๑
สิบแปดปีผ่านไป
ชลาลัยสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย เธอลืมตาขึ้นกะพริบถี่พลางหอบหายใจหนักด้วยความรู้สึกตื่นกลัว ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยทุเลาลงเมื่อรับรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้น่าสบายบนเครื่องบิน จึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเพื่อให้คลายความกังวลลง ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออก
หญิงสาวลุกจากเก้าอี้แล้วพยายามแทรกตัวผ่านขายาวๆ ของชายหนุ่มใบหน้าคมสันที่กำลังหลับอยู่บนเก้าอี้ริมทางเดินออกไปโดยไม่รบกวนเขา
“ไปไหน” ชายหนุ่มเอ่ยถามโดยไม่ลืมตา
หญิงสาวหรี่ตา “นึกว่าหลับ”
“ก็หลับ ถ้าเธอไม่กวน”
ชลาลัยแยกเขี้ยวใส่ “จะไปห้องน้ำ ขอทางหน่อย”
ชายหนุ่มขยับขาให้ แต่ขายาวๆ นั้นก็ยังเกะกะอยู่ดี ทำให้กว่าชลาลัยจะออกไปยืนกลางทางเดินแคบๆ ได้ก็เล่นเอาทุลักทุเลไม่น้อย
จากนั้นชลาลัยก็เดินไปตามทางที่ขนาบด้วยเก้าอี้น่าสบายสู่ห้องน้ำที่อยู่ตรงสุดทางเดิน ทว่าเมื่อเดินไปเกือบจะถึงอยู่แล้ว เครื่องบินกลับโคลงอย่างแรง ทำให้ร่างของเธอเสียหลักล้มลงไปนั่งบนตักของผู้โดยสารที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้แถวหน้าสุดพอดี
“ว้าย!”
เจ้าของตักคว้าเอวเธอไว้ สัญญาณรัดเข็มขัดสว่างวาบขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะดับไป เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ความเป็นปรกติ ชลาลัยจึงรู้สึกตัวแล้วรีบลุกขึ้นทันที ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะให้เขา
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ชายคนนั้นโบกมือ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาสะดุดตาทีเดียว โดยเฉพาะดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความสดใสคู่นั้น ทำเอาหัวใจสาวถึงกับสั่นไหวไม่เป็นปรกติเลย
เขายิ้มแล้วผายมือให้ “เชิญครับ”
“ค่ะ” ชลาลัยตอบ แก้มนวลร้อนซู่ “เอ่อ...ขอโทษอีกทีนะคะ”
หญิงสาวค้อมศีรษะให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะรีบเข้าห้องน้ำปิดประตูลงกลอนด้วยความรู้สึกเขินอายจนอยากแทรกผนังห้องน้ำกระโดดลงจากเครื่องบินเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ยายน้ำเอ๊ย ล้มที่ไหนไม่ล้ม ดันไปล้มบนตักหนุ่มหล่อหน้าใสสไตล์เกาหลีขนาดนั้นเสียได้
“ให้ตายสิ น่าอายจัง”
ชลาลัยยกสองมือขึ้นกุมแก้มแดงก่ำของตัวเองหน้ากระจก เธอต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ทีเดียวกว่าจะคลายความตื่นเต้นลง ก่อนจะรีบจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จ แล้วเปิดประตูก้าวออกจากห้องน้ำ
