ตอนที่ 3 มื้อค่ำ
น้ำใสจากน้ำตกเกล็ดแก้วน้อยล่องเอื่อยเฉื่อยมาตามทาง เกิดเป็นต้นน้ำลำธารสายใหญ่ ไหลผ่านหน้าที่ทำการปางไม้ของนายห้างตันฉเว เสียงนกน้อยร้องขับขานกันอย่างสนุกสนานดังอยู่เนืองๆ ท่ามกลางธรรมชาติอันสดใสของบ่ายแก่ๆ เพียงเดินขึ้นไปเลียบลำธารประมาณ 15-20 นาทีก็จะถึงต้นสายธารเย็นฉ่ำแห่งนี้แล้ว
ชื่อน้ำตกเกล็ดแก้วน้อยมาจากคำว่า ‘แก้ว’ ซึ่งหมายถึงเพชรนิลจินดา เป็นน้ำตกสายเล็กที่แตกแขนงมาจากน้ำตกเกล็ดแก้วหลวงที่อยู่เหนือขึ้นไปจากเกล็ดแก้วน้อยอีกขั้นหนึ่ง เรียกชื่อตามน้ำตกสายหลัก หินน้อยใหญ่ใต้ธารใสล้วนแต่เต็มไปด้วยหินสีขาวดั่งอัญมณีสูงค่า ทว่าสำหรับเกล็ดแก้วน้อย หินกรวดธารเป็นเพียงหินธรรมดา ไม่มีมูลค่าใด
“ไอ้เงี้ยว! ไอ้คนนิสัยบ่ดี! ไอ้คนใจจืดใจดำ!” มือเรียวฟาดผิวน้ำใสให้แตกกระจายเป็นฝอย เธอลงแรงอยู่กับน้ำในลำธารนี้ตั้งแต่มาถึงแล้ว เสียงตูมตามทำให้มิเมพี่เลี้ยงต้องร้องปรามอยู่เป็นระยะๆ
“บ่ดีเสียงดังเจ้า แม่หญิง” มิเมร้องขอด้วยเสียงอ่อน มือเล็กวักน้ำขึ้นล้างเรียวแขนขาวของหญิงสาวชาวเวียง ผู้ถูกขัดใจมาเมื่อครู่
นงคราญเจ้าของผิวกายละเอียดนุ่งผ้าถุงกระโจมอกสีเข้ม ขับให้เห็นปานขาวบริเวณใต้ไหปลาร้าทั้งสองข้างได้ชัดขึ้น อกอิ่มขยับไหวถี่รัวตามการหายใจแรง นั่งตบตีถีบโถมระบายอารมณ์ใส่ผืนน้ำอยู่บนโขดหินเล็กๆ ท่ามกลางธารน้ำตก หัวเสียที่เจ้าของกายาใหญ่โยนซากกระต่ายใส่เธอ ริมฝีปากอิ่มก่อนด่าชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ไม่ขาด
“คนอย่างใด! นิสัยบ่ดี!” เกี้ยวจันทร์ถอนหายใจหนัก โอดครวญด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อย แม้นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอจะยังคงแฝงด้วยความโกรธเคืองอยู่มากก็ตาม
“เป็นบ้านเรา…ป่านนี้คงมีคนหาขะต่ายมาให้เราได้แล้ว” หญิงสาวตัดพ้อ หลุบตาลงน้อยๆ หวนคิดถึงสิ่งที่เคยได้เคยมีเมื่อก่อนหน้า หากแม่และยายยังอยู่ เธอคงไม่ต้องติดตามผู้เป็นพ่อมายังบ้านป่าเมืองเถื่อน
“แต่ตลอดมา…แม่หญิงก็บ่ได้อยากได้อยากมีมัน บ่ใช่หรือเจ้า” มิเมถามอย่างสงสัยในที เพราะตั้งแต่ตอนที่เธอเสียลูกกระต่ายไป เกี้ยวจันทร์ก็ไม่ได้ขวนขวายอยากได้อยากเลี้ยงกระต่ายอีกเลย เพราะใจจริงแล้วก็หวาดกลัวการสูญเสียอยู่มาก โชคยังดีที่มีมิเมและแม่คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ เสมอ เธอจึงผ่านทุกอย่างมาได้โดยไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาสัตว์เลี้ยงตัวใหม่
