ทันทีที่ติณห์พูดจบ สุริวัสสาก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงทันที เธอเอนตัวลงนอนบนโซฟา เหม่อมองเพดานแล้วนิ่งไปสักพักหนึ่ง จนเพื่อนสนิทต้องชะโงกหน้าเข้ามาดูว่าหมดสติไปหรือยัง
“แกอย่าเพิ่งตายนะ”
“ทำไมบทมันจะซวย มันก็ซวยได้ขนาดนี้นะ” หญิงสาวถอนหายใจยาว
“คือตอนนี้อย่างมากฉันก็รับหน้าไปว่าช่วยคุณภาคินวางแผน แต่ที่ฉันเครียดเนี่ยคือที่เขามีลูกมีเมีย แล้วเมียเขากำลังจะฟ้องหย่า ซึ่งเราสองคนเป็นหนึ่งในต้นเหตุ” ติณห์พูดเนือยๆ แล้วกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม
“เออสิ ฉันก็เครียดเรื่องนี้ นี่เราไปทำให้ครอบครัวเขาแตกกัน ลูกของเขากลายเป็นเด็กบ้านแตก โอ๊ย!” สุริวัสสายกมือขึ้นทาบลงบริเวณหัวใจตนเอง ความรู้สึกผิดประดังประเดเข้ามาจนเธอคิดอะไรไม่ออก
“เมียเขาชื่อรดา แอบแต่งกันเงียบๆ มานานมากละ ก่อนที่คุณภาคินจะเข้ามาในวงการอีก เขาไม่ได้จดทะเบียนกัน แต่ฉันก็สืบไม่ละเอียดเองด้วยแหละ” ติณห์ยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ แล้วจึงนวดขมับตัวเองแก้ปวดหัว
“เด็กอายุเท่าไหร่”
“สิบห้า กำลังวัยรุ่นเลยแก ชื่อภัทรา ชื่อเล่นชื่อน้องแพม หน้าตาดีด้วยนะ”
ทีอย่างนี้ละสืบซะละเอียดยันชื่อเล่นเลยนะ...สุริวัสสานึกโกรธความสะเพร่าของเพื่อน แต่เธอก็จะไปโทษติณห์อย่างเดียวไม่ได้ ในเมื่อเธอเองก็ไม่ได้มาเช็กให้ดีอีกทีเหมือนกัน
“แกบอกฉันทีว่ามันต้องมีทางแก้”
“แกจะแก้อะไรได้ เรื่องมันเกิดไปแล้ว”
“ถ้าเราทำให้เขาแตกกันได้ เราก็ต้องทำให้เขาคืนดีกันได้สิ”
“นี่คุณเธอ ความรู้สึกคนนะคะ ไม่ใช่ดินน้ำมัน ที่ดึงให้แยกละจะมาบี้รวมกันได้ใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ติณห์ยังมีอารมณ์เปรียบเทียบติดตลก
สุริวัสสาขำไม่ออก อย่าว่าแต่หัวเราะเลย ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่อกตลอดเวลา แค่หายใจยังไม่ค่อยจะสะดวกเสียด้วยซ้ำ
“ไม่รู้แหละ ฉันว่ามันต้องมีทางแก้”
“ให้นังเคนพาเข้าวัดไหม วันก่อนมันบอกอยู่ว่าเราสองคนทำกรรมไว้เยอะ”
“ไม่ต้องไปแก้กรรมอะไรที่วัดหรอก อะไรที่เราก่อไว้ เราก็ต้องแก้มันด้วยตัวเอง วันนี้ฉันเหนื่อยมาพอละ พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน คิดอะไรไม่ออกแล้วตอนนี้”
