บทที่ 6
ซาเยร์แจ้งเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลค่ายผู้ลี้ภัยถึงความประสงค์ของผู้เป็นนาย พออีกฝ่ายทราบความต้องการของชายหนุ่ม ในอีกไม่ถึงสามสิบนาทีเต้นท์ที่พักชั่วคราวรวมถึงข้าวของเครื่องใช้จำเป็น ก็ถูกจัดเตรียมให้อย่างรวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่จัดสถานที่พักแรมอยู่ใกล้ๆ กับที่พักของพวกเขา ซึ่งแยกจากกลุ่มผู้ลี้ภัยอื่นๆ ด้วยเหตุผลเพื่อความปลอดภัย
เมื่อที่พักพร้อมชยินจึงกลับไปพักฟื้นยังเต้นท์ชั่วคราว โดยมีซาเยร์คอยดูแลอำนวยความสะดวก ระหว่างนอนพักอยู่ในเต้นท์แม้สภาพความเป็นอยู่จะแตกต่างคฤหาสน์หลังงามชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ด้วยเคยใช้ชีวิตคลุกดินคลุกทรายมาอย่างโชกโชนจึงทำให้ชยินไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนกับความลำบากแต่อย่างใด
“เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าผู้กองไม่สะดวกพักในนี้ จะย้ายไปพักยังห้องรับรองซึ่งตอนนี้พอมีว่างอยู่ก็ได้นะครับ” ซาเยร์เอ่ยขึ้นหลังจากเห็นสภาพที่พักของเจ้านาย
“ไม่ละ...ฉันอยากอยู่ในนี้มากกว่า ส่วนแกถ้าไม่ชอบจะย้ายไปนอนที่อื่นก็ตามสบาย” ชายหนุ่มปฏิเสธ
“ผู้กองอยู่ไหนผมก็อยู่นั่นแหละครับ ลำบากกว่านี้เราก็เคยอยู่กันมาแล้ว แค่นี้สบายมาก”
“ขอบใจนะซาเยร์ ขอบใจที่ไม่เคยทิ้งฉัน” ชยินเอ่ยขณะจ้องคนสนิทอย่างซาบซึ้งใจ
“ผู้กองต่างหากที่ไม่เคยทิ้งผม นอนพักเถอะครับ ระหว่างนี้ผมจะประสานขอกำลังคนคุ้มกันผู้กองเพิ่มสักห้าหกคน” ซาเยร์เอ่ยด้วยความรอบคอบ
“ให้ส่งมาสักสิบคนฉันต้องการให้คุ้มครองหมอด้วย” ชายหนุ่มเผื่อแผ่ความปลอดภัยนั้นไปยังคนที่เขารักด้วยเช่นกัน
“ครับผู้กอง” รับคำพร้อมกับเดินออกจากเต้นท์
ชยินมองตามหลังคนสนิท แล้วหันไปยังเต้นท์ของแพทย์อาสาที่อยู่ห่างออกไปราวสามร้อยเมตร แล้วผุดรอยยิ้มออกมาอย่างมีหวัง...
