ตอนที่ 11

ตอนที่ 11 หัวใจ

 

ข้าวนึ่งก้อนน้อยถูกคดใส่ใบสัก แนมด้วยปลาซิวย่างตัวกระจิ๋วและน้ำพริกเห็ดหล่มที่สุ่นคำได้จากการไปดำน้ำหาปลาในยามเช้าตรู่ อาจฟังดูแปลกไปสักหน่อย หากเรียกการหาปลาซิวปลาสร้อยว่าการดำน้ำหาปลา แต่สำหรับสุ่นคำที่เปียกมะล่อกมะแล่กกลับค่ายพักมาจะเรียกว่าดำน้ำหาปลาก็คงพอเข้าใจสถานการณ์ได้อยู่ สองวันแล้วที่พรานปลาหน้าใหม่คนนี้ลงไปแหวกว่ายกับปลาในธารน้ำตก มิเมจึงพร่ำบ่นสุ่นคำมาตั้งแต่เช้า เพิ่งได้หยุดปากก็ในเวลาที่นั่งกินข้าวอยู่กับแม่หญิงเกี้ยวจันทร์นี้แล

หญิงสาวในชุดผ้าซิ่นต๋าหมู่สีชมพูหวานต่อตีนซิ่นสีน้ำตาลสวย นั่งรอข้าวเช้าของเธออยู่อย่างใจจดใจจ่อ เพราะจำต้องรอให้มิเมวางข้าวให้เจ้าที่เจ้าทางท่านเสียก่อน เสร็จแล้วพี่เลี้ยงสาวก็ก้าวเข้ามาหาพร้อมกับสำรับกับข้าวป่าแบบง่ายๆ เท่าที่จะหาได้และเท่าที่แม่หญิงเธอพอใจจะกิน ส่วนเนื้อเค็มเมื่อวันแรกนั้นคงไม่ถูกปากเธอเท่าไร จึงกลายเป็นข้าวเช้าของลูกหาบลูกไพร่แทน แต่รู้สึกเมนูปลาที่สุ่นคำหามาจะถูกปากเธอเป็นพิเศษ

“กินข้าวเทอะเจ้า กำเดียวจะเย็นไปเสียก่อน” มิเมร้องบอก หล่อนยังคงทำหน้าที่แกะเนื้อปลาให้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์เช่นเคย

ในบางคราสุ่นคำเองก็สงสัย ว่าเหตุใดลูกเจ้าลูกนายเพิ่นไม่แกะปลากินด้วยตัวเองหรือ เพียงแต่เหตุผลที่แท้จริง เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของแม่หญิงเธอต่างหาก เป็นที่รู้กันดีว่าแม่หญิงเกี้ยวจันทร์เธอชอบกินปลา เพียงแต่คราใดที่กินเข้าไปแล้วพบเข้ากับก้างปลาแม้แต่เพียงก้างเล็กๆ ก้างหนึ่ง เธอก็จะคายออก และหยุดกินปลาตัวนั้นไปในทันที มันอาจเป็นนิสัยแย่ๆ อย่างหนึ่งของเธอ ทว่ามิเมยินดีที่จะแกะเนื้อปลาออกให้ อย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้แม่หญิงของเธอได้กินปลาอร่อยๆ อย่างที่เธอชอบกิน

“น้ำพริกเห็ดหล่มเจ้า ว่ากันซื่อๆ (ตรงๆ) ก็มีเห็ดหลายอย่างเจ้า แต่มีเห็นหล่มนักกว่าเพิ่น” สุ่นคำลองเสนอเมนูใหม่ให้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ได้ลองดู 

ในยามปกติแล้วแม่หญิงเกี้ยวจันทร์กินเผ็ดไม่เก่งนัก แต่เมื่อบ่าวหน้าใสผู้นี้เสนอมา เธอจึงลองกินดู จะได้ไม่เสียน้ำใจกัน

