4

ชีวิตใหม่ของแสงหล้า

บทที่ ๔

ชีวิตใหม่ของแสงหล้า

 

ดึกร้างน้ำค้างเปลี่ยว หลังจากสุมไฟให้ควายเสร็จ พรเทพจึงเดินออกไปที่ท่าน้ำ

วางตะเกียงกระป๋องลงตรงท่า แล้วนั่งหย่อนขาแช่น้ำ แหงนมองฟ้า ใจนึกไปถึงบ้านของใครบางคนทางทิศเหนือ ป่านนี้สาวเจ้าจะทำอะไรอยู่ หวังว่าคงยังไม่นอน

ดาหวัน...ดั่งดวงดาวที่พัวพันอยู่ในใจพี่นี้ 

หากคืนนี้อาบน้ำอาบท่าเสร็จ จะรวบรวมความกล้าไปหาเธอที่บ้าน เพื่อไปช่วยหญิงสาวสาวฝ้าย แต่ใจจริงแค่อยากเห็นหน้า ไม่งั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับ

เขารู้และคิดว่านวลน้องก็คงรู้ ใจสองพ้องกัน เจอหน้ากันแต่ละครั้ง อารมณ์หนุ่มสาวสูบฉีด เหมือนมีแรงดึงดูดให้จ้องตากันโดยมิได้นัดหมาย แข้งขาเหมือนมีใครมากุมให้เดินเข้าไปใกล้ อยากแนบชิด ดมกลิ่นนาง พรเทพคิดว่าหากมีเงินเก็บอีกสักหน่อย จะบอกพ่อให้ไปขอดาหวันมาเป็นเมียเสีย ทุกอย่างคงไม่ยากเกินไป

หัวใจเปี่ยมสุข นึกถึงวงหน้าขาวใสเกลี้ยงเกลา ไฝฝ้าสักเม็ดก็หาไม่เจอ ปากนิดจมูกหน่อย สาวน้อยดาหวันรูปร่างสมส่วน เห็นชัดจนก่อเกิดเป็นความกำหนัด พรเทพจึงถอดผ้าขาวม้าและพุ่งตัวลงคลอง ขัดถูคราบไคลและหวังจะปลดปล่อยความคำนึงให้ระบายออกบ้าง

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าระหว่างที่เขากำลังหลับตาพริ้ม ให้มือใต้ธาราพาขึ้นสวรรค์ ใครคนหนึ่งออกมาจากเงามืด ร่างนั้นค่อยๆ ย่องและนั่งลงที่ท่าน้ำ มองเขาอย่างชื่นชม

พี่พรเทพของข้า ช่างรูปงามนัก งามกว่าใครในบ้านสันทราย แต่ไยถึงไม่มีใจให้ข้า ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่างามที่สุดในหมู่บ้านเช่นกัน

หงส์ควรคู่หงส์ เทวดาควรคู่นางฟ้า แม้ว่าฐานะของพี่จะไม่ร่ำรวย แต่หากได้เป็นคู่ครอง คนทั้งสันทรายก็ต้องชื่นชมว่าเราทั้งคู่ช่างเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก แต่เพราะลูกแม่ม่ายคนจนนั่นคนเดียว พี่พรเทพเลยไม่เคยมองข้า

เสียงกุกกักที่ท่าน้ำทำให้พรเทพหันขวับไปมอง เขาตกใจเมื่อเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ แสงสีส้มจากตะเกียงส่องให้เห็นว่าเป็นหญิงสาวคุ้นตา

‘แสงหล้า’

‘ทำไมพี่ถึงอาบน้ำดึกนัก’ หญิงสาวยิ้ม ตาเป็นประกาย แถมยังพลิกมาเป็นนั่งไขว่ห้าง เผยให้เห็นเรียวขาเนียนใต้ผ้าถุง ซึ่งเธอตั้งใจถลกขึ้นสูงกว่าปกติ

‘สูมาทำไม ค่ำมืดป่านนี้’ บ้านแสงหล้าอยู่ใกล้บ้านดาหวัน พรเทพเขินอายที่จะให้เธอเห็นตัวเองเปลือยกาย ที่สำคัญบางอย่างตรงจุดศูนย์กลางของร่างกายยังชูชัน

‘โธ่ ข้าก็ตั้งใจมาหาพี่น่ะสิ ว่าแต่พอเห็นพี่อาบน้ำแล้ว ข้าก็อยากอาบด้วย’ ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังถอดเสื้อยืดออก 

พรเทพกลืนน้ำลายฝืดเฝื่อน ร่างขาวผ่องของหญิงสาวงดงามใต้แสงตะเกียง กิเลสและกามารมณ์คืบคลานออกจากความคิดไหลแล่นไปตามแขนขาจนเขาไม่อาจขยับตัวได้

แสงหล้าเป็นคนสวย สวยคนละแบบกับดาหวัน ในใจชายหนุ่มเอนเอียงไปทางฝ่ายหลัง แต่เมื่อแสงหล้าเป็นฝ่ายเข้าหาและส่งบัตรเชิญพิศวาสให้ พรเทพก็เริ่มหวั่นไหว 

แสงหล้าเองก็รู้ว่าพรเทพนั้นพึงใจอยู่กับดาหวัน นั่นละเธอจึงไม่มีวันยอม เธอมีดีกว่าดาหวันทุกอย่าง เมื่อไม่สนศีลธรรมและความถูกต้อง หญิงสาวจึงรู้เพียงว่าต้องได้พรเทพมาเป็นผัว แม้จะเสียอะไรไปก็ช่าง! 