“ผมอยากขอบคุณลิขิตจากฟ้าเหลือเกิน ที่เมตตาส่งคุณมาไกลจนถึงนี่...อดทนอีกนิดนะหมอ...” เขาเอ่ยกับตัวเองพร้อมกับเอนร่างลงบนฟูกหยาบๆ อย่างไม่นึกเดือดร้อนกับความไม่สะดวกสบายนั้น
*********
แพทย์หญิงวริสายังคงทำหน้าที่ของเธอไปตามปกติ แม้เวลานี้จิตใจพาลจะหลุดลอยไปหาคนที่กำลังนอนพักฟื้นอยู่ตรงไหนสักแห่งในค่ายผู้ลี้ภัย หญิงสาวพยายามบอกตัวเองให้จดจ่อกับคนไข้ที่เข้ามารับบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด สมกับความยากลำบากของพวกเขาที่ต้องพลัดพรากจากผืนแผ่นดินอันเป็นถิ่นฐานของตัวเอง
หลังจากตรวจคนไข้รายสุดท้ายเสร็จ วริสาและเอมวิกานักศึกษาแพทย์ผู้ช่วยของเธอ รวมถึงอาสาสมัครที่เป็นผู้หญิง ก็เดินทางกลับที่พักซึ่งคุณหญิงวลัยพรรณได้จัดเตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ ส่วนอาสาสมัครที่เป็นผู้ชายได้แจ้งความประสงค์ขอพักอยู่ในค่าย โดยมีเจ้าหน้าที่จัดเตรียมห้องพักและอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี
ระหว่างเดินทางกลับที่พักหญิงสาวรู้สึก เป็นห่วงคนเจ็บซึ่งเธอช่วยผ่าเอากระสุนออกจากร่างกายให้เป็นครั้งที่สองไม่น้อย ขณะมองผ่านกระจกรถออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก แล้วนิ่วหน้าเพราะนึกแปลกใจว่าทำไมชยินถึงถูกยิง ทั้งๆ เสียงปืนที่ได้ยินอยู่ห่างจากค่ายพอสมควร
ด้วยตามปกติผู้ลี้ภัยจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกค่าย จึงทำให้หญิงสาวพยายามนึกหาเหตุผล แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก พอหาเหตุผลไม่ได้เธอจึงส่ายหน้าขณะผ่อนลมหายใจ แล้วบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอ...
ในขณะคุณหมอคนสวยกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนท้องถนน ด้านชยินก็ดำดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์อันเหม่อลอยไม่ต่างกัน หลังจากอาสาสมัครบางส่วนเดินทางกลับ ความพลุกพล่านบริเวณเต้นท์ของหน่วยแพทย์อาสาก็เปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลค่ายทำให้เขารู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ เมื่อทราบว่าหน่วยแพทย์อาสาจะอยู่ให้บริการด้านการแพทย์ ณ ค่ายแห่งนี้ราวสามอาทิตย์ ก่อนจะเดินทางไปยังค่ายอื่นๆ
“ผมให้คนตามไปอารักขาหมอตามคำสั่งแล้ว รับรองว่าเธอจะปลอดภัยผู้กองสบายใจได้” ซาเยร์ที่รู้ใจผู้เป็นนายเอ่ยขึ้น
“ขอบใจมากซาเยร์”
“ผู้กองจะเอาไงต่อ ผมว่าเราน่าจะแจ้งเรื่องนี้กับท่านนายพล เพราะตั้งแต่ค่ายไอ้ลอซูแตกพวกมันก็หายสาบสูญไปหลายปี จนไม่มีใครให้ความสนใจออกไล่ล่าแม้แต่รัฐบาลก็เช่นกัน” สีหน้าของซาเยร์เต็มไปด้วยความกังวล
“เรื่องแค่นี้ฉันจัดการเองได้ ยังไงก็เตรียมคนของเราไว้ให้พร้อมอย่าประมาทก็แล้วกัน ฉันคิดว่างานนี้เรื่องยาวแน่”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้ลอซูมันจะกระหายอำนาจจนหน้ามืดตาบอดขนาดนี้”
“ก็อำนาจกลิ่นมันหอม ใครได้กลิ่นก็อยากลิ้มลองรสชาติ พอได้ชิมก็ลุ่มหลงติดใจกันทั้งนั้น” ชยินมองความเป็นจริงนั้นอย่างเข้าใจ
“แต่อำนาจมันไม่เคยอยู่กับใครถาวร”
“ก็เพราะมันไม่มีความมั่นคงถาวรอย่างไรเล่า คนที่มีอำนาจถึงทำทุกอย่างเพื่อรักษามันไว้ให้นานที่สุด โดยไม่คำนึงว่าเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง มันจะทำให้ใครได้รับความเดือดร้อนมากมายขนาดไหน แกมองผู้ลี้ภัยพวกนั้นสิ พวกเขาต้องอพยพจากถิ่นฐานของตัวเอง ส่วนหนึ่งต้องการหลีกหนีความยากแค้น แต่ก็มีอีกมากที่จำเป็นต้องจากแผ่นดินอันเป็นที่รักเพียงเพราะความขัดแย้งจากคนแค่ไม่กี่คน” สายตาเฉียบคมมองผู้คนที่มีชีวิตแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนอย่างเห็นใจในชะตากรรมของพวกเขา ก่อนจะถอนใจเมื่อนึกถึงเส้นทางชีวิตของตัวเอง
ซาเยร์มองเสี้ยวหน้าคมคายของผู้เป็นนายจ้องตรงไปเบื้องหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเบนไปยังผู้คนที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่รู้อนาคตด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกัน...
