8

บทที่ 8


บทที่ 8

ภาพวริสาก้าวออกจากเต้นท์แล้วเดินไปพร้อมกับซาเยร์ ถูกใครคนหนึ่งบันทึกไว้ด้วยโทรศัพท์มือถือ ก่อนภาพนั้นจะถูกส่งต่อไปในเวลาอันรวดเร็ว

ทันทีที่มีเสียงเตือนมืออวบอูมเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์วางอยู่ข้างโต๊ะ แล้วกดดูข้อความพอเห็นว่าสิ่งที่ถูกส่งมาเป็นภาพถ่าย เจ้าของร่างท้วมจึงหมุนตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมอย่างดี ในขณะยกวิสกี้ขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ก่อนวางแก้วที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะแล้วเพ่งดูภาพถ่ายที่ปรากฏอยู่ในนั้น

“นี่มันลูกสาวไอ้วาริสนี่” พึมพำกับตัวเองแล้วนิ่วหน้า

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับลุง” คนที่นั่งสนทนาอยู่ก่อนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย

“ไอ้ชยินมันยังไม่ตาย ไหนแกว่าอาการมันหนักมาก แล้วทำไมถึงพักอยู่ในค่ายนั่น” หันไปจ้องหน้าแล้วถามเสียงห้วน

“ผมพยายามแล้วนะลุง แต่ไอ้เวรนั่นมันดวงแข็งชิบ!”

“มันดวงแข็งหรือแกประมาทกันแน่ เพราะความใจร้องของแกทำให้เมื่อวานฉันต้องเสียลูกน้องไปถึงห้าคน” น้ำเสียงกึ่งตวาดนั้นทำให้คนถูกตำหนิขยับตัวอย่างอึดอัด

“ถ้าไม่มีทหารเข้ามาแส่ผมรับรองว่าจัดการมันได้แน่” คนที่ทำงานพลาดแก้ตัว

“แกยังมีหน้าแก้ตัวอีกเหรอ ฉันไม่น่าไว้ใจให้แกไปทำงานนี้เลย” มองคนตรงหน้าอย่างตำหนิ

“โธ่ลุงของแบบนี้มันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้างสิ”

“แต่ถ้าพลาดบ่อยมันก็น่าคิดไม่ใช่เหรอ ขนาดอ่อนแอไร้พิษสงอย่างไอ้เตโชแกยังไม่มีปัญญาจัดการ เลิกอวดตัวสักที”

“ผมขอโอกาสอีกครั้งนะลุง รับรองว่าครั้งต่อไปไอ้สองพี่น้องนั่นได้ลงนรกแน่” บอกด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ

“เอาเถอะถึงจะทำงานพลาดแต่แกก็ยังมีความมุ่งมั่น ก็ยังดีกว่าลียอที่มันใจเสาะจนไม่คิดช่วยทำอะไร” ลอซูเอ่ยถึงบุตรชายที่ประกาศวางมือ ก่อนจะเดินทางออกนอกประเทศหลังจากสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป

“ลียอมันคงถูกระบอบประชาธิปไตยกล่อมจนสมองเลอะเลือน อีกอย่างผมรู้ว่ามันเป็นคนรักอิสระไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ คนอย่างมันไม่เหมาะเป็นทหารหรือปกครองใคร แต่ลุงไม่ต้องห่วงถึงลียอมันจะไม่เอาด้วยแต่ผมพร้อมสู้อยู่บ่าเคียงไหล่และจะทำทุกอย่างเพื่อให้งานสำเร็จ” ด้วยอยู่ในวัยเดียวกัน รวมถึงมีความสัมพันธ์เป็นญาติสนิท จึงทำให้ลูซาร์ซึ่งมีความใกล้ชิดกับลียอรู้อุปนิสัยของอีกฝ่ายดี

ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานจ้องมองไปข้างหน้า ขณะนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และหยุดอยู่ตรงช่วงเวลา เมื่อครั้งนายพลลอซูตั้งกองกำลังแย่งชิงอำนาจกับนายพลอาเช ด้วยฐานอำนาจของบิดาทำให้ลียอถูกวางอยู่ในตำแหน่งสำคัญโดยมีเขาคอยให้คำแนะนำและลงมือลงแรงในฐานะผู้ช่วย หลายต่อหลายครั้งที่เขาทำผลงานแต่คนที่ได้รับความดีความชอบกลับกลายเป็นลียอ

แม้ลึกๆ เขาจะรู้สึกไม่พอใจกับการยืนอยู่ในเงามืด แต่เพราะลียอไม่มีความทะเยอทะยาน นอกจากนั้นเจ้านั่นยังมีความคิดต่างจากพ่อชนิดคนละขั้น และความขัดแย้งนั้นก็ทำให้เขารอวันที่จะก้าวออกมายืนอยู่แถวหน้า ลูซาร์หรี่ตาลงสูดกลิ่นอำนาจที่อบอวลอยู่รอบกาย เหลือบมองใบหน้าอวบอูมของนายพลลอซูแล้วแค่นยิ้ม เมื่อนึกถึงอำนาจที่จะต้องถูกวางลงบนมือของเขา

