2

ขโมย

Chapter 2

ขโมย

 

            “นี่นายไม่รู้เหรอ หลิงเต้าซีห้องหนึ่งปฏิเสธสิทธิ์เข้าเรียนเซินหลัน เขาต้องสอบเข้าใหม่อีกครั้งน่ะ”

            “ทำไมล่ะ” ฉีตงแปลกใจมาก

            “ฉันก็ไม่รู้แน่ชัด น่าจะไม่พอใจกับคณะแหละ ถึงขนาดที่ว่าครูใหญ่เรียกเขาเข้าไปคุยเรื่องอนาคตเชียวนะ เขายังไม่ยอมเปลี่ยนใจเลย” เพื่อนสนิทสาวของเฉินจิ้งกัดตะเกียบด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด “เฮ้อ ฉันละไม่เข้าใจพวกเด็กหัวกะทิเล้ย ถ้าให้ฉันเข้าเซินหลันได้โดยไม่ต้องสอบนะ ต่อให้เป็นคณะขับรถขุดดิน ฉันก็ไป”

            ฉีตงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนที่ยอมทิ้งโอกาสอันหอมหวานแบบนี้ แต่เขาเองก็ไม่อยากรู้อยู่แล้ว เขาไม่ชอบหน้าหมอนั่นนัก แต่ระดับความไม่ชอบนั้นก็มีขีดจำกัดอยู่บ้าง อาจกล่าวได้ว่าเขาไม่สนใจอีกฝ่าย หรือไม่ได้รู้สึกต้องตาต้องใจเสียมากกว่า

            ในสายตาของฉีตง หลิงเต้าซีจะได้รับสิทธิ์เรียนที่เซินหลันหรือไม่ จะสละสิทธิ์หรือเปล่า หรือไม่สอบในระดับมหาวิทยาลัยไปเลย ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาไม่ได้สนใจแม้แต่นิดเดียว สำหรับเรื่องนี้ ฉีตงรู้สึกว่าเป็นข่าวที่น่าเบื่อสิ้นดี หลังจากกินข้าวเสร็จ เขาก็ลืมไปเสียสนิท จนกระทั่งวันแรกของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลิงเต้าซีก็มาปรากฏตัวอยู่บนที่นั่งขวามือของเขา ฉีตงจึงนึกขึ้นมาได้

            บางครั้งโชคชะตาก็น่าประหลาด เลขที่สอบเป็นระบบสุ่ม หนึ่งสนามสอบจะมีผู้สอบจากโรงเรียนเดียวกันเพียงเจ็ดถึงแปดคนเท่านั้น แต่หลิงเต้าซีกับฉีตงกลับนั่งโต๊ะข้างกัน

            การที่ฉีตงเกลียดชังหลิงเต้าซีคือความไม่เป็นมิตรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของเด็กนักเรียนตัวปัญหาที่มีต่อนักเรียนดีเด่น แต่ในสนามสอบก็ไม่มีใครรังเกียจที่จะนั่งข้างเด็กหัวกะทิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนคนนั้นเป็นที่หนึ่งของระดับชั้นจากโรงเรียนเดียวกัน

            ช่วงเวลาสามปีในรั้วโรงเรียนมัธยมปลาย ฉีตงมีวิชาเอกคือบาสเกตบอล และวิชาโทในเรื่องการโกงข้อสอบ ผู้คุมสอบไม่อาจจับสายตาของเขาได้สักครั้ง และหลิงเต้าซีก็ดูไม่ได้รังเกียจเมื่อถูกคนข้างๆ ลอกข้อสอบ ไม่ได้ใช้มือซ้ายบังคำตอบแต่อย่างใด ประกอบกับสายตาข่มขู่ของฉีตง ทำให้หลิงเต้าซีรู้สึกไม่ต่างอะไรกับการยื่นกระดาษคำตอบให้อีกฝ่ายฟรีๆ

            แม้ว่ามหาวิทยาลัยเยียนซานจะตอบรับฉีตงเป็นกรณีพิเศษ ทว่ายังมีเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำเช่นกัน เมื่อเขาลอกคำตอบจากหลิงเต้าซี ก็จะได้คะแนนมากพอจนเขาสามารถเลือกคณะที่เป็นที่นิยมได้เลย

