บทที่ 2
ชยินใช้เวลาถามตอบตัวเองอยู่หลายวัน ในที่สุดก็คิดได้ว่าการที่เขานั่งหวาดหวั่นกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงนั้น นอกจากจะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์เขายังเสียเวลาเปล่า เมื่อเห็นว่าควรทำอะไรให้ดีกว่าเดิม ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินหน้าทวงหัวใจ โดยไม่คิดกังวลอีกต่อไปว่าเธอจะตอบรับหรือปฏิเสธ
ซาเยร์มองเจ้านายในชุดลำลองที่ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วอมยิ้มน้อยๆ ...หล่อบาดใจขนาดนี้ถ้าแพทย์หญิงวริสาจะไม่ใจเต้นก็ให้มันรู้ไป คนที่เชียร์ให้ทั้งคู่ลงเอยกันสุดหัวใจบอกตัวเองอย่างชื่นชม
“ผู้กองจะให้ผมเข้าไปด้วยไหมครับ” ถามขณะเหลือบมองดอกไม้ช่อใหญ่ในมือของผู้เป็นนาย
“ไม่ต้อง แค่ขับรถไปส่งฉันก็พอ” ชายหนุ่มปฏิเสธ
“แน่ใจนะครับ” ถามย้ำอย่างไม่เชื่อมั่น
“ทำไมแกต้องทำเสียงเหมือนไม่เชื่อมั่นในตัวฉัน”
“ผมก็แค่เป็นห่วง กลัวผู้กองจะป๊อด” คำตอบนั้นทำเอาแข้งขาของอดีตผู้กองหน้าดุกระตุก แต่เพราะรู้ทางตีนกันมานมนานซาเยร์จึงกระโดดหลบทันอย่างฉิวเฉียด
“ไวเป็นลิงป่าเลยนะไอ้ซาเยร์” คนถีบพลาดชี้มือคาดโทษ
“ตั้งแต่เลิกเป็นทหารฝีตีนผู้กองตกไปเยอะเหมือนกันนะครับ” ซาเยร์พูดจบก็เผ่นแนบขึ้นไปนั่งประจำที่พลขับ เพราะรู้เท่าทันว่า หากยังชักช้าคนถูกปรามาสคงจัดฝ่าตีนลงบนร่างกายเป็นแน่
“ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่อนุญาตให้แกไปไหนมาไหนด้วย เดี๋ยวนี้ความคิดความอ่านชักล้ำหน้าใหญ่แล้ว” “คนเรามันก็ต้องมีการพัฒนาบ้างสิครับ ผู้กองจะให้ผมจมอยู่กับวิถีเดิมๆ ได้อย่างไร”
“ถ้าแกไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตในวิถีเดิมๆ ก็เลิกพล่าม...ออกรถได้แล้ว” ชายหนุ่มออกคำสั่งด้วยใบหน้าดุดันจนคน
ด้านข้างอดยิ้มให้กับประกายจริงจังในสีหน้านั้นไม่ได้
“เอ่อ...ผู้กองจะออกไปรบหรือครับ” คำถามกวนอารมณ์พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้น ทำให้คนถูกถามหันไปมองคนสนิทแล้วนิ่วหน้าด้วยความงุนงงกับคำถาม
“ฉันแค่กำลังไปตามหาความรัก อะไรทำให้แกคิดว่าฉันกำลังออกรบเรอะ”
“ก็สีหน้าผู้กองตอนนี้มันดุดันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นสุดๆ นะสิครับ เห็นแล้วบอกตรงๆ ว่ามันทำให้ผมอดนึกถึงวันที่ได้ออกไปลุยกับผู้กองอยู่ในสนามรบ”
“หน้าฉันมันบ่งบอกขนาดนั้นเลยหรือ” ถามพลางลูบหน้าตัวเอง
“บ่งบอกชนิดเหมือนกำลังตะโกนอยู่แนวหน้าเลยทีเดียว ผมว่าผู้กองลองทำหน้าตาแบบผ่อนคลายสบายอารมณ์ดีไหมครับ”
“หน้าตาฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด และนี่มันก็เป็นความผ่อนคลายในแบบของฉัน”
“แน่ใจเหรอครับ...”