“พวกเราโชคดีกว่าคนพวกนี้” ชยินพูดพร้อมกับถอนใจออกมา ในขณะนึกขอบคุณบิดาที่รู้จักถอยจากความอยากได้อยากมี จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
“ผมดีใจที่ท่านนายพลจับมือกับรัฐบาล จนทำให้เพื่อนพ้องและพี่น้อง ไม่ต้องตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวอีกต่อไป”
“นั่นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เพราะฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าท่านนายพลจะยอมละวางมันได้ แต่ถึงจะยอมวางมือรัฐบาลก็ใช่จะไว้วางใจเรา คนพวกนั้นแม้จะมีท่าทีอ่อนลงแต่ก็ยังหวงแหนอำนาจอยู่ดี” คนที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมานานวัน มองความเป็นจริงนั้นอย่างเบื่อหน่าย
*******
ช่วงเช้าของอีกวันหลังจากรับประทานอาหารเช้า ระหว่างเตรียมตัวออกไปทำหน้าที่แพทย์ในค่ายผู้ลี้ภัย วริสายืนอยู่หน้าเตาแล้วมองซุปไก่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุย ซึ่งเธอตั้งใจปรุงอยู่เป็นนานอย่างลังเล มือเรียวเอื้อมหยิบทัพพีขึ้นก่อนจะวางลง และหยิบขึ้นใหม่อยู่สองสามครั้งจนคนที่เห็นเข้าอย่างไม่ตั้งใจเดินเข้าไปยืนอยู่ด้านข้างแล้วยิ้ม
“กินซุปไม่อ้วนหรอกค่ะ” เอมวิกาพูดเพราะเข้าใจว่าวริสากำลังคิดจะตักซุปเพิ่มแต่กังวลกับการควบคุมน้ำหนัก
“เอ่อ...พี่ไม่ได้คิดจะกินค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามตรง
“อ้าว...เอมนึกว่าพี่อยากเบิ้ลแต่กลัวอ้วนซะอีก” หญิงสาวมองสายตาของคนตรงหน้าที่ฉายประกายกลัดกลุ้มระคนขัดเขินแล้วนิ่วหน้าอย่างงุนงงกับอารมณ์หลากหลายที่ปะปนจนดูยุ่งเหยิงนั้น
“พี่กำลังคิดว่าถ้าตักซุปไก่ไปฝากเขามันจะเป็นเรื่องเหมาะสมไหม” คำตอบนั้นทำให้เอมวิกาจ้องคนตรงหน้าสลับกับซุปไก่แล้วถามต่อ
“แล้วพี่ลีคิดจะตักซุปไปให้ใครเหรอคะ”
“ก็...เอ่อ...” หญิงสาวอึกอักเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะมองเธอด้วยสายตาแปลกไปจากเดิม
“หรือพี่คิดจะเอาไปฝากคนที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อวาน”
“เอ่อ...ใช่ค่ะ...พี่คิดว่าอาหารในค่ายอาจจะถูกจัดไว้สำหรับคนหมู่มาก และคงเป็นอาหารที่ปรุงง่ายๆ เน้นความสะดวกมากกว่าความใส่ใจ ซึ่งมันไม่ใช่อาหารที่เหมาะกับคนที่กำลังพักฟื้นนัก” วริสาบอกไปตามตรง
“พี่ลีพูดเหมือนกับรู้จักเขาอย่างนั้นแหละ”
“ใช่ค่ะ พี่กับเขาเคยรู้จักกันมาก่อน นอกจากนั้นเขายังเคยช่วยชีวิตคุณพ่อของพี่อีกด้วย”