ตอนนั้นชายผู้มีตักนุ่มและอ้อมแขนอบอุ่นกำลังนั่งไขว่ห้างอ่านนิตยสารอยู่ตรงที่นั่งตัวเดิม มาดเขาอย่างกับพวกผู้ดีอังกฤษ ขายาวๆ คู่นั้นทำให้เธอคิดว่าเขาน่าจะมีความสูงพอๆ กับเพื่อนร่วมทางของเธอเลยทีเดียว ใบหน้าหล่อเหลานั้นชวนให้ชลาลัยเผลอยืนมองอย่างลืมตัว จนเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ เธอก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะยิ้มตอบอย่างเก้อเขินแล้วรีบเดินก้มหน้างุดๆ กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
“ทำไมไปนานจัง” คนนั่งขวางทางเข้าเอ่ยถามพลางหลบขาให้เธอแทรกเข้าไปนั่งริมหน้าต่าง
“เมื่อกี้เครื่องตกหลุมอากาศ นายไม่รู้สึกหรือไง”
“ไม่อะ”
เขาส่ายหน้าแล้วหลับตาลงกรนเบาๆ ชลาลัยมองคนขี้เซาแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เพราะเครื่องบินโคลงขนาดนั้นไม่รู้สึก แต่พอเธอขยับนิดเดียวกลับตื่นลืมตาขึ้นมาเสียได้ ก่อนจะหันไปดึงนิตยสารออกมาจากช่องเก็บหลังเก้าอี้ตัวหน้าด้วยความตื่นเต้น เพราะเมื่อครู่เธอแอบเห็นอะไรบางอย่างจากนิตยสารที่ชายผู้มีตักนุ่มดูอยู่ จากนั้นก็พลิกหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอหน้าที่ต้องการ รอยยิ้มจึงผุดพราวขึ้นมาบนวงหน้านวลเนียน
น่านตะวัน นนทกิจอนันต์ พ่อมดนักลงทุนหนุ่มหล่อที่ฮอตที่สุดแห่งวงการการเงินของไทย
หัวข้อคอลัมน์และใบหน้าอันคมสันสมชายชาตรีของชายหนุ่มเรียกรอยยิ้มให้แก่เธอได้เป็นอย่างดี เกือบสี่ปีแล้วที่เธอไม่ได้พบเขา ได้แต่คุยกันผ่านทางวิดีโอคอล แต่เขาดูไม่เปลี่ยนไปสักนิดเดียว ใบหน้ารูปไข่ยังคงกระจ่างใส ดวงตายังคงฉายแววแห่งความมุ่งมั่นที่แม้จะเจือด้วยความเศร้าเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจสาวๆ ได้เป็นอย่างดี ส่วนริมฝีปากรูปกระจับนั้นก็สวยงามรับกับจมูกที่โด่งเป็นสันอย่างลงตัว แถมเวลายิ้มยังมีรอยบุ๋มเล็กๆ กลางแก้มซ้ายอีกต่างหาก
‘หล่อซะไม่มี’
ชลาลัยหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเริ่มตั้งใจอ่านบทความในนิตยสารอย่างตั้งใจ จนได้รู้ว่าน่านตะวันกลายเป็นนักลงทุนหนุ่มรุ่นใหม่ของวงการการเงินในประเทศไทยไปแล้ว เพราะขณะที่เขามีอายุเพียงสามสิบปีแต่กลับมีพอร์ตการลงทุนที่มีมูลค่าสูงถึงห้าพันล้านบาทเข้าให้แล้ว
น่านตะวันเริ่มเทรดหุ้นจากการเริ่มทดลองเล่นในพอร์ตหุ้นจำลองขณะที่เรียนอยู่ปีสองคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในสหรัฐอเมริกา ก่อนจะลงสู่ตลาดหุ้นจริงเมื่อตอนเริ่มเรียนปีสี่ โดยใช้เงินเก็บที่มีอยู่รวมกับเงินที่ได้จากการทำงานนอกเวลาเรียนตั้งแต่ปีหนึ่งมาเป็นทุนเริ่มต้น หลังจากนั้นเขาใช้เวลาเพียงสี่ปีกว่ามูลค่าพอร์ตของเขาก็แตะสองพันล้านบาท และกลายเป็นห้าพันล้านบาทในขวบปีต่อมา ซึ่งตอนนั้นเขาอายุเพียงยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเป็นประธานเอ็นเอเอ็นโบรกเกอร์ โดยการเข้าครอบครองกิจการหลังจากกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อสี่ปีที่แล้ว
‘พี่น่านเก่งจัง’