“ฉันนอนนี่นะ กลับบ้านไม่ไหวแล้ว” ติณห์กึ่งดึงกึ่งลากร่างอันหมดเรี่ยวแรงของสุริวัสสาขึ้นชั้นบนอย่างทุลักทุเล ก่อนจะล้มตัวลงบนเตียงนอนสีชมพูหวาน นึกรำคาญหมอนที่เรียงไว้ด้านบนก่อนจะขว้างลงพื้นไปทีละใบสองใบ
“นอนก็นอนคนเดียว หัวก็มีอยู่หัวเดียว จะมีหมอนเป็นสิบใบทำไม เกะกะ!” เขาบ่น
หลังจากสุริวัสสาอาบน้ำเสร็จแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ ติณห์ก็ปิดไฟหัวเตียง และบอกลาวันอันแสนเหนื่อยล้าด้วยประโยคสั้นๆ แต่ทำให้เธอหลอนไปอีกนาน
“สวัสดี นี่เราเอง เราชื่อกรรม เราตามเธอทันแล้ว”
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากติณห์กลับไปแล้ว สุริวัสสาจึงวิ่งกลับขึ้นมาบนห้อง หยิบกระดาษใบเล็กที่จดเบอร์โทรศัพท์ของรุจน์รวินออกมาจากกระเป๋าถือ มือของเธอสั่นเล็กน้อย ใจเต้นแบบประหลาดขณะกดเบอร์โทรศัพท์ของเขา ก่อนจะกดโทร.ออกแล้วรอให้อีกฝ่ายรับสายด้วยใจระทึก หวังว่าสวรรค์จะเข้าข้างให้เธอได้เบาะแสอะไรบ้าง
“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มที่รับปลายสายทำให้สุริวัสสาชะงักไปนิดหนึ่ง รู้สึกคุ้นๆ กับน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์นี้
“สวัสดีค่ะ ใช่คุณรุจน์รวินหรือเปล่าคะ” หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก พยายามทำเสียงให้เป็นธรรมชาติที่สุด
“พูดสายอยู่ครับ นั่นใครครับ”
“ฉันชื่อสุริวัสสาค่ะ เป็น...” ยังไม่ทันแนะนำจนจบประโยค อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“อ้อ คุณสุริวัสสานี่เอง”
“คะ? คุณรู้จักฉัน?” ถามแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อได้ยินปลายสายหัวเราะตอบมาเบาๆ
“มีใครไม่รู้จักคุณบ้างล่ะครับ”
“ฉันเป็นแฟนของกีรวิชญ์นะคะ พอดีฉันเช็กโทรศัพท์ของเขาแล้วเห็นว่าคุยกับคุณอยู่นาน” หญิงสาวรีบตรงเข้าประเด็นด้วยความใจร้อน เธอพยายามเลี่ยงที่จะบอกอีกฝ่ายว่าคนรักของเธอหนีไปไหนไม่รู้
“ก่อนที่จะหายตัวไป...ถูกต้องไหม” น้ำเสียงของเขายังทุ้มสม่ำเสมอ ไม่ได้มีความร้อนใจอะไรแฝงมาเลยสักนิด
“คุณรู้?” ดวงตากลมเบิกกว้าง มือบางชูกำปั้นขึ้นเหนือศีรษะ ทุกอย่างนั้นง่ายกว่าที่เธอคิดไว้หลายขุมนัก กุญแจสำคัญคือเขาคนนี้จริงๆ!