“แกก็อย่าใจร้อนนักแน่ใจแล้วค่อยลงมือ ฉันรอโอกาสนี้มานานหวังว่าแกจะไม่ทำให้ความอดทนของฉันถูกทำลายลงเพราะความประมาท” ลอซูมองหลานชายคนเดียวอย่างคาดหวัง

“ผมรู้ว่างานนี้เราหวังไว้สูง ผมจะทำงานนี้ให้สำเร็จไม่ให้การรอคอยของลุงสูญเปล่าแน่” ชายหนุ่มให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“การรอคอยของฉันมันไม่มีวันสูญเปล่าแน่” ลอซูแค่นยิ้มก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้แล้วพลิกกลับไปกลับมา

“ในโทรศัพท์นั่นมีข้อมูลอะไรเหรอครับ” ถามพร้อมกับจ้องโทรศัพท์ในมืออวบอูมอย่างสนใจ

“แกจำนังหมอลูกสาวไอ้วาริสได้ไหม” คำถามนั้นทำให้ลูซาร์นิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ

“อ้อ...นังหมอคนสวยคนนั้นนั่นเอง ว่าแต่นังหมอนั่นมันเกี่ยวอะไรกับเราหรือครับ”

“ลูซาร์เอ๋ย...หากอยากยืนอยู่บนอำนาจแกยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก คิดจะเป็นผู้นำหูตามันต้องกว้างไกล ทำอะไรต้องอยู่ในความรอบคอบ” ลอซูมองผู้ขาดประสบการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาเฉียบขาด

“เวลานี้ผมอาจจะยังด้อยประสบการณ์ ขอแค่ลุงให้โอกาสผมก็พร้อมที่จะเรียนรู้ และจะไม่ทำให้ลุงผิดหวังอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มให้คำมั่นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เวลานี้นังหมอนั่นอยู่ที่ค่ายกับไอ้ชยิน”

“อะไรนะ!”

“ในค่ายนั่นนอกจากไอ้ชยินกับคนสนิทของมันยังมีนังหมอลูกสาวไอ้วาริส ลูซาร์แกช่วยบอกฉันหน่อยสิว่าเราจะได้อะไรจากการยิงปืนนัดต่อไป” ลูซาร์มองรอยยิ้มกริ่มอย่างเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นลุงแล้วนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยความสีหน้ามั่นอกมั่นใจ

“ถ้ามันเป็นอย่างที่ลุงว่า งานนี้นอกจากจะได้ฆ่าไอ้ชยินแล้ว เราจะสามารถปิดบัญชีให้กับมิสเตอร์ทอมสันโดยใช้นังหมอเป็นตัวนำทางไปลากคอพ่อของมันมาให้เราเชือดใช่ไหมครับ” ลอซูมองคนพูดอย่างชื่นชม แล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจกับคำตอบนั้น

เมื่อความคิดเดินอยู่ในเส้นทางเดียวกัน ทั้งสองจึงใช้เวลาในการวางแผนการอีกครู่ใหญ่ พอได้บทสรุปลูซาร์จึงเอ่ยขอตัวและเดินกลับออกไป ลอซูมองตามร่างสูงใหญ่แล้วถอนใจลึกด้วยความเสียดายหากในอนาคตจะต้องถ่ายอำนาจในมือให้กับหลานชาย แม้อีกฝ่ายจะมีความสัมพันธ์เป็นญาติสนิทแต่มันก็ไม่ใช่ทายาทจากสายเลือดอยู่ดี

*******

 

ซาเยร์นั่งมองใบหน้าชื่นมื่นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของผู้เป็นนาย แล้วส่ายหน้าไปมาเพราะตั้งแต่คุณหมอคนสวยกลับไป ผู้กองหน้าดุก็เอาแต่ยิ้มกริ่มและฮัมเพลง

“ดูเหมือนผู้กองจะหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นเดือดเป็นร้อนกับอาการบาดเจ็บที่กำลังเผชิญ

“อะไรทำให้แกคิดว่าฉันหายเรอะ” ชยินหยุดฮัมเพลงหันไปถาม

“จากสีหน้าของผู้กองผมดูยังไงมันก็ไม่เหมือนคนถูกยิง” ปรายตามองบาดแผลของผู้เป็นนายอย่างไม่นึกห่วงใย

“ก็ฉันกำลังมีความสุข แกก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าอาการบาดเจ็บได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี จากหมอซึ่งมีความสำคัญกับลมหายใจของฉัน” ซาเยร์มองรอยยิ้มเต็มไปด้วยความสุขของคนตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วขึ้น