            ในที่สุดการสอบวิชาสุดท้ายก็เสร็จสิ้น ฉีตงพยักหน้าให้หลิงเต้าซีที่นั่งถัดจากเขา

“เฮ้ย ขอบใจนะ”

            ตลอดการสอบทั้งสองวัน หากบอกว่าหลิงเต้าซีไม่ได้จงใจให้ลอกข้อสอบ ฉีตงคงไม่เชื่อ แม้จะไม่รู้ว่าหลิงเต้าซีทำไปเพื่ออะไร แต่ฉีตงก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักบุญคุณคน

            แต่หลิงเต้าซีก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก นอกจากมองฉีตงด้วยหางตาและเก็บของเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

            “เฮอะ” ฉีตงมองแผ่นหลังของหลิงเต้าซี

ที่แท้ก็เป็นไอ้คนหยิ่งที่น่ารำคาญ

            การสอบเข้ามหาวิทยาลัยมีการปรับเปลี่ยนขั้นตอนทุกปี ปีที่แล้วให้ลงชื่อสมัครก่อนถึงจะประกาศคะแนน ส่วนในปีนี้กลับกลายเป็นว่าผลคะแนนออกก่อนแล้วค่อยยื่นใบสมัคร

            หลังจากคะแนนของฉีตงออกมา ก็สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก ไม่มีใครเชื่อว่าเขามีความสามารถที่จะสอบได้คะแนนดีขนาดนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งสูงกว่าตอนทำข้อสอบรอบจำลองการสอบจริงหลายคะแนน ต่อให้ไม่มีคะแนนพิเศษด้านกีฬามาช่วย เขาก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างแน่นอน

            พวกครูบาอาจารย์ต่างสงสัยทั้งนั้น แต่ไม่มีใครเอ่ยปากถาม ยิ่งไปกว่านั้นคือ ข่าวนี้เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง มีคณะให้เขาเลือกหลากหลาย ฉีตงอยู่โรงเรียนมัธยมปลายเมืองหลิงมาสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการปฏิบัติแบบนี้

            เขาพบกับหลิงเต้าซีในวันยื่นใบสมัครเข้ามหาวิทยาลัย และพบกันอีกครั้งในพิธีจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลาย หลิงเต้าซีเป็นตัวแทนนักเรียนกล่าวสุนทรพจน์บนเวที ทว่าพูดอะไรบ้างนั้น ฉีตงไม่ได้ใส่ใจจะฟัง

            หลังจากมีการประกาศผลคะแนนสอบออกมาอย่างรวดเร็ว หน้าประตูโรงเรียนก็มีป้ายสีแดงขนาดใหญ่ โดยหลิงเต้าซีขึ้นอันดับหนึ่ง ตามด้วยชื่อของฉีตง ในปีถัดไป ชื่อของทั้งสองคนจะกลายเป็นตัวอย่างในการเปรียบเทียบที่ติดปากบรรดาคุณครู

            ทว่าฉีตงไม่มีโอกาสได้เห็นป้ายประกาศนี้ เพราะมหาวิทยาลัยเยียนซานไม่ยอมเสียผลประโยชน์สักนิดเดียว ทันทีที่หนังสือตอบรับมาถึง ก็มีประกาศการฝึกอบรมแนบมาด้วย สถานที่ฝึกนั้นตั้งอยู่ต่างถิ่น ฉีตงเก็บของใช้ที่จำเป็นอย่างลวกๆ แล้วก้าวเข้าสู่เส้นทางการถวายชีวิตตลอดสี่ปีให้แก่ทีมพายเรือแคนูของมหาวิทยาลัยเยียนซาน

 

            หลังจากเข้าร่วมทีมพายเรือแคนู ฉีตงก็ได้รู้ว่า ‘การฝึกพิเศษ’ คืออะไร เมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกในสมัยเรียนมัธยม ความหฤโหดช่างต่างกันลิบลับ ผิวเขาเริ่มคล้ำจากการโดนแสงแดด ช่วยขับกลิ่นอายความเป็นผู้ชายมากขึ้น ฝ่ามือก็ถูกเสียดสีจนเกิดตุ่มน้ำพองและหยาบกร้าน

