ตอนที่ 9 ความคิดถึง
ไม่จำเป็นต้องรอให้ฟ้าสางสว่างคาตา มิเมพี่เลี้ยงสาวชาวมอญรับรู้ดีว่า หล่อนต้องตื่นขึ้นมาก่อกองไฟและหุงหาอาหารให้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ เฉกเช่นเดียวกันกับสุ่นคำที่ออกไปหาผลหมากรากไม้และผักป่า สุ่นคำพอมีความรู้เกี่ยวกับการดักปลาอยู่บ้าง จึงได้ปลาตัวเล็กๆ อย่างปลาจาด ปลาซิว ปลาสร้อยกลับมาให้มิเมพวงหนึ่ง ร้อยมากับตอกเส้นยาว หากไม่ติดว่าปลาบางตัวนั้นเล็กพอๆ กับเส้นตอก และตัวสุ่นคำไม่เปียกมะล่อกมะแล่กกลับมาก็คงดูเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหาปลาทีเดียว
“บ่หนาวกา?” มิเมถึงกับหัวเราะร่วน พี่เลี้ยวสาวชาวมอญอยู่ในชุดผ้าซิ่นต๋าสีเข้มเข้าคู่กับผ้ารัดอกสีหม่น หล่อนยืนอยู่หน้ากองไฟกองเล็กอีกกองหนึ่ง ห่มกายด้วยผ้าตุ๊มกันหนาวผืนใหญ่ ง่วนอยู่กับการหุงหาอาหาร
“ผะเลิด (ลื่นล้ม) น้อยเดียว ไหลลงน้ำไปเลยเจ้า” สุ่นคำเอ่ยอย่างเก้อเขิน ริมฝีปากเล็กๆ ของหล่อนสั่นระริก ด้วยอากาศในยามเช้าเช่นนี้หนาวเย็นเสียยิ่งกว่าช่วงเวลาใดๆ
“ไปๆ ไปเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนครัว เดี๋ยวจะบ่สบาย” มิเมปัดมือไล่ เร่งให้หล่อนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังไม่ต้องสนใจปลาที่พกติดมือมาด้วย เพราะเกรงว่าสุ่นคำจะป่วยไข้ไม่สบาย มิวายคงลำบากแย่ แล้วกำชับก่อนหันไปจัดการงานตรงหน้าต่อ
“เบาๆ เน่อ ประเดี๋ยวแม่หญิงจะตื่น”
สุ่นคำรับคำโดยง่าย หล่อนค่อยๆ ย่องเข้าไปในกระโจมอย่างเงียบเชียบ ด้วยเกรงจะทำให้แม่หญิงตื่นขึ้นจากฝัน ทว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นานสองนานก็ไม่มีทีท่าว่าแม่หญิงคนงามจะตื่นขึ้นมาเอ็ดหล่อนเลย
แน่ละ กว่าแม่หญิงเกี้ยวจันทร์จะกลับเข้ามาในกระโจมก็ปาไปกว่าดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะมีก็แต่ตัวเกี้ยวจันทร์ ไอ้เงี้ยว และเจ้ากระต่ายตัวน้อยเท่านั้น ไม่นานสุ่นคำก็ก้าวออกจากกระโจมไป ไม่ลืมผูกเชือกม่านมุ้งให้เข้าที่ดังเดิม