“ไอ้ซาเยร์...แกจะมายุ่งอะไรกับหน้าฉันหนักหนา มีหน้าที่ขับรถก็ขับไป” พอถูกกวนอารมณ์หนักเข้าชยินจึงตัดบท
“ผมเปล่ายุ่งนะครับ แต่ที่จำเป็นต้องพูดก็เพราะผมเกรงว่าถ้าผู้กองทำหน้าดุดันแบบนี้คุณหมอคนสวยจะตกใจ ก็เท่านั้น”
“ก็หน้าฉันมันเป็นแบบนี้แกจะให้ทำยังไงวะ” ถามอย่างเหลืออด
“ยิ้มไงครับ...ผู้กองต้องยิ้ม แบบนี้...” ซาเยร์สาธิตวิธียิ้มพิมพ์ใจให้เจ้านายดู
“แกจะบ้าเรอะ...อยู่ๆ จะให้ฉันยิ้มโดยไม่มีสาเหตุใครเห็นคงคิดว่าบ้า” ชายหนุ่มตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์กับคำแนะนำนั้น “หุบปากไปเลย...เลิกยุ่งวุ่นวายกับหน้าฉันและทำหน้าที่ขับรถอย่าเดียวได้ไหมฉันชักรำคาญแล้ว”
“ใจคอผู้กองจะไปพบคุณหมอด้วยใบหน้าถมึงทึงแบบนี้จริงๆ เหรอครับ”
“ไอ้ซาเยร์ฉันชักจะหมดความอดทนกับแกแล้วนะ ถ้าแกยังเสือกยุ่งกับหน้าฉันวันนี้แกได้กลับเข้าป่าแน่ ขับรถไป”
“แต่...” ซาเยร์ที่กำลังอ้าปากจะแย้งรีบหุบฉับ เมื่อถูกสกัดด้วยน้ำเสียงดุดันเอาจริงของเจ้านายจุดเดือดต่ำ
“ยังอีก!...”
เมื่อเห็นว่าชยินไม่ได้สนใจทำตามคำแนะนำ คนหวังดีจึงยอมสงบปากสงบคำและขับรถไปตามเส้นทาง โดยไม่พูดอะไรนอกจากอมยิ้มน้อยๆ แล้วนึกถึงแพทย์หญิงวริสา ว่าเธอจะทำหน้าอย่างไร หากเจ้านายของเขายื่นดอกไม้ให้เธอในขณะการแสดงออกทางสีหน้าเย็นชาเป็นผีดิบ
ราวสามสิบนาทีรถที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วอย่างสม่ำเสมอก็ตีไฟ และเลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาล เมื่อเข้าเขตโรงพยาบาลชยินกวาดตามองไปรอบ ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงเรียกสมาธิแล้วสูดลมหายใจเข้าปอด แม้รถจะหยุดสนิทอยู่ในลานจอดรถ แต่เขาก็ยังนั่งกอดดอกไม้อยู่ในรถอีกชั่วครู่
“โชคดีนะครับผู้กอง”
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าในชีวิตจะต้องมาทำอะไรแบบนี้” ก้มมองดอกไม้ช่อใหญ่ในมือสีหน้าลังเล
“คนเราถ้าลองตกลงไปในหุบเหวของความรัก มันยังมีสิ่งมหัศจรรย์ให้ทำอีกเยอะครับผู้กอง”
“ทำเป็นรู้ดี ทำอย่างกับว่าในชีวิตผ่านความรักมาอย่างโชกโชนอย่างนั้นแหละ”
“ถึงผมจะยังไม่มีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน แต่หัวใจของผมก็ไม่ค่อยว่างนะครับผู้กอง” ซาเยร์ยืดอกอย่างอวดตัว
“หาเมียให้ได้เป็นตัวเป็นตนก่อนเถอะแล้วค่อยอวด ฉันไปละ”
“ผู้กองกล้าพนันกับผมไหมว่าใครจะมีเมียก่อนกัน” พอถูกดักคอคนที่คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าจึงขอวางเดิมพัน
“เอาสิ...ฉันรับเดิมพัน”
“ถ้าชนะผมไม่ขออะไรมากหรอกครับ เอาแค่เงินขวัญถุงสักสามสี่ล้านก็พอ”
“ถ้าแกชนะฉันจะแถมบ้านพักตากอากาศพร้อมรถอีกคันก็ยังไหว” ชยินวางสิ่งของเดิมพันอย่างใจป้ำ
“ดูเหมือนผู้กองมั่นอกมั่นใจเหลือเกินนะครับว่าจะไม่กินแห้ว”
“แกคอยดูก็แล้วกัน” พูดจบก็เปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถ
ซาเยร์มองตามร่างสูงใหญ่เดินประคองช่อดอกไม้เข้าไปในตัวอาคารแล้วกระตุกยิ้ม ด้วยเคยจีบหญิงมาหลายสนามจึงทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่า แค่ดอกไม้เพียงช่อเดียวมันไม่มีทางทำให้เส้นทางความรักโรยด้วยกลีบกุหลาบแน่...
