4

บทที่ 4


บทที่ 4

ภาพการทำงานด้วยความเสียสละของอาสาสมัครแพทย์ตรงหน้า ทำให้ชยินกวาดตามองหาแพทย์หญิงวริสา ก่อนจะหยุดอยู่ที่หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งจดอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ ด้านหน้ามีคนไข้เป็นหญิงผิวดำอุ้มลูกน้อยอยู่ในอก

ขณะกำลังยืนรอหมอที่เดินหายเข้าไปในเต้นท์ ชยินรู้สึกได้ว่าหัวใจเขาเต้นแรงขึ้นๆ ราวกับมันจะโลดออกมา จนอดรู้สึกขบขันตัวเองไม่น้อยที่ความตื่นเต้นยินดีกำลังทำให้เขาเป็นเหมือนเด็กหนุ่มตกอยู่ให้ห้วงความรัก

ดวงตาคมกริบทอประกายอ่อนโยน ขณะพยายามมองผ่านฝูงชนซึ่งยืนอยู่จนแน่นขนัดไปยังคนที่อยู่ในเต้นท์ ร่างสูงใหญ่ภายใต้อาภรณ์เรียบหรูราคาแพงยังคงยืนรออยู่ด้านนอกอย่างสงบ แม้ตลอดการรอคอยนั้นภายในใจของเขาจะกระวนกระวายมากมายแค่ไหนก็ตาม

แม้บอกตัวเองว่าพร้อมเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่กำหัวใจไว้หลายปี แต่พอเอาเข้าจริงๆ เขากลับรู้สึกประหม่ากับการพบเธออีกครั้ง ชายหนุ่มหลุบเปลือกตาลงมองยอดหญ้าตรงปลายเท้าขณะถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า...

ซาเยร์มองท่าทางถึ่งกล้ากึ่งกลัวของผู้เป็นนายอย่างขบขัน บอกไปใครจะเชื่อว่าผู้กองหน้าดุผู้ไม่เคยกลัวแม้แต่ความตาย กำลังหวาดหวั่นที่จะเผชิญหน้ากับผู้หญิง ด้วยอยู่กันมานานตลอดชีวิตในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อเขาไม่เคยเห็นชยินให้ความสนใจอิสตรี หรือมีความรู้สึกอ่อนไหวให้กับความรัก จวบจนเมื่อชายหนุ่มพบกับแพทย์หญิงนภัสชลตัวประกันสาวแสนสวยที่มีสถานะแตกต่างกันชนิดจักรวาลกับแกนโลก

เวลานั้นแม้ความรักจะก่อเกิดแต่หน้าที่และความรับผิดชอบ รวมถึงความไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงจึงทำให้ หัวใจที่เพิ่งอ่อนระทวยกับความรักของผู้กองหนุ่มถูกปิดล็อคไว้อย่างแน่นหนา...จวบจนประตูความรักนั้นได้เปิดขึ้นอีกครั้ง และเขาเชื่อว่ามันจะเป็นรักสุดท้ายของชยิน เพราะตั้งแต่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายออกไล่ล่าความรักอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้มาก่อน

ทั้งชยินและซาเยร์ยืนรอการปรากฏตัวของแพทย์หญิงวริสาด้วยความรู้สึกไม่แตกต่างกันมากนัก ตลอดการรอคอยด้วยระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที ทว่าในความรู้สึกของชายหนุ่ม กลับยาวนานราวกับเวลาที่เดินอยู่นั้นผ่านไปแล้วนับชั่วโมง จนทำให้คนรอเริ่มร้อนรุ่มใจ

ดวงตาคมกริบเพ่งมองยอดหญ้าตรงปลายเท้าเลื่อนไปมองกิ่งไม้แห้ง แล้วเลยไปยังใบไม้ร่วงหล่นอยู่ในบริเวณ ก่อนจะหยุดอยู่ที่รองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตา ซึ่งผู้สวมมันกำลังเดินย่ำอยู่บนยอดหญ้าด้วยจังหวะการก้าวย่างอย่างกระฉับกระเฉง...

ชยินไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรองเท้าผ้าใบ นอกจากพยายามบอกตัวเองให้ระงับความตื่นเต้นไว้ ชายหนุ่มยิ้มทั้งยังก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ในขณะหัวใจเต้นตึกตักจนรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนไปตามจังหวะการเต้นของมัน

แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจรวมถึงเตรียมคำพูดมาอย่างดี แต่พอเอาเข้าจริงๆ ชยินกลับลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น เมื่อสมองเริ่มขาวโพลนเพราะถูกความตื่นเต้นครอบงำ ขณะกำลังลำดับคำพูดเจ้าของรองเท้าผ้าใบที่กำลังทำให้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำชนิดเลือดฉูบฉีดเต็มอัตราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าในระยะห่างเพียงเอื้อมมือถึง

ชายหนุ่มพยายามระงับความตื่นเต้นโดยการมองไล่ขึ้นไปช้าๆ พร้อมกันนั้นเขาก็นึกหาคำพูดอันไพเราะเสนาะหูที่คิดว่าหากเอ่ยออกไปแล้ว มันจะต้องสร้างความประทับใจให้กับเธอ...

ในขณะชยินรู้สึกราวกับตัวเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพรรณ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำหอมชั้นดีที่ลอยมาแตะจมูกทำให้ชายหนุ่มเผลอสูดดมแล้วลอยละล่องไปกับความหอมอันละมุนละไม ยามสายลมพัดโชยมาสัมผัสกับผิวกายเขาก็ยิ่งเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศซึ่งกำลังอบอวลอยู่ในห้วงรัก จนรู้สึกว่าเวลานี้หัวใจของเขากำลังโบยบินอยู่ในมวลอากาศราวกับกลีบดอกไม้ปลิดปลิวอยู่ในกระแสลม

ให้ตายเถอะ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าความรักกำลังทำให้โลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ชายหนุ่มบอกตัวเองแล้วปล่อยความรู้สึกให้ล่องลอยอยู่ในหัวงความฝัน และเป็นความฝันอันแสนหวาน...

ขณะชยินกำลังดื่มด่ำอยู่กับความรักที่ใกล้สมหวัง ด้านซาเยร์ก็กำลังยืนปลงอนิจจังให้กับความจริงที่ผู้เป็นนายกำลังจะเผชิญในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า...ดวงตากึ่งขบขันกึ่งเห็นใจมองคนร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวร่างอรชรแล้วถอนใจ...ดังเฮ้อ!

“สวัสดีครับ...หมอ...” ชยินเงยขึ้นพอเห็นคนตรงหน้าเต็มตา ถ้อยคำมากมายที่เขาตั้งใจจะพูดออกไปถูกกลืนกลับลงคอ ดวงตาหวานฉ่ำเปลี่ยนเป็นเบิกกว้าง ในขณะริมฝีปากอ้าค้างอยู่อย่างนั้น...และมันก็ทำให้โลกที่เพิ่งหยุดหมุนเปลี่ยนเป็นโคลงเคลงในความรู้สึกของชายหนุ่ม ชยินมองหญิงสาวที่ปรากฏชัดเต็มตาด้วยสีหน้าทั้งตกใจและงุนงง ก่อนจะหันไปทาง ซาเยร์แล้ววกกลับมาจ้องเธอใหม่...

“สวัสดีค่ะ...คุณต้องการพบดิฉันเหรอคะ” เธอทักทายเขาด้วยสีหน้างุนงงไม่ต่างกัน

“เอ่อ...ผมต้องการพบหมอลีครับ”

“ค่ะดิฉันคือหมอลี ไม่ทราบคุณมีธุระอะไรกับดิฉันหรือคะ”

“เอ่อ...ผมคิดว่าน่าจะมีการเข้าใจผิดคือ...หมอลีที่ผมต้องการพบคือแพทย์หญิงวริสาครับ” คำพูดของชายหนุ่มทำให้คนที่กำลังงุนงงกับการปรากฏตัวของเขา ร้องอ๋อขึ้นมาทันที

“อ้อ...คุณหมอลี” หญิงสาวทวนชื่อบุคคลที่อีกฝ่ายต้องการพบ แล้วยิ้มกว้างออกมาในขณะมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่คนถูกมองรู้สึกได้ไม่ยากว่า เวลานี้สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายของเขาคงตลกไม่น้อยในสายตาของเธอ