ชลาลัยยิ้มแป้น พร้อมกับใช้ปลายนิ้วลูบไปตามเรียวหน้าของเขาช้าๆ ด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้ง
“หล่อดีนะ”
ชลาลัยสะดุ้งหลุดจากภวังค์หันไปแยกเขี้ยวใส่คนข้างตัว “นึกว่าจะหลับไปถึงเมืองไทยเสียอีก”
“เธอนั่นแหละทำให้ฉันตื่น” ธนากรบ่นอุบ ก่อนที่ริมฝีปากจะยกยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ แม้จะเพิ่งตื่น แต่เขาก็ยังดูดีเสมอ ใบหน้าของเขาเกลี้ยงเกลา นัยน์ตาเข้ม ผมสีดำขลับเรียบแปล้ ผู้หญิงคนไหนได้เห็นก็ต้องบอกว่าหล่อเหลาเอาการเป็นเสียงเดียวกัน
“ขอโทษนะยะที่ปลุก ก่อนขึ้นเครื่องหิ้วสาวคนไหนไปอะพาร์ตเมนต์อีกล่ะ สภาพแบบหมดพลังอย่างนี้ สงสัยระดับนางแบบแน่เลย”
“ช่างแดกดันกันเก่งจริงนะ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างไม่ถือสา
“ทำตัวให้แดกดันนี่” หญิงสาวทำปากเบ้
“เพราะงี้ใช่ไหม เธอถึงไม่ชอบฉันเสียที”
“ย่ะ ฉันไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ ยิ่งเปลี่ยนคู่นอนมากเท่าไรก็ยิ่งน่ารังเกียจ”
“แล้วทำไมถึงยังคบกันอยู่ล่ะ”
“พูดให้เต็ม” เธอชี้นิ้วใส่เขา “คบเป็นเพื่อน”
“เออนั่นแหละ คบเป็นเพื่อนนั่นแหละ”
หญิงสาวโบกนิ้วที่ชี้นั้นไปมา “ข้อแรก นอกจากเรื่องเจ้าชู้ นายก็ไม่มีอะไรเสียหาย ทุกอย่างเลิศเลอเพอร์เฟกต์ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา รูปร่าง การศึกษา ฐานะทางบ้าน ซึ่งนั้นนำมาถึงข้อสอง...”
“อะไร” เขาถามด้วยความสนใจ
ชลาลัยยิ้มแป้น “นายเป็นไม้กันหมาชั้นดีที่ฉันปฏิเสธไม่ได้”
“เปรียบผู้ชายเป็นหมาเชียว ดีนะที่ฉันได้เป็นไม้น่ะ” เขาหัวเราะ
“ก็แค่สำนวนย่ะ”
“อยากรู้จัง หมา...เอ๊ย...ผู้ชายตัวไหน...เอ๊ย...ผู้ชายคนไหนจะละลายหัวใจน้ำแข็งของเธอได้” ธนากรยิ้มแล้วจ้องมองเธออย่างพินิจ ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มลงบนนิตยสารบนตักเธอ “หรือจะเป็นผู้ชายคนนี้”
“นี่มันพี่ชายฉันย่ะ”
“เขาใช้นามสกุล นนทกิจอนันต์ ส่วนเธอ ปัถมนันท์ พ่อแม่ก็คนละคนกัน มันพี่น้องกันตรงไหน”
“ถึงจะใช้คนละนามสกุล แต่ฉันก็นับถือเขาเหมือนพี่ชายย่ะ”
“พี่ชายแล้วทำไมเวลาพูดถึง เธอต้องหน้าแดงด้วยล่ะ”
“เรื่องของฉัน” เธอตอบเมินๆ รู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมด
ธนากรกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย “แอบรักพี่ชายระวังไว้เถอะ น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”
ชลาลัยหันไปแยกเขี้ยวใส่คนพูด ก่อนจะใช้สันหนังสือเคาะหัวเพื่อนเสียงดังโป๊ก
“โอ๊ย! มันเจ็บนะ”
“แอบรักพี่น่านก็ยังดีกว่ารักนายแล้วน้ำตาเช็ดหัวเข่าวันละสิบรอบ เหมือนสาวๆ พวกนั้นละ”
“ไม่แตะต้องก็ได้ โธ่เอ๊ย” ธนากรทำปากเบ้ใส่ ก่อนจะหันหลังให้เธอแล้วเอนตัวนอนหลับไปอีกครั้ง
“หลับง่ายจริงวุ้ย” ชลาลัยส่ายหน้า แล้วก้มลงมองผู้เป็นพี่ชายในนิตยสารด้วยรอยยิ้มแห่งความตื่นเต้นที่จะได้พบเขาอีกครั้ง หลังจากตลอดสี่ปีที่ผ่านมาได้พูดคุยกับเขาผ่านหน้าจอโทรศัพท์เท่านั้น