ทว่าหลังจากแม่และยายเสียไปเพราะอุบัติเหตุ แม่หญิงคนนี้เหมือนถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครคอยคุ้มหัวเธออีกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพ่อที่ถูกเฉดหัวไปอยู่ห้างหรือขนำปลายนา เพราะเธอไม่ศรัทธาในพ่อที่ไม่ได้ความ ไหนจะเรื่องที่พ่อได้เสียกับบ่าวไพร่จนเกี้ยวจันทร์ต้องสั่งโบยและเฉดหัวให้ไปอยู่ด้วยกันยังห้างโดยไม่บอกแม่ แม้ทรัพย์สมบัติและข้าทาสที่ตกมาเป็นของเธอ แต่ด้วยวัยเพียงสิบแปดปีทำให้จัดการอะไรด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว พ่อจึงอาสาดูแลกิจการในหลายๆ ส่วนแทน แน่นอนว่ามันคงไม่ดีเหมือนเก่า โชคยังดีที่พอมีไพร่ทาสที่จงรักภักดีต่อเธออยู่มาก และหนึ่งในนั้นคือมิเม
“เมื่อแรกเราก็บ่อยากได้ แต่พอได้ยินว่ามีขะต่าย หน้าไอ้หมีก็โผล่มาในหัว” แม่นายน้อยสารภาพ เสียงของเธอแผ่วเบาลงมากทีเดียว ความทรงจำในวัยเด็กยังคงตามหลอกหลอน ยิ่งไปกว่านั้นภาพซากกระต่ายที่เห็นเมื่อครู่ยังทำให้ใจสั่นอยู่เลย
“ช่างมันเทอะ…บ่ได้ก็บ่เป็นไร…” เกี้ยวจันทร์เอ่ยอย่างตัดใจ มันไม่ยากเลยสำหรับเธอ เพราะรู้ตัวดีว่าที่นี่เธอมีปากมีเสียงไม่ได้นัก แม้จะพยายามวางอำนาจกับพวกบ่าวไพร่ แต่ใครเลยจะนับถือแม่หญิงผู้โยเย อยากได้กระทั่งลูกกระต่ายกัน
สิ้นคำร่างงามตัดสินใจขึ้นจากน้ำ แม่หญิงชาวเวียงเปลี่ยนผ้าถุงยาวอีกผืนหนึ่งและห่มบ่าบางด้วยผ้าผืนใหญ่ เพื่อป้องปิดทรวดทรงองค์เอวของเธอ และเดินทางกลับเรือนพร้อมบ่าวไพร่ที่พากันมาอาบน้ำเป็นเพื่อนกัน แม้จะเดินกันอยู่ 6-7 คน ทว่าผิวขาวลออของสาวชาวเวียง และเรือนผมยาวสลวยของเธอก็ทำให้รับรู้ว่า ผู้ใดคือนาย ผู้ใดคือบ่าว
กลุ่มนายสาวและบ่าวไพร่มุ่งหน้ากลับไปยังเรือนรับรอง เพื่อให้เกี้ยวจันทร์แต่งองค์ทรงเครื่องเสียใหม่ เตรียมตัวร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่จะจัดขึ้นในค่ำวันนี้ ชุดออกงานของเธอทอด้วยฝ้ายชั้นดีทุกผืน รัดอกอิ่มด้วยผ้าฝ้ายสีกลีบบัว ห่มสไบสะว้ายแล่งหรือห่มเฉียงเบี่ยง บ้ายด้วยผ้าย้อมครั่งสีแดงสวย ทิ้งชายยาวไว้ห่มคลุมหัว เธอสวมผ้าซิ่นผืนงามที่แม่สั่งทอให้ก่อนตาย