6

เปิดตัวเทพ G

หลังจากก่อเรื่องเอาไว้ให้วิสาแล้วนพเก้าก็ไปทำงาน ตอนเย็นก็แวะมาที่บ้านของพศธนเพราะไม่มีอะไรทำ หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองสนุกกับการเล่นเกม แต่ไม่เคยคิดจะเล่นอย่างจริงจังมาก่อน กระทั่งพศธนเอาโปสเตอร์เรื่องการแข่งขันมาให้ หลังจากอ่านเงื่อนไขการแข่งแล้วเธอก็รู้สึกว่าน่าสนใจดี

            “ถ้ามีแก ความฝันฉันจะต้องเป็นจริงแน่” พศธนว่า

            “น่าสนใจนะ แต่มันต้องมีห้าคน แกคิดว่าทีมเราจะมีใครบ้าง”

            พศธนเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา

            “ฉัน แก พี่หนึ่ง ไอ้ที”

            “แล้วกัญกับแฝดล่ะ”

            พศธนกุมขมับ สามคนนั้นยังหลงทางในแผนที่ที่เล่นอยู่ประจำอยู่เลย จะให้ไปเล่นแบบกดดันคงจะตายกันยกทีม แม้เขาเองจะไม่เคยลงแข่งมาก่อน แต่คิดว่าอย่างไรก็สมาธิดีกว่าสองคนนั้นแน่นอน

            “ตอนนี้ฉันว่างอยู่แล้ว เอายังไงก็ได้ แกไปคุยกับพวกที่เหลือเถอะ” นพเก้าว่า ตอนนี้เธอว่างจริงๆ สามีไม่กลับบ้าน เธอจึงใช้เวลาที่มีอยู่ขอโน่นขอนี่จากเลขาฯ ของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดว่าคนที่มีเงินเยอะเหลือเฟืออย่างระพีจะสะทกสะท้านอะไร จนถึงตอนนี้เขายังไม่โทร. หาเธอสักนิด 

            “ว่าแต่ที่บ้านแกจะโอเคกับเรื่องนี้หรือเปล่า” สิ่งที่พศธนกังวลคือเรื่องของนพเก้า 

            “ที่บ้านฉันน่ะหัวโบราณกว่าที่แกคิด ถ้าแต่งงานแล้วลูกสาวก็คือสมบัติของสามี ส่วนสามีฉันเนี่ยแกไม่ต้องห่วง ฉันอยากทำอะไรเขาก็ตามใจหมดแหละ รับเลี้ยงฉันเป็นน้องสาวแล้วนี่” นพเก้าว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้ความเคลื่อนไหวของระพีคือกระดาษที่ติดไว้ที่ตู้เย็น ในเมื่อเขาชอบทำอย่างนั้นเธอก็จะทำบ้าง

            ขณะที่คุยกับพศธนเรื่องรายละเอียดการแข่งอยู่ สักพักกัญญาก็โทร. มาหาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อน 

            “ผัวแกโทร. มา นี่เสียงเขาน่ากลัวมากเลยนะ อย่างกับจะฆ่าคน แกอยู่ไหนเนี่ย”

            “บ้านไอ้แพท”

            “เออว่ะ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น รีบกลับบ้านเถอะ ฉันบอกว่าไม่รู้ว่าแกอยู่ไหน เขาก็เลยวางสายไป น้ำเสียงไม่ค่อยดีเลยด้วย แกทำอะไรให้เขาโมโหหรือเปล่า”

            “อืม...อ่อ ช่างเขาเหอะ เดี๋ยวถึงเวลาฉันก็กลับเองละ เขาโทร. มาแกก็ไม่ต้องรับสาย” หญิงสาวว่า ส่วนปลายสายก็ถอนหายใจอยู่สองสามครั้งด้วยไม่รู้ว่าตนเองจะถูกระพีซักไซ้อะไรอีกไหม 

            “ยังไงแกก็คุยกันดีๆ แล้วกัน” กัญญาว่าก่อนจะวางสายไป

            นพเก้านั่งนิ่งไปพักใหญ่จนพศธนคิดว่าตอนนี้เวลาหยุดเดิน กระทั่งหญิงสาวเริ่มกะพริบตาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองพศธนเขม็งจนอีกฝ่ายเกร็งไปทั้งร่าง

            “อะไรของแก” ชายหนุ่มถาม

            “ไปส่งฉันที่บ้านหน่อย”

            “บ้าหรือไง เดี๋ยวคนที่บ้านแกก็เห็นฉันดิ อีกอย่างฉันขี้เกียจไป” ร่างสูงเอนกายลงบนพื้นทันที

            “ห้าร้อย”

            “โอ้ย ใช้สองชั่วโมงก็หมดแล้ว” 

            “สามพัน”

            “เอ้า ยังไม่รีบไปเตรียมตัวอีก เดี๋ยวฉันต้องรีบกลับมาเตรียมตัวเรื่องการแข่ง” 

            ชายหนุ่มลุกขึ้นจากพื้นด้วยความกระปรี้กระเปร่า เขาไม่รู้ถึงเหตุผลของนพเก้า แต่คิดว่าระดับเทพ G ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าเอาไว้แล้ว