“ใช่ครับ...ผมต้องการพบคุณหมอ ไม่ทราบว่าเธอสะดวกไหม” เขารู้สึกเหมือนเสียงของตัวเองที่เปล่งออกไปนั้นแผ่วเบาราวกับคนหมดแรง

“หมอลีไม่ได้ร่วมเดินทางมากับคณะของเราค่ะ พอดีมีเหตุสุดวิสัยทำให้แพทย์ที่ต้องเดินทางไปเคนย่าถอนตัวกะทันหัน โชคดีที่หมอลีขอวีซ่าสำรองไว้ทางเราจึงเปลี่ยนให้คุณหมอ ร่วมเดินทางไปกับคณะอาสาสมัครที่เดินทางไปเคนย่าค่ะ” พอได้ยินว่าวริสาเปลี่ยนเส้นทาง ชยินถึงกับหูอื้อตาลายไปกับความผิดหวังที่โถมเข้ามาอย่างฉับพลันนั้น

“เธอไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอครับ...” ชายหนุ่มแทบไม่ได้ยินคำถามของตัวเอง รวมถึงคำตอบของคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าก็ด้วย แต่กระนั้นเขาก็ยังสอบถามถึงรายละเอียดของอาสาสมัครแพทย์อีกกลุ่ม

หลังจากได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยแพทย์อาสาที่เดินทางไปเคนย่า ชยินยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ในขณะหญิงสาวชื่อเดียวกับวริสาเดินกลับเข้าไปในเต้นท์ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวังหลุบลงมองยอดหญ้าตรงปลายเท้าด้วยความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมชนิดหวานเป็นขม

“ผู้กองจะเอายังไงต่อ แต่ผมว่าเราน่าจะกลับไปตั้งหลักกันใหม่ คราวนี้คงต้องดูฤกษ์ดูชัยก่อนเดินทาง” ซาเยร์เอ่ยขึ้นหลังจากปล่อยให้ผู้เป็นนายดื่มด่ำกับความผิดหวังอยู่ครู่ใหญ่

“ฉันจะไปเคนย่า แกช่วยโทร.แจ้งเลขาฯ จัดการเอกสารเกี่ยวกับการเดินไปที่นั่นให้เร็วที่สุด ฉันจะกลับไปรอที่โรงแรม” แม้จะเพิ่งลิ้มรสความผิดหวัง แต่เมื่อตั้งใจว่าจะตามเธอไปในทุกๆ ที่ ชยินจึงไม่คิดย่อท้อกับอุปสรรค์ที่กำลังดาหน้าเข้ามาทดสอบ

“ผู้กองเอาจริงเหรอครับ”

“แกเห็นฉันเป็นคนเล่นๆ หรือไง”

ซาเยร์มองท่าทางจริงจังของเจ้านายด้วยความเห็นใจ แม้ลึกๆ เขาจะไม่เห็นด้วยกับการที่ชายหนุ่มกำลังวิ่งตามความรักอย่างไร้ทิศทาง แต่เมื่ออีกฝ่ายยังยืนยันจะเดินหน้า เขาจึงไม่พูดอะไรอีกนอกจากแจ้งความประสงค์นั้นไปยังเลขาฯ และไม่ลืมย้ำไปว่าเอกสารที่ต้องการนั้นเร่งด่วนขนาดไหน ส่วนคนนำทางหลังจากรับค่าจ้างเต็มจำนวน ก็ปฏิเสธที่จะกลับไปพร้อมกันเพราะต้องการอยู่ช่วยงานกลุ่มแพทย์

พอโยนความกดดันไปให้เลขาฯ ซาเยร์เดินตามผู้เป็นนายโดยทิ้งระยะห่างพอสมควร พอถึงรถขณะกำลังจะเปิดประตูฝั่งคนขับเสียงโทรศัพท์ของชยินก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเหลือบมองผู้เป็นนายดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วกดรับสาย ก่อนจะหันหลังพิงกับตัวรถมองผู้คนที่พลุกพล่านอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก

“ว่าไงลาฟูร์” ชายหนุ่มกรอกเสียงทักทายปลายสายด้วยภาษาฝรั่งเศส

“เซดริก...เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ” ชยินนิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงร้อนรนดังมาตามสาย

“เกิดอะไรขึ้น”