ต่อตีนจกแซมไหมคำเอาไว้ให้พอรู้ว่าเธอเป็นลูกผู้รากมากดี สวมเครื่องประดับเงินวงโตสมฐานะ กำไลเกลียวเงินวงใหญ่สวมไว้ยังข้อมือขวา ในความเป็นจริงกำไลงามวงนี้มีคู่ของมัน ทว่าถูกพ่อแท้ๆ ของเธอขโมยไปขาย หลังจากที่แม่ตายเพียงไม่นาน มันจึงเหลือเพียงหนึ่งวงให้ดูต่างหน้า และกำไลหัวบัวอีกสี่วง แบ่งสวมสองข้างอย่างละเท่าๆ กัน เกล้ามวยต่ำอย่างแม่หญิงชาวไทยวน ปักปิ่นเงิน เสียบแซมหย่องน้อยให้ไม่น้อยหน้าใคร เพราะคืนนี้เธอจะต้องร่วมรับประทานอาหารค่ำกับครอบครัวนายห้างตันฉเว
“แม่หญิงเกี้ยวจันทร์งามขนาดเจ้า” สุ่นคำเอ่ยเอาใจ ด้วยเห็นแม่นายชาวเวียงทำหน้าบูดบึ้งมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ แล้ว
“แม่หญิงของมิเมงามกว่าใครอยู่แล้ว เนาะเจ้าเนาะ” มิเมเอ่ยอย่างรู้อยู่แล้ว มิเมยิ้มแฉ่ง หัวใจดวงเล็กเต้นตึ้กตั้ก ตื่นเต้น อยากจะอวดนายตัวให้คนทั้งป่ารับรู้
“ในห้วยในดอย งามไปก็เท่านั้น” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ว่า พลางนั่งติดลานหูเงิน (ต่างหูเงิน) ของเธออยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ แม้จะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตางามกลับมองสำรวจเครื่องแต่งกายตัวเองอยู่เนืองๆ ให้สมฐานะตัว หากมีอะไรผิดพลาดไปเพียงนิด คงเสียหน้าลูกสาวสะฅ่วยผู้ร่ำรวยแย่
“ไปเทอะ” เจ้าของเสียงหวานออกปากสั่ง แม้มือเรียวจะยังคงแตะตลับสีผึ้ง และแต้มมันลงกับริมฝีปากอิ่มของตัวอยู่เลย โฉมสะคราญเม้มริมฝีปากอยู่สองสามที เท่านี้ก็คงพอไปวัดไปวาได้กระมัง
บนทางเดินเล็กไปยังอาคารสำนักงานใหญ่ที่ขุดเซาะเป็นขั้นบันไดเตี้ยๆ อัดให้แน่นและโรยหินพอเป็นทางเดินเรียบ แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ก้าวเดินไปช้าๆ ด้วยหนทางข้างหน้ามืดลงมากแล้ว แม้จะมีคบไฟวางประจำจุดต่างๆ ทว่าบางจุดก็ยังมืด ด้วยต้นไม้สูงใหญ่โน้มกิ่งแผ่ใบปรกหัว แม้แสงดาวเองบริเวณนี้ก็แทบมองไม่เห็น ดีที่แสงโคมไฟเล็กที่สุ่นคำถือนำทางพอทำให้เห็นทางอยู่บ้าง
ในตอนนั้นเองที่เสียงเพลงในเรือนใหญ่ของนายห้างเริ่มบรรเลง ดวงตางามจับจ้องอาคารหลังใหญ่เบื้องหน้าที่ประดับประดาด้วยโคมไตหรือโคมไทใหญ่ที่สวยประณีตด้วยเหลี่ยมมุม ตัวอาคารทำการแห่งนี้โอ่อ่ากว่าอาคารหลังใดที่เคยเห็นในชีวิต ทว่าหากเธอเลือกได้ ก็ขออยู่ในเรือนเล็กที่ตั้งอยู่ยังเวียง ดีกว่าอยู่ยังวิมานในป่าเขา