            นพเก้าไม่ใช่พวกที่เล่นเกมแบบใช้ทักษะอย่างเดียว แต่ใช้สมองด้วย เวลาที่เล่นกับคนอื่นหญิงสาวจะมีแผนเสมอ แต่หากไม่เป็นไปตามแผนก็ถึงเวลาที่จะต้องใช้ทักษะวัดดวงกัน แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นก็มักจะได้รับชัยชนะก่อนเสมอ 

            พศธนขับรถมอเตอร์ไซค์ไปจนกระทั่งถึงหน้าเรือนหออันใหญ่โตของเพื่อน ชายหนุ่มก็ลงจากรถแล้วเดินชมความโออ่าของบ้านหลังใหญ่นี้ด้วยความตื่นเต้น

            “แล้วนี่แกคิดจะทำอะไร” ชายหนุ่มถามขึ้น

            “ฉันว่าคงต้องใช้ทักษะแล้วแหละ แผนใช้กับพี่พีไม่ได้”

            “อะไรวะ” อีกฝ่ายเอียงคอด้วยความงุนงง

            “เอาหน้ามานี่แล้วอยู่เฉยๆ หน้าบ้านมีกล้องอยู่” นพเก้าว่าก่อนจะดึงคอของเพื่อนให้โน้มลงมาเล็กน้อย ดูจากมุมกล้องแล้วก็คงจะเป็นภาพที่ใช้ได้

            “เหย เหย เหย แกคิดอะไรกับฉันปะเนี่ย ถึงฉันจะหน้าตาดี แต่ไม่กินเพื่อนนะเว้ย” 

            พศธนเอามือกอดตัวเองอย่างน่าหมั่นไส้ ถึงตอนนี้เขาก็พอจะรู้แล้วว่านพเก้าให้เขามาส่งที่หน้าบ้านทำไม หลังจากได้รับเงินสามพันบาทมาแล้ว เขาจึงหุบปากสนิท ต่อให้ถูกกอดจูบลูบคลำอย่างไรเขาจะยอมให้แล้วกัน

            “กลับไปก่อน ทีหลังจะเรียกใช้ใหม่” หญิงสาวว่า

            “ขอบคุณค่ะเสี่ย” พศธนจีบปากจีบคอดัดเสียงก่อนจะสวมหมวกกันน็อกแล้วขับรถออกไปทันที 

            ตอนแรกนพเก้าคิดว่าจะทำให้กล้องวงจรปิดที่หน้าบ้านจับภาพเอาไว้เฉยๆ ถึงเวลาเธอก็แค่บอกกับระพีว่ามีคนน่าสงสัยชอบมามองหน้าบ้าน ให้เขาเอาภาพจากกล้องมาดูจะได้เจอ แต่ดูเหมือนวันนี้เธอคงไม่เหนื่อยขนาดนั้น เพราะเมื่อตอนที่ลงจากรถของพศธน เธอก็เห็นรถของสามีจอดอยู่ เพียงแต่ไฟในบ้านมืดสนิทเหมือนไม่มีคน

            หญิงสาวเดินเข้ามาในบ้านที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด ไม่ใช่แค่สภาพแวดล้อม แต่บรรยากาศก็อึมครึมน่าอึดอัดเหลือเกิน เมื่อก้าวเท้าเข้าไปด้านในไม่กี่ก้าว ไฟก็ถูกเปิด เธอเห็นระพีนั่งอยู่บนโซฟารับแขก แล้วหันมองมาทางเธอด้วยสายตาเย็นชาน่ากลัว

            “กลับมาแล้วเหรอ” ชายหนุ่มถาม

            “ค่ะ พี่พีกลับมานานหรือยังคะ หิวไหม เดี๋ยวเกดทำอะไรให้กิน”

            “ไม่นานเท่าไหร่ ไม่ต้องทำหรอก พี่ไม่กิน” เขาว่าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

            “ถ้างั้นเกดขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อก่อนนะคะ”

            “มาคุยกับพี่ก่อน มีเรื่องจะคุยด้วย” 

            ถึงจะตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริงนพเก้าก็กลัวว่าเขาจะโกรธ และพาลไม่ชอบเธอจนไม่อยากมองหน้ามากกว่า หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ติดกับโซฟาข้างชายหนุ่มแล้ว นพเก้าก็หันไปสบตากับสามีด้วยสีหน้าที่ท้าทาย

            “พี่พีมีเรื่องอะไรเหรอคะ”

            “เรื่องคอนโดกับรถ พี่รู้ว่าพี่สัญญากับเกดแล้วว่าจะให้เกดเลือกตามใจ แต่ดูเหมือนว่ามันจะแพงมากไปหน่อย พี่ไม่สามารถให้เราขนาดนั้นได้”

            “เหรอคะ ตอนนี้เกดแต่งงานไปแล้วมีแต่เสียเปรียบ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้เกดก็ไม่น่าแต่งเลย” 

            หญิงสาวทำสีหน้าผิดหวัง เธอไม่ได้แสดงท่าทางเกรี้ยวกราด แต่ใช้คำพูดนิ่มๆ ทำลายศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะตอนนี้ในความคิดของระพีนั้น เขาเห็นตัวเองกลายเป็นคนพูดจาสับปลับกลับกลอก