‘เห็ดหล่ม’ เป็นเห็ดตระกูลเห็ดหอม บางพื้นที่เรียก ‘เห็ดไคล’ เป็นเห็นป่าที่พบมากในช่วงฤดูฝน นิยมนำมาทำเป็นอาหาร หนึ่งในนั้นคือน้ำพริกเห็ดหล่มซึ่งทำง่ายแสนง่าย เพียงนำเห็ดมาล้างให้สะอาด ห่อด้วยใบตอง และปิ้งกับไฟให้สุก พริกที่เตรียมมาจากปางล้างให้สะอาดและย่างไฟให้หอม โขลกกับกระเทียม อย่าลืมเติมเกลือให้รสอร่อย ครกไม้ใบเล็กๆ ของสุ่นคำคงได้ใช้ประโยชน์ก็ครานี้แล เสียงโขลกน้ำพริกจึงดังอยู่เบาๆ แต่เช้า พอโขลกให้ละเอียดดี จึงเติมเห็ดหล่มปิ้งไฟในใบตองหอมๆ โขลกรวมกันกับพริกแลกระเทียม อาหารง่ายๆ แต่อร่อยล้ำก็เป็นอันเสร็จ

“อื้ม! ลำขนาด” ครั้นเมื่อแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนเล็ก จิ้มน้ำพริกและนำเข้าปาก รสชาติหอมอร่อยทำให้รู้สึกอยากกินต่อ เพียงแต่รสเผ็ดของพริกที่เผ็ดร้อนขึ้นมาทำให้มือเรียวต้องปั้นข้าวเปล่าเข้าปากไปอีกคำ

“มิเมจิม (ชิม)” แม่หญิงบอกพี่เลี้ยงสาวชาวมอญ ให้ลองกินน้ำพริกรสอร่อยนี้ดู มิเมจึงแกะเนื้อปลาจาดในมือไว้ให้เป็นตัวสุดท้าย ก่อนจะคดข้าวที่หลามเอาไว้เป็นก้อนกลมๆ ใช้นิ้วโป้งกดลงยังใจคำให้ลึกลงเป็นแอ่งเล็ก หล่อนงุ้ยหรือทำกิริยาคล้ายใช้ช้อนตักกับข้าว เพียงแต่ใช้ข้าวนั้นแทนภาชนะ ตักน้ำพริกเห็ดหล่มให้พูนน้อยๆ แล้วเอาเข้าปาก

สุ่นคำรอลุ้นจนใจแทบขาด นั่งมองสีหน้าครุ่นคิดของมิเมและรอฟังคำชมจากปากหล่อน มิเมเคี้ยวข้าวอยู่ตุ้ยๆ กำลังครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ ว่ามันอร่อยอย่างที่แม่หญิงเกี้ยวจันทร์เอ่ยปากชมจริงๆ หล่อนพยักหน้าให้อยู่สองสามครา สุ่นคำที่เห็นถึงกับยิ้มแป้น และเริ่มกินข้าวด้วยกันกับแม่หญิงตัว

“สุ่นคำ” ทว่าก่อนที่สุ่นคำจะได้จ้วงข้าวเหนียวลงในสำรับกับข้าวที่วางอยู่เบื้องหน้า เกี้ยวจันทร์ก็ร้องเรียกเธอเสียก่อน มือเล็กๆ ของสุ่นคำชักกลับในทันที หรือบางทีแม่หญิงอาจรังเกียจที่หล่อนนั่งร่วมวงกินข้าวด้วย

“บ่ใช่! กิ๋นเลย เราบ่ได้ว่าอะหยัง” เกี้ยวจันทร์รีบร้องบอก สุ่นคำถึงกับฉีกยิ้มแห้งๆ รู้สึกประหม่าอยู่มากที่ได้รับอนุญาตให้กินข้าวด้วยกันกับนาย

“เราจะถามบ่ดาย (เฉยๆ) ว่า…” เกี้ยวจันทร์หันมองไปรายรอบอย่างเกรงว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน เธอโน้มตัวเข้าหาสุ่นคำและมิเมน้อยๆ ก่อนจะถามเรื่องที่ค้างคาใจอยู่

“แถวนี้…มีงูก่อ” 

เสียงกระซิบแผ่วของเกี้ยวจันทร์เบาเสียจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ สุ่นคำจำต้องโน้มตัวเข้าใกล้ด้วย เมื่อได้ยินคำถาม บ่าวคนนี้ถึงกับทำสีหน้าครุ่นคิดหนักทีเดียว นึกสงสัยว่าบางทีแม่หญิงอาจยังคงหวาดกลัวจงอางขาวตัวนั้นอยู่ และหากตอบว่ามี แม่หญิงจะยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่หรือเปล่า แต่หากบอกว่าไม่มีก็คงโกหก เพราะในป่าในดอยมันเป็นที่อยู่ของสัตว์มากมายอยู่แล้ว

“อืมมมม…ในป่าในดอย มันก็มีงูอยู่แล้วหนาเจ้า” สุ่นคำตอบอย่างไม่เข้าใจในคำถามของเธอเท่าไร