หญิงสาวตัดสินใจกระโดดลงน้ำและแหวกว่ายเข้าหาชายหนุ่ม

‘แสงหล้า อย่าแบบนี้’ พรเทพเสียงสั่น แต่ก็ไม่ขยับหนี

‘ถ้าพี่พรเทพไม่รังเกียจข้า ทุกอย่างมันย่อมดี’

เธอทิ้งยางอาย บอกใจให้กล้าและโอบแขนคล้องคอเขา หน้าอกของสาวแรกรุ่นเบียดเข้ากับกล้ามแกร่งของหนุ่มรุ่นกระทง เหมือนน้ำมันหยดลงในกองไฟ จึงลุกโชติช่วงเป็นเพลิงโลกีย์ หญิงสาวยื่นหน้าเข้าใกล้ ส่งสายตายวนยั่ว ในที่สุดพรเทพก็ประกบปาก แลกชิวหาพัลวัน มือคลึงเคล้าปทุมถันยอดงาม เขาเหมือนหมาป่าที่หิวโซ ซึ่งเธอก็ย่อมเป็นกระต่ายน้อยยินดีให้เขาฉีกเป็นชิ้นๆ เพื่อให้หายหิว

ไฟตะเกียงสั่นไหว เช่นแรงกระเพื่อมของผิวน้ำยามที่หนุ่มสาวขยับเนื้อตัวกระทบกัน เสียงครางด้วยความพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายเคล้าคลอกับเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ดังก้องทุ่ง

 

“นึกอะไรอยู่” คนที่นอนข้างๆ ถามเมื่อเห็นภรรยานิ่งเงียบไปนาน

แสงหล้าพลิกตัว หันมากอดสามีที่เพิ่งเสร็จกามกิจร่วมกัน

“คิดไปเรื่อยเปื่อย” เธอตอบ แต่สามีรูปหล่อกลับขมวดคิ้ว

“หรือสูคิดถึงพรเทพ”

หญิงสาวหน้าเสีย “ใครจะไปคิดถึงคนแบบนั้น ผู้ชายขี้ขลาด” ตอบปด ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เธอเพิ่งเผลอคิดไปไกลถึงตอนที่มีอะไรครั้งแรกกับผัวเก่าเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น 

“คิดถึงลูกมากกว่า” รีบเอาลูกมาอ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องพูดถึงพรเทพอีก

“เดือนหน้าพี่ก็จะได้ไปทำธุระทางสันทรายอีก จะแวะไปหาก็ได้นะ” จำรัสเอ่ยพร้อมกับพลิกตัวไปหยิบบุหรี่มาสูบ

“จริงเหรอ ข้าขอไปด้วยนะ” แสงหล้าตาโต

“พี่ว่าเราน่าจะมีลูกไว้ในเวียงนะ สูจะได้ไม่ต้องคิดถึงลูกที่สันทรายอีก” จำรัสใช้อีกมือลูบต้นแขนเนียนๆ ของเมียรัก

ความจริงแล้วจำรัสเป็นคนรูปหล่อ ฐานะดี มีผู้หญิงมาเกี่ยวพันนับไม่ถ้วน แต่ก็แปลกใจไม่น้อยที่ดันมาสนใจคนมีผัวอย่างแสงหล้า

บางทีอาจเป็นเพราะความท้าทาย เมื่อแสงหล้าเป็นคนสวย แต่ถูกล่ามด้วยศีลธรรม ซึ่งคนอย่างจำรัสเคยกลัวเสียที่ไหน

“หมายความว่ายังไง” แสงหล้าสงสัย 

ผัวใหม่วางยาสูบ พลิกตัวมาหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ เริ่มมือไม้ซุกซนไปทั่วร่างเธออีกครั้ง

“ก็หมายความว่า เราควรมีลูกด้วยกันซะที” 

จำรัสยิ้มเจ้าเล่ห์ ระดมจูบไปทั่วร่างเมียรัก แสงหล้าหัวเราะคิกคัก ปัดไม้ปัดมือพอเป็นพิธี แต่ก็ยอมให้เขาเชยชมเรือนกายต่อ

ชีวิตใหม่ช่างมีความสุขเหลือเกิน หากได้กลับไปที่สันทรายอีก เธอจะต้องไปไหว้สาเจ้าพ่อคำสะหลี...เพราะเจ้าพ่อแท้ๆ ที่บอกว่าหากเธอเลิกกับพรเทพ ทุกอย่างในชีวิตเธอจะดีขึ้น 

สิ่งที่เจ้าพ่อทำนายไว้ ไม่ผิดเลยสักนิด!