กิ่งไม้แห้งในกองไฟกับข้าวส่งเสียงแตกเปรี๊ยะอยู่เบาๆ อากาศชื้นและหนาวเย็นในยามเช้าทำให้รายรอบบริเวณที่ตั้งค่ายค้างแรมยังคงเต็มไปด้วยเมฆหนา สุ่นคำหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ออกมาแล่ปลาตัวเล็กที่หล่อนหามาได้อยู่ตรงริมลำธารใส ผ่าท้องควักไส้และเสียบไม้เตรียมย่าง หญิงสาวหน้ามนยิ้มร่า หล่อนคงถือเอาโอกาสนี้นั่งผิงไฟให้ตัวอุ่นไปด้วย
ในขณะที่มิเมนั้นนั่งแฮกต๋องหรือรูดใบตองออกจากก้านยาวของมัน ฉีกให้พอได้ขนาดขัดขึ้นเป็นกระทงเล็กๆ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำไข่ป่ามของโปรดของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ ให้เธอกินเป็นมื้อเช้าคู่กับปลาย่าง ส่วนอาหารเช้าของหล่อนและสุ่นคำ เพียงน้ำพริกที่ตำมาจากปาง กินคู่กับผักแนมที่หาได้ในป่า เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“หมู่พ่อเลี้ยงเพิ่นจะกลับมาเมื่อใด สุ่นคำ” มิเมร้องถามสุ่นคำที่ง่วนอยู่กับการย่างปลา
“ป่านนี้คงลงจากห้างกันแล้วเจ้า น่าจะกำลังออกมา อีกบ่อถึงชั่วยามคงถึง” สุ่นคำเอ่ยพลางไม้เสียบปลาย่างที่ใกล้สุกเต็มที
กลิ่นหอมฉุยของปลาย่างโรยเกลือโชยเข้ามาถึงในกระโจมใหญ่ ปลุกแม่หญิงคนงามให้ตื่นขึ้นจากฝัน เปลือกตากับขนตางอนของเธอไหวน้อยๆ แต่เธอกลับควานหาลูกกระต่ายของตัวเองเป็นสิ่งแรก ครั้นพบว่ามันขดตัวกลมอยู่ตรงบั้นเอวคอดเล็กของเธอ สาวเจ้าก็พลันยิ้มหวาน
“ตื่นแล้วกา?” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ถามเจ้ากระต่ายเสียงหวาน ในขณะที่มันใช้อุ้งตีนน้อยๆ เช็ดหน้าตาตัวเอง จมูกกระจิ๋วขยับฟุดฟิดอยู่สองสามที ก่อนจะยกใบหูใหญ่ตั้งขึ้น หญิงสาวจึงลูบใบหูใหญ่ของมันและเกาหัวกลมๆ เจ้าหมีหูลู่ในทันที กดตัวเองแบนราบอย่างกำลังรู้สึกสบาย หางน้อยๆ ของมันกระดิกระรัว
“ออกไปข้างนอกกัน” ว่าจบแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ก็ลุกจากที่นอน แต่งเนื้อแต่งตัวและเกล้ามวยผมยาวของเธอขึ้นอย่างเรียบง่าย เกี่ยวกระหวัดด้วยปิ่นเงินของตัวเอง ทว่าไม่ได้ปักแซมด้วยหย่องเล็กๆ เพราะเห็นว่าอยู่ในป่าในดอย เกิดทำร่วงหล่นตกไป เธอคงเสียดายแย่