“วันนี้คุณว่างไหมคะ จะสะดวกไหมถ้าฉันอยากนัดพบคุณ” สุริวัสสากลั้นใจถามออกไป หากเจอกันต่อหน้า โอกาสที่เธอจะหว่านล้อมหรือหลอกถามเขาก็จะง่ายขึ้น ทุกอย่างมันง่ายกว่าที่เธอคิดไว้จริงๆ
“ได้สิครับ” เขาตอบกลับแทบจะทันที ได้ยินดังนั้นเธอก็รีบบอกเวลาและสถานที่ของร้านกาแฟที่จะนัดเขาไปเจอ หลังจากตกลงกันเสร็จสรรพ หญิงสาวก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปพบกับกุญแจสำคัญของเธอ แม้จะตงิดใจขึ้นมาอยู่บ้างว่าทุกอย่างนั้นดูง่ายจนเกินไปราวกับเป็นการเดินเกมที่ถูกวางแผนไว้แล้ว แต่ด้วยความดีใจ เธอจึงพยายามสลัดความคิดนั้นออกจากสมอง อย่างน้อยสวรรค์ก็ต้องเห็นใจเธอบ้างละ
เธอฮัมเพลงไปอาบน้ำไปอย่างอารมณ์ดี โดยไม่รู้เลยว่าแกะน้อยอย่างตนกำลังจะเดินเข้าไปในถ้ำเสือโดยไม่รู้ตัว! ถ้าย้อนเวลากลับมาได้ สุริวัสสาคงย้อนกลับมาในวันนี้เวลานี้ เพราะเธอจะรีบโยนเบอร์โทรศัพท์ของเขาทิ้ง แล้วไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลที่ชื่อรุจน์รวินเป็นอันขาด
สุริวัสสามาถึงก่อนเวลานัดประมาณครึ่งชั่วโมง เธอสวมชุดสีหวานผิดกับลุคเปรี้ยวหรือลุคสาวมั่นที่ชอบแต่งตามปกติ ซึ่งการใส่ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนในวันนี้ รวมถึงการคาดผมด้วยที่คาดผมลายดอกเดซี่เล็กๆ นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจ้าตัวโดยสิ้นเชิง แต่เนื่องจากวันนี้เธอต้องทำทุกวิถีทางให้นายรุจน์รวินคนนี้ยอมบอกเบาะแสให้ได้ ดังนั้นจากการสำรวจด้วยประสบการณ์จริง การที่ผู้หญิงมาในมาดของสาวใสไร้เดียงสาและไร้ทางสู้นั้น มักจะทำให้อีกฝ่ายไว้ใจได้มากกว่าปกติถึงสองเท่า
ประมาณสิบนาทีก่อนถึงเวลานัด เธอก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขาสั้นแบบลำลอง เดินเข้ามาพร้อมถอดแว่นกันแดดออก เขากำลังมองหาใครสักคน และเมื่อใบหน้าคมหันมาเห็นเธอ ร่างสูงก็เดินเข้ามาทันที
“คุณรุจน์รวิน?” เธอลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เพิ่งนึกออกว่าเคยเห็นหน้าเขาตามนิตยสารต่างๆ แต่เมื่อก่อนเธอไม่เคยสนใจ
“มาถึงนานรึยังครับ” คนพูดยิ้มตอบ แต่คงเป็นเพราะเธอเจอคนมามาก หญิงสาวจึงสังเกตได้ว่าดวงตาคมของเขานั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย เห็นดังนั้นสุริวัสสาก็สร้างกำแพงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ใครที่ไม่จริงใจกับเธอก็อย่าหวังว่าเธอจะจริงใจด้วยเลย
“สักพักเองค่ะ” เสียงหวานตอบพลางหลบตา เสมองไปทางแก้วกาแฟที่พร่องไปกว่าครึ่งของตน เธอไม่ชอบสายตาที่เขามองเธอเอาเสียเลย มันทำให้เธอประหม่าแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆ ที่เคยเจอคนมามาก แต่ทำไมตอนนี้ใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะพิกล สุริวัสสาชวนคุยเรื่องอื่นไปทั่ว จนรู้ว่าเขาอายุรุ่นๆ เดียวกับเธอ เป็นเพื่อนกับกีรวิชญ์ และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
“คุณนัดผมออกมากะทันหันแบบนี้ ท่าทางจะร้อนใจน่าดู” เขาเลิกคิ้วขึ้น ตั้งใจเข้าประเด็น
“ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่รบกวน คุณรู้ใช่ไหมคะว่ากีรวิชญ์หายไปไหน” สุริวัสสามองซ้ายทีขวาที ก่อนจะกระซิบเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน...รุจน์รวินไม่ตอบ เขานั่งมองมาที่เธอนิ่งๆ เหมือนกำลังประเมินอะไรสักอย่าง
“ช่วยฉันเถอะนะคะ ขอร้องละ” เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเขาไม่คล้อยตาม เธอจึงเริ่มใช้แผนขั้นต่อไป ซึ่งก็คือการเล่นบทน่าสงสาร เป็นคนไร้ทางสู้และหมดสิ้นหนทางอย่างแท้จริง
“ไม่ต้องเล่นมุกนี้กับผมหรอก เหนื่อยเปล่าๆ เอาเป็นว่าคุณแถลงข่าวอย่างมั่นใจขนาดนั้นว่าอีกไม่กี่เดือนจะแต่งงาน ทำไมคุณไม่เชื่อใจคู่หมั้นของคุณเลยล่ะว่าเดี๋ยวเขาก็กลับมา” รุจน์รวินกระตุกยิ้ม ไม่ได้รู้สึกใจอ่อนกับท่าทางของคนตรงหน้าเลยสักนิด
พอได้ยินคำถามแบบนี้ เธอก็เริ่มเอะใจ ไม่รู้ว่าระแวงไปเองหรือเปล่าว่าเขาตั้งใจพูดเหน็บแนม ผู้ชายคนนี้ต้องรู้อะไรเกี่ยวกับเธออีกแน่ๆ โดยเฉพาะความลับเรื่องความรักกำมะลอ
“ฉันก็แค่อยากตามเขาให้เจอเร็วที่สุด ยิ่งเจอเร็วก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือคะ ขืนให้มารอลมๆ แล้งๆ ทุกวัน คงไม่เป็นอันทำอะไร”
“ให้เวลาเขาหน่อยเถอะ เขาคงเบื่อชีวิตที่ต้องใส่หน้ากากเต็มที” อีกฝ่ายพูดอย่างลำบากใจ
“ใส่หน้ากากในธุรกิจ ในงานสังคม ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น เป็นเรื่องปกติคุณก็รู้” สุริวัสสาพยายามเบี่ยงออกนอกประเด็น เธอพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่ารุจน์รวินไม่ได้ตั้งใจพูดให้กระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างกีรวิชญ์กับตน
“คุณแน่ใจหรือว่ามันแค่นั้น” เขาพูดเสียงเข้ม นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในท่าทีสบายๆ เหมือนตั้งใจเล่นกับความกลัวของเธอ
“แล้วคุณหมายถึงอะไรล่ะคะ” เสียงหวานถูกคุมให้นิ่งที่สุดขณะที่ดวงตากลมกำลังจ้องไปที่ชายหนุ่มด้วยแววตาเฉยเมย ทั้งๆ ที่คนพูดกำลังหายใจไม่ทั่วท้อง หรือเขารู้จริงๆ?
“ถ้ากลับมาคุยกันดีๆ แล้วช่วยกันแก้ปัญหา ผมว่ามันอาจจะจบลงด้วยดี ไม่มีใครเสียหายอะไรก็ได้” คนพูดเงียบไปสักพัก นึกขำในใจที่อีกฝ่ายหน้าถอดสี “แต่คุณยืนยันไหมล่ะว่าจะเลิกกับเขา ยอมเสียโพรไฟล์อันสุดเพอร์เฟกต์ ยอมเสียกระแสในสังคม งานสังคมทุกวันนี้ที่คุณออกบ่อยๆ คู่กับเขาก็จะหายไปกว่าครึ่ง”
รุจน์รวินเข้าใจจับจุดอ่อนของเธอจริงๆ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายซึ่งเป็นสิ่งที่หญิงสาวไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด สิ่งที่ทำให้เธอเป็นที่นิยมก็คือการออกงานต่างๆ คู่กับกีรวิชญ์จนได้ออกสื่อบ่อยๆ นี่แหละ งานเดี่ยวที่ได้รับการเชื้อเชิญนั้นถือว่ามีน้อยมาก
“ก็ขึ้นกับว่าจะคุยกันยังไง” สุริวัสสาตอบเสียงแผ่ว เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่ายได้ทันที
“ก็หมายความว่า พอถึงเวลาจริงๆ ถ้าเขากลับมาทุกอย่างก็อาจจะกลับมาเลวร้ายเหมือนเดิม”
“เลวร้าย?” นี่ผู้ชายคนนี้เห็นว่าการเป็นคนรักกับเธอมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ! อารมณ์ของหญิงสาวเริ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ เธอหายใจเข้าลึกพร้อมนับเลขในใจช้าๆ