            สมรรถภาพร่างกายเขาดีกว่าปีที่แล้ว ผลลัพธ์จากการฝึกอย่างหนักทุกวันคือ หลังจากถึงที่พักเขาก็ไม่อยากทำอะไรอีกเลย นอกจากนอนเฉยๆ บนเตียง

            ไม่ใช่แค่ฉีตงเท่านั้น แต่รวมถึงคนอื่นๆ อีกหลายสิบคนในทีมพายเรือแคนูด้วย โดยมีเก้าคนเป็นนักศึกษารับพิเศษเช่นเดียวกับเขา ส่วนที่เหลือคือรุ่นพี่ที่ย้ายมาจากทีมบาสเกตบอล

            ฉีตงเปลี่ยนจากรุ่นพี่มัธยมปลายปีสามมาเป็นน้องปีหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัย แต่มีบางสิ่งภายในที่ยังคงเหมือนเดิม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ยังต้องการผู้นำ ไม่นานนัก กลุ่มเพื่อนในระดับเดียวกันก็ค่อยๆ เข้าหาเขา บางครั้งพวกรุ่นพี่จะเล่าเรื่องราวในมหาวิทยาลัยให้รุ่นน้องฟัง มหาวิทยาลัยเยียนซานมีน้ำใจต่อพวกนักกีฬา แม้ว่าจะฝึกฝนอย่างเข้มข้น แต่ก็มีสิทธิพิเศษอื่นๆ เช่น หากแข่งชนะก็มีรางวัลให้ อีกทั้งยังเลือกหอพักห้องคู่ได้อีกต่างหาก ต่อให้เรียนแย่แค่ไหนก็จบได้แน่นอน แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็มีข้อกำหนดอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือการเอาชนะสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซินหลันให้ได้

            มหาวิทยาลัยเยียนซานกับสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซินหลันเป็นคู่แข่งกันมานาน ไม่ว่าจะด้วยเนื้อหาทางวิชาการหรือการกีฬา ทั้งสองแห่งแอบแข่งขันอย่างลับๆ

            เมื่อพูดถึงสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซินหลัน ฉีตงก็นึกถึงหลิงเต้าซีขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสมัครเข้าเรียนที่ไหน แต่ข้อสงสัยนี้ก็คลี่คลายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขากลับไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดภาคเรียน และพบว่าหลิงเต้าซีที่เพิ่งกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีจบการศึกษาต่อหน้านักเรียนมัธยมปลายร่วมร้อยชีวิตไปไม่นาน ก็ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะนักศึกษาใหม่ต่อหน้าผู้คนหลายพัน

            ฉีตงเข้าร่วมการฝึกกีฬา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมการฝึกทหาร ในขณะที่พวกนักศึกษาใหม่สนิทสนมกันตั้งแต่ตอนฝึกทหารแล้ว มีเพียงฉีตงเท่านั้นที่เป็นผู้มาใหม่

            พูดไปก็น่าแปลก มหาวิทยาลัยเยียนซานมีอายุเก่าแก่ร่วมร้อยปี หอพักก็เก่ามาก แต่เพิ่งซ่อมแซมช่วงเปิดเทอม ทำให้นักศึกษาจากคณะต่างๆ ต้องแยกย้ายกันไปคนละตึก บางส่วนย้ายไปพักในหอพักสำหรับนักศึกษาปริญญาโท

            ก่อนที่ฉีตงจะเข้าร่วมการฝึกซ้อม ทางมหาวิทยาลัยสัญญาว่าจะให้นักศึกษารับพิเศษได้นอนห้องสำหรับสองคน ทีแรกฉีตงจะไปลงชื่อยื่นคำร้อง แต่พอตกอยู่สถานการณ์แบบนี้ เขาก็ไม่ต้องไปลงชื่อแล้ว เพราะห้องพักในหอนักศึกษาปริญญาโทนั้นเป็นห้องสำหรับสองคน

            รูมเมตของฉีตงเป็นผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่ง สวมแว่นตากรอบสีดำ เป็นคนจากทางภาคใต้ อีกฝ่ายพูดภาษาจีนกลางไม่คล่องนัก บางทีก็หลุดพูดภาษาถิ่นออกมาสองสามประโยค

