5

สุดแท้จะตัดสินใจ


บทที่
สุดแท้จะตัดสินใจ

           

“คุณย่าเป็นอย่างไรบ้างคะ”
            หม่อมราชวงศ์หญิงเงยหน้ามองท่าทางอ่อนล้าของผู้เป็นย่าด้วยสีหน้ากังวล ก่อนจะเบือนหน้าไปมองเหล่าพี่ชายที่มีสีหน้าลำบากใจไม่แพ้กัน หลังจากหม่อมเจ้าอธิธัชกลับไปได้ไม่นาน เธอก็กลับมานั่งสำนึกผิดอยู่ที่วังเล็กของคุณย่า
            “รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป” น้ำเสียงของคนพูดราบเรียบ ขณะที่แววตาที่จ้องมาที่เธอคมกริบจนหญิงสาวนึกหวั่น “ทำไมไม่ให้เกียรติท่านชายบ้าง ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็ควรจะคิดถึงสกุลวโรรส เป็นถึงหม่อมราชวงศ์ แต่กลับพูดจาไร้มารยาทราวกับไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน”
            คำพูดของคุณย่าทำให้หญิงสาวก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด เธอยอมรับว่าเธอพูดและแสดงท่าทางไร้มารยาทกับหม่อมเจ้าอธิธัช เพียงเพราะโกรธที่เขาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีค้าฝิ่นเถื่อน แถมเขายังเคยหาว่าเธอเป็นหัวขโมยอีก แต่พอมาลองคิดดูแล้ว สิ่งที่เธอกระทำต่อเขาก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจริงๆ
            นรีรัตน์เงยหน้าขึ้นสบแววตาเข้มงวดของคนสูงวัยกว่าอีกครั้งแล้วพูดเสียงอ่อยว่า
            “นิดขอโทษค่ะ”
            “คนที่หลานต้องขอโทษไม่ใช่ย่า แต่เป็นท่านชาย” หญิงชราพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ย่ารู้ว่าหญิงนิดโกรธที่ย่าบังคับ แต่หลานต้องเข้าใจด้วยว่าความประสงค์ของท่านพ่อเป็นสิ่งที่จะเมินเฉยไม่ได้
            “ณรังค์กูลมีพระคุณต่อวโรรส ท่านพ่อของหลานโชคร้ายที่ไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณ เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรักษาสัญญา คำสอนที่ท่านพ่อของหลานพร่ำสอนตั้งแต่เล็กจนโต หญิงนิดจำได้ไหม”
            หญิงสาวเงยหน้ามองคนเป็นย่าด้วยนัยน์ตาสั่นระริก การแต่งงานไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอ ตั้งแต่เล็กจนโต นรีรัตน์เชื่อเสมอว่าเมื่อเธอมีการศึกษา มีหน้าที่การงานที่ดีแล้ว ย่อมเลือกทางเดินชีวิตของตนเองได้ แต่แล้วความฝันของเธอก็พังทลายลงเพียงเพราะคำว่า...หน้าที่
            “เกิดเป็นมนุษย์ สิ่งที่ต้องมีไว้เสมอคือการรู้จักหน้าที่ของตนเอง” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าชัดเจน “หน้าที่ที่ต้องตอบแทนคุณของแผ่นดิน บิดามารดา และผู้มีพระคุณ”
            น้ำเสียงที่ตอบอย่างหนักแน่นทำให้หม่อมหลวงนภัสวรรณแย้มยิ้มอย่างพอใจ ขณะที่นรีรัตน์ก้มหน้านิ่ง
            “หญิงนิดรู้ไหมว่าทำไมตอนนั้นย่าถึงส่งเราไปเรียนที่ปีนัง”
            หญิงสาวเงยหน้าสบแววตาอาทรของผู้เป็นย่า เธอโกรธและเสียใจที่คุณย่าส่งเธอไปเรียนต่างประเทศโดยที่เธอไม่เต็มใจ ทว่าเหตุผลของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอจนคำพูด
            คุณย่าเกรงว่ายายนิดจะถูกกลั่นแกล้งเพราะไปมีเรื่องกับท่านหญิงขวัญ แล้วก็ไม่อยากให้น้องต้องทุกข์ทรมานจากสายตาและคำพูดดูถูกเหยียดหยามเรื่องท่านพ่ออีกแล้ว (เอียง)
           