“หรือไม่จริง โดนคนรอบข้างกดดัน แถมยังเจอ เอ่อ...” ชายหนุ่มตั้งใจรวน นึกสนุกที่เห็นสายตาของคนตรงหน้ามองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง
“คุณนี่มัน...” ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น
“ผมมันฉลาดและรู้ทันคุณดีจริงๆ หรือคุณจะแย้งว่าที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่สิ่งที่คุณคิด” รุจน์รวินหัวเราะออกมาหลังจากเติมท้ายประโยคให้ตัวเองเสร็จสรรพ แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็หายไปทันทีที่โทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะสั่นขึ้น
สุริวัสสาอาศัยความไวของสายตา มองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งเขียนว่า น้องแพม
แพม? ชื่อนี้คุ้นๆ เหมือนเพิ่งได้ยินที่ไหน
รุจน์รวินกดรับสายก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อเสียงปลายสายตะโกนจนดังออกมาข้างนอกโทรศัพท์ สุริวัสสาทำเป็นไม่สนใจแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ความจริงหูของเธอทั้งสองข้างนั้นแทบจะกางออกมาเพื่อจับใจความสำคัญ
“ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดค่ะ น้ารุจน์ฟังไม่ถนัด” เขาพูดเสียงนิ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อฟังอีกฝ่ายเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ชายหนุ่มลุกขึ้นพลางคว้ากระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่บนโต๊ะไว้ในมือ ลุกเดินออกไปอย่างเร่งรีบ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาดังนั้น ด้วยความชอบสนใจเรื่องชาวบ้าน เธอจึงคว้ากระเป๋าถือและแก้วกาแฟเดินตามออกไปข้างนอก พอดีกับช่วงที่เขาวางสายแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ
“ไว้วันหลังเราค่อยคุยกันต่อนะคุณ พอดีผมมีธุระนิดหน่อย” รุจน์รวินลดกระจกลงแล้วตะโกนออกมาขณะเข้าเกียร์เตรียมถอยออกจากที่จอดรถ
สุริวัสสาชั่งใจเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอไม่มีอะไรจะเสีย รู้เพียงแค่ว่าจะต้องตามตื๊อเขาให้ถึงที่สุด
“คุณขึ้นมาทำไม!” ใบหน้าคมแสดงถึงความประหลาดใจอย่างไม่ปิดบัง
“ฉันต้องได้คำตอบของฉันก่อน ไม่งั้นฉันไม่ลง” เสียงหวานยืนยันหนักแน่น เธอดึงเข็มขัดมาคาดด้วยสีหน้าจริงจัง ในสถานการณ์ที่ดูเร่งรีบขนาดนี้ มีโอกาสสูงมากที่รุจน์รวินจะกำจัดเธอโดยการบอกสิ่งที่เธอต้องการ เพื่อให้เธอลงจากรถไป...แต่เธอคิดผิดไปถนัด ตอนนี้กลายเป็นเธอเองที่ต้องตกใจ เพราะชายหนุ่มกระชากรถออกอย่างรวดเร็ว
“คุณจะพาฉันไปไหนเนี่ย” มือบางยกขึ้นโหนที่จับโดยอัตโนมัติ
“ถามมาได้ คุณนั่นแหละ อยากขึ้นมาเองทำไมล่ะครับ” เสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะ
“ก็แค่บอกว่ากีรวิชญ์อยู่ที่ไหน มันยากมากเลยหรือไง” สุริวัสสาตวาดแว้ด เหลืออดกับคนตรงหน้า
“ก็แค่ปล่อยกีรวิชญ์ไป มันยากมากเลยหรือไง” เขาสวนกลับขณะเร่งคันเร่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสนุกที่ได้เห็นเธอหลับตาแน่นด้วยความหวาดเสียว
“ฉันปล่อยไม่ได้!”
“ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน!” ชายหนุ่มตอบทันควัน ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เมื่อทำอะไรไม่ได้ สุริวัสสาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเขา ไม่น่าเชื่อว่าการรู้จักกันครั้งแรกจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เพราะมันผิดจากสิ่งที่เธอคาดไว้ไปเสียหมด
สักพักโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีก สุริวัสสาแอบเห็นจากจอในรถว่าคราวนี้เป็นเบอร์โทรศัพท์บ้านโทร.เข้ามา รุจน์รวินกดตัดสายเพราะไม่อย่างนั้นเสียงคุยจะออกมาทางลำโพงโดยอัตโนมัติ เขาหยิบหูฟังมาใส่ก่อนจะโทร.กลับไป
“ไอ้คินอยู่ไหน เรียกกลับมาบ้านด้วย บอกให้มาให้เร็วที่สุดเลยนะ”
ชายหนุ่มพูดเพียงเท่านั้นจริงๆ ซึ่งนับว่าเป็นการคุยโทรศัพท์ที่สั้น ห้วนและได้ใจความในระดับหนึ่งตั้งแต่เธอเคยฟังมา
“อย่าเล่นโทรศัพท์ในรถ” เขาเหลือบมามองคนที่นั่งข้างๆ ขณะขับรถ
“เอ๊ะ!” หญิงสาวโวยวายเมื่อมือใหญ่คว้าโทรศัพท์มือถือออกไปจากมือของเธอต่อหน้าต่อตาทั้งๆ ที่สายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่ถนน ชายหนุ่มสอดมันลงกระเป๋ากางเกงตัวเองอย่างรวดเร็ว
“นี่! ฉันไม่ใช่ลูกคุณนะ”
“ผมก็ไม่ได้อยากเป็นพ่อคุณหรอก” เขาพูดนิ่งๆ
มือบางยกขึ้นปิดหน้าอย่างต้องการสงบสติอารมณ์ สักพักจึงถอนหายใจเข้าลึก คนอย่างรุจน์รวินต้องใช้ความใจเย็นเข้าพูด ยิ่งใช้อารมณ์มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรวนกลับมาไวเท่านั้น
“โอเค ฉันจะถามดีๆ ว่านี่คุณกำลังจะไปไหนคะ”
“บ้าน”
“แล้วทำไมต้องรีบขนาดนี้”
“พี่สาวผมอาละวาด เมื่อครู่นี้ลูกสาวเขาโทร.มาบอกให้รีบกลับไปช่วย ที่บ้านไม่มีใครเอาอยู่” เขาถอนหายใจ
“พี่สาว?”
“อืม ชื่อรดา”
รดา!
สุริวัสสารู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมากลางศีรษะ เธอพยายามควบคุมการหายใจให้เป็นปกติ ไม่ได้แสดงความตกใจหรือตื่นเต้นให้เขาสังเกตเห็น ทำไมโลกถึงกลมได้ขนาดนี้นะ!
“รดา? แล้วหลานคุณชื่อ น้องแพม?”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“เอ่อ อ๋อ พอดีเห็นจากชื่อโทร.เข้าเมื่อครู่นี้น่ะค่ะ จะบอกว่าชื่อน่ารักดี ฝากชมด้วยนะคะ” หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ ดวงตาหวานเริ่มมองไปมาอย่างใช้ความคิด...ไม่น่าเชื่อว่าตัวละครใหม่ที่เธอกับติณห์เพิ่งพูดถึงเมื่อวานจะปรากฏเข้ามาในชีวิตของเธอรวดเร็วเป็นจรวดแบบนี้ และเธอก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเองเสียด้วย!