“พ่อเลี้ยงลงมาแล้วเจ้า” สุ่นคำรายงานด้วยเสียงหอบดูรีบร้อนอยู่ในที เสียงดนตรีบรรเลงที่ดังขึ้นเป็นดั่งสัญญาณให้บ่าวไพร่เริ่มยกขันโตกออกมาจัดวางให้เหล้าเจ้าน้อยเจ้านายทั้งหลาย และบอกกับสุ่นคำว่าพวกหล่อนจะไปร่วมงานสาย
มือเรียวของแม่หญิงคนงามจับอยู่กับชายซิ่นของตัว ยกขึ้นน้อยๆ ให้พอเดินสะดวก ก้าวฉับตามสุ่นคำ มุ่งหน้าไปยังทางเดินใหญ่ข้างอาคารทำการ เมื่อผ่านซุ้มประตูเล็กเข้าไป ด้านในนั้นบรรยากาศดูเปลี่ยนไปจากเดิมมากโขทีเดียว กลิ่นของน้ำมันในตะคันดินเผาโชยขึ้นน้อยๆ ด้วยจำต้องจุดแสงให้ส่องไสวเอาใจอาคันตุกะ เปลวไฟดวงเล็กๆ จึงส่องสว่างนำทางเธอและบ่าวให้ไปยังสถานที่รับประทานอาหารที่ตั้งอยู่บนชานชั้นสอง
“เราต้องกินข้าวที่นี่ทุกวันหรือ” เกี้ยวจันทร์กระซิบถามมิเม ด้วยมันคงไม่สะดวกนักหากเธอต้องตื่นแต่เช้า เพื่อแต่งตัวสวยมานั่งกินข้าวพร้อมกับพวกนายห้าง
“พรุ่งนี้ข้าเจ้าจะยกขันโตกไปให้ที่เรือนเจ้า” สุ่นคำรีบหาทางช่วยแม่หญิงเวียงพิงสุดกำลัง กระทั่งรู้ตัวว่าบัดนี้ทั้งสามขึ้นมาหยุดยืนอยู่ยังหัวกระไดเรือนใหญ่ของเรือนพักนายห้างตันฉเว บ่าวไพร่ที่เหลือรอช่วยงานอยู่ยังด้านล่าง ส่วนสุ่นคำนั้นพาหญิงสาวเดินไปนั่งยังที่ที่ถูกจัดเอาไว้ให้
“อ้าว! หนูเกี้ยวจันทร์ มาๆ มานั่ง” นายห้างชาวพม่าร้องเรียกเธออย่างเอ็นดู ทำเอาเจ้านายคนอื่นๆ ถึงกับแปลกใจที่นายห้างดูให้ความสำคัญกับเกี้ยวจันทร์มากเหลือเกิน มากเสียจนทำเอาเมียคนที่สองและสามของนายห้างตันฉเวหันมาทำตาแดงก่ำใส่เธออย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เปลวเทียนสว่างไสวอยู่ภายในโคมผัดทรงกระบอกใบใหญ่ มันตั้งประดับไว้เด่นหรากลางชานกว้างนอกชายคา แสงเทียนสาดส่องผ่านกระดาษโคมแผ่นบาง ครั้นเมื่อกระทบเข้ากับลวดลายบนแผ่นกระดาษที่ฉลุไว้เป็นลายวิจิตรก็พลันทอดเงาลงกับพื้นเรือนไม้สักสีเข้ม ความร้อนจากเปลวไฟทำให้โคมใหญ่ค่อยๆ หมุนไป พลางทอทอดแสงเงาระยิบตาเข้าสู่ดวงตากลมของเธอ แม่หญิงคนงามจากเวียงเชียงใหม่จ้องมองความงดงามนี้อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
“งามก่อ” นายห้างตันฉเวถาม บัดนี้เขานั่งร่วมขันโตกอยู่กับพ่อของเธอ ในขณะที่เธอถูกพามาให้นั่งอยู่ข้างๆ กับชายอีกคนที่เธอไม่รู้จัก