“อ้าว...ถ้าเขาเป็นคนรู้จักและเคยช่วยเหลือพี่ ทำไมยังต้องลังเลอีกละคะ ยกไปฝากเขาทั้งหม้อเลยสิคะ” เอมวิกาแนะนำ
“เอมไม่คิดว่ามันดูแปลกๆ เหรอคะถ้าพี่จะเอาซุปหม้อนี้ไปฝากเขา” ถามสีหน้าคิดมาก
“การแสดงน้ำใจไม่มีใครเขามองว่ามันแปลกหรอกค่ะ พวกเราอาสามาทำงานนี้ก็เพราะอยากให้คนที่ได้รับความเดือดร้อนมีกำลังใจ ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยว เอมเชื่อค่ะว่าถ้าคุณคนนั้นได้รับซุปจากพี่เขาจะต้องมีกำลังใจและมีพลังที่จะต่อสู้กับอนาคตที่รออยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน” คำพูดของเอมวิกาทำให้วริสามองเห็นว่าในอนาคตนักศึกษาแพทย์คนนี้ จะต้องเป็นหมอที่สร้างแต่สิ่งดีงามให้กับงานในสายอาชีพ
เมื่อวริสาตัดสินใจจะนำซุปไก่ไปฝากคนเจ็บ เอมวิกาจึงจัดแจงหากล่องอาหาร รวมถึงอาสาเป็นคนหอบหิ้วไปให้ถึงค่าย พอไปถึงเต้นท์ของหน่วยแพทย์อาสาวริสาและเอมวิกาที่สนิทสนมกันมากขึ้นก็เริ่มทำงานตามหน้าที่ของตน การทำงานในวันที่สองเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ เพราะผู้คนที่เข้ามารับบริการค่อนข้างบางตากว่าวันแรก
“วันนี้คนไข้น้อยกว่าที่คิดนะคะ” เอมวิกาเอ่ยขึ้นหลังจากคนที่เข้ามารับบริการคนสุดท้ายเดินออกไป
“นั่นสิ...ทำงานไม่ถึงชั่วโมงคนไข้ก็หมดแล้ว”
“คนไข้ซาแบบนี้พี่ลีเอาซุปไปฝากคุณคนนั้นดีกว่าไหมคะ เดี๋ยวเอมไปเป็นเพื่อน” หญิงสาวชวน
“ก็ดีนะคะ แต่พี่ไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ตรงไหนนี่สิ” วริสามองกล่องอาหารแล้ววกกลับมาจ้องคนตรงหน้าแล้วถอนใจ
“ไม่เห็นจะยากเลยค่ะ เราก็ไปถามเจ้าหน้าที่สิคะ พี่รู้จักชื่อเขาไหม”
“เอ่อ...รู้ค่ะ”
“งั้นก็ไปสิคะจะรออะไร เดี๋ยวเอมเตรียมกล่องเครื่องมือแปบจะได้ถือโอกาสไปล้างแผลให้ด้วย” หญิงสาวบอกอย่างกระตือรือร้นจนทำให้วริสานึกขอบคุณความมีน้ำใจนั้น
เมื่อเตรียมของพร้อมหญิงสาวทั้งสองจึงพากันเดินออกจากเต้นท์ โดยมีจุดหมายเป็นสำนักงานชั่วคราวอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก ขณะเดินไปได้ครึ่งทางซาเยร์ที่จับตาดูความเคลื่อนไหวของวริสา ก็ทำทีเป็นเดินออกมาจากมุมหนึ่งของค่ายแล้วพบกับพวกเธออย่างบังเอิญ
“ซาเยร์! นั่นเธอจะไปไหน” วริสาทักทายคนสนิทของชยินอย่างคุ้นเคย
“อ้าวหมอ...มาทำอะไรแถวนี้หรือครับ ผมกำลังจะไปตามหมอพอดีเลย” ชายหนุ่มตอบคำถามอย่างเป็นธรรมชาติ