บริเวณโถงต้อนรับผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศของสนามบินสุวรรณภูมิคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่มารอรับญาติสนิทมิตรสหายของพวกเขา บางคนชะเง้อชะแง้มองอย่างใจจดจ่อ บางคนโบกป้ายชื่อในมือไปมา แต่บุรุษหนึ่งกลับยืนนิ่งราวรูปปั้นในตำแหน่งที่สามารถเห็นทุกคนที่ออกมาจากเกตได้เป็นอย่างดี
“นายแน่ใจนะบุรินทร์ ว่าน้องน้ำมาเที่ยวบินนี้”
“แน่ใจครับ” ชายหนุ่มหน้าตาดีสวมสูทผูกไทค้อมศีรษะเล็กน้อย
“แล้วทำไมยังไม่มาอีก นี่มันเลยเวลาแล้วนะ”
“เครื่องดีเลย์นิดหน่อยครับ” บุรินทร์แอบยิ้มกับความตื่นเต้นของเจ้านายหน้าเข้ม ผู้ที่เขาไม่เคยเห็นว่าจะตื่นเต้นกับอะไรมาก่อน
สักพักใหญ่ก็เริ่มมีคนกรูกันออกมาอีก สองหนุ่มที่มีความสูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบเท่ากันแทบไม่ต้องเขย่งเท้ายืดคอชะเง้อมองก็เห็นผู้โดยสารขาเข้าทั้งหมด ทั้งคู่เพียงกลอกตามองหาเท่านั้น ก่อนที่บุรินทร์จะโหวกเหวกขึ้น
“นั่นไงครับ คุณน่าน”
ชายหนุ่มหรี่มองตามนิ้วของเลขานุการหนุ่มไปก็เห็นชลาลัยเข็นรถบรรทุกกระเป๋าออกมา เธอดูเป็นสาวที่สวยสะพรั่งกว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเมื่อสี่ปีที่แล้วลิบลับ ตอนนี้เด็กสาวที่เคยผอมแห้งกลายมาเป็นผู้หญิงที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าอันน่าหลงใหลไปแล้ว ใบหน้าใสๆ แบบเด็กตอนนี้ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ อย่างมีศิลปะจนงดงามตราตรึงใจ ผมเปียเล็กๆ กลับกลายเป็นผมยาวดัดลอนเล็กน้อยและย้อมสีตามสมัย
ทุกอย่างมันควรจะสมบูรณ์แบบ หากไม่มีอะไรขัดหูขัดตาเขาเสียก่อน
“นั่นใคร!”
น่านตะวันพยักพเยิดไปที่ชายหนุ่มซึ่งเข็นรถเคียงข้างมากับชลาลัย ทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันมาอย่างสนิทสนมจนเขารู้สึกหมั่นไส้
“ลูกของท่านรัฐมนตรีธนวัฒน์ครับ ชื่อธนากร”
ชายหนุ่มหรี่ตาลง “หมอนี่เอง”
“ครับ” บุรินทร์พยักหน้า “รินบอกว่าสองคนนั้นเป็นเพื่อนกันครับ ไม่มีอะไรมากเกินกว่าคำว่าเพื่อน”
ริน หรือ รินลดาคือน้องสาวของบุรินทร์ซึ่งเป็นรุ่นน้องในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ชลาลัยเรียน และเป็นคนที่คอยติดตามส่งข่าวเรื่องของหญิงสาวมาให้พี่ชายเสมอ
“แน่ใจ” เขาหันไปถามย้ำ
“แน่ครับ” บุรินทร์พยักหน้าขึงขัง “รินบอกผมว่าคุณน้ำใช้ผู้ชายคนนั้นเป็นกันชนไม่ให้ผู้ชายคนอื่นเข้ามายุ่งเท่านั้น”
น่านตะวันหันกลับไปมองธนากรอีกครั้งด้วยดวงตาขวาง คิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อรู้สึกว่าสองคนนั้นสนิทกันเกินเพื่อนไปแล้ว เพราะทั้งท่าทางการพูดจา การหัวเราะต่อกระซิก และการแตะเนื้อต้องตัวกันแบบนั้น มันทำให้เขารู้สึกตะครั่นตะครอชอบกล
“พี่น่าน!”