โธ่เอ๋ย...ผู้กองผู้น่าสงสาร ริจะจีบผู้หญิงแต่ไม่รู้จักทำการบ้าน งานนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า มือที่หอบช่อดอกไม้อย่างมั่นอกมั่นใจนั่น จะต้องเปลี่ยนเป็นแบกเข่งแห้วกลับมาอย่างไม่ต้องสงสัย...
********
ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เรียบหรูผิดกับคนในพื้นที่กำลังเดินเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยจังหวะมั่นคง กลายเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนมากที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น สายตามากกว่าสามสิบคู่มองชายหนุ่มรูปงามหอบดอกไม้ช่อใหญ่ เดินไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ อย่างสนใจว่าเป็นญาติของคนไข้คนไหน
แม้รู้สึกประหม่ากับสายตาอยากรู้อยากเห็นของเหล่าผู้คนที่มารอรับการรักษาที่พากันจ้องเอาๆ ราวกับเขาเป็นตัวประหลาด แต่ชายหนุ่มก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ นอกจากแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเขาต้องการพบแพทย์หญิงวริสา พอแจ้งความประสงค์เจ้าหน้าที่เหลือบมองดอกไม้ช่อใหญ่แล้วอมยิ้ม...
“คุณหมอมะ...” พูดยังไม่ทันจบชายหนุ่มก็ตะโกนขึ้น
“หมอ! หมอครับ” ชยินที่จดจ่อกับคำตอบตะโกนขึ้น เมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินออกจากห้องตรวจ “ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณทั้งอีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบ แล้วรีบผละไปหาหญิงสาวที่ยืนจ้องเขาอย่างตกตะลึงในทันที
“คุณ...ชยิน!” เจ้าของดวงตากลมโตอุทาน ขณะจ้องชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เรียบหรูกำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาด้วยความประหลาดใจ
“สวัสดีครับหมอ” ชายหนุ่มทักทายอย่างยินดี
“สวัสดีค่ะ...คุณมาเยี่ยมใครเหรอคะ” ถามพร้อมมองไปที่ดอกไม้ช่อใหญ่ในมือของเขา
“ผมเอ่อ...มาเยี่ยมหมอ” คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวจ้องใบหน้าคมคายหากดุดันไม่เปลี่ยนแปลงแล้วนิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจ
“มาเยี่ยมหมอ...” ถามย้ำพลางมองดอกไม้ช่องามอย่างไม่สบายใจ เพราะเกรงว่าหมอที่เขาต้องการมาเยี่ยมจะเป็นตนเอง ขณะรู้สึกอึดอัดกับการปรากฏตัวของบุคคลที่คาดไม่ถึง ด้านหน้าอาคารนายทหารหน้าเข้มก็กำลังเดินหน้าตึงตรงดิ่งเข้ามา
ภูริชมองภาพชายหนุ่มนิรนามกำลังยืนถือช่อดอกไม้พูดคุยกับภรรยาของเขาราวกับรู้จักกันมาก่อน อย่างไม่สบอารมณ์นัก เพราะจากภาพที่เห็นมันทำให้เข้าใจว่าเวลานี้ กำลังมีไอ้หนุ่มชะตาขาดคิดจะมาเลื่อยใบทะเบียนสมรสของเขา แม้ไม่พอใจแต่เขาก็มีวุฒิภาวะพอที่จะไม่แสดงความเกรี้ยวกราดจนสร้างความลำบากใจให้กับเธอ
“คุณมีธุระอะไรกับภรรยาของผมไม่ทราบ” คำถามห้วนสั้นและไม่เป็นมิตรที่ดังขึ้นทำให้ ชยินหันขวับไปทางต้นเสียงทันที
“มองเทร์! ไม่ใช่สิผู้กองภูริช...เอ่อผู้พัน...” ชยินทักทายอดีตคู่ปรับด้วยสรรพนามที่ยังไม่คุ้นนัก