            ยังไม่ทันที่ฉีตงจะเปิดกระเป๋าเดินทาง เพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามเยื้องไปจากห้องเขาเล็กน้อยก็วิ่งเข้ามา อีกฝ่ายเป็นคนบ้านเดียวกันกับรูมเมตของเขา ทั้งสองคนใช้เตียงสองชั้นร่วมกันระหว่างฝึกทหารจนเกิดเป็นมิตรภาพลึกซึ้ง จึงได้มาขอแลกห้องกับฉีตง

            ฉีตงไม่ได้คิดอะไรมาก จึงลากกระเป๋ามายังห้องใหม่ หลังจากเห็นว่ารูมเมตคนใหม่ของตนเป็นใคร เขาก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้

            มีคำกล่าวว่า ‘มีชะตาต้องกัน ต่อให้ห่างกันพันลี้ก็ได้พบเจอ’ แต่ฉีตงไม่คิดว่าตัวเองกับหลิงเต้าซีมีชะตาต้องกันเลย หากบอกว่าโลกเหวี่ยงศัตรูให้มาพบกัน เขากับหลิงเต้าซีก็ไม่ได้นับว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาต เป็นแค่คนสองคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่กลับวนมาเจอกันเสมอ ต้องมีความน่าจะเป็นมากขนาดไหนกัน ถึงทำให้นักเรียนจากโรงเรียนเดียวกันมาเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ทั้งยังเป็นรูมเมตกันอีกด้วย

            ฉีตงเดินไปนั่งบนเตียง “เฮ้ย! ว่าไงไอ้เด็กเก่ง เจอกันอีกแล้วนะ”

            หลิงเต้าซีไม่ตอบ

            ‘นี่กูมาเป็นรูมเมตมึงแล้วนะ มึงจะวางท่าเพื่ออะไรวะเนี่ย’ เขาคิดในใจ

“เฮ้ย! ไอ้รูมเมต ควรแสดงมิตรภาพด้วยการช่วยกูปูเตียงหน่อยเปล่า”

            คราวนี้หลิงเต้าซีเงยหน้าและสบตากับคนเรียกอยู่หลายนาที มุมปากของฉีตงยกยิ้มขึ้นอย่างหยอกล้อ รอดูว่าสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายจะกล้าปะทะกับเขาหรือเปล่า

            ใครจะคาดคิดว่าหลิงเต้าซีจะเดินเข้ามาจริงๆ อีกทั้งยังโน้มตัวลงทำท่าจะหยิบกระเป๋าของฉีตง

            ฉีตงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบกลับแบบนี้ สิ่งแรกที่เขาทำคือการเหยียบกระเป๋าของตนจนมือหลิงเต้าซีชะงักกลางอากาศ

            “กูก็แค่พูดไปงั้นๆ มึงจะทำจริงดิ” ฉีตงไม่เข้าใจการประมวลผลสมองของรูมเมตคนนี้จริงๆ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเขาแสดงถึงการยั่วยุ ไม่ได้ต้องการให้มาช่วยจริงๆ เสียหน่อย ไอ้หมอนี่มันฟังไม่ออกหรือไง

            สีหน้าหลิงเต้าซีเรียบเฉยดังเดิมหลังจากได้ยินฉีตงพูดเช่นนี้ เขายืดตัวตรงแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองดังเดิม ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “เฮอะ” ฉีตงส่งเสียงออกมาเบาๆ

ไอ้หมอนี่แปลกชะมัด หรือจะเป็นแบบที่คนอื่นๆ ชอบพูดกัน ว่าพวกไอคิวสูงมักจะมีอีคิวติดลบ

ฉีตงเปิดกระเป๋าหยิบผ้าปูที่นอนออกมาเพื่อจะปูเตียง ก่อนหยิบข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ออกมาจัดเรียงรวมกัน เมื่อไม่มีอะไรทำแล้วเขาก็มองสำรวจหลิงเต้าซีที่กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะ เมื่อครู่เขารู้สึกว่าการกระทำของอีกฝ่ายน่าอึดอัดสิ้นดี พอมองอย่างละเอียด ไม่ว่าจะมองอย่างไรหลิงเต้าซีก็ดูเป็นคนแปลกๆ เพี้ยนๆ