ถามกลับเสียงเข้มก่อนจะขยับตัว เมื่อได้ยินสิ่งที่ฝ่ายกำลังรายงาน แล้วหันไปมองหน้าคนสนิทที่เปลี่ยนจากอิริยาบถสบายๆ เป็นเตรียมพร้อม ซาเยร์มองสีหน้าเคร่งขรึมอย่างผิดปกติของผู้เป็นนาย พอขยับปากจะถามแต่อีกฝ่ายกางมือเชิงห้ามเสียก่อน

ซาเยร์มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเจ้านายด้วยความไม่สบายใจ จวบจนอีกฝ่ายยุติบทสนทนาเขาจึงขยับเข้าไปหาแล้วถาม

“มีเรื่องอะไรหรือครับผู้กอง”

“เตโชถูกลอบยิงระหว่างเดินทางไปลียง” คำบอกเล่านั้นทำให้คนรอคำตอบอย่างจดจ่อรู้สึกตกใจไม่น้อย

“คุณเตโชถูกลอบยิง...เป็นไปได้ยังไง แล้วอาการเป็นอย่างไรบ้างครับผู้กอง” ซาเยร์ถามพลางนิ่วหน้าอย่างฉงนใจกับข่าวที่เพิ่งได้รับ

“อาการไม่น่าเป็นห่วง โชคดีที่ลาฟูร์อยู่ด้วยไม่อย่างนั้นคงแย่” น้ำเสียงของชยินเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ”

“ฉันก็ไม่รู้ เราคงต้องรีบกลับฝรั่งเศส” ชายหนุ่มตัดสินใจในทันที

“แล้วหมอละครับผู้กอง”

“ฉันจะส่งคนไปดูแลเธอที่เคนย่า เอาไว้เสร็จเรื่องเตโชค่อยว่ากันใหม่”

“ให้ตายเถอะ...ทำไมฟ้าถึงได้กลั่นแกล้งผู้กองขนาดนี้ ให้มีความรักทั้งทีจะเอากลีบกุหลาบโรยให้หน่อยก็ไม่ได้” ซาเยร์เปรยขึ้นอย่างเห็นใจ

“ถ้าฟ้าจะทดสอบความพยายามของฉันด้วยอุปสรรคเฮงซวยพวกนี้ ฉันก็พร้อมสู้กับมัน ฉันไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ แน่” ชยินมองอุปสรรคที่เขากำลังเผชิญอย่างไม่ยอมแพ้ แม้เวลานี้เขาจำเป็นต้องถอยก็ตามที

 

********

พอกลับถึงฝรั่งเศสชยินพยายามควานหาศัตรูในมุมมืดว่าเป็นใคร เพราะนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ฝรั่งเศส แม้ธุรกิจจะรุ่งโรจน์ขนาดไหน แต่งานของเขาก็ไม่ได้สร้างศัตรูทางธุรกิจ ตลอดสองสัปดาห์เขาพยายามไล่ล่าหาคนร้าย จนในที่สุดก็ระแคะระคายว่า หมาที่กำลังลอบกัดพวกเขาเป็นคนของนายพลลอซูซึ่งแทรกซึมอยู่ในกลุ่มผู้ลี้ภัยจากกลุ่มประเทศในแถบเอเซีย ซึ่งเป็นค่ายลี้ภัยที่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อรอส่งต่อไปยังประเทศที่สาม...

ในขณะชยินแทรกซึมเข้าไปยังค่ายผู้ลี้ภัยในฐานะผู้บริจาครายใหญ่ เขาได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลจึงทำให้การเข้าออกเป็นด้วยความสะดวกและได้รับการคุ้มครองราวกับเป็นบุคคลสำคัญ แต่การควานหาเงามืดที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติและภาษาที่มีราวเจ็ดร้อยคนก็ทำได้ไม่ง่ายนัก

แม้จะส่งคนแทรกซึมเข้าไปในฐานะผู้ลี้ภัย แต่ด้วยมีข้อจำกัดหลายอย่างจึงทำให้การทำงานไม่ได้ราบรื่นสักเท่าไรนัก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องแวะเวียนเข้าไปอยู่บ่อยครั้ง ในรูปแบบของการไปเยี่ยมเยียนและให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ตามความจำเป็น และวันนี้ก็เช่นกัน....