 

หลังเที่ยงคืน ทั้งหมู่บ้านเงียบสงัด ผู้คนต่างหลับสนิทในเรือนของตน เดือนครึ่งดวงลอยแขวนบนฟ้า บางเวลาก็หายลับเข้ากลีบเมฆ ทุกอย่างมืดมิด นกแสกตัวใหญ่บินโฉบเหนือกระท่อมหลังน้อยก่อนจะมาเกาะนิ่งที่กิ่งไม้ใหญ่ มันมองไปยังหน้าต่างบ้านที่มีหญิงม่ายและลูกสาวหลับอยู่ด้านใน

ดาหวันดำดิ่งสู่นิทราแสนสุข กระทั่งเสียงนอกหน้าต่างดังขึ้น

“แสกๆ”

เธอสะดุ้งตื่น ผุดลุกขึ้นนั่ง หัวใจเต้นโครมครามจนแทบหลุดออกจากร่าง เหงื่อซึมทั่วกาย รู้สึกหวาดกลัวไปหมด 

นกแสกตัวเดิมยังร้องก้องอยู่บนต้นไม้ ดาหวันยกมือไหว้พระ หวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้อุ่นใจ หันไปมองที่นอนของแม่ ดาหวันก็ตาเบิกโพลง

ที่นอนของทองใบว่างเปล่า...

เหงื่อผุดพราวออกมาอีกครา ดาหวันจุดตะเกียง แสงสีส้มไล่ต้อนความมืดเข้าซอกหลืบ พยายามกวาดตาหาทั่วห้องก็ไม่เจอแม่

นกตัวเดิมยังร้องก้อง เสียงดังราวกับมันเกาะที่ขื่อในบ้าน ดาหวันขนลุก ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก เสียงนกแสกร้องดังที่บ้านใคร มักจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น

“แม่” เมื่อลองเรียกก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ ดาหวันจึงถือตะเกียงออกจากห้องนอน คิดว่าทองใบอาจจะออกมากินน้ำกินท่า 

ไม่สิ แม่ของเธอมีโรคประจำตัวรุมเร้า เดินไปไหนได้สะดวกเสียที่ไหน 

พลันภาพคืนวันที่มีหนังกลางแปลงมาฉายก็แทรกเข้ามาจนทำให้มือชุ่มเหงื่อ 

หรือว่าทองใบจะอยู่ที่ใต้ถุน 

นึกได้จึงแข็งใจเปิดประตู นอกเรือนอากาศเย็น น้ำค้างลงหนัก ได้ยินเสียงหยดร่วงจากกิ่งไม้ดังเปาะแปะ หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเดินลงบันไดอย่างระวัง เป้าหมายคือเล้าไก่ใต้ถุนบ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็ไม่มีไก่แล้ว แต่เธอแอบหวั่นใจว่าแม่อาจจะละเมอไปที่นั่น 

ไฟตะเกียงสาดส่อง แต่ไม่พบร่างมารดา กระทั่งนกตัวเดิมร้องขึ้นอีก

“แสก!”

ดาหวันสะดุ้งโหยง นกผีขยับปีก บินผ่านหน้า เริ่มได้ยินเสียงเอะอะโวยวายหน้าบ้าน หญิงสาวยกตะเกียงส่อง เห็นชายสามคนเดินเข้ามาในรั้วบ้าน ทั้งหมดเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง

“ลุงติ๊บ มีอะไรหรือเปล่า” เธอถามเสียงสั่น 

“อีดาหวัน ไปที่นากูเดี๋ยวนี้” เขาเอ่ยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ปะ...ไปทำไม”

“พวกกูไปส่องเขียด ขากลับกำลังจะข้ามสะพาน ไปเจอแม่มึง”

ดาหวันเบิกตาโพลง อ้าปากค้าง

“พอกูเอาไฟฉายส่องหน้า แม่มึงก็กรีดร้อง พวกกูตกใจเลยรีบมาบอกมึงนี่แหละ” คนเล่าหน้าตาตื่น

ดาหวันแทบล้มทั้งยืน แต่สมองก็สั่งให้รีบวิ่งออกจากบ้านเร็วที่สุด

“แม่!”