“งามเจ้า บ่เคยเห็นมาก่อน” เกี้ยวจันทร์ตอบ เธอยอมรับในความงดงามของโคมใหญ่ตัวนี้ และวาดฝันเอาไว้ว่า หากกลับไปยังบ้านในเวียง เธอจะสั่งให้คนงานจัดหามาให้ในทันที
“ถ้าหนูเกี้ยวจันทร์ชอบ ลุงจะสั่งให้สล่า (ช่าง) ทำให้” นายห้างรีบเสนอตัว พลางหันหน้าไปมองยังพ่อของเธออย่างหาแนวร่วม
“บ่เป็นหยังเจ้า ข้าเจ้าว่า…ถ้ากลับไปเวียงแล้ว จะสั่งให้สล่าที่เวียงทำ” เกี้ยวจันทร์เอ่ยอย่างเกรงใจ อีกอย่าง…เธอคงไม่อยากแบกหามโคมผัดกลับไปยังเวียงเชียงใหม่ด้วยอีกตัว มันคงหนักและเป็นภาระกับบ่าวไพร่เธอเสียมากกว่า ทว่านายห้างกลับรีบหันหน้าไปมองยังสหาย ดูเหมือนแกจะรับรู้แล้วว่า พ่อคนนี้ยังไม่ได้เจรจาเรื่องการดูตัว
สีหน้าของคนเป็นพ่อแสนลำบากใจ ด้วยแกเองไม่อาจสั่งลูกสาวคนนี้ได้จริงๆ แกลอบถอนหายใจ ในขณะที่นายห้างเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน
“อ้อ! วินอู นี่น้องเกี้ยวจันทร์ ลูกสาวเสี่ยวพ่อ” นายห้างหันมาสบตากับ ‘วินอู’ ลูกชายคนโตของแกที่นั่งอยู่ติดกัน ชี้ให้เห็นว่าหญิงสาวคนนี้แลที่จะมาเป็นว่าที่ภรรยาในอนาคต แม้นายห้างจะไม่เคยบอกกล่าวเรื่องของการดูตัวกับลูกชายแกเช่นกัน เพียงแต่การแนะนำตัวในครานี้นั้น เปิดเผยให้เห็นเจตนาของปิตาทั้งสองฝ่ายโดยชัดเจน
“เกี้ยวจันทร์สบายดีก่อ เรือนรับรองอยู่สบายดีน่อ” วินอูทักทายตามมารยาท ชายผู้แต่งตัวสะอาดสะอ้านสวมเสื้อผ้าอย่างชาวไทใหญ่เฉกเช่นเดียวกันกับพ่อ เคียนศีรษะเขาด้วยผ้าสีอ่อน นั่งหน้าขาวอยู่ยังขันโตกใกล้ๆ รอยยิ้มพิมพ์ใจของวินอูละลายหัวใจสาวน้อยสาวใหญ่ยังปางแห่งนี้ได้เสมอ ทว่าเกี้ยวจันทร์หาใช่หนึ่งในนั้นไม่
วินอูเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายห้องตันฉเว เปี่ยมไปด้วยความสามารถ อ่านออก เขียนได้ พูดภาษาอังกฤษได้ จึงช่วยงานเจรจากับนายฝรั่งอยู่บ่อยครั้ง ในปีนี้เองวินอูจะอายุครบยี่สิบสองปี ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเขาควรแต่งงานไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน ทว่าวินอูเลือกที่จะปฏิเสธการแต่งงานกับหญิงสาวทุกคน ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการศึกษาหาความรู้ และช่วยงานพ่อตัวให้ดีที่สุด แน่นอนว่านี้คงหาใช่เหตุผลที่แท้จริงไม่
“บ่เหมือนบ้านในเวียง แต่อยู่สบายดีเจ้า” เกี้ยวจันทร์ตอบตามตรง ทำให้คนเป็นพ่อพ่นถอนหายใจอีกครา เพราะเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่า บ้านเกิดของเธอคือสถานที่ที่อยู่สุขสบายที่สุดเสมอ