จดหมายที่นทีกุลเขียนถึงเธอเมื่อครั้งอยู่ที่ปีนังบอกเล่าความจริงทุกอย่างที่คุณย่าไม่เคยเอ่ยให้เธอได้รับรู้ และหลังจากที่เธอไป คุณย่าก็ล้มป่วยอยู่หลายวันเพราะกังวลและคิดถึงเธอ 
            “เพื่อปกป้อง...นิดหรือคะ”
            “ย่าขอโทษที่ทำร้ายจิตใจหลานแบบนั้น แต่ย่าอยากให้หญิงนิดรู้ไว้ว่า ทุกสิ่งที่ย่าทำล้วนเป็นเพราะความรักและหวังดีที่มีต่อหลานทั้งนั้น ย่ารักและเป็นห่วงหญิงนิดไม่น้อยไปกว่าพี่ๆ ของเราเลยนะ”
            สีหน้าและคำตอบที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของคุณย่าทำให้หญิงสาวอยากร้องไห้เหลือเกิน ตั้งแต่เล็กจนโต ผู้หญิงตรงหน้าก็เป็นทุกอย่างในชีวิตของเธอ เป็นทั้งพ่อแม่ ครู แล้วก็เป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ แต่เธอกลับเอาแต่สร้างปัญหาและทำให้คุณย่าทุกข์ใจมากมาย
            “นิดขอโทษนะคะคุณย่า แต่นิดไม่อยากแต่งงานจริงๆ ค่ะ”
            “หญิงนิดไม่ชอบท่านชายหรือลูก หรือเพราะว่ามีใครในใจอยู่แล้ว”
            คำถามของอีกฝ่ายทำให้นรีรัตน์ถอนหายใจยาว เธอน่ะหรือจะมีคนรัก แค่ต้องรบรากับงานที่มีเข้ามาไม่เว้นวันก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องความรัก
            “ไม่มีค่ะ นิดยังไม่มีคนที่ถูกใจ”
            “ก็ดีแล้วนี่ ท่านชายธัชเองก็เป็นคนดี ย่าเชื่อว่าหญิงนิดจะรักท่านชายได้ไม่ยากนัก”
            “คุณย่าครับ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่นะครับ ถ้าไม่มีความรักต่อกันแล้ว ชีวิตคู่จะคงอยู่ได้อย่างไรเล่าครับ” นทีกุลเอ่ยเสียงขรึม ขณะที่คุณชายอีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วย

หม่อมหลวงนภัสวรรณมองใบหน้าที่เหมือนผู้เป็นแม่ไม่มีผิดเพี้ยนของหลานสาวแล้วเอ่ยถาม
            “หญิงนิดรู้หรือเปล่าว่าความรักคืออะไร”
            “ความรัก...หรือคะ” นรีรัตน์ทวนถามด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วตอบอย่างไม่แน่ใจ “ก็คงเป็นความรู้สึกพิเศษที่เรามีให้ใครบางคน คนที่เราอยากเห็นหน้า อยากอยู่ใกล้ อยากทำอะไรร่วมกันกับเขากระมังคะ”
            “ความรักเมื่อครั้งเริ่มต้นก็เป็นเหมือนความหลงใหลดังที่หญิงนิดว่า” หญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่นรีรัตน์มองหน้าผู้เป็นย่าอย่างไม่เข้าใจ “ความหลงเมื่อแรกเริ่มคล้ายกับความรัก ทว่าความหลงอายุสั้น แต่ความรักกลับมั่นคงยาวนาน
            “เมื่อหญิงนิดรักใครสักคน แค่เห็นเขามีความสุข หญิงนิดก็จะรู้สึกมีความสุข แต่เมื่อเขาทุกข์ หลานจะเจ็บปวดมากกว่าเขาเป็นร้อยเท่า คนที่รักกันจริงจะคอยอยู่เคียงข้างกันทั้งในยามสุขและทุกข์ และยอมรับได้เมื่อรู้ว่าตนทำได้แค่เฝ้ามอง แต่ไม่ได้ครอบครอง”
            “ฟังดูเจ็บปวดเหลือเกินครับ” นภเกตน์พูดเสียงแปร่ง ขณะที่นรีรัตน์มองผู้เป็นย่าด้วยนัยน์ตาสั่นระริก
            “ย่าเข้าใจดีว่าตอนนี้หญิงนิดรู้สึกอย่างไร เพราะย่าเองก็ไม่ได้รักเด็จปู่ของหลานตั้งแต่แรก เราสองคนก็ถูกจับคลุมถุงชนเหมือนกัน” หญิงชราเล่าเสียงนุ่ม แววตาอ่อนโยน นรีรัตน์กุมมืออีกฝ่ายไว้พร้อมกับบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“การแต่งงานของย่าเกิดขึ้นเพราะความต้องการของผู้ใหญ่ แต่ความรักของย่ากับเด็จปู่ของหลานเป็นสิ่งที่เราสองคนสร้างร่วมกัน ย่าอยากให้หญิงนิดคิดทบทวนดูอีกที จะเลือกทำตามความต้องการของตัวเอง หรือตอบแทนพระคุณของท่านพ่อ สุดแท้จะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่หลานเถอะนะ”