 

แสงหล้าลงจากรถมอเตอร์ไซค์คันโก้ ล่ำลาผัวรักแล้วจึงเดินเข้าบ้านไม้สักหลังใหญ่ เธอทักทายคนในบ้านอย่างคุ้นเคย ก่อนจะมุ่งไปยังหลังบ้าน เป้าหมายคือศาลาไม้ยกใต้ถุนสูงประมาณหนึ่งเมตรครึ่ง อันเป็นหอทรงเจ้าประจำหมู่บ้าน ที่ตีนบันไดเต็มไปด้วยรองเท้าหลายคู่ คาดว่า ‘อัมพร’ เพื่อนของเธอที่เป็นร่างทรงคงปฏิบัติภารกิจอยู่

แสงหล้าเดินขึ้นไปอย่างระวัง สวนทางกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะกลับพอดี พวกเขาหันหน้าซุบซิบเมื่อเห็นหน้าเธอ แต่ผู้มาใหม่ไม่ใส่ใจนัก มุ่งไปยังหน้าหิ้งพิธีซึ่งอัมพรนั่งชันเข่าอยู่อย่างสบายใจ ข้างๆ มี ‘น้อยโหน่ง’ ผู้ช่วยคนสำคัญคอยพัดวี

ร่างทรงอยู่ในชุดผ้าไหมสีเขียว นุ่งโสร่งลายตารางของพม่า บนศีรษะมีผ้าโพกสีขาวและมีดอกมะลิแซมข้างหู

“อ้าว แสงหล้า ไปไหนมาเหรอ”

“ตั้งใจมาหาสูนั่นแหละ” แสงหล้าตอบ เพราะรู้ดีว่าบัดนี้ที่สนทนาอยู่คือเพื่อนเก่า หาใช่ผีเจ้านายประทับร่างไม่ 

อัมพรเป็นสาวห้าว เล่นหัวด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก บุคลิกของเพื่อนเก่าคนนี้ออกแนวทะมัดทะแมงคล้ายผู้ชายและไม่ได้สนใจเพศตรงข้าม หลังเรียนจบชั้นประถม อัมพรไปทำงานแถวนิคมลำพูน พัวพันหญิงสาวมากมาย จนสามปีก่อน แม่ของอัมพรซึ่งเป็นร่างทรงคนเก่าของเจ้าพ่อล้มป่วยเสียชีวิต ทำให้อัมพรต้องรับหน้าที่เป็นม้าขี่สืบทอดอย่างเลี่ยงไม่ได้

“จะมาให้เจ้าพ่อช่วยอะไรล่ะ” อัมพรหลิ่วตาให้

แสงหล้าส่ายหน้า แต่หยิบซองที่บรรจุเงินจำนวนหนึ่งมาใส่ขันที่วางตรงหน้า “ข้าแค่มาขอบคุณพ่อเจ้าที่ช่วยให้ข้าได้ชีวิตใหม่”

เงินกำนัล เป็นค่าไหว้ครู ที่มีต่อความศรัทธาเจ้าพ่อคำสะหลี ที่ช่วยให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ 

ทำไมจะจำไม่ได้ หลังจากทนเหนื่อยหน่ายกับชีวิตตัวเองที่มีผัวซื่อบื้อและต้องดูแลลูกถึงสามคน หนำซ้ำบุญคงก็ยังตระหนี่ ไม่ยอมตามใจเธอเหมือนตอนเป็นสาว การมีครอบครัวไม่ได้ทำให้เธอสบายเหมือนเก่า 

ที่สุดแสงหล้าก็ได้พบกับทางสวรรค์ วันที่เธอมารดน้ำดำหัวเจ้าพ่อคำสะหลีตอนไหว้ผีเดือนเก้า วันนั้นเจ้าพ่อท่านมองหน้าและหัวเราะลั่น ก่อนจะชี้นิ้วบอกว่า คนอย่างเธอไม่สมควรมีชีวิตอยู่เพียงแค่นี้

‘มึงต้องมีผัวใหม่ เป็นคนรวย รูปงามปานเทพบุตร และมันจะทำให้มึงมีชีวิตที่ดีกว่านี้!’ 

คำพูดของเจ้าพ่อช่างศักดิ์สิทธิ์นัก ถัดมาไม่กี่เดือนเธอก็ได้พบกับจำรัสที่ตลาดในเวียง แค่สบตาแสงหล้าก็รู้ เขาน่าจะเป็นเทพบุตรจุติมาเพื่อมอบชีวิตใหม่ให้เธอแน่ การพบหน้ากันคือเรื่องบังเอิญ แต่การยิ้มให้คือความตั้งใจ ทั้งคู่สานสัมพันธ์กันอย่างลับๆ

จำรัสเป็นหนุ่มหล่อ ลูกคนรวยในตัวเวียงฝาง อายุยังไม่ถึงสามสิบ แต่ก็มีทุนค้าวัวควายจนล่ำซำ เขาหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็น แม้จะมีโซ่ศีลธรรมคอยกั้น แต่เขาก็หยิบค้อนมาทุบทำลายจนแหลก มั่นใจว่าเขาเองก็รักแสงหล้าไม่แพ้พรเทพ

แสงหล้าเองก็รู้ว่าทำไมถูก แต่ทำไงได้ ในเมื่อบาปครั้งนี้มันเคลือบน้ำผึ้งหวาน ส่งกลิ่นหอมล่อให้เธอดอมดม จนในที่สุดก็อดใจไม่ไหว แสงหล้าเชื่อเจ้าพ่อคำสะหลี ทิ้งผัว ทิ้งลูก ขอเพียงอย่างเดียว...ชีวิตเธอต้องไม่ลำบากอีกต่อไป

ทั้งสองหนีตามกัน...