            “มึงถนัดซ้ายเหรอ” ฉีตงถามขึ้นพลางจดจ้องหลิงเต้าซี

            หลิงเต้าซีชะงัก ก่อนจะเริ่มพูดประโยคแรกนับตั้งแต่ฉีตงก้าวเข้ามา “ใช่”

            “แล้วตอนสอบเข้า...” ฉีตงพูดเสียงลากยาว

            หลิงเต้าซีทำราวกับว่าการพูดคุยกับฉีตงสักประโยคนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาคิดวิเคราะห์อย่างมาก “ตอนเด็กๆ ที่บ้านบังคับให้ใช้มือขวาเขียนหนังสือ ฉันเลยเขียนได้ทั้งสองมือ”

            ฉีตงหรี่ตา นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่เขาไม่เข้าใจคือ... หากหลิงเต้าซีถนัดมือซ้าย แล้วทำไมตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงได้เปลี่ยนไปใช้มือขวา

            แต่นี่เป็นคำถามที่เขาได้แต่เก็บเอาไว้ในใจ ไม่ได้ถามออกมา เพราะรู้ดีว่าต่อให้ถาม หลิงเต้าซีก็คงไม่ตอบอยู่ดี หรือไม่ก็เป็นคำตอบที่เขาไม่อยากฟัง

            หากบอกว่าหลิงเต้าซีเปลี่ยนมาใช้มือขวาเพื่อให้เขาลอกคำตอบละก็ มันคงตลกน่าดู

            ข้อดีของฉีตงคือเขาไม่เก็บเรื่องที่คิดไม่ออกมาคิดให้วุ่นวายใจอีก แบบนี้จะทำให้เขาไม่รู้สึกเหนื่อยอีกด้วย เขารู้ดีว่าตัวเองกับหลิงเต้าซีไม่ได้พูดจาถูกคอกันนัก จึงหันไปผูกมิตรกับนักศึกษาใหม่ที่อยู่ห้องตรงข้ามเยื้องๆ กันแทน

            

วันต่อๆ มาก็ไม่มีอะไรพิเศษ แม้มหาวิทยาลัยเยียนซานจะเรียกได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติ แต่สำหรับคนที่ตรากตรำพากเพียรเรียนอย่างยากลำบากในช่วงมัธยมปลาย หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็เริ่มละเลยเรื่องการเรียน โดยเฉพาะนักศึกษาชาย การโดดเรียนไปเล่นเกมนั้นเป็นเรื่องปกติอย่างมาก

            ฉีตงสร้างกลุ่มเพื่อนได้อย่างรวดเร็ว และในกลุ่มเขายังมีพวก ‘เด็กเก่ง’ ที่สมัยก่อนหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็ไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย มีเพียงหลิงเต้าซีคนเดียวที่ความสัมพันธ์ยังคงที่

            แม้ว่าตอนนี้ทั้งสองจะพูดคุยกันมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับตอนเปิดเทอมช่วงแรกๆ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความสัมพันธ์ของรูมเมตคู่อื่น พวกเขาแทบไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าที่อยู่ห้องเดียวกัน จนคนอื่นๆ ไม่อยากเชื่อว่าพวกเขามาจากโรงเรียนเดียวกัน

            ฉีตงกอดคอเพื่อนคนอื่นแล้วพูดจาตลกๆ เสียงดังได้ รวมถึงสบถถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของกลุ่มวัยรุ่นผู้ชาย แต่นั่นไม่มีทางเกิดขึ้นกับหลิงเต้าซี

            ตอนแรกเขาคิดว่ารูมเมตของตนเป็นโรคปิดกั้นตัวเอง หรือไม่ก็มีความบกพร่องเรื่องการเข้าสังคม แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค้นพบว่าหลิงเต้าซีมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นปกติ

            เขาจึงสรุปได้ว่า หากไม่ใช่เพราะหลิงเต้าซีดูถูกเขา ก็คงผูกใจเจ็บเรื่องที่เขาเอาเท้าเหยียบศีรษะอีกฝ่ายในปีนั้น หรือไม่ก็เป็นเพราะทั้งสองเหตุผลนี้รวมกันนั่นแหละ

            หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็เริ่มไม่ชอบขี้หน้าหลิงเต้าซีอีกครั้ง เป็นลูกผู้ชาย ทำไมถึงได้เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้กัน เรื่องเมื่อก่อนตัวเขาเองยังลืมไปจนหมดแล้ว วันนี้พอเห็นอีกฝ่ายทำเป็นสูงส่งไม่แลใคร ก็อดที่จะคิดหาข้ออ้างเพื่อสั่งสอนหลิงเต้าซีอีกสักครั้งไม่ได้

            แม้ว่าหอพักนักศึกษาปริญญาโทจะไม่แย่นัก มีห้องน้ำส่วนตัว แต่ก็ไม่มีฝักบัว ในฤดูร้อนยังอาบน้ำเย็นที่ระเบียงได้ แต่พออากาศเริ่มเย็นก็ต้องเดินลงไปที่ห้องอาบน้ำชั้นล่างของหอพัก ฉีตงฝึกกีฬาจนเหงื่อออกท่วมตัวทุกวัน คงทนไม่ไหวหากจะนอนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำชำระกาย

            วันนี้ก็เหมือนทุกวัน เมื่อฉีตงกลับมาถึงห้องหลังจากฝึกกีฬา เขาวางรองเท้ากีฬาไว้ข้างเตียง ถอดถุงเท้าแล้วยัดไว้ในรองเท้าอย่างลวกๆ ก่อนจะหยิบอุปกรณ์อาบน้ำแล้วเดินออกไปทันที

            เมื่อเดินมาถึงบันได ฉีตงก็เพิ่งนึกได้ว่าลืมหยิบถุงเท้าติดมือมา โดยปกติแล้วเขาจะนำเสื้อผ้าที่ใช้แล้วมาซักขณะอาบน้ำด้วย พอฉีตงกลับไปที่ห้องเพื่อเอาถุงเท้า เขาก็พบว่าประตูห้องถูกล็อกจากด้านใน

            ตอนที่เขาเดินออกจากห้องเมื่อครู่นี้ หลิงเต้าซียังคงอยู่ในห้อง เขาออกจากห้องไปยังไม่ทันถึงสองนาที อีกฝ่ายหายไปไหนกัน ฉีตงเคาะประตู ได้ยินเสียงจากภายในห้องดังเล็ดลอดออกมา ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก

            “นายจะล็อกห้องทำไมตอนกลางวันแสกๆ เนี่ย” เขาถามอย่างไม่พอใจนัก

            “เปลี่ยนเสื้อผ้า”

            ‘ไร้สาระ’ ฉีตงสบถในใจ

ทั้งตึกมีแต่ผู้ชาย เปลี่ยนเสื้อผ้าแค่นี้ทำไมต้องล็อกประตู คนอื่นจะหลงคิดไปว่านายกำลังช่วยตัวเองอยู่มากกว่าน่ะสิ

            ฉีตงเดินมาข้างเตียงเพื่อหยิบถุงเท้า แต่กลับพบว่าถุงเท้าของเขาเหลือแค่ข้างเดียว เขาจำได้ว่าตนยัดเข้าไปในรองเท้าทั้งสองข้าง แน่นอนว่ามันคงไม่มีขาวิ่งหนีไปเองหรอก

            ฉีตงกวาดตามองไปทั่วห้อง ก่อนหันกลับมาถามหลิงเต้าซีที่กำลังนอนอ่านหนังสือบนเตียงฝั่งตรงข้าม “มึง มึงเห็นถุงเท้ากูป้ะ”

            หลิงเต้าซีส่ายหน้าพลางตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่เห็น”

            ฉีตงมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่การที่ถุงเท้าหายไปข้างเดียวเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีใครเขามานั่งคิดเล็กคิดน้อย ฉีตงจึงคิดว่าตัวเองคงทำมันหล่นหายที่ไหนสักแห่ง

            เขาคุ้ยกองเสื้อผ้าข้างเตียง แต่ก็ไร้ประโยชน์ ฉีตงยอมแพ้และโยนถุงเท้าทิ้งไว้กับกองเสื้อผ้า ก่อนเดินออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำ

            หลังจากฉีตงออกไปไม่นาน ประตูห้องก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น