“คุณรดานี่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณเลยเหรอคะ”
“ใช่”
“จะเสียมารยาทไหมถ้าฉันอยากรู้ว่าเค้าเป็นอะไร เผื่อมีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้” เธอกลั้นใจถาม รุจน์รวินเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเล่าคร่าวๆ ให้ฟัง
“เค้าเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร ล่าสุดก็เพิ่งจับได้ว่าสามีนอกใจ คงช็อกมากจนอาละวาดเมื่อคืนแต่พอกินยาก็ดีขึ้น นี่ไม่รู้ไปเจออะไรเข้าอีกถึงอาละวาดจนหลานผมต้องโทร.มา”
สุริวัสสารู้สึกเหมือนโดนบีบหัวใจด้วยมือที่มองไม่เห็น หญิงสาวรู้สึกว่าตนมีความผิดติดตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะกำลังมีชนักติดหลัง ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เธอทำนั้นมันจะเห็นแก่ตัวและมีผลทำร้ายชีวิตของคนคนหนึ่งได้มากขนาดนี้ แค่ฟังเขาเล่าเพียงสองสามประโยค หัวใจของเธอยังตุ๊มๆ ต้อมๆ หญิงสาวยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็คือกลัวความผิดของตนโดนถูกเปิดเผย
ถ้ารุจน์รวินสืบจนรู้ว่าเธอเป็นหนึ่งในต้นเหตุ...สุริวัสสาไม่อยากจะคิดเลยว่าชายหนุ่มจะจัดการเธออย่างไร ครอบครัวใคร ใครก็รัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เพิ่งเจรจากันเลย ความหวังที่ว่าเขาจะบอกเรื่องของกีรวิชญ์นั้นคงยิ่งกว่าติดลบ
“จริงๆ เรื่องประนีประนอม ฉันก็ค่อนข้างถนัดนะคะ ลองให้ฉันช่วยพูดดูไหม” และแล้วไอเดียใหม่ก็เกิดขึ้นในห้วงความคิดของหญิงสาว ไหนๆ โลกมันก็กลมขนาดนี้แล้ว เธอจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสเสียเลย เสียงหวานพยายามปรับให้เป็นปกติที่สุด เธอเห็นใบหน้าคมหันมามองเธอด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง
“คุณจะช่วย?”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวนะ เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ไม่สิ เพิ่งเจอกันไม่ถึงสามชั่วโมง” เขากระตุกยิ้ม “แล้วผมจะไว้ใจคุณได้ยังไง”
“โธ่ คุณก็รู้จักว่าฉันเป็นใครมาจากไหน รู้ความลับของฉันตั้งหลายเรื่อง แถมคุณก็สนิทกับวิชญ์ดี” สุริวัสสาพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า “ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ที่ผ่านมาวิชญ์ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรของคุณให้ฉันฟังเลย พูดตรงๆ ว่าฉันเพิ่งเคยได้ยินชื่อคุณครั้งแรกเมื่อวาน”
“แล้วอยู่ๆ คุณก็อยากยื่นมือเข้ามาช่วยเนี่ยนะ”
“ก็ฉันไม่อยากให้ครอบครัวไหนแตกแยก คนเรามันก็ทำผิดกันได้ อย่างคุณภาคินก็อาจจะหลงผิดไปบ้าง ฉันไม่อยากให้น้องแพมกลายเป็นเด็กที่ครอบครัวแตกแยกเพราะแกก็กำลังเป็นวัยรุ่น อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ” ส่วนหนึ่งหญิงสาวก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เธออยากใช้โอกาสนี้ไถ่บาปโดยช่วยแก้ปัญหาบ้าง อย่างที่เธอพยายามนอนคิดเมื่อคืนเพื่อหาทางแก้สิ่งที่เกิดขึ้น
“คุณรู้ได้ยังไงว่าสามีพี่สาวผมชื่อภาคิน ผมว่าผมยังไม่เคยบอกนะ” เสียงทุ้มถามสวนขึ้นมาทันที คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขายังไม่ได้บอกข้อมูลอะไรไปทั้งนั้น นอกจากชื่อของพี่สาวและหลานของเขา
ใบหน้าหวานเจื่อนลงไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ เธอแกล้งหัวเราะเบาๆ ถ่วงเวลาขณะที่สมองกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาข้อแก้ตัว ซวยแล้วไหมล่ะยายวสา!