            “แต่ถ้าเกดจะเอา พี่ก็จะให้ พี่รับปากไว้แล้วนี่” ชายหนุ่มว่า อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนที่ต้องยอม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ระพีคิดเอาไว้ว่าการเจรจาครั้งนี้จะต้องทำให้อีกฝ่ายละอายใจให้ได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นเขาเองที่รู้สึกแบบนั้น

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เกดเองก็คิดว่ามันแพงไป เอาไว้จะดูใหม่นะคะ”

            ระพีงงไปหมด...นี่เขากำลังคุยกับใครอยู่เนี่ย

            “เอ่อ พี่มีอีกเรื่อง” เมื่อเรื่องแรกจบไปอย่างรวดเร็วแล้ว ชายหนุ่มก็นึกอีกเรื่องขึ้นมาได้

            “ค่ะ ว่ามาเลย”

            “เกดมีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่า”

            “...”

            “พี่ขอโทษที่มาถามเอาป่านนี้ เพราะก่อนหน้านี้พี่ไม่คิดว่า...”

            “หน้าอย่างเกดจะมีแฟนเหรอคะ”

            “เปล่า แค่คิดว่าเกดไม่ค่อยได้ออกไปไหน น่าจะไม่ค่อยเจอใครนัก”

            นพเก้าโมโหมาก แต่ก็เก็บอารมณ์เอาไว้ เพราะเธอรู้ว่าเขารู้ รู้ว่าเธอชอบเขามาตลอด ถึงไม่ได้สนใจถามว่าเธอคบหากับใครอยู่หรือเปล่า แต่อาจจะเป็นเพราะเห็นพศธนมาส่งเธอวันนี้ ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ใช่จุดศูนย์กลางของจักรวาล

            “เกดมีแฟนค่ะ เขาเพิ่งมาส่งที่หน้าบ้านเมื่อครู่ค่ะ” หญิงสาวตอบคำถามของเขา

            “แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าเกดแต่งงานแล้ว”

            “รู้ค่ะ งานแต่งงานเขาก็ไป ไปกับเพื่อนของเกดคนที่พี่พีเคยเจอนั่นแหละค่ะ”

            ระพีรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ตอนนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องยุ่งเพิ่มเข้ามาอีก ก่อนหน้านี้ทำไมเขาไม่ถามอีกฝ่ายให้แน่ชัด ก็เพราะเขามั่นใจมากว่านพเก้าชอบเขา แต่พอถึงตอนนี้แล้วเขาก็รู้สึกว่าความมั่นใจนั้นถูกลบออกไปเรื่อยๆ ถ้าอีกฝ่ายชอบเขาก็คงไม่ยืนจูบกับผู้ชายอื่นหน้าเรือนหอแบบนี้หรอก

            “แต่พี่พีไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เกดจะเลิกกับเขาอยู่แล้ว” 

            ใบหน้าของนพเก้าดูเศร้าไปถนัดตา ถึงระพีจะเลิกรากับคนรักเพราะต้องแต่งงาน แต่เขาก็ไม่ได้ใจแคบขนาดจะบังคับให้นพเก้าต้องเลิกรากับคนรักเพราะต้องมาแต่งงานกับเขา 

            “ไม่เป็นไร เกดไม่ต้องเลิกหรอก อธิบายให้เขาเข้าใจดีกว่า ถ้าเขายังข้องใจอะไรก็นัดเขามา พี่จะช่วยอธิบายให้เอง” ชายหนุ่มว่า ในขณะที่นพเก้าเริ่มรู้สึกหมั่นไส้เขาตงิดๆ 

            เป็นพ่อพระกว่านี้อีกนิดเดียว สงสัยต้องลอยขึ้นสวรรค์ไปแน่ๆ สรุปว่าเขาต้องการให้เธอคบผู้ชายคนอื่นในระหว่างที่แต่งงานกันได้อย่างนั้นสินะ

            “แต่เกดมีหลายคนนะคะ” 

            “หมายความว่ายังไง” ระพีขมวดคิ้ว

            “ก็หมายความว่าเกดคบผู้ชายหลายคน ก็เลยไม่รู้ว่าพี่พีจะช่วยอธิบายกับพวกนั้นได้หมดหรือเปล่า” หญิงสาวว่า เธอไม่ได้พูดโกหกนะ เธอคบผู้ชายอยู่หลายคน ถ้าไม่รวมกัญญาที่เป็นชายในร่างหญิงแล้วก็มีตั้งห้าคน แต่ดูจากสีหน้าของสามีของเธอตอนนี้แล้ว เขาคงจะไม่เชื่อที่เธอพูดแน่

            “เกดล้อเล่นใช่ไหม เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องแบบนี้”

            “ทำไมคิดว่าล้อเล่นล่ะคะ”

            “ก็เกด...เรียบร้อย”

            “พี่พีคิดแบบนั้นเหรอคะ” นพเก้ายิ้มให้อย่างมีเลศนัย

            “ช่างเถอะ พี่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เรื่องที่พี่สนคือพ่อแม่ของเราต่างหาก ไม่ว่าจะทำอะไรพี่อยากให้เกดนึกถึงพวกท่านบ้าง เราแต่งงานกันให้พวกท่านได้เห็นว่าเราลองพยายามแล้วจริงๆ พอถึงเวลาเราก็หาทางจบกันแบบสวยๆ แต่เรื่องต้องห้ามคือการคบชู้ เกดไม่ต้องเลิกกับแฟน แต่ทำยังไงก็ได้ที่จะไม่ให้ใครรู้” เขาว่า