เสียงเรียกของหญิงสาวพร้อมมือที่ชูขึ้นโบกแทบทำให้ความขุ่นใจที่มีต่อบุรุษหนุ่มข้างกายของน้องสาวพลันหายไป เขาเผยยิ้มตอบเธอและอ้าแขนออกรอให้เธอโผเข้ามาหา
ชลาลัยทิ้งรถเข็นกระเป๋าแล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดผู้เป็นพี่ชายด้วยความคิดถึง น่านตะวันโอบกอดเธอตอบอย่างคิดถึงเช่นกัน ก่อนจะดันร่างบางให้ออกห่างเพื่อพิศดูให้เต็มตา
“ไม่เจอกันนาน โตขึ้นเป็นกองเลยนะเรา”
“พี่น่านก็เหมือนกัน หล่อขึ้นเป็นกอง” หญิงสาวเอ่ย ก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่นอีกครั้ง “คิดถึงพี่น่านจังเลย”
“พี่ก็คิดถึงน้ำเหมือนกัน” น่านตะวันยิ้มแก้มแทบปริ
“คิดถึงแล้วทำไมไม่ไปหาน้ำเลยล่ะคะ วิดีโอคอลมาก็คุยกันได้แป๊บเดียว ยุ่งตลอด” หญิงสาวตัดพ้อ
“โธ่...งานที่บริษัทพี่มันยุ่งน่ะ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลา”
“เข้าใจค่ะ คุณพ่อมดการเงิน” ชลาลัยหัวเราะคิกคักแล้วผละจากอ้อมอก ก่อนจะผายมือไปยังชายหนุ่มข้างกายหมายจะแนะนำให้เขารู้จัก “นี่...”
แต่น่านตะวันไม่รอให้น้องสาวเอ่ยอะไรออกมาเต็มคำก็รีบโอบไหล่น้องสาว แล้วพาเดินผละจากมาดื้อๆ ก่อนจะเอ่ยถามเหมือนชายคนนั้นไม่มีตัวตน
“วันนี้น้ำอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวพี่ทำให้กิน”
“เอ่อ...อะไรก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบงงๆ “แต่...”
“กระเป๋า...เดี๋ยวบุรินทร์ก็เข็นมาให้เองแหละ” น่านตะวันเอ่ยแทรกพร้อมกับประคองร่างของน้องสาวเดินลิ่วๆ ไปอย่างไม่สนสี่สนแปดใดๆ ทั้งสิ้น
“เอ่อ พี่น่านคะ...”
“แล้วนี่กะจะพักก่อนไหมหรือจะทำงานเลย” น่านตะวันรีบถามแทรกขึ้นอีกครั้ง
“ก็...เอ่อ...น้ำกะว่าจะหางานทำเลยน่ะค่ะ ระหว่างรองานก็จัดการเรื่องใบประกอบวิชาชีพไปด้วย”
“มาทำงานกับพี่ไม่ดีกว่าหรือ”
“น้ำเรียนจบสถาปัตย์มานะคะ บริษัทพี่น่านเป็นโบรกเกอร์ มันเกี่ยวกันตรงไหนไม่ทราบคะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก
น่านตะวันหัวเราะตาม “พี่ก็จบวิศวะมานะ ยังทำได้เลย”
“ไม่เอาหรอกค่ะ น้ำอยากทำงานด้านที่เรียนมามากกว่า”
“เอาๆ ก็ตามใจ”
ชลาลัยยิ้มแป้นก่อนจะทำท่าว่าจะเหลียวหลังไปดูเพื่อนหนุ่ม น่านตะวันจึงจับไหล่เธอเอาไว้แล้วรีบประคองเดินไปข้างหน้า
“เอ่อ...พี่น่านคะ คือว่า...”