            สีหน้าเคร่งเครียดของผู้เป็นนายยามมองพินัยกรรมเบื้องหน้าฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่มือข้างหนึ่งกุมขมับราวกับใช้ความคิดอย่างหนัก ท่าทางคิดไม่ตกนั้นทำให้ภรพลอบยิ้มอย่างขบขัน
            “สวยไหม”
            หม่อมเจ้าอธิธัชเงยหน้ามองผู้เป็นเพื่อนด้วยสีหน้างุนงงพลางเลิกคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงถาม
            “ก็ว่าที่ภริยาของแกไง” เลขาฯ หนุ่มขยายความด้วยสีหน้าระรื่น “สวยถูกใจแกไหม”
            ราชนิกุลหนุ่มไม่ตอบ เขาถอนหายใจยาวอย่างหนักใจก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
            “ที่ถอนหายใจเป็นเพราะว่าเธอไม่สวย
?
            “เปล่า” หม่อมเจ้าอธิธัชตอบทันที ใบหน้าหวานละมุนยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำ เช่นเดียวกับแววตาแข็งกร้าวที่จ้องมองเขาอย่างจงเกลียดจงชัง ท่าทางที่เจ้าหล่อนแสดงออกบ่งชัดว่าไม่อยากแต่งงานกับเขา ทว่าถึงแม้เธอจะไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อันใด หรือมีชาติตระกูลสูงส่งขนาดไหน เขาก็หลงรักเธอไม่ลงจริงๆ
            ยิ่งนึกถึงตอนที่เจ้าหล่อนถวายบังคมเอานิ้วจิ้มหน้าเขา แถมยังบิดมือเขาที่แข็งเป็นสากกะเบือ สีหน้าของชายหนุ่มก็เหือดแห้งลงไปอย่างเห็นได้ชัด
            ใครก็ได้บอกเขาทีว่า ยายกะโปโลลิงหลอกเจ้านั่นไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาต้องแต่งงานด้วย!
            “ทำไมแกทำหน้าแบบนั้น สรุปคุณหญิงสวยหรือไม่สวย”
            “เธอสวยเหมือนคุณแม่ของเธอ แต่ดื้ออย่างกับลิง แถมดุอย่างกับเสือ แกรู้ไหม เธอเล็งปืนใส่หน้าฉันด้วยนะ”
            เป็นคำตอบที่ทำให้ภรพหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ สีหน้าหงุดหงิดระคนหวั่นใจที่แสดงออกยืนยันคำพูดของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี
            “คุณหญิงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่งงานกันไปมีหวังท่านชายของเราคงกลับบ้านเร็วทุกวัน”
            “ใครบอกว่าฉันจะแต่งกับยายกะโปโลนั่น” หม่อมเจ้าอธิธัชปฏิเสธทันควัน “ใครจะไปคิดว่ายายเด็กอ้วนป้อมเมื่อสิบปีก่อน โตมาจะดื้อขนาดนี้ ชั้นเรียนกุลสตรีที่ปีนังคงช่วยอะไรเจ้าหล่อนไม่ได้เลยสินะ”
            ภรพหลุดหัวเราะก๊าก ขณะที่ราชนิกุลหนุ่มถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
            “เห็นทีคงต้องเปลี่ยนแผนใหม่ เพราะฉันจะไม่มีวันแต่งงานกับยายนั่นเด็ดขาด!”
            กริ๊ง...
            เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้บทสนทนาของสองหนุ่มชะงัก หม่อมเจ้าอธิธัชยกหูโทรศัพท์ขึ้นมากรอกเสียงลงไปด้วยน้ำเสียงหมดอาลัยตายอยากว่า
            “สวัสดีครับ”
            “ชายธัช เป็นอย่างไรบ้างลูก แม่คิดถึงเหลือเกิน”
            “ท่านแม่” น้ำเสียงของราชนิกุลหนุ่มอ่อนลง พร้อมกับส่งสายตาปรามผู้เป็นเพื่อนที่ยังคงยิ้มระรื่น “ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างครับ เที่ยวสนุกไหม”
            “สนุกสิจ๊ะ แม่จะกลับพระนครต้นเดือนหน้า ถึงตอนนั้นแม่จะไปคุยกับเด็จโสมเรื่องงานแต่งของลูกกับท่านหญิงขวัญ ชายธัชเตรียมตัวไว้เลยนะลูก”
            “อะไรนะครับ!”
            “แม่จะไปคุยกับเด็จแม่ของท่านหญิงขวัญเรื่องงานแต่งของลูก ไว้ว่างๆ ก็พาน้องไปทานข้าวบ้างนะ ท่านหญิงโทรศัพท์มาบ่นกับแม่ตลอดเลยว่าลูกเอาแต่ทำงาน”
            “ก็ผมงานยุ่งจริงๆ นี่ครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อยพร้อมกับกำหูโทรศัพท์แน่น ขณะที่ผู้เป็นแม่เอ่ยเรื่องการเตรียมงานแต่งงานต่อด้วยน้ำเสียงยินดี ก่อนจะวางสายไปในที่สุด
            “ท่านหญิงป้าโทรศัพท์มาเรื่องงานแต่งละสิท่า”
            เป็นคำถามที่ทำให้หม่อมเจ้าอธิธัชถอนหายใจยาว เพื่อที่จะไม่ต้องแต่งงานกับหม่อมเจ้าขวัญฤทัยและรักษาคำสัญญาของท่านพ่อ นรีรัตน์คือความหวังสุดท้ายของเขา
            “ฝากแกจัดการเรื่องพินัยกรรมนี้ที ฉันต้องเอาให้ท่านแม่อ่านตอนที่ท่านเด็จกลับมา”
            “ได้ครับผม แล้วสรุปแกเลือกทางไหน”
            หม่อมเจ้าอธิธัชสบตาผู้เป็นเพื่อน แล้วชี้ไปยังเงื่อนไขที่ตัดสินใจเลือกด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ขณะที่เลขาฯ หนุ่มแย้มยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นหมายเลขบนหน้ากระดาษ
           