เมื่อมาอยู่กับจำรัส ทุกอย่างราววิมานวาดฝัน เขาคอยเอาใจสารพัด อยากได้สิ่งไหนก็หามาให้ ที่สันทรายเธออาจจะเป็นอีวันทองสองใจ แต่ในเวียงเธอเป็นถึงเมียพ่อเลี้ยงจำรัส ขับรถเครื่องคันโก้ สาวน้อยสาวใหญ่ต่างก็อิจฉา เธอจึงศรัทธาเจ้าพ่อเต็มหัวใจ

“อย่างงั้นรึ” อัมพรเข้าใจความประสงค์ของเพื่อน จึงหยิบเทียนขี้ผึ้งเล่มใหญ่มาจากหิ้งบูชา 

“เอาเทียนนี้ไปจุดบูชา มารใดที่เคยจองล้างจองผลาญสูก็จะฉิบหาย ใครก็ทำอะไรสูไม่ได้” 

แสงหล้าตาเป็นประกาย ยกมือไหว้ท่วมหัว 

‘สาธุ เทียนบูชาของเจ้าพ่อคำสะหลีจะเสริมพลังกู ต่อไปใครมาขวางหรือสาปแช่งให้กูล่มจม ไอ้อีผู้นั้นแหละมันต้องเจอดี’

“เออ แล้วสูรู้เรื่องป้าทองใบ แม่อีดาหวันหรือยัง” ร่างทรงเจ้าพ่อคำสะหลีถาม

คนงามส่ายหน้า เกือบเดือนแล้วที่เธอไม่ได้มาที่บ้านสันทราย ข่าวคราวอะไรก็ไม่ได้รับรู้ “เรื่องอะไร”

“อาทิตย์ก่อน มีคนไปส่องเขียดแล้วเจอป้าทองใบที่ทุ่งนา”

“ป้าทองใบหายดีแล้วเหรอ” จำได้ว่าล่าสุดแม่ของดาหวันนอนซม เดินไปไหนมาไหนไม่ได้

“หายเสียที่ไหน เขาว่านางถูกผีพรายสิง เห็นว่ากำลังถลกผ้าถุงเดินข้ามสะพาน ในปากยังคาบเขียดดิบไว้อยู่เลย”

แววตาของแสงหล้าตกใจ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนมาส่องประกาย “แสดงว่าที่ป้าทองใบป่วยไข้ เป็นเพราะมีผีพรายสิงงั้นเหรอ”

“ข้าถามเจ้าพ่อแล้ว ท่านบอกว่าใช่” อัมพรเอ่ย 

ระดับคนทรงเจ้าบอกมาเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องจริง

“สมน้ำหน้า! อีดาหวันเป็นอีกคนที่คอยสาปแช่งข้ากับพี่จำรัส คราวนี้มันคงได้อายไปทั้งหมู่บ้าน อีลูกผีพราย” คนทิ้งผัวตบเข่าฉาด

“คนงาม คนมีวาสนาอย่างสู ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ขอเพียงทำตามที่ข้าบอกเถอะ” อัมพรพูดต่อ

แสงหล้ายิ้มกริ่ม คิดไม่ผิดที่มาสันทรายวันนี้ นอกจากจะได้ของดีจากเจ้าพ่อคำสะหลี ยังได้ฟังข่าวดีว่าครอบครัวดาหวันกำลังเจอเรื่องอัปมงคล

“แล้วมาสันทรายรอบนี้มีธุระอะไรเหรอ” อัมพรถามต่อ

“พี่จำรัสแกเอาเงินค่าซื้อควายมาให้ลุงแก้ว แล้วเดี๋ยวจะมารับข้าไปที่ริมน้ำฝาง”

“ไปทำไมที่นั่น ไปหาลุงบุญคงหรือ” ร่างทรงเดา เพราะที่นาของพ่อแสงหล้าก็อยู่ติดริมน้ำฝาง

คนถูกถามยิ้ม เชิดหน้า “พี่จำรัสจะไปดูที่แถวนั้น ไม่แน่นะอัมพร บางทีข้ากับพี่จำรัสจะมาปลูกบ้านอยู่ที่สันทราย”

อัมพรตกใจ แต่ก็ยังยิ้มในความกล้าของเพื่อนเก่า

“คราวนี้แหละ ข้าจะปลูกบ้านให้หลังใหญ่กว่าพ่อข้า จะเอาให้ใหญ่ยิ่งกว่าคุ้มเจ้าราชบุตรในเวียงเชียงใหม่ไปเลย” แสงหล้าปรารภ

 