วันนี้เกี้ยวจันทร์เลือกที่จะสวมผ้ารัดอกสีขาว นุ่งคู่กับผ้าซิ่นต๋าแอ้มสีเหลืองอ่อน มองผิวเผินก็คงคล้ายกับซิ่นต๋าหมู่ที่ทอริ้วลายหลากสีไปตลอดเส้นแนวขวาง จับคู่สีน้ำเงิน แดง เหลือง ม่วง ชมพู ทอสลับกับสีพื้นของผ้าซิ่น เว้นช่วงใหญ่ไปตลอดทั้งตัว แต่สำหรับซิ่นต๋าแอ้มนั้น ช่วงของสีพื้นจะสั้นกว่าต๋าหมู่อยู่มาก ทำให้สีริ้วของตัวซิ่นนั้นชัดเจนกว่า บางพื้นที่จึงเรียกชื่อผ้าซิ่นต๋าชนิดนี้ตามสีของมัน เช่นผ้าซิ่นต๋าผืนงามของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ในวันนี้ บางพื้นที่ก็เรียกมันว่าผ้าซิ่นต๋าเหลือง
หัวซิ่นสีแดงต่อผ้าฝ้ายขาวขึ้นไปอีกประมาณคืบหนึ่ง พับทบมัดขมวดเอาไว้กับบั้นเอวคอดเล็ก ทิ้งตีนซิ่นสีแดงให้คลุมหลังเท้า และห่มคลุมบ่าขาวของเธอด้วยผ้าฝ้ายสีอิฐอ่อน เพราะยามนี้เธอเพียงเข้ามานอนค้างอ้างแรมในป่าลึกดงดึก หาใช่การออกงานใหญ่ไม่ ป่วยการที่จะต้องขนผ้าซิ่นราคาแพงเข้าป่า ทั้งหมดจึงเป็นซิ่นต๋าธรรมดา หาได้ต่อตีนจกไม่
“มิเม” เจ้าของเสียงหวานเรียกพี่เลี้ยงของเธอจากในกระโจม พี่เลี้ยงชาวมอญแทบละทิ้งทุกสิ่งและวิ่งกรูมาหายังหน้ากระโจมใหญ่
“เจ้า! แม่หญิงตื่นแล้วกา?” มิเมร้องถามพลางปลดม่านมุ้งที่คลุมอยู่หน้ากระโจมออก แทรกตัวเข้าไปหาและย่อกายนั่งลงข้างๆ
“ตื่นแล้ว เอาหญ้าให้ไอ้หมีกำ เราจะไปล้างหน้าล้างตา” เกี้ยวจันทร์ว่า เธอนั่งอยู่นิ่งๆ และปล่อยให้มิเมจัดแจงความเรียบร้อยของเสื้อผ้าเธอเสียก่อน ก่อนจะส่งเจ้ากระต่ายให้และก้าวออกจากกระโจม
“สุ่นคำ! กอย (ดู) ไข่ป่ามหื้อกำลอ (ให้หน่อยสิ) เดี๋ยวไหม้” มิเมร้องบอกสุ่นคำ แน่นอนว่าสุ่นคำรีบทำตามในทันที
บริเวณกระโจมใหญ่ของเกี้ยวจันทร์คึกคักกันแต่เช้าตรู่ หลังจากเกี้ยวจันทร์ล้างหน้าล้างตาและบ้วนปากแล้ว จึงเดินกลับมานั่งผิงไฟอยู่ตรงกองไฟหลักหน้ากระโจม ท่อนไม้ใหญ่ที่ไอ้เงี้ยวรุนไว้เมื่อคืนยังคงร้อนระอุ แต่หากไม่มีใครเติมฟืนต่อ อีกประมาณสักชั่วยามเปลวไฟก็คงมอดดับ แต่จะยังเหลือฟืนท่อนใหญ่ที่ภายในยังคงคุกรุ่น หากต้องการต่อไฟก็เพียงสุมเชื้อ เป่าลม เปลวไฟก็กลับมาติดขึ้นได้อีกครา
เกี้ยวจันทร์อังมือกับท่อนหลัวใหญ่ ผิงไฟให้ร่างกายเธออบอุ่นขึ้น ในขณะที่เหล่าเวรยามผู้ชายต่างหันมาสนอกสนใจมิเมและสุ่นคำที่ทำกับข้าวกันอยู่ มิเมจึงแบ่งไข่ป่ามให้พวกเขาไปสักสองสามกระทง แลกกับเนื้อเค็มจี่ไฟที่อีกฝ่ายนำติดตัวมา พวกเขาแยกไปนั่งกินข้าวยังกองไฟของตัวเอง ในขณะที่เกี้ยวจันทร์ มิเม และสุ่นคำนั่งรวมกลุ่มกันอยู่รอบกองไฟใหญ่ ส่วนกลุ่มของวินทเวนั้น เนื่องจากคืนที่ผ่านมาพวกเขาเอาแต่สังสรรค์กันทั้งคืน ป่านนี้จึงยังไม่ยอมตื่นนอน