“เราหมายถึง…งูใหญ่ๆ งูตัวเท่า…ต้นไม้” แม่หญิงชาวเวียงพยายามอธิบาย ใบหน้างามยังคงหันมองไปรายรอบ รู้สึกขนลุกขนพองทุกคราที่นึกถึงสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายงูที่เลื้อยผ่านหน้ากระโจมใหญ่ จำต้องกระชับผ้าตุ๊บขึ้นห่มกายให้มิดชิด พลางเอี้ยวตัวหันไปมองดูด้านหลัง เผื่อว่ามันอาจหลบซ่อนอยู่

“อ๋อ! มีเจ้า ฮั่นลอ! (นั่นไงล่ะ)” สุ่นคำโพล่งขึ้น เอ่ยกับแม่หญิงของหล่อนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเหลือเกิน พลันชี้ไม้ชี้มือออกไปยังธารน้ำตกใหญ่ 

แม่หญิงคนงามสะดุ้งโหยง หันขวับไปมองในขณะที่มิเมผุดลุกจากขอนไม้

“อี่สุ่นคำ!” มิเมส่งเสียงดุใส่ ครั้นหันมองไปตามมือ ทว่าไม่พบสิ่งใดเลย มิเมง้างมือเล็กๆ ขึ้นเหนือหัว ฟาดเรียวแขนเล็กของสุ่นคำอย่างลงแรงทีเดียว เล่นอะไรไม่เล่น ทำเอามิเมและนายหญิงน้อยตกอกตกใจกันหมด

“อั่นล้า!!” สุ่นคำที่ตัวเล็กกว่ามิเมร้องเสียงหลง พลันลูบเรียวแขนที่เริ่มแดงแจ๋

“งูแท้ๆ เจ้า เจ้าบ่ได้ขี้จุ๊ เพิ่นว่าน้ำตกเกล็ดแก้ว เป็นร่างของผีเงือก” สุ่นคำปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนเล็กๆ โยนเข้าปากพลางพูด

“ผีเงือก? ผีเงือกผีงูกา?” มิเมถามให้หายสงสัย

“เจ้า อีพ่อของข้าเจ้าเล่าว่า สมัยเพิ่นเป็นละอ่อน เพิ่นออกไปล่ากระทิงกับพ่อเพิ่นเจ้า” สุ่นคำเล่าเรื่องราวที่ได้รับรู้ฟังมาจากพรานต่อม ประสบการณ์ตรงของพรานมือหนึ่งในปางไม้ออกมาจากปากหล่อนเป็นฉากๆ

ย้อนกลับไปหลายปีดีดัก สมัยนั้นพ่อของสุ่นคำยังเป็นเด็กหนุ่มตัวน้อยๆ อยู่เลย ปืนไฟปืนฝรั่งนั้นไม่มี จะมีก็แต่หน้าไม้คู่ใจที่พ่อผู้เป็นพรานไพรเหลาให้เป็นอาวุธประจำตัว ต่างจากพ่อผู้เป็นพรานมือฉมัง ปืนคาบศิลากระบอกยาวประจำกายของผู้เป็นพ่อนั้นเป็นแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้พรานต่อมเป็นพรานไพรจนถึงทุกวันนี้ หากไม่มีพ่อแกและปืนคาบศิลากระบอกนั้น ทุกวันนี้พรานต่อมคงเป็นเพียงลูกจ้างลูกหาบธรรมดา

ในวันที่ท้องฟ้าเป็นใจให้เข้าป่าล่าสัตว์ พรานพ่อลูกกับอาวุธประจำกายมุ่งหน้าเข้าไปในป่ากันสองคน เพื่อล่าอะไรก็ตามที่เข้ามาขวางทางปืน ไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะล่าตัวอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่หวังเอาไว้ว่า หากเจอกวางก็จะยิงกวาง หากเจอฟานก็จะยิงฟาน หากเจอฮอกเจอไหน่ก็จะยิงกลับไปเช่นกัน สองพ่อลูกก้าวเข้าไปในป่าลึกดงดึกกันตั้งแต่ฟ้ายังสว่างโร่ ครั้นเมื่อได้จุดขัดห้างจึงตระเตรียมตัดกิ่งไม้ที่พอจะหาได้ ขัดขึ้นเป็นห้างเล็กๆ ที่พอจะขึ้นส่องสัตว์ได้พร้อมกันทั้งสองคน