            สภาพข้าวของทุกอย่างในห้องนอนของเธอยังคงเหมือนเดิมไม่ต่างจากเมื่อสองปีก่อน ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนที่คุณแม่เคยถักไว้ให้ยังคงพลิ้วไหวรับสายลมอ่อนที่พัดเข้ามาในห้อง ชั้นหนังสือไม้ที่ท่านพ่อลงมือประดิษฐ์ด้วยตัวเองยังคงเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับการเมืองการปกครองและวรรณคดีไทยที่เธอชอบอ่าน ขณะที่กลิ่นน้ำอบมะลิของคุณย่าหอมละมุนไปทั่วห้อง
            คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นอย่างแปลกใจ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสมุดรวมรูปถ่ายที่เธอจับยัดใส่ลังกระดาษในห้องเก็บของอย่างไม่คิดจะหยิบมาดูอีกวางอย่างเรียบร้อยอยู่บนนั้น ใบหน้านวลฉายแววลังเลอยู่ในที พร้อมกับที่เท้าก้าวไปหยุดอยู่หน้าชั้นหนังสือ
            “มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หญิงสาวพึมพำพร้อมกับหยิบสมุดรูปถ่ายดังกล่าวออกมาวางบนโต๊ะข้างเตียง เธอกลอกตาไปมาราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง ความทรงจำสมัยเด็กของเธอไม่ค่อยน่าประทับใจนัก แล้วสมุดรวมรูปถ่ายนี่ก็เป็นสิ่งเตือนใจที่ทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้น
            “ก็แค่รูปถ่าย จะกลัวอะไร” นรีรัตน์บอกตัวเองดังๆ ก่อนจะตัดสินใจเปิดไปที่หน้าแรก
            รอยยิ้มฉายบนใบหน้าทันที เมื่อเห็นภาพเด็กหญิงเด็กชายทั้งสี่ที่ยืนส่งยิ้มมาให้จากหน้าวังวโรรส สีหน้าและแววตาทะเล้นของพี่ชายนภยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับแววตาเคร่งขรึมของพี่ชายธรณ์ ขณะที่มือของพี่ชายทีโอบไหล่เธอด้วยสีหน้าที่ยังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลง
            หญิงสาวพลิกไปที่หน้าถัดไป ภาพนักเรียนชั้นประถมรุ่นเดียวกันก็ปรากฏต่อสายตา เด็กหญิงหน้านิ่งที่ถักเปียสองข้างริมซ้ายสุดคือเธอนั่นเอง ขณะที่รอบกายเต็มไปด้วยเด็กหญิงเด็กชายในชุดนักเรียนประถม แต่คนที่โดดเด่นที่สุดในภาพ คงจะเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักที่ยืนอยู่ตรงกลาง สีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายบ่งบอกความมั่นใจเป็นอย่างดี
            หม่อมเจ้าขวัญฤทัย ทรรศณา
            ป่านนี้คงโตเป็นสาวสวย เป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม ทว่าถ้าเลือกได้ เธอก็ไม่อยากเจอท่านหญิงจอมเอาแต่ใจคนนี้อีกเป็นครั้งที่สอง เหตุผลน่ะหรือ...
           