“ไอ้เงี้ยวมันไปไหน” อยู่ๆ แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ก็ถาม ทำเอาบ่าวไพร่และพี่เลี้ยงของเธอถึงกับฉงน เพราะตลอดมามิเมและสุ่นคำเข้าใจว่า แม่หญิงเกี้ยวจันทร์เธอเกลียดขี้หน้าไอ้เงี้ยวผู้นั้นเสียยิ่งกว่าอะไร พบปะหน้าค่าตากันทีก็มีแต่เรื่องให้ก่อนด่ามัน
“คงออกไปรับพ่อเลี้ยงแต่เช้าแล้วเจ้า” สุ่นคำเป็นฝ่ายตอบ
“มันยะ (ทำ) อะหยังให้แม่หญิงบ่พอใจก่อ!” มิเมรีบถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“บ่ได้ยะ เราถามถึงมันบ่ดาย (ถามถึงมันเฉยๆ)” เกี้ยวจันทร์ว่าก่อนจะรีบตักไข่ป่ามเข้าปากไปคำโต แสร้งเป็นว่าข้าวเต็มปาก พูดจาเสวนาต่อไม่ได้ แก้มอิ่มขยับตุ้ยๆ ยามเธอเคี้ยวข้าวที่หุงในกระบอกไม้ไผ่ผสมปนเปไปกับไข่ป่าม กลิ่นใบตองหอมๆ ตลบอบอวลอยู่ภายในปาก ในขณะที่ข้าวหุงร้อนๆ หอมฟุ้งกลิ่นไผ่
มิเมแม้จะยังไม่หายข้องใจ แต่ก็จำต้องเงียบปากลง ง่วนอยู่กับแกะเนื้อปลาจาดขาวฟูให้แม่หญิง เพราะปลาจาดเป็นปลาในตระกูลเดียวกันกับตะเพียน ก้างจึงมีมาก หล่อนต้องนั่งแกะเนื้อปลาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ใส่ไว้บนข้าวสวยร้อนๆ ในถ้วยข้าวของเกี้ยวจันทร์ ส่วนปลาซิวที่ตัวเล็กกว่ามากนั้น ปลาชนิดนี้กินได้เลยทั้งตัว
เมื่อดวงสุริโยโผล่พ้นทิวเขาทิศตะวันออก แสงสว่างและไออุ่นก็พลันขับไล่เมฆหมอกให้จางหาย หลงเหลือไว้เพียงแต่ทิวเขาสูงและป่าไม้เขียว เสียงซ่าของน้ำตกดังเคล้าคลอไปกับบรรยากาศอันหนาวเหน็บ นกน้อยที่เพิ่งออกจากรังร้องรับอรุณฟ้าใหม่เติมความสดให้แก่ป่าไม้เขียวด้วยดอกไม้สีสันแปลกตา บางชนิดเกี้ยวจันทร์เองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“แม่หญิงอยากออกไปเดินเล่นก่อเจ้า” สุ่นคำเสนอด้วยเสียงใส เพราะหลังจากเกี้ยวจันทร์กินข้าวเสร็จ กิจกรรมในวันนี้ของเธอก็เห็นจะมีเพียงแต่การนั่งเล่นกับกระต่ายอยู่บนโขดหินเล็กๆ ใต้ต้นตะแบก
“โอย! สุ่นคำ! บ่เอาแล้วเน่อ บ่ไกลๆ อย่างเมื่อวานหนา” มิเมรีบร้องปรามทันควัน ด้วยเข็ดจากคำว่าบ่ไกลๆ ของสุ่นคำมัน
“โธ่~” สุ่นคำถึงกับทำเสียงโยเยใส่ ทำเอาทั้งมิเมและแม่หญิงหัวเราะคิกคักกันอย่างตลกขบขัน