คืนนั้นเองพระจันทร์แจ่มจรัสดวงโตฉายแสงเงินไปทั่วทั้งผืนป่าใหญ่ ทุกอย่างในป่าดงพงไพรนี้มืดสนิท หากไม่ได้แสงจากดวงจันทรา คงลำบากสายตาทีเดียว แต่ครั้นสายตาชินกับความมืดมิดแล้ว ก็จะพอมองเห็นเหล่าสัตว์ป่าที่เดินเพ่นพ่านผ่านไปผ่านมาได้บ้าง ประจวบเหมาะกับเสียงกระทิงใหญ่ที่ร้องขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ก่อนจะตามมาเสียงเขาใหญ่ที่ขุดขวิดกันกึกก้อง คนเป็นพ่อประทับปืนไว้กับบ่า พาดกระบอกปืนเข้ากับราวไม้ไผ่ เล็งไปทิศทางเบื้องหน้าในขณะที่เงี่ยหูฟังเสียง

ใบไผ่แห้งที่ปกคลุมผิวดินเสียจนต้นหญ้าไม่อาจงอกเงยถูกคุ้ยเขี่ยไปเป็นทาง เสียงกรอบแกรบดังอยู่แทบตลอดเวลา ทว่าเมื่อปลายนิ้วชี้เหนี่ยวโก่งไกปืน เสียงเปรี้ยงของลูกกระสุนปืนที่พุ่งออกไปจากลำกล้องยาวพลันดังสนั่นป่า ลูกตะกั่วกลมพุ่งผ่าอากาศแผดลั่นไปทั่วทั้งผืนป่าใหญ่ เสียงเล็กแหลมของเจ้ากระทิงแผดร้องตกใจ พร้อมๆ กับเสียงฝีเท้าที่ย่ำหนีไปในทันที ในตอนนี้แม้แต่ตัวแกเองยังไม่รู้เลยเสียด้วยซ้ำว่า แกยิงโดนหรือไม่ แต่ก็จำต้องบรรจุกระสุนดินปืนใหม่ และเฝ้ารอต่อไปจนกว่าจะเช้าตรู่

“เสียงป่าแตกเหลือตะคืนก่อนเจ้า (ยิ่งกว่าเมื่อคืนอีก) แต่เพิ่นยังลงห้างบ่ได้ ต้องรอให้เช้าก่อนเจ้า” สุ่นคำออกท่าออกทาง ทั้งน้ำเสียงทำเอาเกี้ยวจันทร์และมิเมลุ้นจนตัวโก่งเกร็งไปหมด

“เราก็ยังบ่ได้ยินคำว่างูออกมาจากปากสูเลยหนา สุ่นคำ” เกี้ยวจันทร์เย้าลูกสาวพรานไพรในที

“กำเดียว (แป๊บเดียว) เจ้า แม่หญิง แหม น้อยเดียวเจ้า จะถึงแล้ว” สุ่นคำดูสนุกกับการบอกเล่าเรื่องราวของพ่อ บางทีหากหล่อนเป็นผู้ชาย หล่อนคงเลือกเป็นพรานไพรเหมือนกัน

ครั้นเมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง ทุกอย่างรายรอบห้างใหญ่ของพรานมือฉมังและลูกชายก็พลันปรากฏชัดเจนขึ้น บนห้างอาจมองไม่เห็นกองเลือดชัดเจนนัก ทว่าเมื่อแสงตะวันฉาบทั่วผืนฟ้า ทั้งคู่จึงปีนลงจากห้างใหญ่ เพื่อสำรวจสิ่งที่พวกเขายิงได้กัน คนเป็นพ่อมุ่งก้าวไปยังรอยใหญ่ของกระทิง ก่อนจะพบเข้ากับรอยเลือดที่หยดเป็นทาง แกจึงส่งสัญญาณให้ลูกชายคว้าซากฟานที่ยิงได้เมื่อคืน และเริ่มตามรอยกระทิงกัน

ในทุกๆ ก้าวที่พ่อพรานก้าวไปนั้น เต็มไปด้วยบทเรียน สิ่งที่สอนต่อๆ กันจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่และต้องจำใส่ใจไว้ให้ดี หากอยากมีชีวิตรอดออกไปจากป่า สองพ่อลูกเดินตามรอยเลือดไปสักพักใหญ่ๆ กระทั่งรอยเลือดหายไป โชคยังดีที่ยังพอมีรอยเท้าหลงเหลืออยู่ ด้วยบริเวณนี้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ดินจึงชื้นและนุ่มพอจะทำให้รอยเท้าของกระทิงใหญ่ประทับเอาไว้ลึกประมาณหนึ่ง สองพ่อลูกเดินตามรอยเท้าไป ก่อนจะมองเห็นมันอยู่ไกลๆ 