            “งั้น...เกดขอใช้คอนโดที่พี่พีซื้อให้” พูดจบนพเก้าก็กระดากตัวเอง เธอเหมือนภรรยาชั่วที่กำลังขอสามีนอนกับผู้ชายอื่น แต่อย่างไรเธอก็ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะนิ่งเฉยอยู่ได้ เป็นผู้ชายก็ต้องมีศักดิ์ศรีบ้างสิ ถึงจะไม่รักชอบภรรยาอย่างเธอแต่แสดงความหวงก้างนิดหน่อยก็ยังดี

            “ได้ แต่ทุกครั้งที่เจอกันพี่จะไปค้างที่นั่นด้วย” 

            “ฮะ!?” 

            นพเก้าไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาพูดว่าอะไรนะ จะค้างด้วยแบบสามคนผัวเมียน่ะหรือ!?

            “ยังไงก็มีห้องนอนหลายห้องอยู่แล้ว พี่แค่ไม่อยากพลาด อย่างน้อยเราก็เอาเรื่องนี้ไปอ้างได้” 

            ระพีเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าเขาจะคิดอะไรแบบนี้ออกมาได้ แต่เรื่องนี้จำเป็นมาก เขาจะไม่ยอมให้ภาพลักษณ์ของใครเสียหายแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าเขาหรือภรรยาที่มารดาประทานมาให้คนนี้

            “โอ้ พี่พีนี่แก้ปัญหาเก่งนะคะ เกดไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนคิดวิธีแบบนี้ขึ้นมาได้”

            “ขอบคุณครับ”

            ไอ้บ้า! เธอไม่ได้ชมเขาสักหน่อย นี่คือผู้ชายที่เธออยากจะจับมาทำสามีจริงหรือเปล่า ทำไมเขาถึงได้ทำตัวร้ายกาจและโง่เง่าขนาดนี้กัน

            “งั้นก็เอาตามที่พี่พีบอกแล้วกันค่ะ ไว้เกดนัดเจอกับแฟนเมื่อไหร่จะบอกนะคะ” นพเก้ายิ้มเจื่อนๆ ฝันไปเถอะว่าจะมีวันนั้น ในเมื่อเขาบอกว่าจะซื้อคอนโดให้เธอแล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่มย่าม ที่นั่นจะกลายเป็นสถานที่ฝึกซ้อมเอาไว้ลงแข่งได้เป็นอย่างดี

            หลังจากคุยกันเสร็จแล้วระพีก็ขนหมอนกับผ้าห่มไปนอนในห้องหนังสือที่ยังไม่มีหนังสือสักเล่มของตนเอง ผ่านไปสักพักชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าการเจรจาวันนี้เขาไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยนี่นา พอคุยเรื่องเงินเธอก็พูดเหมือนเขาเป็นคนขี้งก พอพูดเรื่องผู้ชายก็กลายเป็นว่าเขาดันสงสารเธออีก

            มีบางอย่างแปลกๆ เหมือนว่าเขากำลังถูกอีกฝ่ายปั่นหัวเล่น หรือเขาอาจจะคิดมากไปเอง... 

            ช่างเถอะ! อย่างไรก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว อดทนอยู่กับเรื่องพวกนี้แค่ปีเดียว เขาจะหาทางบอกมารดาว่าตนเองได้พยายามแล้ว แต่มันไม่ได้ผล ชายหนุ่มคิดจนเหนื่อยก็เกิดความหงุดหงิด สรุปว่าชีวิตแต่งงานที่ควรจะมีความสุขสงบของเขาท่าทางจะเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว ทำไมนพเก้าที่ดูเหมือนจะควบคุมง่ายกลายเป็นคนควบคุมเขาเสียเองล่ะ ระพีคิดเรื่องนี้จนผล็อยหลับไป

ส่วนนพเก้ากำลังนั่งเล่นเกมกับเพื่อนใหม่ที่ชื่อ ‘Sakura-Chan’ ซึ่งนานๆ ทีเธอจะเจอเพื่อนที่เล่นเข้าขาโดยไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ หลังจากเล่นเสร็จอีกฝ่ายก็ขอตัวไปนอน

Sakura-Chan : ไปนอนก่อนนะ

GunslingerGod : โอเค พรุ่งนี้เล่นหรือเปล่า

Sakura-Chan : ไม่แน่ใจอะ

GunslingerGod : ไม่เป็นไร เดี๋ยวถ้าเจอจะถามอีกที

ทั้งสองคนไม่ได้คุยอะไรกันมาก สำหรับฌานแล้วเพื่อนคนนี้คงจะต้องเป็นผู้ชายแน่นอน 

ส่วนนพเก้าก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง แต่ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็ไม่ใช่ปัญหา เธอเป็นมิตรกับทุกคนอยู่แล้ว

 