“ผู้กองกำลังจะบอกผมว่าคุณหมอคือตัวยาสำคัญที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บหรือครับ”

“แน่นอน...เธอเป็นเหมือนตัวยาวิเศษของฉันเชียวล่ะ”

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าความรักจะทำให้ผู้ชายใจแข็งอย่างผู้กองเป็นเอามากถึงขนาดนี้”

“ฉันเป็นคนมีเลือดมีเนื้อมีหัวใจนะซาเยร์ เมื่อก่อนด้วยหน้าที่จึงทำให้ฉันมีชีวิตเพื่อคนอื่น เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปฉันก็ควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างพอใจกับความเปลี่ยนแปลง เพราะเวลานี้บนบ่าของเขาไม่ต้องแบกภาระอะไรอีกแล้ว

“ผมดีใจที่ผู้กองกำลังจะมีความสุข” น้ำเสียงและแววตาของซาเยร์แสดงออกชัดเจนว่า เขาพูดออกมาจากความรู้สึกอันแท้จริงหาได้เสแสร้ง หรือประชดประชัน

“ขอบใจแกมากนะซาเยร์ ระหว่างนี้อย่างไรช่วยกำชับคนของเราด้วยว่าอย่าประมาท ดูแลหมอให้ดีฉันคิดว่าไอ้ลอซูมันคงรู้แล้วว่าเธออยู่ที่นี่” ชยินออกคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ถ้าเป็นอย่างที่ผู้กองคิดผมมองว่าเราควรรีบออกไปจากที่นี่ เพราะถ้ายังอยู่พวกมันอาจดึงหมอเข้ามาเกี่ยวข้อง” ซาเยร์แนะนำขณะกวาดตามองไปรอบๆ

“คงไม่ทันแล้วล่ะ” ชายหนุ่มจ้องหน้าคนสนิทด้วยสายตาคมวาว แล้วเบนไปยังกลุ่มแพทย์อาสา

“อะไรทำให้ผู้กองคิดแบบนั้น”

“แกลืมไปแล้วหรือว่าเธอเป็นใคร” ชายหนุ่มปรายตามองคนสนิท พอเห็นสีหน้างุนงงของอีกฝ่ายเขาจึงพูดต่อ “หมอเป็นลูกสาวของนายวาริส ซึ่งเป็นบุคคลที่พวกมันควานหามาหลายปี งานนี้ฉันกล้ารับรองว่าพวกมันคงกำลังตบมือดังฉาดให้กับความบังเอิญนี้” ชยินพูดอย่างคนที่มองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง

“ถ้าอย่างนั้นเวลานี้หมอก็ไม่ปลอดภัยแล้วสิผู้กอง” สีหน้าของคนพูดเคร่งเครียดขึ้นทันที

“เพราะอย่างนั้นฉันถึงต้องอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มบอกเห็นผลอันแท้จริงออกไปแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด

“เราควรแจ้งเรื่องนี้ให้คุณวาริสทราบโดยเร็ว และพยายามกันคุณหมอออกไปให้เร็วที่สุด”

“ฉันให้คนส่งข่าวไปแล้ว” ด้วยมองสถานการณ์ออกแต่แรกจึงทำให้ชยินดำเนินการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว และรอบคอบ

“ผู้กองทำงานรวดเร็วและรอบคอบเสมอเลยนะครับ” ซาเยร์มองผู้เป็นนายอย่างชื่นชม

“ฉันสั่งให้เพิ่มคนคุ้มกันเตโช และเผื่อแผ่ไปยังวาริสด้วย ให้ตายเถอะฉันไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์ที่สงบเงียบจนนึกวางใจ มันจะลุกโซนขึ้นพร้อมกับความรักซึ่งกำลังจะงอกงามในอีกไม่ช้านี้” ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับอุปสรรคที่กำลังดาหน้าเข้ามาทดสอบเขา

“ผมให้สัญญาว่าจะดูแลคนที่ผู้กองรักอย่างเต็มความสามารถ” ชยินมองสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ขณะวางมือลงบนบ่าแข็งแรงของคนสนิทแล้วเอ่ยขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ

********

 

เคยมีคนพูดว่าในยามคนเรามีความสุขเวลามักจะเดินไปเร็วเสมอ เมื่อก่อนชยินมองว่ามันเป็นคำพูดที่ฟังดูไร้สาระ แต่วันนี้เขาชักเห็นด้วยเพราะหลังจากนั่งๆ นอนๆ อยู่ภายในค่ายผู้ลี้ภัย แปบๆ เวลาก็ล่วงเลยจนในอีกสองวันก็จะครบสามอาทิตย์