“เพิ่นว่ามันย่ำกะเผลกขึ้นมาที่น้ำตกเจ้า ท่าจะแถวๆ นี้แล” สุ่นคำชี้มือมั่วซั่ว เพียงแต่ก็พอจะทำให้รู้ว่า กระทิงตัวนั้นก้าวมายังละแวกนี้

สองพรานต่างวัยก้าวตามมันไปติดๆ ทว่าทุกคราที่ตั้งใจจะยกปืนผาหน้าไม้ขึ้นส่อง ก็มักมีเรื่องให้ต้องละสายตาจากมันอยู่โดยตลอด พวกเขาจึงต้องแกะรอยต่อไปอีก แต่ยิ่งตามไป กลับยิ่งรู้สึกไม่ดี เพราะเจ้ากระทิงตัวนี้เดินเข้าไปในโพรงถ้ำใหญ่ใต้น้ำตก ผู้เป็นพ่อหยุดยืนมองเจ้ากระทิงอยู่ด้านนอก กระทั่งร่างมหึมาของมันทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรงเดินแล้ว นอนนิ่งเหมือนกำลังรอสิ่งใดอยู่ คนเป็นพ่อจึงยกปืนขึ้นประทับบ่า เล็งไปยังกระทิงใหญ่นั้นอีกครา หมายใจจะปลิดชีพมันให้ตายไป ความใคร่ได้ในเนื้อหนังมังสาของมันหมดไปแล้ว หลงเหลือเพียงแต่ความเมตตาสงสาร ยิ่งเห็นว่ามันหายใจหนักอย่างเหนื่อยล้าและส่งเสียงคร่ำครวญอย่างทุกข์ทรมานเหลือแสน

เปรี้ยง!

เสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งโพรงถ้ำใหญ่ กระสุนตะกั่วพุ่งทะลุเข้าจุดสำคัญของมันไปเสียจนร่างใหญ่นั้นคอพับตุบ พรานใหญ่พ่นถอนหายใจยืดยาว อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าแกไม่ควรกระทำสิ่งเหล่านี้เลย เลือดในกายที่เดือดพล่านจากความกระเหี้ยนกระหือรือใคร่ยิงสัตว์ใหญ่ ทำให้ตาพร่ามัวและยิงมันด้วยคึกคะนอง บัดนี้จบลงด้วยความตายของกระทิงป่าตัวมหึมาที่ไม่รู้ว่าแกจะลากกลับไปได้อย่างไร

เมื่อความคิดนั้นสิ้นสุดลง อยู่ๆ ผนังถ้ำทั่วทุกสารทิศก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงครืนๆ ดังกึกก้องดั่งฟะฟั่นฟ้าเฟือนดิน หินก้อนมหึมาตกลงกระแทกกับพื้นโพรงถ้ำ พรานผู้เป็นพ่อต้องรีบจ้ำอ้าวเอาชีวิตรอด มุ่งออกจากโพรงถ้ำใหญ่ สองขาย่ำไปในขณะที่แขนแกร่งแกกระชากตัวลูกชายขึ้นพาดบ่า จ้ำอ้าวออกมาจากปากถ้ำโดยเร็วที่สุด ทิ้งซากกระทิงและความคิดฟุ้งซ่านไว้เบื้องหลัง

“ปรากฏว่าอยู่ดีๆ ถ้ำมันก็ถล่มเจ้า ปู่ของข้าเจ้าหนีหัวซุกหัวซุนออกถ้ำมา ดีชะต๋าบ่ขาดตึงกู้ (ทั้งคู่) บ่อั้นข้าเจ้าก็คงบ่ได้เกิด” สุ่นคำออกความเห็นในตอนจบ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่พรานต่อมรับรู้แต่เพียงผู้เดียว