ฌานใช้เวลาเล่นเกมไม่นานนักเพราะเขามีสอนตอนเช้า แต่หากเป็นวันหยุดที่ไม่ได้มีธุระไปไหนเขาก็จะเล่นเกมทั้งวัน ชายหนุ่มชอบสถานการณ์แบบนี้ เพื่อนที่เล่นเกมด้วยกันแบบไม่กดดัน ไม่ต้องถามชื่อไม่ต้องรู้จัก 

ฌานเข้านอนแล้วตื่นแต่เช้ามาทำอาหารเช้าเอง นั่งจิบกาแฟสักพักจากนั้นก็ขับรถไปทำงาน เขาสอนวิชาประวัติศาสตร์เอเชีย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ก็ยังมีนักศึกษาสาวๆ ลงเรียนหลายคน นี่เป็นเรื่องที่สร้างความรำคาญให้เขาพอสมควร เพราะดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่ได้ฟังที่เขาสอนเลย ไหนจะพวกนักศึกษาชายที่ลงเรียนเพราะตามนักศึกษาหญิงมาอีก

“แจ่มๆ ว่ะไอ้เฟียส สิบนาฬิกา” 

เสียงของนักศึกษาชายทำให้ฌานอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ขณะที่กำลังจะเดินผ่านไปยังหน้าชั้นเรียน เมื่อเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เขาจึงแกล้งกระแอมไอให้นักศึกษาชายทั้งสองคนได้ยิน แต่นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะหันมาทำหน้าตาฉงน แล้วหนึ่งในนั้นก็ถามเขาว่า

“เสลดติดคอเหรอครับอาจารย์” 

“เปล่าครับ ไอเฉยๆ” สำหรับฌานแล้วเด็กสมัยนี้ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองสูง หรือเพราะเขาไม่ได้ดูน่าเกรงขามก็ไม่รู้เหมือนกัน 

ชายหนุ่มเดินไปที่โต๊ะหน้าชั้นเรียนแล้ววางแล็ปท็อปเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนจะกล่าวทักทายนักศึกษาเหมือนที่ทำอยู่ทุกวัน เขาเริ่มต้นการสอนด้วยการให้นักศึกษาจับกลุ่มออกมาพูดหน้าชั้นเรียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมในทวีปเอเชีย จนมาถึงคิวของนักศึกษาชายสองคนที่เขาเข้าไปคุยด้วยก่อนหน้านี้

สองคนนี้น่าสนใจ พวกเขาพูดเรื่องวิวัฒนาการของเกมคอนโซลและวัฒนธรรมญี่ปุ่น การดำเนินเนื้อเรื่องของเกมบางประเภทได้ข้อมูลมาจากวัฒนธรรมของชาตินั้นๆ ทั้งเครื่องแต่งกาย ภูมิประเทศ และสถานที่ในเกมล้วนถูกอ้างอิงมาจากประวัติศาสตร์ หลังจากทั้งสองคนพูดจบ เขาก็ถึงกับปรบมือให้

“ทำดีมากนะ อาจารย์ให้ทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีไหม” ฌานถามขึ้นขณะที่เด็กคนหนึ่งส่งไมค์คืนมาที่เขา

“ไม่เอาอะครับ ผมขี้เกียจ” หนึ่งในฝาแฝดพูดขึ้น

“แต่ได้คะแนนเพิ่มนะ ไม่สนใจเหรอ”

“คะแนนเอาไปก็เท่านั้นแหละครับ เกรดมันก็เพิ่มมาแค่จุดสองจุด พวกผมเน้นประสบการณ์ชีวิต” แฝดอีกคนว่า

ขณะที่ฌานกำลังจะตอบนักศึกษาชายสองคน เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นข้อความจากแอปพลิเคชันของเกม

“อาจารย์เล่นเกมด้วยเหรอครับ” แฝดคนหนึ่งถามเมื่อแอบเห็นแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่าย

“อืม นิดหน่อย” ฌานตอบทั้งที่ความจริงแล้วก็ไม่ได้เรียกว่านิดหน่อย นอกจากเรื่องเรียนกับเรื่องงานแล้วก็มีเรื่องเกมนี่ละที่เขาใช้เวลากับมันมากที่สุด แต่เขาเป็นอาจารย์นะ จะให้พูดแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ

“โอ้ยจารย์ ผมกับน้องนี่ชอบมากเลย อาจารย์เล่นนี่ไหมครับ” 

พิธานเปิดภาพของเกมจากอินเทอร์เน็ตให้ฌานดู เมื่อเห็นว่าเป็นเกมที่ตัวเองเล่นอยู่ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้ว ใจจริงอยากจะบอกไปว่าเขาเล่นอยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่กล้าเพราะต้องรักษาภาพลักษณ์

“เคยเล่น” เขาว่า

“ขอไอดีเลยครับ มาๆ”

“แต่อาจารย์ไม่ค่อยออนไลน์หรอกนะ” ที่จริงคือเขาเล่นทุกวันต่างหาก ตอนนี้ถ้าไม่เล่นคนเดียวก็คือเล่นกับเพื่อน ‘GunslingerGod’ แต่ถ้ามีเพื่อนเพิ่มก็คงไม่เป็นไร 

เมื่อแลกไอดีกันเรียบร้อยแล้ว ตอนค่ำวันนั้นฌานก็ต้องเจอกับคู่แฝดนรกที่เล่นได้มั่วที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ซ้ำเสียงในปาร์ตี้ก็ยังหนวกหูมากจนเขาคิดอะไรไม่ออกเลย

