพราะสองมือเธอปล่อยออกจากสัมภาระเหล่านี้ไม่ได้แล้ว

“เจ้าชื่ออะไร” ตอนนั้นเองที่คนตรงหน้าเอ่ยถามนามของเธอ

พระพายกระชับกอดข้าวของของเธอจนแน่น ด้วยหัวใจของเธอแทบระเบิดออกมากองอยู่เบื้องหน้าเขา สองมือขยับยกสัมภาระขึ้นบดบังริมฝีปากอิ่มน้อยๆ แล้วค่อยตอบ

“พระพายค่ะ...” 

ใบหน้าพระพายแดงแจ๋ แต่เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดตอบกลับ เอาแต่จ้องมองใบหน้างามของเธออยู่อย่างนั้นจนพระพายเองเริ่มทำตัวไม่ถูก แต่ก่อนที่เขาจะได้เอื้อนเอ่ยคำใดต่อ เธอก็พลันรีบขอตัวไปก่อน

“ตะ...ต้องไปแล้วค่ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ” 

ชายตรงหน้าทำได้เพียงส่งยิ้มหวาน เขาพยักหน้าเป็นคำตอบน้อยๆ ก่อนพระพายจะค้อมศีรษะให้เขาอีกครั้งแทนการบอกลา

               ร่างบางรีบจ้ำอ้าวเดินจากไปเร็วจี๋ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเธอเองก็ไม่ได้เอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนามของเขา ครั้นพอคิดได้ก็ถึงกับหยุดกึกอยู่กับที่ แล้วรีบหันกลับไปมอง แต่ตอนนี้เขากลับหายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว 

               ดวงตางามกะพริบปริบๆ คนอะไรไปไวมาไวเหลือเกิน... 

               แต่ไม่มีเวลาให้คิดนาน เมื่ออยู่ๆ เสียงของรุ่นพี่ปี 2 ก็พลันตะโกนเรียกเธอ

               “น้องพระพาย!! เร็วๆ หายไปไหนมา!” 

               เสียงเล็กแหลมของรุ่นพี่ดังทะลุเข้าไปถึงแก้วหูชั้นใน เธอจำต้องรีบก้าวไปหาหล่อนก่อนที่หล่อนจะฉีกเนื้อเธอเป็นชิ้นๆ เพราะหน้าตาบูดบึ้งยิ่งกว่ายักษ์มารเสียอีก...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น