“เรียกผมภูริชก็ได้”
“ครับคุณภูริช” คำเรียกขานเต็มไปด้วยความเกรงใจอยู่ในที ทำให้อดีตสายลับจอมกวนจ้องคนตรงหน้าอย่างพินิจ
“คุณมาทำอะไรที่นี่” ถามพลางเหลือบมองช่อดอกไม้อย่างไม่ไว้ใจ
“เราไปคุยกันที่ห้องพักของฉันดีกว่าไหมคะ” แพทย์หญิงนภัสชลเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่ามีสายตาของคนที่อยู่ในบริเวณมองมาบ่อยครั้ง เมื่อคนถูกชวนพนักหน้าเธอจึงเดินนำไปก่อน โดยมีภูริชเดินเคียงคู่อยู่ไม่ห่าง
ระหว่างเดินไปยังห้องพักของแพทย์หญิงนภัสชล ภาพภูริชที่แสดงออกถึงความรักและเอาใจใส่ต่อภรรยา กำลังทำให้คนที่ทำหัวใจหล่นหายมาหลายปี นึกอิจฉากับความรักที่งอกงามอยู่ในทุกย่างก้าวของพวกเขา จนอดตั้งคำถามกับตัวเองไม้ได้ว่า ตลอดหลายปีมานี้เขามัวทำอะไรอยู่...
...ชยินเอ๋ย...แกมันหน้าโง่จริงๆ...เมื่อตอบคำถามนั้นไม่ได้ เขาจึงก่นด่าตัวเองที่โง่เขลาอยู่กับความคิดอันคับแคบจนปล่อยให้เวลาล่วงเลยมานาน...
พอเข้าเขตส่วนตัว ภูริชเลื่อนเก้าอี้ให้กับอดีตคู่ปรับตามมารยาท แล้วเดินไปนั่งเก้ากี้ตัวที่ว่าง พอชยินนั่งลงเขาจึงมองไปยังดอกไม้ช่อใหญ่ที่อีกฝ่ายหอบอยู่ในวงแขนอย่างทะนุถนอม ราวกับมันเป็นสิ่งของล้ำค่าที่นำมากำนัลให้กับคนสำคัญ
“คุณหอบดอกไม้มาเยี่ยมใครเรอะ” นายทหารขี้หวงถามออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม
“ผมมาเยี่ยมหมอ...”
“ที่โรงพยาบาลมีหมอป่วยด้วยเหรอครับ” เขาหันไปถามภรรยา
“ไม่นี่คะ”
“ผู้กองอย่าบอกนะว่าคุณหอบดอกไม้ช่อนั้นมาเยี่ยมเมียผม” คำถามนั้นทำให้ชยินก้มมองช่อดอกไม้ แล้วเงยขึ้นสบตากับคนถาม
“ถ้าผมจะหอบดอกไม้มาเยี่ยมเธอคุณมีปัญหาอะไรงั้นหรือ”
“มีสิ...ผมไม่ชอบให้ผู้ชายหน้าไหนซื้อดอกไม้ให้เมีย เพราะนั่นมันเป็นหน้าที่ของผม ” ภูริชตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใจเย็นๆ คุณภูริช” พอเห็นสีหน้าจริงจังของนายทหารหน้าเข้ม ชยินจึงรีบกางมือขึ้น
“ถ้าอยากให้ผมกินน้ำแข็งแทนน้ำเดือดคุณก็รีบบอกมาซะ ว่าไอ้ดอกไม้นั่นตั้งใจเอามาให้ใคร”
“ผมมาหาหมอลี” เพราะไม่อยากยั่วยุอารมณ์ของอีกฝ่าย ชยินจึงรีบบอกจุดประสงค์ของเขา
“หมอลี!” สองสามีภรรยาทวนชื่อบุคคลที่ชายหนุ่มต้องการพบขึ้นพร้อมกัน
“ใช่...ผมตั้งใจมาหาเธอ”
“หมายความว่ายังไงคะ” นภัสชลถามขณะหันไปทางสามี
“ผมรักหมอลี”
“อะไรนะ!” ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน
“ทำไมพวกคุณต้องตกใจด้วย”
“คุณกำลังบอกว่ารักเพื่อนถ้าไม่ให้ฉันตกใจ แล้วจะให้ฉันทำยังไง” นภัสชลถามกลับทั้งยังไม่หายจากอาการตกใจ
“คุณก็ดีใจสิครับ” คนที่มองเห็นแต่ถนนสายความรักโรยด้วยกลีบกุหลาบตอบสีหน้าจริงจังอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“เดี๋ยว! ผู้กองคุณไปรักหมอลีตอนไหน” ภูริชถามขึ้นบ้าง
“ก็ตั้งแต่ที่คุณพาหมอแยกไปนั่นแหละ ผมกับเธอผจญความเป็นความตายร่วมกันมา มันคงไม่แปลกใช่ไหมที่ความรักของผมมันจะเริ่มขึ้นท่ามกลางสมรภูมิรบ เพราะจะว่าไปความรักของพวกคุณก็คงเริ่มจากจุดนั้นเหมือนกัน”