หลังจากซักผ้า กวาดบ้านเสร็จแล้ว ดาวเหนือชวนเดือนเด่นไปเที่ยวเล่นที่บ้านของดาหวัน หลายวันแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าน้าสาวข้างบ้าน เห็นใครๆ บอกว่าดาหวันคงยุ่งเพราะเฝ้าแม่ที่ไม่สบาย

เดินออกมาริมคลอง กำลังจะข้ามสะพาน สายตาก็เหลือบไปทางสะพานทิศใต้ นึกถึงเด็กชายที่ปรากฏตัวในคืนนั้น

ดาวเหนือไม่ได้เจอเขาอีก คนแปลกหน้าคนนั้นเป็นใครหนอ พูดจาฉะฉาน หรือว่าจะเป็นโจรจริงๆ

“มองหาอะไรหรือพี่” เดือนเด่นสงสัยที่พี่สาวยืนนิ่ง ไม่ยอมข้ามสะพานเสียที

“เปล่า ไปกันเถอะ” ดาวเหนือจูงแขนน้องสาว ตัดสินใจไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง

 

ดาหวันยกสำรับอาหารออกมาจากห้องแม่ ปลาปิ้งและข้าวเหนียวยังอยู่เหมือนเดิม เห็นทองใบไม่กินข้าวกินปลาเธอก็ไม่สบายใจ คะยั้นคะยออย่างไรแม่ของเธอก็ยืนกรานท่าเดียวว่ายังไม่หิว

เกือบสัปดาห์แล้วหลังเกิดเรื่องที่ลุงติ๊บและเพื่อนไปส่องเขียดกลางทุ่งนา แล้วดันไปเจอแม่ของเธอกำลังถลกผ้าถุงข้ามสะพาน เมื่อมีคนมาเจอ ทองใบก็กรีดร้อง เป็นลมล้มพับ พวกเขาตกใจและวิ่งมาแจ้งข่าว นาทีนั้นดาหวันไม่กลัวสิ่งใด คิดเพียงว่าต้องรีบไปช่วยแม่ให้เร็วที่สุด 

เห็นร่างแม่แน่นิ่งที่สะพาน ดาหวันก็รีบวิ่งเข้าไปประคอง ตัวแม่ยังอุ่นและมีลมหายใจ คาดว่าคงละเมอไกลมาถึงที่นี่

ลุงติ๊บและเพื่อนช่วยกันหามร่างทองใบกลับมาบ้าน ดาหวันพยายามบอกว่าแม่เธอนอนละเมอเป็นเรื่องปกติ แต่ดูท่าพวกเขาจะไม่เชื่อ เพราะนอกจากเนื้อตัวมอมแมมแล้ว ในมือของหญิงชรายังกำซากเขียดไว้แน่น แถมตามรอยเท้าของแม่ก็มีเขียดตายเรียงรายอีก

รุ่งเช้าข่าวของแม่เธอก็กระจายไปทั่วหมู่บ้าน นางทองใบเป็นผีพราย...เรื่องยังถูกเสริมเติมต่อ บ้างก็ว่าเห็นหญิงชรามีไฟที่จมูกเป็นผีโพง ในปากคาบเขียดเพื่อดูดกลิ่นคาว บ้างก็ว่านางไล่กัดลุงติ๊บจนวิ่งหนีกันกระเจิง

สองแม่ลูกกลายเป็นตัวน่ารังเกียจ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ดาหวันไปตลาดก็มีแต่คนเดินหนี ใครเดินผ่านหน้าบ้านก็พากันกระซิบ ชะเง้อมอง แต่พอเห็นเธอก็พากันวิ่งหนี คงกลัวว่าจะติดเชื้อผีจากบ้านของหญิงชราขี้โรค 

‘ข้าถามแม่จริงๆ แม่ไปทำอะไรที่นาของลุงติ๊บตอนกลางค่ำกลางคืน’ เธอเคยเค้นถามมารดา

‘กูจำไม่ได้’

‘แล้วแม่รู้ไหมว่า ตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านเขาบอกว่าแม่เป็นอะไร’

คำพูดของลูกสาวทำให้ทองใบเงียบจนดาหวันเองก็รู้สึกผิด

‘คงแล้วแต่เวรแต่กรรมเถอะ ดาหวันเอ๋ย’ ทองใบเสียงขึ้นจมูก

ลูกสาวถอนหายใจ ‘เอาเถอะ จะเป็นคน จะเป็นผี ข้าก็ไม่รังเกียจแม่หรอก แต่ขออย่างเดียว กลางค่ำกลางคืนอย่าออกไปไหน ถ้าหิว ข้าจะเอาของกินมาวางไว้ใกล้ๆ ให้’

หญิงชราแอบเช็ดน้ำตา แสนรังเกียจตัวเองนักที่นอกจากจะสร้างความลำบาก ยังสร้างรอยมลทินให้ลูกสาวอีกด้วย แล้วอย่างนี้ผู้ชายที่ไหนจะเอามันไปเป็นเมีย...