“พวกนายเข้าไปแบบนั้นสิบรอบแล้วนะ อาจารย์ว่าเรามาตั้งต้นใหม่ เข้าไปทีละคนดีไหม” ฌานเอ่ยขึ้นมา ในขณะที่สองแฝดหันมามองหน้ากัน เวลาที่อีกฝ่ายเรียกตัวเองอย่างนั้นแล้ว ทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังเรียนประวัติศาสตร์เอเชียอยู่เลย

“อาจารย์ครับ พวกผมเรียกอาจารย์ว่าพี่ฌานดีกว่านะ ง่ายดี” พิธานว่า เขาไม่ได้สนใจฟังเรื่องที่ฌานพูดด้วยซ้ำ

“ยังไงก็ได้ แต่...” ขณะที่ฌานกำลังจะพูดต่อ สองพี่น้องก็เสียงดังโวยวายกลบเสียงเขามิด ทั้งสองคนวิ่งลุยเข้าไปรอบที่สิบเอ็ด แม้จะถูกยิงนับครั้งไม่ถ้วนแต่ทั้งคู่ก็ยังหัวเราะได้ 

ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปช่วยสองคนนั้นก็มีคนเข้ามาในกลุ่มของพวกเขา อีกฝ่ายไม่เปิดเสียง แต่เขารู้ว่าคือใคร

เป็นเพื่อนของเขา ‘GunslingerGod’ นั่นเอง

“โอ๊ะ เทพ G มาเว้ยเฮ้ย” พิธานร้องขึ้นมา

“ฮัลโหลๆ พี่นพ เป็นอะไรไม่พูดวะ” พิพัฒน์ร้องเรียกคนมาใหม่ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ มีแค่เสียงแจ้งเตือนของข้อความที่อีกฝ่ายส่งมา

‘เฮดเซตแม่งพัง เป็นสากเบืออะไรก็ไม่รู้’ 

ฌานกะพริบตาถี่ ดูเหมือนเพื่อนของเขากับเด็กสองคนนี้จะรู้จักกันอยู่แล้ว ดูท่าทางจะสนิทกันพอสมควรเสียด้วย แต่อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่า ‘GunslingerGod’ เพื่อนที่เขาเล่นด้วยกันนั้นชื่อจริงว่า ‘นพ’ 

“เออ งั้นเล่นอย่างนี้ไปก่อนแล้วกัน” พิธานว่าก่อนจะวิ่งเข้ามิชชัน ในขณะที่คนอื่นยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกโจมตีโดยเอไอที่อยู่ในเกม 

เห็นเด็กหนุ่มสองคนนั้นเข้าไปสู้แบบโง่ๆ แล้วฌานก็ถอนหายใจ ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปช่วยก็ได้ยินเสียงเตือนข้อความ

‘ไม่ต้องเข้าหรอก ให้สองคนนั้นมันเล่นไป คอยดูให้หน่อยว่ามีเอไออยู่ตรงไหนบ้าง แล้วเอาดรากูนอฟยิงชี้เป้าให้ที ถ้าพลาดก็ยิงซ้ำเอาให้ตาย’

“อื้ม” ฌานส่งเสียงตอบ

...

ผู้ชาย!?

นพเก้าหรี่ตาลงเล็กน้อย เธอไม่นึกว่า ‘Sakura-Chan’ จะเป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่แปลก เกมแบบนี้จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่หลุดมาเล่น ไม่อย่างนั้นกลุ่มของเธอก็คงจะเต็มไปด้วยพวกผู้หญิงแล้ว 

หลังจากที่พิธานกับพิพัฒน์โดนยิงตายด้วยกัน นพเก้าก็เปลี่ยนอาวุธของตัวเอง เธอมักจะใช้ปืนระยะกลางแบบแอสซอลต์ไรเฟิล เพราะทุกครั้งที่เล่นกับเพื่อน พาทีจะเป็นคนเล่นตำแหน่งสไนเปอร์ไรเฟิล แม้ว่าเธอจะเล่นได้ดีกว่า แต่ถ้าให้เทียบกันกับการส่งพาทีไปวิ่งไล่ยิงอยู่ข้างล่างก็มีโอกาสที่จะตายยกทีมเยอะกว่า ดังนั้นเธอจึงอยู่ในตำแหน่งที่จะวิ่งไปทั่วได้เพื่อสนับสนุนคนอื่นแทน

...

ทั้งสองคนเล่นด้วยกันได้อย่างเข้าขาโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรกัน ขนาดพิธานกับพิพัฒน์ยังแซวว่าสงสัยเทพ G จะเจอเนื้อคู่เสียแล้ว ถ้าอีกคนไม่ได้แต่งงานแล้ว และอีกคนไม่ได้เป็นอาจารย์หนุ่มหล่อหน้าตาดีที่ตั้งชื่อไอดีได้เกย์มาก พวกเขาก็คงอยากจะจับคู่ให้อยู่หรอก

“พี่ฌานสนใจจะเข้าร่วมแคลนกับพวกเราไหมครับ” พิธานถามขึ้น

ส่วนฌานก็นิ่งไปสักพัก เขาไม่เคยคิดจะผูกมิตรกับใครในเกมมาก่อน พลางคิดว่าตนเองคงไม่มีเวลาจะมีเพื่อนเพิ่ม อีกอย่างเวลาที่เขามีงานก็อาจจะไม่ได้เล่นแบบนี้แล้ว...