“ตอนพี่มาใหม่ๆ ก็คิดเห็นเช่นนั้น แต่อยู่ไปอยู่มาก็สนุกดี” วินอูออกความเห็นในฝั่งของตัวเอง ก่อนบทสนทนาจะจบลงเพียงเท่านั้น
ดูเหมือนสองหนุ่มสาวจะไม่ได้คิดเห็นแบบเดียวกันกับพ่อ พวกเธอต่างมีอะไรที่สนใจมากกว่าเรื่องของกันและกัน จึงเลือกที่จะสนุกสนานกับความสุขของตัวเอง ชมการแสดงที่จัดเอาไว้ต้อนรับแขกเหรื่อ และฟังดนตรีไปพร้อมกับการรับประทานอาหารยามดึก สำรับในขันโตกใหญ่ของแต่ละคนนั้นเต็มไปด้วยอาหารป่า มีก็แต่ขันโตกของเกี้ยวจันทร์ที่ไม่เหมือนกับของคนอื่นๆ เพราะแม่นายน้อยผู้นี้เลือกกินแต่ของคุ้นเคย หมู ไก่ วัว ควาย ปลา ไม่กินพวกฟาน นก หนู ไหน่
อาหารที่มีจึงเป็นเมนูปลาเสียส่วนใหญ่ จะมีก็แต่หมูป่าไก่ป่าซึ่งเธอเองถือว่ามันคือหมู คือไก่ แม่หญิงคนงามจึงยอมให้ขึ้นขันโตก
“วินอู น้องไปไหน”
สิ้นเสียงเพลงบรรเลงบทหนึ่งของนักแสดงชายชาวไทยวน พวกมันก็พลันขนเครื่องดนตรีของตัวออกไป ในขณะที่นายห้างตันฉเวถามถึงลูกชายคนเล็กอีกคนหนึ่ง ซึ่งป่านนี้แล้วยังไม่เห็นหน้าค่าตา
“มันบอกจะมาตั้งแต่เย็นแล้ว” วินอูตอบคนเป็นพ่อพลางมองขันโตกที่พร่องไปจนเกือบหมด สีหน้าของพี่ชายคนนี้แสดงความกังวลเกี่ยวกับน้องชายตนออกมาในทันทีทันใด ด้วย ‘วินทเว’ ผู้เป็นน้องชายต่างแม่ ต่างจากวินอูพี่ชายราวฟ้ากับเหว และมันอาจหุบเหวที่ลึกลงไปใต้มหาสมุทรอีกทีหนึ่ง
“ประเดี๋ยวจะไม่เหลืออะไรให้กิน!” นายห้างตันฉเวสบถอย่างเผลอตัว ด้วยทุกคราที่เอ่ยชื่อวินทเว จะต้องมีเรื่องให้ปวดหัวทุกทีไป
เกี้ยวจันทร์เหลือบมองใบหน้าตึงเครียดของนายห้าง ตีนกาที่ไม่เคยเห็นบนใบหน้าของแกค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นตามความขุ่นข้องหมองใจเกี่ยวกับเรื่องลูก พูดยังไม่ทันขาดคำดี วินทเวก็ก้าวขึ้นมายังชานใหญ่แห่งนี้ สภาพของเขาดูไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มวัยละเลิง เสียงหัวเราะหัวไห้ที่ดังมาตามทางทำให้รู้ว่า ในกระแสเส้นเลือดคงมีแอลกอฮอล์จากเหล้าหมักน้ำตาลเมาผสมอยู่มากโขแล้ว ทั้งๆ ที่วินทเวยังอายุเพียง 15-16 ปีแท้ๆ แต่กลับมอมตัวเองเก่งเสียยิ่งกว่าผู้ใหญ่หลายคนเสียอีก
“อยู่ไหน! ไหนว่ามีคนงามมาจากเวียงเจียงใหม่ เฮาใคร่อยากเห็นหน้า!” เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นทั่วทั้งชาน เป็นที่ขายหน้าขายตาเสียจนนายห้างต้องถลึงตาใส่