ทันใดนั้นเองกลุ่มของนายห้างตันฉเวกลับมายังค่ายพักพอดิบพอดี พรานต่อมพ่อของสุ่นคำก้าวเดินนำมาเป็นคนแรกคู่กันกับนายห้างและพ่อของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ ส่วนวินอูและสหายนั้นก้าวตามกันมาติดๆ ด้านหลังสุดยังคงเป็นลูกหาบ ที่หาบเอาซากฟาน (เก้ง) ตัวขนาดปานกลาง และหมูป่าหนุ่มกลับมาด้วยอย่างละตัว เสียงพูดคุยเสวนาของนายห้างตันฉเวกับสหายดังมาแต่ไกล บอกเล่าถึงเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นและประสบการณ์ที่แกพบเจอเมื่อคืน พวกเขาทุกคนต่างยิ้มแย้ม การล่าที่ผ่านมาคงเป็นที่น่าพอใจ หรือไม่ก็คงมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เลือดนักล่าในกายคุกรุ่นร้อนแรง
“หนูเกี้ยวจันทร์ มาๆ มาดู พ่อหนูยิงฟานได้เมื่อคืน” นายห้างตันฉเวกวักมือเรียกหญิงสาวให้ก้าวเข้ามาดู
เกี้ยวจันทร์ขยับลงจากก้อนหินใหญ่ตามคำเชื้อเชิญ ก้าวเข้าไปหา และมองดูฟานหรืออีเก้งขนาดตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกมัดห้อยมากับคานไม้ไผ่ ยังไม่ได้แล่เนื้อเถือหนัง จึงพอมองเห็นรอยกระสุนที่บริเวณรักแร้แดง ช่วงด้านข้างของโคนขาหน้า จุดตายที่ทำให้มันไม่ทุกข์ทรมานมาก อย่างน้อยก็ตายเร็วกว่าบริเวณอื่นๆ ยกเว้นแต่กับบริเวณหัว ที่เพียงนัดเดียวก็ปลิดชีพได้ในทันที ทว่าสำหรับพรานแล้ว จุดนั้นไม่นิยมยิง เพราะอย่างแรกคือยาก อย่างที่สองคือทำให้กะโหลกมีตำหนิ ขายไม่ได้ราคา ประดับฝาก็คงไม่ได้อีกเช่นกัน
“แหม ก็แค่ฟานตัวน้อย บ่มีราคาค่างวด” พ่อเธอเอ่ยคล้ายถ่อมตน แต่ในน้ำเสียงระริกระรี้นั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ต้องการโอ้อวดตัวเอง นายห้างตันฉเวหัวเราะชอบใจในคำโอ้อวด แต่ก็จำต้องยอมแพ้ในยกแรก เพราะคืนที่ผ่านมาแกยิงสัตว์ไม่ได้เลยสักตัว ส่วนหมูป่าที่ได้มานั้นเป็นฝีมือการยิงของวินอู ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของแก
“มาๆ ลาบก่อแล้วกัน ไผยิงได้ ผู้นั้นเป็นคนลาบ!” เหล่าผู้ชายร้องเฮกันยกใหญ่ ชอบอกชอบใจเหลือเกินที่ล่าฟานกลับมาได้ ส่วนเกี้ยวจันทร์นั้นเพียงจ้องมองซากฟานหนุ่มตัวนี้ โล่งอกน้อยๆ ที่มันหาใช่กวางป่าที่เธอเห็นเมื่อคืนไม่ แต่ก็เหลืออดกับกิจกรรมคนเถื่อน