ยายเด็กไม่มีแม่! โดดน้ำตามแม่แกเลยไป!
            ‘ฮือๆๆ อย่าบังคับหนูแดงเลยนะจ๊ะ
            เด็กหญิงร่างเล็กที่สวมแว่นหนาร้องไห้เสียงดัง ขณะที่เบื้องหน้าคือเด็กหญิงสามคนท่าทางเอาเรื่อง ทว่าคนที่เป็นหัวโจกคือเด็กหญิงที่ยืนแย้มยิ้มเหยียดอยู่ตรงกลาง...หม่อมเจ้าขวัญฤทัย ทรรศณา
            เสียงร้องไห้และเสียงหัวเราะอย่างสะใจที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เด็กหญิงที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่บนต้นไม้มองอย่างไม่ชอบใจ เธอกระโดดลงมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วเดินมาหยุดเบื้องหน้าท่านหญิงน้อยขวัญฤทัย พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทว่า

            ‘ท่านหญิงไม่ควรทำแบบนี้นะเพคะ
            นัยน์ตาเรียวรีตวัดกลับมามองเธอด้วยสีหน้ารังเกียจ ก่อนที่เจ้าตัวจะเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางหยิ่งยโส แล้วตอบด้วยน้ำเสียงถือตัวว่า
            ‘แล้วเธอยุ่งอะไรด้วย ฉันเป็นท่านหญิง ฉันจะทำอะไรก็ได้
           
แต่ท่านหญิงไม่ควรทำเช่นนี้ มันอันตราย
           
ทำมาเป็นสอนคนอื่น คิดว่าฉันจะเชื่อเธองั้นหรือ ยายเด็กไม่มีแม่!
            นรีรัตน์จ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาวโรจน์ ทว่าหม่อมเจ้าขวัญฤทัยกลับแสยะยิ้มสะใจ และก่อนที่ใครจะคาดคิด ร่างที่โตกว่าก็ผลักร่างเล็กของหนูแดงหล่นลงไปในบึงน้ำทันที
            ตูม!

            หนูแดง! หม่อมราชวงศ์หญิงตะโกนอย่างตกใจ มองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนช่วย ช่วยด้วยค่ะ! มีคนตกน้ำ ใครก็ได้ช่วยด้วย!
            เมื่อเห็นว่าแถวนั้นไม่มีใครแน่แล้ว นรีรัตน์จึงตัดสินใจกระโดดลงไปช่วยหนูแดงที่พยายามตะเกียกตะกายเข้าหาฝั่ง ทว่าเมื่อเธอไปถึงตัวอีกฝ่าย ร่างเล็กกลับเกาะแขนเด็กหญิงแน่น แถมออกแรงฉุดจนทำท่าจะจมลงไปด้วยกัน
           
ชะ...ช่วยด้วย
            ท่ามกลางกระแสน้ำในบึงที่ไหลวน เสียงหัวเราะจากเด็กน้อยทั้งสามบนฝั่งยิ่งเหมือนมือที่คอยฉุดให้พวกเธอจมดิ่งลงไปในท้องน้ำอันเย็นยะเยือก นรีรัตน์ออกแรงดึงหนูแดงพร้อมกับตะเกียกตะกายเพื่อให้พ้นจากผิวน้ำ แต่ก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน
           