“ก็ ฉันได้ยินจากโทรศัพท์ ตอนที่คุณคุยกับคนที่บ้าน”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าน้องแพมอายุเท่าไหร่” เขาหรี่ตาลง ถามอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้เว้นจังหวะให้เธอได้มีเวลาคิด
“พี่สาวคุณก็ต้องอายุมากกว่าคุณใช่ไหมล่ะคะ ลูกก็ไม่น่าเล็กมาก แต่ก็คงไม่โตมากเหมือนกัน ฉันก็เดาๆ เอา” สุริวัสสาพยายามอธิบายอย่างมีหลักการ แต่ดูท่าทางคนฟังจะยังไม่เชื่อ “ฉันรู้ได้ยังไงก็ไม่น่าสำคัญ แต่ฉันมีเจตนาอยากจะช่วยคุณจริงๆ”
“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้กะจะช่วยฟรีๆ หรอก” รุจน์รวินยิ้มอย่างรู้ทัน
“ถ้าคุณจะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เพื่อแลกกับข้อมูลของวิชญ์” สุริวัสสาตั้งใจพูดเน้นหนักแน่นเพื่อให้ดูมีมูลว่าเธอช่วยเพราะผลประโยชน์ ไม่ใช่เพราะอยากไถ่บาปหรือแก้ความรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น
“ค่อยว่ากัน”
ได้ยินรุจน์รวินพูดเพียงเท่านั้นหญิงสาวก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง ถึงจะไม่มากก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
“รับประกันด้วยอาชีพกับชื่อเสียงฉันเลยเอ้า ถ้าไม่เจ๋งจริง ฉันไม่ยืนมาถึงทุกวันนี้หรอก” หญิงสาวถือโอกาสอวดอ้างสรรพคุณเสร็จสรรพ มันจะไปยากอะไร คู่แต่งงานมากมายที่มีปัญหากัน เธอก็จัดการอยู่หมัดมานักต่อนักแล้ว นับประสาอะไรกับคนที่แต่งงานกันมานานแล้ว แถมยังมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ความสัมพันธ์น่าจะแน่นหนากว่าเยอะ
เมื่อรถของชายหนุ่มแล่นเข้าไปจอดในตัวบ้าน สุริวัสสาก็แอบเปรียบเทียบบ้านของเขากับบ้านของกีรวิชญ์ไม่ได้ ทั้งขนาดของพื้นที่และตัวบ้านใหญ่ใกล้เคียงกัน เพียงแต่บ้านของรุจน์รวินนั้นกลับให้ความรู้สึกเศร้าหมองพิกล ถึงสวนหรือตัวบ้านจะถูกออกแบบและตกแต่งอย่างละเอียด ได้รับการดูแลอย่างดีให้ดูทันสมัยและสวยตามรสนิยมที่ค่อนข้างสูงของเจ้าของบ้าน แต่ทุกอย่างนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังชื่นชมดอกไม้พลาสติก
สุริวัสสาสัมผัสด้วยความรู้สึกได้ว่า บ้านหลังนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยความสุขหรือความอบอุ่นของครอบครัวเลยสักนิด ในทางกลับกัน หญิงสาวกลับสัมผัสได้ถึงความเย็นชา และเงียบสงบจนค่อนไปทางขนลุก เธอสรุปสั้นๆ ว่าสำหรับตนแล้วบ้านหลังนี้น่ามองแต่ไม่น่าอยู่ เพราะมันสวย แต่ไม่มีชีวิต!
เสียงกรี๊ดที่ดังออกมาจากในตัวบ้าน พร้อมเสียงข้าวของแตกกระจายทำให้รุจน์รวินจอดรถทิ้งอยู่กลางลานบ้าน เขาดับเครื่องยนต์แล้ววิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยคนที่นั่งมาด้วยเดินออกจากรถอย่างเก้ๆ กังๆ ก้าวตามเข้าไปพร้อมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอาการใจสั่น
เธอไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไร ท่าทางคำว่าอาละวาดของรุจน์รวินจะมีความหมายไม่เหมือนกับที่เธอประเมินไว้เสียแล้ว
ความคิดเห็น |
---|