“รีบไปเถอะ หน้าอาคารรถจอดนานไม่ได้” ชายหนุ่มตัดบทแล้วรีบพาน้องสาวสุดที่รักไปขึ้นรถเบนท์ลีย์ คอนติเนนทัล จีที สีขาวที่จอดอยู่หน้าอาคารผู้โดยสารทันที
บุรินทร์ที่เข็นรถเข็นตามมารีบนำสัมภาระของหญิงสาวขึ้นรถ จากนั้นก็ขึ้นนั่งประจำที่คนขับแล้วพารถคันหรูเคลื่อนออกไปโดยไม่สนใจคนที่ตามมายืนโบกมือหย็อยๆ อยู่หน้าอาคารเลยแม้แต่น้อย
กรุงเทพมหานครเปลี่ยนไปจากเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ถนนหนทางตัดกันให้ยุ่บยั่บ ตึกสูงระฟ้าก็ผุดขึ้นมากมาย ทุกอาคารต่างก็มีการออกแบบที่แปลกและแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ชลาลัยรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์อาคารสวยๆ ออกมาประดับเมืองในอนาคต
“ตอนที่เราไปอเมริกา ยังไม่มีตึกสูงหน้าตาแปลกๆ เท่านี้เลยนะคะ น้ำจำได้ว่าตอนนั้นตึกที่สูงที่สุดคือใบหยกสอง”
“ตอนนี้ไม่ใช่แล้วละ” น่านตะวันหัวเราะ “หลายปีมานี้ตึกสูงๆ ผุดขึ้นเยอะ เล่นเอาใบหยกของน้ำตกอันดับไปแล้ว”
“นั่นสินะ มันตั้งสิบเอ็ดปีแล้วนี่”
ชลาลัยนึกถึงความหลัง เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว เธออายุเพียงแค่สิบสามปี แต่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปไกลแสนไกล เหตุเพราะน่านตะวันต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกา แต่เขาก็ไม่ยอมไปเด็ดขาดหากเธอไม่ติดสอยห้อยตามเขาไปด้วย เธอจึงต้องบินข้ามฟ้าข้ามทะเลไปเรียนชั้นมัธยมพร้อมกับพี่ชาย
เมื่อไปถึงอีกซีกโลกหนึ่ง น่านตะวันดูแลเธอเป็นอย่างดี ราวกับเธอเป็นน้องสาวของเขาจริงๆ แต่หลังจากเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยและทำงานอยู่ที่อเมริกาได้สองสามปี เขาก็บินกลับประเทศไทยเลย โดยคราวนี้ไม่อิดออดขอให้เธอตามกลับมาด้วย ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังหลังจากนั้นจนกระทั่งจบปริญญาโท
ติ๊ง!
เสียงเตือนข้อความจากแอปพลิเคชันสนทนาที่ดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือทำให้ชลาลัยต้องรีบหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่าน
TaNaKorn : เมื่อกี้มันอะไรกันอะ
TaNaKorn : ทำไมพี่เธอถึงทำอย่างกับฉันไม่มีตัวตน
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป
Nahm : พี่น่านเขาคงไม่เห็นนายมั้ง
TaNaKorn : จะบ้าเรอะ ยืนหัวโด่อยู่ จะไม่เห็นได้ยังไง
Nahm : ก็แบบสนใจแต่ฉันไง
TaNaKorn : ฉันว่าพี่เธอหวงเธอต่างหาก
Nahm : ก็คนมันสวยน่ารักอะ อิอิ
TaNaKorn : แหวะ ชมตัวเองก็ได้
Nahm : เอาน่าๆ เอาไว้ฉันจะแนะนำให้รู้จักใหม่ มีเวลาอีกตั้งเยอะ
TaNaKorn : เออๆ หวังว่าคราวหน้าจะไม่กลายเป็นฝุ่นอีกนะ
ชลาลัยหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เธอเก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้ากระเป๋าสะพาย แล้วหันไปมองคนข้างตัว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเขามองเธอด้วยแววตาสงสัย
“คุยกับใคร”
“เอ่อ...เพื่อนค่ะ เมื่อกี้ว่าจะแนะนำให้พี่น่านรู้จักแต่คลาดกันเสียก่อน”
“แฟนหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ค่ะ” ชลาลัยโบกมือเป็นพัลวัน “เขาเป็นเพื่อนจริงๆ ค่ะ”
น่านตะวันหันมาจ้องมองเธอเขม็ง “แล้วน้ำมีแฟนหรือยัง”