วินอูผู้เป็นพี่ชายต่างแม่รี่เข้าไปห้ามปราม มิเช่นนั้นหมัดของพ่อคงประทับริมฝีปากของลูกชายตัวแสบคนนั้นเสียก่อน เหล่าพี่เลี้ยงและไพร่คนสนิทของวินทเวพากันลากวินทเวออกไปจากชาน นายห้างตันฉเวพ่นลมหายใจขุ่นเคืองจนเสียงดัง ไม่ถูกใจไอ้ลูกชายคนนี้เลยจริงๆ หลายครั้งที่แกเคยออกปากกับบ่าวไพร่ในเรือนว่า หากรู้ว่ามันเกิดมาแล้วจะทำตัวต่ำตมเช่นนี้ แกคงฝังมันให้ตายทั้งเป็นพร้อมกับรกไปแล้ว
“น่ากลัวขนาดเจ้า” มิเมกระซิบปลอบแม่นายอยู่เนืองๆ มือเล็กลูบหลังมือของนายตัวอย่างเป็นห่วงเป็นใยในความปลอดภัย
“เกี้ยวจันทร์ตกใจหรือเปล่า นั่นวินทเว น้องชายพี่…พอเหล้าเข้าปากก็เป็นเช่นนี้แล อย่าใส่ใจมันเลย ความจริงมันก่อนิสัยดีอยู่” วินอูก้าวกลับมานั่งยังขันโตกของตัว และขอโทษขอโพยแทนน้องชายต่างแม่ที่แสดงกิริยาไม่ดีไม่งาม
“บ่เป็นหยังเจ้า ข้าเจ้าเข้าใจ” เกี้ยวจันทร์ตอบอย่างเย็นชา มันเป็นเพียงการตอบตามมารยาทเท่านั้น ด้วยภายในใจของเธอตัดพ้อต่อว่ามันผู้นั้นอย่างรุนแรง ไร้มารยาท สันดานเสีย ต่ำตม และไร้การศึกษา แม้เธอจะรู้ดีว่าเหตุที่เขาเป็นเช่นนี้เพราะฤทธิ์สุรา แต่หากรู้ตัวแล้วว่าตนนั้นหาใช่พวกคอทองแดงไม่ ก็ไม่ควรจะดื่มให้มึนเมานัก รังจะเป็นภาระให้คนอื่นไปเปล่าๆ
วินาทีนั้นเองเสียงปรบมือของนายห้างตันฉเวดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้นักดนตรีกลับมาแสดงดังเดิม ด้วยไม่อยากให้งานกร่อย นักแสดงทั้งชายหญิงจึงออกมาระบำรำฟ้อนเล่นดนตรี เสียงเครื่องดนตรีแปลกตาดังขึ้นเพื่อกลบเสียงโวยวายของวินทเวที่ดังออกมาจากห้องพัก เนื่องจากมึนเมาขาดสติ จึงถูกขังไว้ในเรือนนอนฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ โชคดีเท่าใดที่นายห้างไม่สั่งให้เอาไปโยนลงลำธาร
ในขณะเดียวกันบางอย่างทำให้เกี้ยวจันทร์ประหลาดใจ สีหน้าของวินอูแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดวงตาคมของเขาสุกใสเป็นประกาย จ้องมองไปยังกลุ่มนางรำที่ทำการแสดงอยู่ ไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้สนใจในการแสดง หรือตัวนางรำกันแน่ เพราะดวงตาคู่นั้นสุกสกาวเสียยิ่งกว่าดาวค้างฟ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความโหยหาในบางสิ่ง…
ความคิดเห็น |
---|