“ความรักของผมเริ่มต้นจากความลึกซึ้ง และที่สำคัญมันเกิดมายาวนานกว่านั้น ผู้กองผมไม่รู้ว่าความรักของคุณเริ่มจากอะไร หากคุณคิดว่าเพียงแค่ได้ร่วมเป็นร่วมตายกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วทึกทักว่าคือความรัก บอกตรงๆ ว่ามันเชื่อยาก”
“ใช่ค่ะ...ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั่นจะทำให้คุณรักหมอลี อีกอย่างตั้งแต่วันนั้นจนกระทั้งวันนี้มันผ่านมาหลายปี คุณบอกว่ารักหมอลีแต่ไม่เคยโผล่มาให้เห็น...หรือว่าความจำเสื่อมเลยเพิ่งนึกได้คะ” นภัสชลมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เชื่อถือ
“หมอพูดถูกคุณบอกว่ารักเธอแต่ตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยแสดงตัว หรือทำอะไรที่แสดงออกถึงความรักที่มีต่อเธอ แล้วอยู่ๆ วันนี้ก็โผล่มาบอกรักพร้อมกับดอกไม้ช่อนี้เนี่ยนะ...ดูหนังโรแมนติกมากไปหรือเปล่าสหาย” และภูริชก็มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกับภรรยา
“การที่ผมไม่เคยแสดงตัวนั่นเพราะผมยังไม่พร้อม คุณก็น่าจะรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นมันไม่เอื้ออำนวย และอีกอย่างเวลานั้นผมบาดเจ็บสาหัส หลังจากคุณพ่อยอมวางมือจากอำนาจ รัฐบาลได้เข้ามาบริหารจัดการอะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเหมืองแร่ทองคำ และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจหลังจากรักษาตัวระยะหนึ่งผมกับเตโชจึงถูกส่งไปฝรั่งเศส แม้การไปของพวกเราจะไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัย แต่มันก็เป็นการไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในผืนแผ่นดินที่เราไม่คุ้นเคย” ชยินเล่าไปตามความเป็นจริง
“ผมพอทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนถ่ายอำนาจนั้น และผมก็ดีใจที่สถานการณ์ในผืนแผ่นดินของคุณเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น”
“ผมก็หวังว่ามันจะดีขึ้น ตลอดหลายปีมานี้ผมพยายามสร้างรากฐานให้กับตัวเองและผู้ใต้ปกครอง พวกเราละทิ้งถนนสายอุดมการณ์และวางอาวุธที่ใช้ห้ำหั่นกับคนชาติเดียวกันอย่างไร้ทิศทาง แล้วมุ่งเข้าสู่ถนนสายการค้าเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอนาคตที่กำลังรออยู่ พวกเราต้องทำงานกันอย่างหนัก เวลาทุกวินาทีมันมีความสำคัญกับทุกชีวิตที่ผมต้องรับผิดชอบ แม้หมอจะมีความสำคัญแต่ผมก็ไม่อาจละทิ้งความรับผิดชอบเพื่อไปไขว่คว้าความสุขแห่งตน” คำบอกเล่านั้นทำให้คนที่ให้ความสำคัญกับภาระหน้าที่ในความรับผิดชอบเข้าใจได้ไม่ยาก
ด้วยเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้ฝังจิตวิญญาณไว้ในแผ่นดิน ภูริชจึงมองอดีตคู่ปรับซึ่งเขารู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่า ในหัวใจอันเข้มแข็งนั้นรักพวกพ้องพี่น้อง และแผ่นดินมากแค่ไหนด้วยความนับถือ... ชยินอย่างไรก็ยังเป็นชยิน...