ใคร...ก็ได้ ช่วยด้วย เด็กหญิงเค้นเสียงร้องอย่างอ่อนแรง และดูเหมือนว่าดวงของเธอจะยังไม่ถึงฆาต เมื่อร่างเล็กของนรีรัตน์และหนูแดงถูกใครบางคนฉุดขึ้นมาบนฝั่งได้อย่างทันท่วงที
           
แค็กๆ
            นรีรัตน์ทรุดลงกับพื้นทันทีอย่างหมดสภาพ ขณะที่ข้างกายเป็นเด็กชายแปลกหน้าที่ใจกล้าโดดน้ำลงไปช่วยเธอและหนูแดง สภาพของเธอและผู้กล้าย่ำแย่ไม่ต่างกัน ทว่าคนที่อาการหนักที่สุดคือหนูแดงที่ยังคงไม่ได้สติ เด็กทั้งสามถูกครูพี่เลี้ยงอุ้มไปห้องพยาบาลเพื่อดูอาการ หลังจากนั้นราวสามชั่วโมง คุณย่าของเธอและมารดาของหนูแดงก็มาถึงโรงเรียน
           
นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณครู
           
หม่อมราชวงศ์นรีรัตน์กับดาริกาเล่นซนจนตกไปในบึงน้ำค่ะ

ครูพี่เลี้ยงตอบคุณย่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ทว่านรีรัตน์รีบส่ายหน้าทันที แต่ก่อนที่เธอจะอธิบายความจริง เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงอีกคนที่อยู่ในห้องพยาบาลก็ดังแทรกขึ้นมาทันทีว่า
           
นรีรัตน์เป็นคนผลักหนูแดงตกน้ำค่ะ!
           
นิดไม่ได้ทำนะคะ คนที่ผลักหนูแดงคือท่านหญิงต่างหาก!
            ‘โกหก! เธอเป็นคนผลักหนูแดงตกน้ำ ท่านหญิงขวัญตวาดเสียงดัง แล้วหันไปหาเพื่อนทั้งสองคน หญิงนิดเป็นคนทำ ใช่ไหมพวกเธอ
            ‘ใช่ค่ะ หญิงนิดเป็นคนผลักหนูแดงตกน้ำ
            ‘หญิงนิดเป็นคนทำค่ะ
            ‘นิดไม่ได้ทำจริงๆ นะคะ นิดไม่ได้ทำนะคะคุณย่า นรีรัตน์ตะโกนสู้เสียงคนใส่ร้ายพร้อมกับมองไปทางเด็กชายผู้กล้าที่ยังหลับใหลราวกับภาวนาให้เขาตื่นขึ้นมาช่วยเป็นพยานให้เธอ
            เมื่อเห็นว่าการโต้เถียงทำท่าจะบานปลายใหญ่โต ครูพี่เลี้ยงจึงหันไปทางดาริกาที่ยังคงนั่งตัวสั่นร้องไห้อยู่เงียบๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
            ‘หนูแดงบอกมาซิลูก ว่าใครเป็นคนผลักหนูตกน้ำ
            สีหน้าของหนูแดงซีดเผือด นัยน์ตาสั่นระริกอย่างหวาดกลัว เธอเหลือบมองแววตาอาฆาตของท่านหญิงขวัญฤทัย ก่อนจะมาหยุดที่แววตาจริงใจของนรีรัตน์ และยื่นมือที่สั่นระริกชี้ไปทางเด็กหญิงที่อยู่เตียงข้างๆ พลางตอบเสียงสั่นว่า
           
หญิงนะ...นิดค่ะ
            นรีรัตน์เบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง มองใบหน้าที่เปรอะเปื้อนน้ำตาของหนูแดงอย่างไม่เชื่อหู เธอส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับ ก่อนจะหันไปทางคุณย่าของตนเองแล้วตะโกนก้อง
           
ไม่ใช่นะคะ! นิดไม่ได้ทำ
            ‘ยายขี้โกหก!