แม่หญิงชาวเวียงเชียงใหม่ก้าวออกจากซากฟานที่กำลังถูกแกะออกจากคานไม้ไผ่ เชือกเส้นยาวรัดเข้ากับลำคอของมัน พาดขึ้นกับกิ่งไม้ที่สูงอยู่พอประมาณ ชักรอกเอาร่างขนาดปานกลางให้ห้อยอยู่กลางอากาศ สี่ขาของฟานชี้เกร็งโด่เด่ ก่อนที่พรานต่อมจะเป็นคนแล่แลถลกหนังมัน เสียงกระดูกข้อเท้าของฟานตัวนี้หักเป๊าะดั่งเสียงกิ่งไม้ ทำให้เกี้ยวจันทร์ต้องรีบละสายตาจากมันในทันที เธอก้าวกลับไปยังก้อนหินใหญ่ก้อนเดิม เอนกายพิงก้อนหินด้วยอาการพะอืดพะอม
“บ่มีราคา แล้วอย่างใดจึงยิงมา บ่ปล่อยให้มันอยู่ในป่าเล่า” หญิงสาวเอ่ยกับพี่เลี้ยงเธอ มือเรียวของเกี้ยวจันทร์กระชับผ้าตุ๊มให้ห่มคลุมตัว รู้สึกใจหายเช่นกันที่เห็นว่าเก้งตัวเท่านั้นถูกยิงตาย
“บ่เป็นหยังหรอกเจ้า พ่อเลี้ยงเพิ่นล่ากิน บ่ได้ล่าทิ้งล่าขว้าง ถ้ากลับลงไปถึงปาง ก็เป็นชิ้นเป็นเนื้อให้ชาวปางกิน” สุ่นคำเอ่ยอย่างปลอบโยน หล่อนเข้าใจดีว่าแม่หญิงเกี้ยวจันทร์รู้สึกเช่นไร เพราะเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ทุกคราที่เห็นพ่อน้ำซากสัตว์กลับมา หล่อนก็จะเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ด้วยสงสารพวกมัน เอ็นดูพวกมัน เพียงแต่สิ่งสำคัญที่สุ่นคำเรียนรู้จากปากของคนเป็นพ่อคือ การล่าแต่ละครั้งนั้น สิ่งสำคัญคือการใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของมัน ไม่ให้มันตายไปอย่างไร้ค่า การตายของมันหนึ่งชีวิตเพื่อเติมเต็มหลายชีวิตที่เหลืออยู่ นั่นอาจเรียกได้ว่ายุติธรรมแล้วสำหรับพรานล่าสัตว์
“เราเข้าใจ…สุ่นคำ” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ยิ้มหวานให้หล่อน แม่หญิงตบหลังมือเล็กของสุ่นคำเบาๆ เข้าใจผู้หญิงที่ล่าปลามาให้เธอเช่นกัน
สุ่นคำขยับยิ้มกว้าง หล่อนรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนของเกี้ยวจันทร์ที่จากฝ่ามือนุ่มๆ นี้ เพียงไม่กี่วินาทีที่ทั้งสองได้สัมผัสกายกันนั้นอบอุ่นเหลือเกิน
“อ้อ! เดี๋ยวสุ่นคำไปถามอีพ่อให้นะเจ้า ว่าไอ้เงี้ยวมันไปไหน” สุ่นคำโพล่งขึ้น ทำเอาเกี้ยวจันทร์สะดุ้งโหยง มิเมถึงกับตีลงแขนเล็กของหล่อนไปทีหนึ่ง โทษฐานที่ทำให้แม่หญิงของหล่อนตกใจ