เพราะหลังจากที่พ่อกระชากร่างแกที่ยังอายุเพียงสิบสองขวบขึ้นพาดบ่า ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กชายต่อมจ้องโพรงถ้ำใหญ่ เห็นผาด้านบนที่กำลังถล่มลงมา และเห็นว่าแท้จริงแล้วถ้ำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพญางูใหญ่ ที่อ้าปากอันกว้างของมันอยู่เหนือเนินเขาสูง พาดลำคอยาวขึ้นไปบนหน้าผาหิน แต่สิ่งที่ทำให้เด็กชายหวาดผวาเสียยิ่งกว่าสิ่งใด กลับเป็นอีกเจ็ดหัวที่เหลือที่ค่อยๆ ยกชูคอขึ้นตามๆ กัน

มันชูหัวทั้งแปดที่แผ่พังพานขึ้นสูงลิบตา พาดหน้าท้องที่เต็มไปด้วยเกล็ดหนาบนเงื้อมผาใหญ่ แกจำต้องแหงนคอตั้งบ่าและเหลือกลูกตาขึ้นไปจนสุด กว่าจะมองเห็นยอดเศียรที่อยู่สูงที่สุดของมัน เพียงไม่กี่วินาทีที่แกมองเห็นร่างอันน่าพิศวงนี้ แกก็สลบไป จับไข้อยู่กว่าขวบเดือน หากไม่ได้หมอผีของหมู่บ้านช่วยปัดเป่าแล้ว แกคงไม่รอด

เรื่องเล่าของสุ่นคำนั้นทำเอาเกี้ยวจันทร์ถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว ด้วยลักษณะที่สุ่นคำเอ่ยคล้ายกับผีเงือกที่เธอฝันเห็นเมื่อคืนแรกที่มาถึง แม่หญิงชาวเวียงลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ พลางกระชับผ้าตุ๊มผืนใหญ่ขึ้นคลุมต้นคอขาวของตัวเอง

“อีพ่อเพิ่นว่า หลังจากหายป่วย ชาวบ้านก็เลยเลี้ยงเซ่นเจ้าป่าเจ้าดอยด้วยหมูดำ กับเหล้าไหหนึ่งเจ้า” สุ่นคำปิดเรื่องเล่าของหล่อนด้วยข้าวเหนียวจิ้มน้ำพริกเห็ดหล่มที่ตำเองกับมือ โยนมันเข้าปากและเคี้ยวอยู่หงุบหงับ ในขณะที่เกี้ยวจันทร์แทบไม่ยอมแตะต้องอาหารใดอีก ได้แต่หวาดหวั่นอยู่กับภาพจำในความฝัน และเงาดำที่พาดไปตามกระโจม

“เพิ่นคงเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา เพิ่นบ่ทำอะหยังเราหรอกเจ้า” ตอนนั้นเองที่มิเมเอ่ยปลอบแม่หญิงและแกะปลาซิวย่างตัวน้อยให้เธอกิน

“อื้อ” เกี้ยวจันทร์พยักหน้ารับ ก่อนจะปั้นข้าวเหนียวจิ้มน้ำพริกเห็ดหล่มอีกครา พยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปโดยเร็วที่สุด เพราะหากงูตัวนั้นมีชีวิตอยู่จริงๆ อย่างน้องมันก็เคยช่วยชีวิตเธอจากเสือลำบาก

เสียงพูดคุยโหวกเหวกโวยวายของกลุ่มพรานป่าดังขึ้นมาจากทางขึ้นเนิน กลุ่มของนายห้างตันฉเวคงกลับมาจากการขัดห้างล่าสัตว์กันแล้ว ทว่าเสียงฝีเท้าที่ย่ำมาทางนี้และเสียงพูดคุยอย่างเคร่งเครียดทำให้กลุ่มหญิงสาวต้องหันหน้ากลับไปมอง นายห้างตันฉเวก้าวฉับๆ เข้ามาหาเธอ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกของวินทเวเฮละโลกันออกมาเสนอหน้าตัวเอง

“หนูเกี้ยวจันทร์! เป็นอะหยังก่อลูก!” ชายในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีเทาถามไถ่เธอ ในขณะที่พ่อแท้ๆ ของเธอวิ่งโร่ออกไปยังบริเวณธารด้านหลังในทันที คงตั้งใจจะวิ่งไปหาเมียรักที่ถูกเฉดหัวให้ไปตั้งกระโจมอยู่ริมธารเป็นแน่ แทนที่จะห่วงลูกสาวในไส้ของตัวเอง ดูๆ ไปแล้วนายห้างตันฉเวเหมาะสมจะเป็นพ่อเธอเสียมากกว่า

“บ่เป็นหยังเจ้า สะดุ้งตื่นบ่ดาย” เกี้ยวจันทร์เอ่ยกับนายห้าง แกคงทราบเรื่องราวทั้งหมดจากลูกหาบที่ติดตามไอ้เงี้ยวไปรับกลุ่มนาย