“ยังค่า” หญิงสาวลากเสียงยาว “แค่เรียนก็หัวจะระเบิดแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟนคะคุณพี่”
“จริงอะ”
“จริงสิคะ”
“ก็ดีแล้ว” พี่ชายพยักหน้ายิ้มๆ อย่างพึงใจ “ผู้ชายสมัยนี้มันไว้ใจไม่ได้ อย่าได้ไปยุ่งเด็ดขาด”
“พูดอย่างกับตัวเองไม่ใช่ผู้ชายแน่ะ”
“มันไม่เหมือนกัน พี่เป็นพี่ชายน้องน้ำ ไม่ใช่ผู้ชายพวกนั้นสักหน่อย”
“โอเคค่า ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง จะอยู่บนคานให้พี่น่านเลี้ยงนี่แหละ”
“ดีมาก” น่านตะวันพยักหน้าอย่างพึงใจ “อยู่เมืองไทย ถ้ามีใครมาเกาะแกะทำให้น้ำรำคาญใจก็บอกพี่นะ พี่จะจัดการมันเอง”
“หูย...หวงน้องสุดฤทธิ์เลยนะเนี่ย นึกถึงตอนที่อยู่อเมริกาด้วยกันเลย หนุ่มๆ ที่มาจีบน้ำกระเจิงไปทุกคน”
“ทำไงได้ มีน้องสาวกับเขาอยู่คนเดียวนี่นา”
ชลาลัยหัวเราะคิกคัก “โอเคค่ะ ถ้ามีใครมาจีบน้ำ น้ำจะบอกพี่น่านเป็นคนแรกเลย ดีไหมคะ”
“ดีมาก...พี่จะสแกนเอง ยังไงคนที่จะมาดูแลน้ำได้จะต้องผ่านสายตาพี่ก่อน พี่รับรองได้ ไอ้เรื่องมองคนละไม่เคยพลาดสักครั้ง”
“ค่า...คุณพี่”
ไม่นานรถคันหรูก็แล่นมาถึงคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้ชลาลัยประหลาดใจมาก เพราะมันไม่ใช่คฤหาสน์หลังใหญ่ของนนทกิจอนันต์ เหมือนที่เธอเคยอาศัยอยู่ระยะเวลาหนึ่งก่อนจะบินไปเรียนต่างประเทศ
“เอ่อ...เราไม่ได้กลับบ้านกันก่อนหรือคะพี่น่าน”
“นี่แหละบ้านของเรา” เขาตอบเสียงเครียด
หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “ตอนนี้ย้ายมาอยู่คอนโดกันหมดเลยหรือคะ”
“เฉพาะพี่กับน้ำเท่านั้น”
“หมายความว่ายังไงคะ”
น่านตะวันเผยยิ้มขรึมๆ “พี่ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่กลับมาถึงเมืองไทยแล้วละ”
“แล้วบ้านล่ะคะ”
“พวกเขา...” เขาชะงัก ก่อนจะยักไหล่ “พ่อกับแม่อยู่”
“ทำไมล่ะคะ หรือว่ามาอยู่นี่ใกล้ที่ทำงาน”
“อืม...ก็ทำนองนั้นแหละ” เขาตอบแบบขอไปที
“งั้นพี่น่านจะพาน้ำไปไหว้คุณอาทั้งสองเมื่อไรคะ”
“วันนี้พักผ่อนก่อนเถอะ เอาไว้จะให้บุรินทร์พาไปพรุ่งนี้”
“อ้าว...ทำไมพี่น่านไม่พาน้ำไปล่ะคะ”
“พี่งานยุ่งน่ะ”
“แต่ว่า...”
“ถึงแล้ว” น่านตะวันแทรกขึ้นเมื่อรถเบนท์ลีย์ของเขาจอดที่หน้าอาคาร ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูให้เธอ
ชลาลัยลงจากรถแล้วมองตามหลังพี่ชายที่เดินดุ่มๆ เข้าไปในอาคารอย่างไม่เข้าใจท่าทีของเขาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวเลยสักนิด จริงอยู่ที่ก่อนไปอเมริกากัน เขาจะดูห่างเหินกับภาสพงษ์อยู่พอสมควร แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะแยกบ้านมาอยู่ตามลำพังอย่างนี้
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
คอนโดมิเนียมที่น่านตะวันอาศัยอยู่เป็นอาคารสูงใหญ่ย่านใจกลางเมือง เป็นซูเปอร์ลักชัวรีคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่กว้างขวางและจัดแต่งได้อย่างสวยงามมาก ภายในห้องโถงตกแต่งแบบเรียบง่ายประดับด้วยเครื่องเรือนทันสมัย ตรงข้ามกับทางเข้าเป็นผนังกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองกรุงได้อย่างสวยงาม
ชลาลัยโผไปที่กระจกบานนั้นแล้วมองไปทั่ว “ว้าว...วิวสวยจังเลยค่ะพี่น่าน”
น่านตะวันเดินมายืนล้วงกระเป๋าข้างๆ เธอ “นึกแล้วว่าน้ำต้องชอบ”