“ผู้กองเป็นอะไรหรือเปล่า” คำถามเต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นทำให้ซาเยร์นึกดีใจแทนเจ้านาย
“ผู้กองนอนเพ้อทั้งคืน...คงจะมีไข้ ผมก็เลยจะไปตามหมอมาดูอาการสักหน่อย”
“ไปสิ ฉันกับน้องเอมก็ตั้งใจจะไปดูอาการของผู้กองเหมือนกัน นี่ก็กำลังจะไปถามเจ้าหน้าที่ว่าผู้กองพักอยู่ตรงไหน” น้ำเสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
“จะไปทั้งสองคนเลยเหรอครับ” ถามด้วยสีหน้าที่ปรับให้เคร่งขรึม
“ใช่...เธอคงไม่คิดว่าฉันจะไปไหนมาไหนคนเดียวหรอกนะ”
“ระมัดระวังและไม่ประมาทแบบนี้ดีแล้วครับ...เอาอย่างนี้ดีกว่าเดี๋ยวผมพาคุณหมอไปเองถ้าไปกันหมดผมอาจจะถูกตำหนิ เพราะคุณก็รู้ว่าผู้กองต้องการความเป็นส่วนตัว และไม่ต้องการให้มีคนรู้มากนักว่าพวกเราพักอยู่ที่นี่” เพราะต้องการเปิดโอกาสให้เจ้านายอยู่กับคุณหมอคนสวยตามลำพัง ซาเยร์จึงช่วยกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากเส้นทางรักอย่างรู้งาน
เมื่อเห็นด้วยกับคำพูดนั้น วริสาจึงเล่าให้เอมวิกาฟังเพียงคร่าวๆ ก่อนจะขอกระเป๋าจากผู้ช่วยโดยมีซาเยร์ยื่นมือออกไปรับ และเดินนำไปยังที่พักของเจ้านาย
เอมวิกาไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลกับการที่วริสาขอไปดูอาการคนเจ็บตามลำพัง นั่นเพราะเธอเห็นความคุ้นเคยของคนทั้งสองจากบทสนทนาอันเป็นธรรมชาติ พอพวกเขาเดินเข้าไปในตรอกหญิงสาวจึงหมุนตัวเดินกลับไปทำงานต่อ โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับที่มาที่ไประหว่างหญิงสาวและชายหนุ่มรูปหล่อ ที่ดูเหมือนจะมีฐานะไม่ธรรมดานัก เพราะจากสรรพนามที่ได้ยิน เขามียศเป็นถึงผู้กองเลยทีเดียว
ซาเยร์พาวริสาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินที่มีสิ่งปลูกสร้างแบบชั่วคราวอยู่หนาแน่น ก่อนจะตัดออกสู่ถนนไปยังห้องพักที่ดูมั่นคงจำนวนหลายห้องอยู่ถัดจากสำนักงานชั่วคราวไปทางทิศตะวันตก หญิงสาวประคองกล่องอาหารบรรจุซุปไก่เดินตามผู้นำทางไปเงียบๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายหยุดอยู่หน้าเต้นท์หลังหนึ่งกางอยู่โดดเดี่ยวและดูมีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยกว่าผู้ลี้ภัยอื่นๆ
“คุณหมอรออยู่นี่สักครู่นะครับผมจะไปแจ้งผู้กองก่อน” บอกพร้อมกับเดินเข้าไปในเต้นท์ ไม่ถึงอึดใจก็กลับออกมาพร้อมกับขยับเปิดทางให้หญิงสาวเข้าไปด้านใน
วริสามองสภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างสะดวกสบาย แต่จำกัดด้วยพื้นที่ของอดีตนายทหารผู้มีอุดมการณ์อยู่เต็มหัวใจ ด้วยความรู้สึกเห็นใจในชะตากรรมของเขามากกว่านึกรังเกียจ เมื่อก้าวเข้าไปด้านในเธอมองคนร่างใหญ่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนฟูกแล้วหลุบตามองพื้น เมื่อไม่อาจสู้กับสายตาวาววับที่จ้องเอาๆ อย่างไม่เกรงใจนั้น
“ซาเยร์บอกว่าหมออยากมาดูอาการของผม” ชายหนุ่มเอ่ยขณะมองอาการกึ่งกล้ากึ่งกลัวของคนตรงหน้า
“เอ่อ...ฉันตั้งใจเอาซุปนี่มาฝากคุณ” ชยินมองกล่องอาหารที่หญิงสาวประคองราวกับเป็นของสำคัญแล้วยิ้มในสีหน้า
“แค่คุณกรุณาช่วยผ่าเอากระสุนออกให้ผมก็ซาบซึ้งใจมากพอแล้ว”
“ฉันแค่อยากให้คุณได้รับอาหารที่เหมาะกับการพักฟื้น”
“ซุปนั่นคุณทำเองหรือเปล่า” ถามด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจ
“ใช่ค่ะ...คุณรังเกียจไหมคะ”
“อะไรทำให้คุณคิดว่าผมจะรังเกียจกับน้ำใจอันยิ่งใหญ่นั่น เพราะเวลานี้ผมมีแต่ความซาบซึ้งใจที่คุณให้ความกรุณากับคนไร้แผ่นดินเช่นผม” คำพูดอย่างเป็นงานเป็นการนั้นทำให้วริสารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“อย่าคิดว่าเป็นความกรุณาเลยค่ะ เพราะฉันตั้งใจทำมาฝากในฐานะคนรู้จัก แผลคุณเป็นอย่างไรบ้างคะ ซาเยร์บอกว่าเมื่อคืนคุณเพ้อเพราะพิษไข้” ถามถึงอาการบาดเจ็บอย่างใส่ใจ
“เมื่อคืนผมเพ้อด้วยหรือ” ชายหนุ่มนิ่วหน้า
“คุณอาจจะไม่รู้ตัว ขอฉันตรวจอาการดูหน่อยนะคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งข้างคนเจ็บ วางกล่องอาหารบนโต๊ะเล็กๆ ขณะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่ซาเยร์วางไว้ใกล้ๆ แล้วเปิดหยิบอุปกรณ์ออกมา
ชยินมองหญิงสาวกำลังตรวจดูอาการของเขาด้วยความรู้สึกหัวใจเบ่งบาน จนอดคิดไม่ได้ว่าเขาโชคดีมากกว่าโชคร้ายที่ถูกคนของลอซูลอบกัดจนได้รับบาดเจ็บ...
ขณะแนบหูฟังไปตาร่างกายแข็งแกร่ง ใบหน้าของแพทย์หญิงคนสวยก็เปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ เมื่อเธอได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นกระหน่ำจนสั่นสะเทือนมาถึงหัวใจของเธอ ดวงตาคู่สวยหลุบลงมองพื้นแล้วเรียกสมาธิที่กำลังกระจัดกระจายให้กลับคืนมา
แต่ดูเหมือนมันจะทำได้ยากเย็น แม้พยายามบอกตัวเองให้จดจ่อกับหน้าที่ แต่สายตาคมกริบที่จ้องมองอย่างไม่วางตานั้นก็ทำให้เธอรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว...
ความคิดเห็น |
---|