ใบหน้างามหันมองไปยังกลุ่มของนายห้างตันฉเว แกและพ่อของเธอก้าวนำมาถึงเป็นคู่แรกๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ตามมาทีหลัง และปิดท้ายด้วยกลุ่มของลูกหาบที่ลากเอาฟานใหญ่กลับมาอีกตัวหนึ่ง ฟานตัวนี้เขาสวยนัก แต่กลับไม่ถึงดูดสายตาเธอเท่ากับกายาใหญ่ที่เดินตามมาเป็นคนสุดท้าย

“ขวัญเอ๊ยขวัญมาหลานลุง” แกปลอบ ก่อนที่วินทเวจะให้สหายแบกซากเสือออกมาแสดงให้พ่อดู ใบหน้าขาวของวินทเวเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ทว่าเสือคงร่ำไห้หากเห็นว่าซากของมันถูกชำแหละด้วยฝีมือระดับเด็กอมมือ

เป็นที่น่าเสียดายสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการล่าสัตว์เพื่อหวังถ้วยรางวัลเป็นซากศพ ด้วยมีดที่ใช้แล่ไม่คมเอาเสียเลย รอยตัดจึงยับยู่ไม่สวยงาม หนังเสือโคร่งขนาดมหึมาเสียราคาหมด ก็ยังดีที่คนแล่พอมีความรู้อยู่บ้าง ว่าหากแล่เนื้อออกแล้ว จำต้องขูดไขมันใต้ผิวหนังของมันออก ขึงหนังเสือให้ตึงด้วยไม้ และตากให้แห้งในที่ที่ลมโกรก ใจหนึ่งของนายห้างตันฉเวก็นึกเสียดายหนังเสือผืนนี้ เพียงแต่สิ่งสำคัญหาได้อยู่เสือไม่ แกก้าวเข้าไปหาวินทเวก่อนจะโอบกอดไอ้ลูกชายคนเล็กของแกอย่างเป็นห่วง วินาทีนั้นเกี้ยวจันทร์กลับรู้สึกอิจฉาวินทเว ที่มีพ่อที่คอยหวงเขาอยู่ ต่างจากเธอที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความรักใดๆ กลับมาเลย

“มันเสี่ยงขนาด รู้ก่อ” นายห้างตันฉเวสั่งสอนลูกชายตน ในขณะที่วินทเวพยักหน้าให้ เขาทวงคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อ และแกยืนยันจะให้วินทเวไปนั่งห้างด้วยในคืนนี้

เสียงเฮของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีดังขึ้น ก่อนเขาจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง แม้มันจะผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงอยู่บ้างก็ตาม แน่นอนว่าลูกหาบและเวรยามหลายคน รวมไปถึงสุ่นคำหาได้มีใครเชื่อถือคำพูดของวินทเวไม่ ด้วยหลังจากที่วินทเวตื่นนอน และพบว่าไอ้เงี้ยวนำซากเสือกลับมา เขาก็พลันดีดตัวขึ้นจากที่นอนทันควัน ลากสังขารตัวเองออกมาจากกระโจม และก้าวมาแสดงความเป็นเจ้าของเสือโคร่งใหญ่ตัวนี้ในทันที

เด็กหนุ่มชี้นิ้วสั่งให้เหล่าเวรยามลากเสือใหญ่กลับไปยังหน้ากระโจมตัวเอง และเริ่มแล่เอาเนื้อเถือเอาหนัง ไม่ยอมให้ไอ้เงี้ยวแตะต้องซากนั้นต่ออีกเลย กระทั่งตอนนี้

“ลูกเก็บหัวใจเสือไว้กินกับอีพ่อ ใจลูกจะได้เข้มแข็งเหมือนอีพ่อ” วินทเวเอ่ยอย่างฉะฉาน มันทำให้นายห้างตันฉเวภูมิใจ ทว่าเมื่อแกพิจารณาซากเสือนั้นบนใบตองอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว อีกทั้งซากกระดูกของมันที่ป่นปี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย การปลิดชีพเสือด้วยปืนผาหน้าไม้คงไม่อาจทำให้กระดูกทั่วทั้งตัวเสือตัวนี้แตกหักได้ หากไม่ตกเขาหรือถูกรัดด้วยงูเหลือมขนาดใหญ่ ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อีกทั้งรอยกระสุนที่ปรากฏอยู่บนหนังเสือบริเวณขาหลังข้างขวา นายห้างตันฉเวมั่นใจว่า รอยกระสุนบริเวณขาหลังหาใช่รอยกระสุนของลูกชายแกไม่ อาจเป็นรอยแรกของพรานคนก่อน แต่คงเปล่าประโยชน์ที่จะพูดหักหน้าลูกชายแกต่อหน้าเพื่อนสนิทมิตรสหาย แกจึงตบบ่าลูกชายของแกไปเบาๆ และก้าวกลับไปนั่งอยู่ยังขอนไม้รอบกองไฟ