“รู้ใจไปหมดแบบนี้ ต้องยกให้เป็นพี่ชายที่แสนดีอันดับหนึ่งของเมืองไทย” หญิงสาวหันไปยกนิ้วโป้งให้ด้วยท่าทางร่าเริง
“มีน้องสาวทั้งสวยทั้งน่ารักแบบนี้ จะไม่ให้เป็นพี่ชายที่แสนดีอันดับหนึ่งของเมืองไทยได้ยังไงกันล่ะ” เขายักคิ้วแล้วจับศีรษะเธอเขย่าเบาๆ “ไปดูห้องนอนน้ำกันดีกว่า รับรองว่าต้องถูกใจกว่านี้แน่”
น่านตะวันโบกมือแล้วเดินนำไปทางปีกซ้ายของห้องโถงผ่านห้องรับประทานอาหารที่มีครัวอยู่ด้านซ้าย และมีโต๊ะขนาดแปดที่นั่งอยู่ด้านขวาไปยังทางเดินแคบๆ ที่มีประตูสองบานติดกัน แล้วไปหยุดที่ประตูบานแรก ก่อนจะผลักเข้าไป
เมื่อชลาลัยตามเข้าไปในห้องนั้น เธอก็เห็นผนังกระจกบานใหญ่ที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ไม่ต่างอะไรกับเมื่อครู่นี้เลย แถมภายในห้องก็จัดแต่งอย่างดีด้วยโทนสีฟ้าซึ่งเป็นสีที่เธอโปรดปรานที่สุด
“ว้าว...มันสวยมากเลยค่ะพี่น่าน” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับเดินชื่นชมไปรอบห้องซึ่งมีประตูไม้เปิดไปยังห้องแต่งตัวที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมมากมาย แถมตามลิ้นชักต่างๆ ก็มีเครื่องประดับหรูหราวางเอาไว้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“โหย อะไรกันเนี่ย นี่พี่น่านกะให้น้ำอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยหรือคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“แล้วบ้าน...”
“ที่นี่คือบ้านของเรา” เขาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยเสียงเข้ม
“ทำไมล่ะคะ แล้วบ้านนนทกิจอนันต์ล่ะคะ”
“เราจะอยู่ด้วยกันที่นี่ ส่วนเหตุผลพี่ว่าน้ำไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
“แต่น้ำเป็นน้องสาวของพี่น่านนะคะ แล้วก็เป็นหลานของคุณอาทั้งสองด้วย ตั้งแต่พ่อกับแม่ตาย น้ำก็แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพี่น่าน ทำไมจะไม่ต้องรู้คะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างอดรนทนไม่ไหวกับปริศนาที่พี่ชายเก็บงำไว้
น่านตะวันนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนใจออกมา “ก็ได้”
“คะ”
“พี่ทะเลาะกับพ่อ ก็เลยแยกมาอยู่คนเดียว”
“เรื่องอะไรคะ ทำไมถึงร้ายแรงขนาดนั้น”
ชายหนุ่มแยกเขี้ยว “พี่ไม่อยากพูดถึง เอาเป็นว่าพี่กับพ่อความเห็นไม่ตรงกัน”
“แล้วคุณอาหญิงล่ะคะ”
“รายนั้นก็เหมือนกัน” น่านตะวันขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน “พี่ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ แต่เอาเป็นว่าผู้หญิงคนนั้นทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นคุณผู้หญิงของนนทกิจอนันต์ก็แล้วกัน”
“ช่วยบอกให้มันละเอียดกว่านี้ได้ไหมคะพี่น่าน”
เขาหลับตาลงแล้วถอนใจออกมาอีกเฮือก “น้ำมาถึงเหนื่อยๆ พักผ่อนซะเถอะ พี่จะไปทำธุระก่อน เย็นๆ จะมาทำอาหารให้กิน”
“แต่พี่น่านคะ...”
น่านตะวันไม่ฟังอะไร เขาหันหลังให้เธอ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอนของเธอด้วยท่าทางเครียดจัด จนกระทั่งหายลับไปจากสายตาของเธอ
“มันเรื่องอะไรกันแน่”
ชลาลัยงึมงำมองตามพี่ชายไปอย่างไม่เข้าใจอะไรเลย เวลาสิบเอ็ดปีที่เธอไม่อยู่เมืองไทย มันช่างเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างที่เธอคาดไม่ถึงเหลือเกิน
ความคิดเห็น |
---|