หลังกลับจากมอบสิ่งของที่จำเป็นให้กับกลุ่มผู้ลี้ภัย ท่ามกลางบรรยากาศค่อนข้างอบอ้าว ชยินนั่งอยู่ในรถยนต์คันหรู ระหว่างทางเขาเห็นมีรถของหน่วยแพทย์อาสาจำนวนหลายคันติดธงสัญลักษณ์ของประเทศที่เข้าร่วมโครงการ ขับสวนเข้าไปในค่ายผู้ลี้ภัย แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันเพราะเห็นภาพเหล่านั้นจนชินตา...ก่อนจะเอนหลังพิงกับเบาะแล้วหลุบเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยหน่ายกับความวุ่นวายที่ยังไม่จบสิ้น...

ในขณะชายหนุ่มกำลังถอดถอนใจอย่างเบื่อหน่ายกับวิถีชีวิต ที่ยังคงวนเวียนอยู่กับเส้นทางที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างไม่สิ้นสุดนั้น อยู่ๆ รถที่ขับมาดีๆ ก็แฉลบลงข้างทางพร้อมกับเสียงกัมปนาทดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ผู้กองเราถูกลอบยิง” เสียงนั้นเป็นของซาเยร์

“มันยิงมาจากทางไหน ส่งปืนให้ฉันด้วย” ชายหนุ่มถามขณะก้มลงยื่นมือออกไปรับปืนจากคนสนิท

“มาทั้งซ้ายและขวาเลยครับผู้กอง” ตอบหลังจากนิ่งฟังจนรู้ว่าวิถีกระสุนพุ่งมาจากทิศทางใด

“มีจำนวนมากน้อยแค่ไหน”

“ไม่ต่ำกว่าห้าคน” ซาเยร์ตอบอย่างชำนาญ

“พอฝ่าออกไปได้ไหม” ถามสีหน้ากังวล

“ถ้ามันไม่ส่องเราด้วยอาวุธหนักก็พอมีหวังครับผู้กอง แต่ผมว่างานนี้เจ็ดสิบสามสิบ”

“ไอ้เจ็ดสิบสามสิบของแกคืออะไร”

“เจ็ดสิบคือเราตายเรียบครับผู้กอง ส่วนอีกสามสิบเผื่อบาดเจ็บสาหัส” ซาเยร์บอกอย่างอารมณ์ดี

“หน้าสิ่วหน้าขวานจนจะลงนรกอยู่รำไร แกยังมีหน้ามาพูดเล่นอีกนะซาเยร์” แม้จะเผชิญกับภาวะกดดัน แต่ชยินก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อยกับความขี้เล่นนั้น

“ผมไม่อยากให้ผู้กองเครียดครับ เครียดมากๆ เกิดยิงพลาดมันจะเปลืองกระสุนเปล่าๆ” ชายหนุ่มยักคิ้วปรามาสอีกฝ่ายอย่างทะเล้น

“หุบปากของแก แล้วชี้เป้ามาว่าไอ้พวกลูกหมานั่นมันซุกหัวอยู่ตรงไหน ฉันจะได้ส่งมันไปลงนรกเร็วๆ” คนที่ชีวิตคร่ำหวอดอยู่ในสนามรบออกคำสั่งเสียงเหี้ยม

“สิบสองนาฬิกาสอง บนเนินนั่นหนึ่ง เก้านาฬิกาหนึ่ง แล้วก็ด้านหลังอีกหนึ่ง ผู้กองจะส่องตัวไหนก่อนผมจะได้กระโดดออกไปเป็นเป้าให้” ซาเยร์รายงานอย่างคล่องแคล่ว

“ออกไปเป็นเป้ามันคงถล่มแกจากทุกทิศ จุดที่พวกมันซุ่มอยู่ห่างจากค่ายผู้ลี้ภัยไม่มากนัก ถ่วงเวลามันไว้ก่อนเสียงปืนดังขนาดนี้อีกไม่นานพวกทหารคงมา” ชยินบอกอย่างมีความหวัง ในขณะสายตาจับจ้องไปยังทิศซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่ง กำลังฮึกเหิมเพราะคิดว่าตัวเองเป็นมัจจุราชกำลังไล่ล่าคร่าชีวิตผู้คน...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น