“ลูกยิงมัน แต่มันยังบ่ตาย มันท่าจะหนีไปตายที่อื่น” วินทเวกล่าวเสริม ในขณะที่พ่อของเขาเองพยายามเงียบ “ลูกเป็นคนสั่งให้ไอ้เงี้ยวมันไปเอาซากมา!” และเอ่ยย้ำอีกว่า ตนนั้นเป็นคนออกคำสั่งทุกสิ่ง และนั่นทำให้คนเป็นพ่อถึงกับทนไม่ได้

“วินทเว! ไอ้เงี้ยวมันได้บอกก่อ ว่าก่อนหน้านี้เสือมันตกเขา หรือถูกงูรัด มันถึงได้กระดูกหักทั้งตัวอย่างนั้น” นายห้างเอ่ยติดตลก บอกเป็นนัยว่าแกรับรู้แล้วว่า ความจริงเป็นเช่นไรกันแน่ เพราะสิ่งที่จะกระทำต่อกระดูกเสือได้ถึงเพียงนี้ มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น วินทเวถึงกับเงียบไปในทันที

“งูรัดเสือได้ด้วยกาเจ้า” ตอนนั้นเองที่เกี้ยวจันทร์ถามขึ้น ช่วยให้นายห้างเลิกคิดขุ่นเคืองเรื่องของลูกชายแกไปได้บ้าง

“ได้ก่าเกี้ยวจันทร์ หากมันตัวใหญ่พอ” นายห้างตันฉเวตอบคำถามเธอ ใบหน้าคมเข้มของเขาขยับยิ้ม ทว่าแววตาขุ่นเคืองยังคงมีให้เห็นอยู่

“หนูเกี้ยวจันทร์อยากกินหัวใจเสือก่อ” นายห้างถามเสนอจะแบ่งหัวใจเสือให้แม่หญิงชาวเวียงกิน ว่ากันว่าความเชื่อในการล่าเพื่อบริโภคเนื้อสัตว์ป่านั้นมีมาแต่ช้านานแล้ว และหนึ่งในนั้นคือชิ้นส่วนของ ‘เสือ’ ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ หัวใจ ตับ กระดูก หรือแม้กระทั่งตัวเดียวอันเดียวของมัน ด้วยความเชื่อที่ว่า กินแล้วจะเสริมอำนาจบารมี เพิ่มกำลังวังชา เพิ่มความแก่กล้าแก่หัวใจตน

“หัวใจเสือตัวนี้กาเจ้า เจ้าขอเลือกกินหัวใจงูที่ฆ่าเสือตัวนี้ได้ดีกว่า” เกี้ยวจันทร์เอ่ยติดตลก แม้มันจะดูเหมือนการปฏิเสธการกินหัวใจของเสือตัวนี้ทางอ้อมโดยเฉไฉไปเรื่องหัวใจงูแทน ซึ่งหากว่ากันตามตรงแล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเพียงกะด้วยสายตา เสือตัวนี้ก็คงหนักกว่าสองร้อยห้าสิบกิโลกรัม งูคงต้องใหญ่กว่ามันมากโข จึงจะรัดเสือตัวนี้จนตาย

“หนูเกี้ยวจันทร์นี่มีอารมณ์ขัน” นายห้างถึงกับหัวเราะชอบใจใหญ่

แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคือตัวอะไรกันแน่ มันจะเป็นงูใหญ่ที่สุ่นคำเล่าให้ฟังจริงๆ หรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง งูตัวนั้นคงต้องใหญ่กว่าที่เธอเห็นอยู่มาก เกี้ยวจันทร์ยิ้มรับคำของนายห้างตันฉเวอย่างตลกขบขันตามแก 

แต่ในขณะที่ทุกคนหัวเราะ เจ้าของกายาใหญ่บางคนถึงกับหัวใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น