‘เชิญไปแล้ว กดรับหน่อย’ 

ข้อความเด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์ เทพ G เชิญเขาโดยที่ไม่รอถามความคิดเห็น แล้วเขาจะคิดมากไปทำไมกัน ในเมื่อเป็นแค่การเล่นเกม 

ชายหนุ่มกดตอบรับคำเชิญ ไม่นานที่ชื่อของเขาก็มีสัญลักษณ์รูปยักษ์ถือปืน ชีวิตต่อจากนี้จะไม่มีคำว่าโดดเดี่ยวอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะดีใจหรือเสียใจดี

 

ในที่สุดก็ถึงวันที่นพเก้าต้องกลับมาทำงาน หญิงสาวตื่นแต่เช้าเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน แม่บ้านที่จะมาอยู่ประจำเดินทางมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน มารดาของระพีเป็นคนสัมภาษณ์และจัดการทุกอย่าง เธอแค่คุยกับอีกฝ่ายเพียงไม่กี่คำเท่านั้น รู้เพียงว่าชื่อ ‘น้อย’ อายุสี่สิบปีเศษ ยังไม่มีสามีและลูก ท่าทางก็ดูคล่องแคล่วและตื่นตัวกับการทำงานดี ดูอย่างตอนเช้านี้ที่ทำอาหารวางไว้บนโต๊ะเกือบสิบอย่าง ทั้งที่มีแต่เธอเท่านั้นที่เป็นคนกิน

“ทีหลังพี่น้อยไม่ต้องทำเยอะขนาดนี้ก็ได้นะคะ คงมีแต่เกดที่อยู่ทานคนเดียว” หญิงสาวว่า

“แล้วคุณพีไม่รับข้าวเช้าเหรอคะ”

“ไม่รู้สิคะ พี่พีไม่ค่อยกลับบ้านหรอก”

“คุณเกดเพิ่งแต่งงานไม่ใช่เหรอคะ” น้อยทำท่าทางแปลกใจ คู่แต่งงานใหม่ที่ไหนใช้ชีวิตแบบผัวทางเมียทางแบบนี้กัน อีกอย่างผู้หญิงตรงหน้านี่ก็สวยอย่างกับนางฟ้า ท่าทางก็นิสัยดี เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะโดนทิ้งให้กินข้าวเช้าคนเดียว จะว่าทะเลาะกันก็ไม่น่าเป็นช่วงที่เพิ่งแต่งงาน

“ใช่ค่ะ” นพเก้าตอบแค่นั้น เธอไม่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ของตัวเองกับสามีให้ใครฟังได้ 

ตอนนี้สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยดี ระพีไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะล้างผลาญเงินของเขาอย่างไร บางทีนพเก้าก็รู้สึกหมั่นไส้ในความรวยของชายหนุ่ม เขาคิดว่าจะอัดเงินให้เธอเยอะๆ เพื่อที่เวลาเขาต้องการหย่าจะได้ไม่รู้สึกผิดมาก

ทนได้ก็ทนไป...

 

หญิงสาวตั้งใจว่าจะแอบขับรถให้คล่องก่อนแต่งงาน ทั้งบิดามารดาก็เอาแต่เป็นห่วงกลัวว่าเธอจะเกิดอุบัติเหตุ จึงไม่ยอมให้หัดขับรถเธอจึงกลายเป็นเจ้าหญิงนพเก้าที่ไปไหนเองไม่ได้ ดังนั้นทางเลือกเดียวของเธอคือใช้สอยลูกสมุนของตัวเอง

“กว่าจะมานะไอ้แพท แล้วทำไมหัวเป็นอย่างนั้น” นพเก้าถามเมื่อเห็นศีรษะของเพื่อนเปียกชุ่มไปหมด จะบอกว่าเป็นเหงื่อก็ดูจะเยอะไปหน่อย

“แกกล้าถามฉันเหรอ ตอนแกโทร. ไปฉันยังสระผมไม่เสร็จเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเป่าผม เอาผ้าขนหนูเช็ดยังไม่ทันเลย” 

ถึงพศธนจะขี้บ่นและชอบหน้าหงิกใส่อย่างไม่ปิดบัง แต่ข้อดีของเขาคือทำตามทุกอย่างที่นพเก้าขอ ตอนแรกหญิงสาวก็คิดว่าพศธนอาจจะชอบพอตัวเองฉันชู้สาว ขนาดเธอส่องกระจกทุกวันยังหลงรักตัวเองเลย ผู้ชายที่ไหนจะไม่หวั่นไหว แต่คบกันนานวันเข้าก็เข้าใจว่าเขาเป็นเบ๊ให้กับทุกคน แม้แต่วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยยังชอบใช้ชายหนุ่มไปซื้อส้มตำให้บ่อยๆ เลย

“นี่แกกำลังคิดว่าตัวเองสวยอีกแล้วใช่ไหม” พศธนถอนหายใจ

“ถ้าฉันไม่คิดแล้วใครจะคิดล่ะ”