ชายหนุ่มยืนกอดอกมองไปยังหน่วยแพทย์อาสาแล้วนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด เมื่อเห็นว่าหน้าที่ของแพทย์หญิงวริสากำลังจะสิ้นสุดในอีกสองวันข้างหน้า ในขณะชยินกำลังครุ่นคิดหาทางป้องกันอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาในทุกขณะจิต ด้านวริสาก็ทำหน้าที่ของเธออยู่ภายในเต้นท์ซึ่งมีผู้ลี้ภัยแวะเวียนเข้ามารับบริการ แม้ไม่มากเท่ากับวันแรกแต่ก็ทะยอยมาไม่ขาด

“ผู้กองคิดอะไรอยู่หรือครับ” ซาเยร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าคิดหนักของผู้เป็นนาย

“อีกสองวันหมอจะหมดหน้าที่ในค่ายนี้ แต่ฉันยังหาทางออกจากค่ายแล้วตามเธอไปไม่ได้เลย” คนที่อาการบาดเจ็บหายจนเกือบเป็นปกติเอ่ยเสียงเครียด

“ถ้าอย่างนั้นเราคงทำอะไรได้ไม่มาก นอกจากส่งคนไปคุ้มกันเธอ” พูดพร้อมกับเบนสายตาไปยังบุคคลที่อยู่ในบทสนทนา

“เท่าที่ได้ข้อมูลมาค่ายผู้ลี้ภัยที่เธอกำลังจะไป มีกลุ่มพวกหัวรุนแรงและมีคนหนาแน่นกว่านี้ ฉันเกรงว่าพวกนั้นอาจจะยืมสถานการณ์ซึ่งไม่ค่อยสงบนักเป็นชนวนแล้วแทรกซึมเข้าจู่โจม” บอกอย่างกังวล

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกมันจะทำงานอย่างใจเย็นขนาดนี้”

“ลอซูมันคงหวังกับงานนี้มาก และแน่นอนว่าแผนการของมันจะต้องล้ำลึกสมกับการรอคอยอย่างใจเย็นแน่ ซาเยร์ฉันคิดว่าคงถึงเวลาที่เราจะต้องขอกำลังจากกลุ่มคนที่พวกมันคาดไม่ถึง ส่งคำสั่งของฉันไปถึงนายพลอาชาวินว่าฉันต้องการกำลังสนับสนุนจากหน่วยพิฆาตซายีน เพื่อติดตามคุ้มกันหมอในทุกย่างก้าว เราไม่มีเวลาอีกแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยถึงนักรบเดนตายที่สามารถรบได้ทุกแบบทุกพื้นที่ และใช้ภาษากะเหรี่ยงซายีนในการบังคับบัญชา ด้วยความเก่งกาจชนิดหาตัวจับยากของหน่วยนี้ พวกเขาจึงอยู่ภายใต้อำนาจสั่งการของนายพลอาชาวินอาของเขา และจะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในกรณีมีเหตุการณ์คับขัน ตามวัตถุประสงค์เพื่ออารักขาบุคคลสำคัญของครอบครัว มากกว่าสร้างแสนยานุภาพด้านกำลังคน เพื่อการสู้รบอยู่แนวหน้า

คำสั่งของชยินทำให้ซาเยร์หยุดสายตาอยู่ที่ใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเหลือบไปทางเต้นท์ซึ่งมีคนสำคัญของเจ้านายกำลังทำหน้าที่ของเธอโดยไม่รู้ถึงภยันตรายที่คืบคลานเข้ามา

“ระหว่างที่ผมออกจากค่าย ผู้กองต้องระวังตัวให้มาก ถึงแม้ว่าเวลานี้จะมีคนของเราแทรกซึมอยู่แต่พวกมันก็อยู่ในมุมมืดไม่รู้จะโผล่มาตอนไหน” ซาเยร์บอกด้วยความรอบคอบ

“แกเห็นฉันเป็นเซดริกมากกว่าผู้กองชยินเรอะซาเยร์” ชายหนุ่มเอ่ยถึงสรรพนามของเขาซึ่งคนทั่วไปมองว่าคือนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ชีวิตต้องพึ่งพาการอารักขาจากคนอื่น

เมื่อได้ยินคำพูดของชยิน ซาเยร์ที่เคยชินกับบทบาทใหม่ของชายหนุ่ม ซึ่งใช้สมองห้ำหั่นกับคู่แข่งทางธุรกิจ มากกว่าใช้กำลังเข้าห้ำหั่นศัตรู จึงอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินไปขึ้นรถซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา

เฮ้อ!...เขาลืมไปได้อย่างไรว่าคนที่ยืนแหวกว่ายอยู่ในห้วงรักนั่นคือผู้กองชยิน...หัวหน้าทีมหน่วยพิฆาตซายีนที่ขนาดมัจจุราชยังกางมือปฏิเสธที่จะเกี่ยวข้อง...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น