“เพื่อพวกพ้องและแผ่นดิน ผมรู้ว่าคุณคงแบกภาระมาอย่างหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว” ชายหนุ่มวางมือลงบนหัวไหล่บึกบึนแล้วตบเบาๆ อย่างเข้าใจ...
“มันใช่เรื่องง่ายเลยกับการสร้างฐานรากให้กับชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม พวกคุณอาจไม่เชื่อว่าผมจะรักหมอลีจริงๆ แต่ถ้าคุณเคยยืนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย และในขณะที่นอนฟังลมหายใจผะแผ่วอย่างสิ้นหวัง แล้วอยู่ๆ มีใครสักคนตะโกนบอกให้คุณรักษาลมหายใจไว้ สำหรับหมอเมื่อฟังแล้วคงจะไม่รู้สึกอะไรเพราะสองมือนั่นคงรักษาชีวิตของคนมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่สำหรับคนที่กำลังสิ้นหวังสิ่งที่ยื่นเข้ามาจึงความหมายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คราแรกผมพยายามบอกตัวเองว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกนั้นแท้จริงแล้วก็คือความรู้สึกผิดและการติดค้างบุญคุณ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมจึงเข้าใจว่า นั่นมันคือความรักต่างหาก...”
“กว่าจะเข้าใจคุณใช้เวลานานไปหรือเปล่าคะ”
“โธ่หมอ...คุณก็รู้ว่าเวลานั้นสถานะของผมและเธอแตกต่างกันมากมายขนาดไหน ความต่ำต้อยนั้นทำให้ผมต้องเจียมตัว”
“พวกคุณคิดกันได้แค่นี้เองเหรอคะ” หญิงสาวเหมารวมไปถึงคนที่เคยเจียมตัวจนน่าหมั่นไส้เข้าไปด้วย และคำพูดนั้นก็ทำให้ภูริชยิ้มน้อยๆ
“การที่ผมคิดแบบนั้นก็เพราะไม่อยากให้หมอลีรู้สึกน้อยหน้าใคร”
“ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับผู้กองนะ” ภูริชสนับสนุนคำพูดของชยินเพราะตัวเขาเองก็เคยรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
“บางครั้งผู้หญิงก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความรักที่มั่นคงหรอกนะคะ”
“แต่ในมุมมองของผมความรักที่มั่นคง ก็ต้องวางอยู่บนฐานของความมั่นคงอื่นๆ ด้วย และวันนี้ผมก็มีทุกอย่างพร้อมแล้ว”
“ฉันรู้สึกอยากจะดีใจกับหมอลีจังเลยนะคะที่กว่าคุณจะพร้อมก็ใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว” น้ำเสียงของหญิงสาวกึ่งประชด
“ผมก็พยายามสร้างมันอย่างเร็วที่สุดแล้วนะหมอ”
“ก็ดีไงคะเพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ได้ใช้เวลาสร้างเท่ากับชั่วอายุขัยของคุณ” คำพูดสวนกลับนั้นทำให้ภูริชเหลือบไปมองผู้กองหน้าดุแล้วเลิกคิ้วขึ้น...เป็นไงผู้กองหน้าดุกับคำพูดอันคมกริบยิ่งกว่ามีดผ่าตัดของคุณเมีย ได้ยินแล้วเจ็บชนิดกรีดลึกไปถึงตับไตไส้พุงเผลอๆ ทะลุยันไส้ติ่งเลยไหมละ...
ความคิดเห็น |
---|