“อูย…” ลูกพรานป่าถึงกับร้องเสียงหลง ลูบเรียวแขน หัวเราะแหะๆ อย่างรู้สึกผิด ก่อนจะค่อยๆ ก้าวออกไปทีละนิดเพื่อออกห่างจากหญิงสาวชาวมอญ ขณะที่มิเมชี้หน้าอย่างคาดโทษ ทว่าสายไปเสียแล้ว เพราะสุ่นคำวิ่งโร่ไปหาพ่อเรียบร้อย
“แม่หญิง~” ครั้นสุ่นคำก้าวออกไปจากบริเวณ ใต้ต้นตะแบกใหญ่นี้ก็เหลือเพียงแม่หญิงเกี้ยวจันทร์และมิเมพี่เลี้ยงเธอ หญิงสาวชาวมอญจึงส่งเสียงออดอ้อนในทันที เพราะรู้ดีว่าแม่หญิงของหล่อนมีเรื่องปิดบังอย่างแน่นอนเชียว
“อะหยัง (อะไร)” เกี้ยวจันทร์ขานรับด้วยรอยยิ้มแสนทะเล้น ลอยหน้าลอยตาอย่างไม่ยอมรับความจริงว่า เธอนั้นมีเรื่องปิดบังมิเมอยู่
“แม่หญิงมีเรื่องอะหยัง เหตุใดจึงบ่บอกมิเม” พี่เลี้ยงสาวส่งเสียงโยเยใส่ มือเล็กๆ เขย่าแขนเรียวของนายตัวอย่างออดอ้อนขอความจริง ถึงอย่างนั้นเกี้ยวจันทร์ก็ไม่ยอมเอ่ย เพราะหากบอกไปแล้ว มิวายมิเมคงอกแตกตายที่ได้รู้ว่าแม่หญิงคนดีแอบหนีออกจากกระโจมในตอนกลางค่ำกลางคืน ไปนั่งอยู่กับผู้ชายตามลำพังสองต่อสอง ที่สำคัญยังโผเข้าไปกอดเขาเสียอีก
“บ่มี บ่มีอะหยังเลย” เกี้ยวจันทร์ยืนยัน
“แม่หญิง~ มิเมบ่ใช่พี่เลี้ยงของแม่หญิงแล้วกา แม่หญิงจึงได้เย็นชากับมิเม บ่ยอมบอกอะหยังมิเมเลย” มิเมตัดพ้อด้วยเสียงแผ่ว ทำปากจู๋เหมือนตูดไก่
“บ่มีอะหยังแท้ๆ ถ้ามี เราบอกมิเมคนแรกอยู่แล้ว” แม่หญิงเกี้ยวจันทร์เอ่ยกับพี่เลี้ยงเธอ พลางเอนกายซบบ่าเล็กของหล่อน มิเมรีบโอบกอดแม่หญิงไว้ กระชับเข้ามาไว้ในอ้อมอกอิ่ม
“เจ้า มิเมฮัก (รัก) แม่หญิงนา ฮักกว่าชีวิตมิเมทั้งชีวิต” มิเมเอื้อนเอ่ยความจริงจากหัวใจของหล่อน ทำให้แม่หญิงคนนี้ขยับยิ้มหวาน เธอพยักหน้ารับและเอ่ยความรู้สึกทั้งหมดที่เธอมีให้มิเมออกไปเช่นกัน
“เราก่อฮักมิเม มิเมเป็นพี่ที่ดีที่สุด ถ้าบ่มีมิเมก็คงบ่มีเกี้ยวจันทร์” แม่หญิงกระชับกอดพี่เลี้ยงเอาไว้แน่นสนิท ต้องยอมรับว่าในตอนนี้ทั้งสองมีเพียงกันและกันเท่านั้น
“กลับมาแล้วเจ้า! แม่หญิงเจ้า อีพ่อบอกว่าไอ้เงี้ยวมันไปหาห้างใหม่เจ้า บ่ายๆ แลงๆ พู่น ถึงจะปิ๊ก (กลับ) มาเฝ้ายามเจ้า” สุ่นคำที่ได้รับข่าวจากผู้เป็นพ่อรีบเร่งกลับมาบอก รายงานทุกคำที่พรานต่อมแจ้ง