หลังเก็บสำรับไว้ในตู้กับข้าว ดาหวันก็ถอนหายใจด้วยความคับอก คิดหนักว่าจะทำเช่นไรถึงจะรอดพ้นจากเรื่องเลวร้ายนี้ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็คงได้แต่ยกมือไหว้อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

‘เออหนอ...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คุณพระคุณเจ้า ผีปู่ผีย่า เจ้าที่เจ้าแดนที่ปกปักรักษาแผ่นดิน ขอให้แม่ข้าหายกลับมาเป็นคนปกติเหมือนเดิมเถิด’

“น้าดา ไหว้อะไรอยู่เหรอ” 

เสียงตะโกนเจื้อยแจ้วดังมาจากรั้วบ้าน ดาหวันหันไปมองสองพี่น้องที่กำลังวิ่งมาหาอย่างเบิกบาน

ลูกผีพรายยิ้มกว้าง ดาวเหนือและเดือนเด่นคงเป็นไม่กี่คนที่กล้าเข้ามาบ้านเธอ อาจเพราะยังเด็ก ยังไม่รู้เรื่องผีเรื่องสาง

“กูขอกับคุณพระคุณเจ้า เทวบุตรเทวดา ขอให้แม่กูหายโรค” เธอตอบสาวน้อยไปตามตรงก่อนจะเดินลงเรือนไปหา

เดือนเด่นตาแป๋ว “ขออะไรก็ได้เหรอจ๊ะ”

“ใช่ ขออะไรก็ได้ แต่คนขอต้องเป็นคนดี เทวดาท่านถึงจะให้สิ่งที่ขอ” ดาหวันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ 

“ข้าเป็นเด็กดี ข้าจะขอให้แม่มารับไปอยู่ด้วยเร็วๆ” เดือนเด่นตาเป็นประกาย

“ดีแล้ว อีดาวด้วยนะ หากมึงเป็นคนดี คุณพระคุณเจ้าจะคุ้มครองให้เจอแต่สิ่งดีๆ” คนแก่กว่ามองด้วยความเอ็นดู

ดาวเหนือรับปากก่อนจะอธิษฐานบ้าง แน่นอน เธอขอให้แม่กลับมารับไปอยู่ด้วยในเร็ววัน 

ดาหวันลูบผมเด็กทั้งสองด้วยความเอ็นดู

“อยู่กับครบเลยนะสาวๆ” มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา สมบัตินั่นเอง ชายหนุ่มเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยหายไปจากชีวิตดาหวัน

“อะไรน่ะ” หญิงสาวถามเมื่อเห็นเขาถือของพะรุงพะรัง

เขายิ้มมีเสน่ห์และหยิบผลไม้ในถุงออกมาแจกให้เด็กๆ

“แอปเปิล!” ดาวเหนือร้องเสียงหลง ดีใจที่ได้กินผลไม้ราคาแพง ตั้งแต่เกิดเธอยังไม่เคยลิ้มลองมันสักครั้ง

“ใช่แล้ว วันนี้ข้าเล่นไฮโลได้เงินมาเยอะ ส่วนอันนี้...” เขายกถุงทั้งหมดให้ดาหวัน “สูก็เอาไปให้แม่นะ”

“ของแพงขนาดนี้ สูจะซื้อมาให้เปลืองเงินเปลืองทองทำไม” จะบ่นต่อ แต่แววตาของสมบัติคะยั้นคะยอให้รีบรับผลไม้ไว้เสีย ที่สุดเขาก็ยัดใส่มือเธอ

“คนป่วยกินอะไรไม่ถูกปาก ต้องหาของดีๆ แพงๆ มาให้ลองกิน เผื่อป้าทองใบจะลุกมาแข็งแรงเหมือนเดิม”

คำพูดชายหนุ่มสะกิดกำแพงแข็งแกร่งในใจ ดาหวันหลบตา ไม่อยากให้เขาเห็นว่ามันสั่นระริก ตอบเขาไปเพียงสั้นๆ 

“ขอบคุณนะ สมบัติ”

“คงเพราะน้าดาขอพรกับเทวดา น้าสมบัติเลยเอาแอปเปิลมาให้” ดาวเหนือเอ่ย คำอธิษฐานของน้าสาวข้างบ้านดลให้สมบัติเอาของดีมาเยี่ยมทองใบ

“พูดเรื่องอะไรกัน” ชายหนุ่มถาม

“ข้ายกมือไหว้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้แม่หายป่วย” ดาหวันเอ่ย สีหน้าคิดหนักเรื่องนี้พอสมควร

“ป้าทองใบต้องหายสิ” เขาพูดด้วยความมั่นใจ

“แต่สูก็รู้ว่าแม่ข้าเป็นโรคประหลาด กลางวันนอนเหมือนตาย กลางคืนกลับตาใส เสาะหาแต่ของกิน คนทั้งหมู่บ้านบอกว่าแม่ข้าเป็นผีพราย” เธอเสียงเบา ไม่อยากให้ใครได้ยิน 