“สามีแกไง ไปถึงไหนแล้วแผนจับผู้ชายน่ะ” 

พอเพื่อนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา นพเก้าก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทั้งไม่อยากอธิบายและไม่อยากไปทำงานสายด้วย

“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ฉันเอาอยู่” แม้ว่าสถานการณ์จริงจะไม่ได้ใกล้เคียงกับที่พูดออกไป แต่นพเก้าก็รู้สึกว่ายังมีเวลา เพราะอย่างไรระพีคงยังไม่เร่งเรื่องหย่าให้เกิดขึ้นเร็วๆ นี้แน่ เขาห่วงมารดาและห่วงหน้าตาในสังคมมากกว่าจะต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก 

พศธนไม่ได้ถามต่อ คิดแค่ว่าต้องรีบไปส่งนพเก้าให้เสร็จๆ จะได้ไปทำงานที่ค้างคาให้เสร็จ เขาทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์อิสระ เมื่อก่อนทำงานในบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง เรียกได้ว่าทำทุกอย่างกระทั่งทำความสะอาด ไม่นานบริษัทก็เลิกกิจการเพราะรายจ่ายมากกว่ารายรับ แต่ก็ยังมีลูกค้าเก่าๆ ที่ชอบผลงานของเขาจ้างให้ทำงานอยู่เรื่อยๆ เขาจึงพอมีรายได้อยู่บ้าง นอกจากเงินในส่วนนั้นแล้วก็ยังมีนพเก้าที่ใช้เขาสารพัดจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น ‘เบ๊ส่วนตัว’ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างที่หญิงสาวใช้เขาไปทำนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ได้เงินดี 

“ขอบใจมาก เอาไปกินหนม” หญิงสาวว่าก่อนจะยื่นเงินให้เพื่อน สักพักทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงโรงเรียน

เป็นภาพแปลกตามากที่เห็นคุณครูสาวนั่งรถมอเตอร์ไซค์มากับผู้ชายที่ดูเหมือนจะไม่ใช่รถรับจ้าง เนื่องจากเพิ่งลาไปแต่งงานหลายวัน ทำให้นักเรียนและครูคนอื่นคิดว่าชายหนุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งนั้นคือสามีของนพเก้า

หญิงสาวเป็นครูที่โรงเรียนเอกชนแห่งนี้ตั้งแต่เรียนจบ เธอมีอาชีพให้เลือกไม่มากนักเพราะมารดาเป็นคนหัวโบราณ งานที่ผู้หญิงจะทำได้ถ้าไม่ใช่ครูก็คือภรรยาของผู้ชายที่เพียบพร้อมสักคน แม้ไม่ใช่คนรักเด็ก แต่เธอเก่งเรื่องสร้างภาพ เพราะฉะนั้นงานนี้ไม่ได้มีปัญหาสักเท่าไร 

ผ่านช่วงเคารพธงชาติมาสักพักหญิงสาวก็มาเตรียมเอกสารที่จะต้องสอนที่ห้องพักครู ท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของทุกคนในห้องทำให้นพเก้าตัดสินใจที่จะไม่สบตาใครเพราะกลัวต้องตอบคำถาม งานแต่งงานของเธอไม่ได้เชิญเพื่อนร่วมงานไปสักคน เพราะเธอไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ ตอนที่บอกว่าจะลางานก็ได้แต่บอกว่าที่บ้านต้องการเชิญญาติเท่านั้น 

“หน้าตาสดใสเชียวนะคะครูเกด” เสียงหวานข้างๆ เอ่ยขึ้น

ข้างโต๊ะของเธอคือโต๊ะของ ‘วนิดา’ หรือ ‘ครูหวาน’ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ก่อนที่เธอจะเข้ามาทำงานวนิดาเป็นคุณครูขวัญใจเด็กหนุ่มๆ ที่นี่ ด้วยบุคลิกสวยใสร่าเริง ต่างจากเบญจกัลยาณีอย่างเธอที่เด็กผู้ชายโรงเรียนนี้รู้สึกเกรงใจจนไม่กล้าทำตัวห่ามใส่ แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ดี

โรงเรียนเอกชนแห่งนี้เป็นโรงเรียนชายล้วน นักเรียนส่วนใหญ่มาจากครอบครัวมีอันจะกิน เด็กส่วนใหญ่อยู่ในระเบียบและตั้งใจเรียนดี แต่ก็มีบ้างที่ชอบแหกคอก โชคดีที่เธอไม่ใช่ครูฝ่ายปกครองเลยไม่ต้องไปวุ่นวายกับเด็กทโมนพวกนั้น 

“ขอบคุณค่ะ” 

“ไปฮันนีมูนที่ไหนคะ”

“ทะเลค่ะ”

“ทะเลที่ไหนคะ”

ใครจะไปรู้กันล่ะว่าที่ไหน เธอนั่งเล่นเกมอยู่ที่บ้านทุกวัน 

นพเก้าเม้มปาก เห็นรอยยิ้มของวนิดาแล้วหญิงสาวก็เหนื่อยใจ ทำไมคนเราถึงอยากรู้เรื่องของคนอื่นได้ขนาดนี้นะ ดังนั้นเธอจึงตอบไปส่งๆ ว่า

“ทะเลไทยค่ะ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น