เกี้ยวจันทร์เพียงพยักหน้ารับคำ เธอไม่ได้ใส่ใจเท่าไรว่าอีกฝ่ายจะมาหรือไม่มา เพียงแค่รู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ๆ อีกฝ่ายกลับหายหน้าไป ไม่ยอมรับว่าแท้ที่จริงแล้ว ความรู้สึกนี้อาจเรียกว่า ‘ความคิดถึง’
ตอนนั้นเองที่เสียงก่อนด่าก็ดังแทรกเสียงซ่าของธารน้ำตกใหญ่ นั่นเพราะวินทเวเพิ่งตื่นนอน จึงถูกนายห้างตันฉเวสั่งสอนเสียยกใหญ่ ในขณะที่พรานไพร่อย่างแกไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน แต่ลูกชายคนเล็กกลับดื่มเหล้าเมามายและหลับทิ้งค่ายพักแรม ให้เหล่าพวกลูกหาบดูแลค่ายด้วยธนูหน้าไม้เพียงอย่างเดียว เด็กหนุ่มวัยแตกพานเอ่ยเถียงคนเป็นพ่อพลางทวงสัญญาที่พ่อให้ไว้ว่า จะพาเขาไปขึ้นห้างในคืนนี้
“ขึ้นห้าง! เฝ้าค่ายพักยังเฝ้าบ่ได้ จะเอาปัญญาไหนไปขึ้นห้าง ไปนั่งหลับให้ลิงให้ค่างมันมองหรือ!!” นายห้างตันฉเวตวาดลั่น ลูกชายแกพลันเงียบกริบ
“ไม่เป็นไร คืนนี้วินทเวไปแทนอ้ายก็ได้ อ้ายได้หมูป่ามาให้น้องเกี้ยวจันทร์แล้ว พอแล้ว” วินอูช่วยพูดด้วยอีกแรงหนึ่ง แต่นายห้างกลับยกมือปรามเขา ลูกชายคนเล็กและเหล่าเพื่อนฝูงที่นั่งดื่มเหล้ากันเมื่อคืนต่างก้มหน้าก้มตา ไม่มีใครเลยสักคนที่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
“บ่ได้ คืนนี้เฝ้าค่าย! ถ้าเฝ้าบ่ได้ก็กลับ! ถ้าเฝ้าได้วันพรุ่งค่อยขึ้น!” คำพูดของนายห้างตันฉเวฉะฉานและเด็ดขาด ในบรรดาผู้ที่เข้ามาในป่าทุกคน นอกจากพรานต่อมและไอ้เงี้ยวเห็นจะมีก็เพียงแกเท่านั้นที่ดูพึ่งพาได้ แววตาของแกเข้มขึงในทุกๆ การออกคำสั่ง มันเป็นแววตาของผู้เป็นเจ้าเป็นนายโดยแท้จริง ในยามที่ลูกน้องทำดีแกจะให้รางวัล แต่หากใครมันกระทำเลวทรามและไม่กระทำตามกฎของแก บทลงโทษอันแสนโหดร้ายก็จะตามมา
เกี้ยวจันทร์มองดูเหล่าบรรดาข้าไพร่ของนายห้าง ไม่มีใครเลยที่กล้าหือ ขนาดพรานต่อมยังทำหูทวนลม ไม่สนใจเรื่องของเจ้าของนาย เอาแต่แล่เนื้อถลกหนักฟานตัวนั้นไปอย่างเงียบๆ แต่ไม่ต้องพูดถึงพ่อของเธอ เพราะบัดนี้คงหนีไปนอนซุกอกอุ่นของเมียรักในกระโจมริมธารน้ำตกเรียบร้อยแล้ว
ไม่นานทุกอย่างก็พลันกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ หลังจากมื้อเช้าของกลุ่มชายฉกรรจ์ พวกเขาก็ต่างแยกย้ายกันเข้านอน เพื่อพักเอาแรงสำหรับการล่าครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้…
ความคิดเห็น |
---|