เสียงของขวัญฤทัยดังแทรกมาทันที ขณะที่เด็กหญิงอีกสองคนตะโกนอย่างเห็นด้วย สถานการณ์พลิกผันที่เกิดขึ้นทำให้นรีรัตน์ตัวสั่นด้วยความโกรธระคนกลัวเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของผู้เป็นย่า ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินมาหยุดตรงหน้าเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัดว่า
            ‘กลับวังเมื่อไหร่ เรามีเรื่องต้องคุยกัน!
            นัยน์ตาของเด็กหญิงแดงก่ำ สีหน้าและแววตาเย็นชาของคนเป็นย่าทำให้หยดน้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย เธอเลิกผ้าห่มจากตัวแล้วสาวเท้าวิ่งออกจากห้องพยาบาลทันที
 
          

“ไม่มียายเด็กขี้แยคนนั้นอีกแล้ว” หญิงสาวพึมพำแล้ววางสมุดรวมรูปสมัยเด็กลงข้างตัว นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น เธอก็กลายเป็นเด็กขี้โกหกในสายตาคนอื่น เพื่อนก็เมินเฉยใส่ เพราะไม่อยากเป็นศัตรูกับท่านหญิงขวัญฤทัย และหลังจากนั้นไม่นาน คุณย่าก็ส่งเธอไปเรียนที่โรงเรียนประจำหญิงล้วนที่ปีนัง พร้อมกับการถูกเคี่ยวเข็ญและควบคุมความประพฤติอย่างหนัก
            นรีรัตน์ถอนหายใจยาวอย่างอ่อนแรง ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นซองจดหมายที่สอดอยู่ที่ปกหลังของสมุด หญิงสาวทำหน้านิ่วอย่างใช้ความคิดแล้วหยิบซองจดหมายมาเปิดดูด้านใน ลายมือที่เขียนอย่างสวยงามปรากฏต่อสายตา ขณะที่นัยน์ตาคู่สวยสั่นระริกก่อนจะก้มลงอ่านเนื้อความในจดหมาย

           

นิดลูกรัก
            พระองค์เจ้าอติรุจและพ่อเป็นเพื่อนรักกันมานาน วันที่พ่อถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนทรยศชาติ ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนไร้ยางอายที่กล้าทรยศได้แม้กระทั่งแผ่นดินเกิดเพื่อหาผลประโยชน์แก่ตนเอง พระองค์รุจได้ประทานความช่วยเหลือแก่พ่อ ท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของเรา ต่อให้มีอีกกี่ชาติ ก็คงทดแทนบุญคุณนี้ได้ไม่หมด
            พ่อกับพระองค์รุจได้สัญญากันไว้ว่า ถ้าลูกทั้งสองของเราเติบโตจนถึงวัยที่เหมาะสมก็จะให้แต่งงานกัน พระองค์รุจมีพระโอรสเพียงองค์เดียวคือหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล และพ่อก็มีลูกสาวเพียงคนเดียวคือนรีรัตน์ ลูกที่น่ารักของพ่อ
            พ่อรู้ว่าเมื่อนิดโตขึ้น คำสัญญานี้จะทำให้ลูกโกรธและเสียใจ ที่พ่อบังคับให้ลูกต้องแต่งงานกับคนที่ลูกอาจไม่ได้รัก แต่พ่อก็อยากขอร้องให้นิดทำเพื่อพ่อ ทำหน้าที่ภรรยาของท่านชายธัชให้ดีที่สุด แม้พ่ออาจไม่ได้อยู่ดูแลนิดจนถึงวันนั้น แต่พ่อขอให้นิดระลึกไว้ว่า ทุกวินาที ทุกลมหายใจทั้งหมดของพ่อ มีไว้เพื่อรักและเป็นห่วงลูกเสมอ
                                                                                                            พ่อ
                                                                                                หม่อมเจ้านฤเบศ วโรรส
 
          

น้ำตาของนรีรัตน์ไหลรินเป็นทางก่อนจะหยดกระทบจดหมายของท่านพ่อผู้เป็นที่รักที่วางอยู่บนตัก ความรักของท่านพ่อมีค่าสำหรับเธอเสมอ และไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอคือลูกสาวคนเดียวของท่านไม่ได้ การแต่งงานกับหม่อมเจ้าอธิธัชคือทางเดียวที่เธอจะได้ตอบแทนพระคุณของท่านพ่อ
            หญิงสาวเม้มปากแน่น ก่อนจะก้มหน้าลงซบเข่าแล้วร้องไห้ด้วยหัวใจที่อ่อนล้า
            เธอไม่เหลือทางเลือกใดแล้วจริงๆ


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น