“ใจเย็นๆ ตะคืนข้าไปคุยกับหมอที่อนามัยสองแควมา หมอบอกว่าโรคผีพรายมันเหมือนโรคไทรอยด์” สมบัติหน้าขึงขัง

“โรคอะไร รอยๆ”

“เออ สักอย่างนี่แหละ แต่ข้าว่าหมอในเวียงน่าจะรักษาโรคนี้ได้” 

ดาหวันครุ่นคิด “ค่ายาคงแพง” ที่ผ่านมาเธอทำได้เพียงให้แม่กินยาต้มหรือสมุนไพรที่พอหาซื้อได้

“ถ้าข้าพอมีเงิน สูยืมของข้าก่อนก็ได้”

หญิงสาวสบตาเขา ยามทุกข์ยากนี่แหละถึงได้เห็นน้ำใจกันจริงๆ 

“ข้ายินดีนะสมบัติ แต่ข้าว่าจะลองไปถามเจ้าพ่อคำสะหลีดู” ดาหวันกล่าวถึงที่พึ่งสุดท้าย

แต่ชายหนุ่มกลับแบะปากทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น “เจ้าพ่ออีอัมพรน่ะเหรอ”

ดาหวันหน้าเหลอ หันซ้ายขวาเกรงจะมีใครได้ยิน “พูดอะไรแบบนั้น ระวังไว้ คนบ้านเรานับถือเจ้าพ่อนะ” 

คนบ้านสันทรายนับถือเจ้าพ่อคำสะหลี ผีเจ้านายที่คอยดูแลปกป้องหมู่บ้านมาหลายชั่วอายุคน ม้าขี่หรือร่างทรงของเจ้าพ่อก็จะได้รับการยอมรับให้เป็นที่เคารพนับถือไปด้วย 

“ข้าพูดจริง ข้าว่าอีอัมพรมันไม่ใช่ผู้วิเศษอะไรหรอก น่าจะหลอกเอาเงินชาวบ้านมากกว่า” ชายหนุ่มพูดตามที่คิด

“สูไม่เชื่อ แต่คนอื่นเขาเชื่อ พูดจาแบบนี้สูอาจจะเจอดี” ดาหวันหลับตาค้อน คนนับถืออัมพรนั้นมีมาก ลูกศิษย์ลูกหาในหมู่บ้านลามไปถึงในเวียงยังมี ปีใหม่ต่างนำเงินทองมาถวายจนบ้านอัมพรใหญ่โต ร่ำรวยไม่แพ้ใคร 

ชายหนุ่มสังเกตท่าทีของดาหวันแล้วอมยิ้ม “สูเป็นห่วงข้าเหรอ”

“เป็นห่วง เพราะสูดีกับข้า ยังไม่อยากให้รีบตาย” 

เสียงแข็งก็จริง แต่กลับทำให้ชายหนุ่มอ่อนระทวย

“จริงๆ น้าสมบัติกับน้าดาน่าจะแต่งงานกันนะ” ดาวเหนือซึ่งแอบมองเอ่ยขึ้นมา 

“อีดาว แก่แดดนัก อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่” ดาหวันหันไปตาเขียวใส่

“เด็กมันก็พูดความจริง เราสองคนเหมาะสมกันจะตาย” สมบัติได้ทีสมทบ ยิ่งทำให้ดาหวันตัวร้อน แกล้งเหวี่ยงมือไปตีไหล่เขา

พลันก็ได้ยินเสียงเรียกจากนอกรั้ว ทั้งสี่ชีวิตหันไปมอง พบบุญคงกำลังขับเกวียนมาตามถนน

ชายชราตะโกนเรียกหลานสาวทันที “อีดาว อีเดือน ขึ้นเกวียนเดี๋ยวนี้”

เด็กน้อยทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปที่เกวียนตามคำสั่ง

“จะไปไหนเหรอ พ่อคง” สมบัติตะโกนถาม

ชายชรายิ้มมุมปากแล้วตอบอย่างอารมณ์ดี “จะพาเด็กๆ ไปหาแม่มัน”

ได้ยินตาของตัวเองเอ่ย ทั้งดาวเหนือและเดือนเด่นก็ส่งเสียงดีใจ

“แสงหล้ามันมารับลูกมันเหรอ” สมบัติถามต่อ

“เห็นเขาว่ามันมาดูที่ดินกับผัวใหม่ริมน้ำฝาง กูจะเอาลูกไปส่งให้มัน”

เด็กน้อยมัวดีใจ ไม่ได้สังเกตสีหน้าและแววตาของบุญคงว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อเกวียนแล่นจากไป ดาหวันและสมบัติจึงหันมามองหน้ากัน

“ข้าว่ามันแปลกๆ แล้ว รีบตามไปดูกันเถอะ” สมบัติเอ่ย 

ดาหวันพยักหน้า ชายหนุ่มจึงรีบพาเธอซ้อนท้ายรถจักรยานตามเกวียนไปทันที


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น