14

ตอนที่ 14



มินตราแทบวิ่งลงมาจากชั้นสอง ทันทีที่ก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายหญิงสาวก็หยุดกึก เมื่อเห็นผู้ชายสามคนนั่งอยู่ภายในห้องรับแขก ส่วนอีกสองคนเห็นแวบๆ ว่ารออยู่ด้านนอก

อดิรุจนั่งกอดอกหน้ามึนตึง ส่วนผู้ชายที่มินตราคิดว่าบินหายไปจากชีวิตแล้ว นั่งอยู่ในท่าเดียวกัน แถมหันหน้าเข้าหากันจากคนละฝั่งด้วย ตอนแรกมินตรามองผ่านชายคนสุดท้ายไป กระทั่งเค้าโครงคุ้นหน้าทำให้ต้องย้อนกลับมาพิจารณาอีกครั้ง มินตราเคยดูข่าวและจำได้ว่าเคยเห็นชายคนนี้ผ่านๆ เพียงแต่คนในโทรทัศน์มักจะอยู่ในเครื่องแบบนายตำรวจยศสูง ข่าวมากมายที่นายตำรวจผู้นี้เข้าไปเกี่ยวข้องล้วนแต่เป็นข่าวดังระดับประเทศ อย่างล่าสุดก็จับกุมยาเสพติดลอตใหญ่จนเป็นข่าวดังเกรียวกราว เธอจำได้ว่าเห็นหน้าเขาบนจอโทรทัศน์หลายสัปดาห์

“คนนี้หรือ” ชัยวัฒน์หันไปถามหลานชาย แต่เสียงนั้นไม่ได้เบานัก

“ครับ คนนี้แหละที่ผมเล่าให้อาฟัง” ภูมิรับ ยามเอ่ยกับอีกฝ่าย แม้จะไม่ถึงกับนอบน้อมเอาใจ แต่ก็เห็นได้ว่าค่อนข้างให้ความเคารพ ยกเว้นตอนส่งสายตาไปยังหญิงสาวตัวปัญหา “ผู้ใหญ่นั่งกันอยู่เต็มบ้าน ยังจะยืนค้ำหัวอยู่อีก”

มินตรารู้สึกราวกับถูกตีแสกหน้า หากก็ไม่ตอบโต้ ถึงเธอจะปากไว้ แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์ที่มีทั้งพ่อและนายตำรวจระดับผู้ใหญ่นั่งมองอยู่ ยิ่งอนงค์อรตามมาสมทบ มินตราก็ยิ่งต้องสงบปากสงบคำ เธอยอมให้อนงค์อรดันตัวลงนั่งระหว่างผู้เป็นพ่อกับแม่ บรรยากาศอึดอัดภายในห้องรับแขกยังคงดำเนินไปต่อ พอไม่มีใครพูดอะไร ชัยวัฒน์ที่ไม่รู้จะทำหน้าเครียดหรือขำดีจึงเป็นฝ่ายเปรยขึ้นมาเอง

“ก็อย่างที่ผมคุยกับคุณอดิรุจก่อนหน้า หวังว่าเราจะเห็นชอบเหมือนกันนะ”

ลำคอของอดิรุจเครียดเกร็งทันที แม้เขาจะไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โต แต่บริษัทที่ทำงานอยู่ ตลอดตำแหน่งหน้าที่ ก็พาให้ได้รู้จักคนใหญ่คนโตในสังคมมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา นอกจากอำนาจหน้าที่ที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว ชัยวัฒน์ยังเป็นเป็นเพื่อนสนิทกับประธานบริษัทของเขาอีก ถ้าเป็นแค่ไอ้ผู้ชายท่าทางกระจอกๆ ข้างๆ นั่นเดินหน้ามาหาเขาคนเดียว นอกจากโทร. เรียกตำรวจแล้ว อดิรุจคงได้เอาเลือดหัวมันออกด้วย

อดิรุจเหลือบมองไปทางลูกสาว เขายังโกรธอยู่ แต่ถึงกระนั้นความเป็นพ่อที่หวงลูกสาวก็ยังมีมากกว่า ทันทีที่ชัยวัฒน์แจ้งความต้องการว่า ‘หลานชาย’ ต้องการสู่ขอมินตราอย่างถูกต้อง เขาก็โกรธจนควันออกหู ไอ้ลูกหมานี่ ไอ้กระจอกงอกง่อยนี่น่ะหรือจะมาสู่ขอมินตรา เท่าที่ฟังจากชัยวัฒน์คร่าวๆ ทำให้เขาทราบว่าไอ้หมอนี่เป็นแค่ชาวไร่อยู่ต่างจังหวัด ยิ่งวันนี้ได้นั่งเผชิญหน้ากันใกล้ๆ เขายิ่งเห็นลักษณะของคนที่ต้องทำงานหนักจากผู้ชายตรงหน้า แค่คิดว่าต้องปล่อยให้ลูกสาวไปตกระกำลำบากเป็นเมียชาวไร่ ไปอยู่ไกลจากความสะดวกสบาย ตากแดดตากลม ตัวดำเป็นเหนี่ยง อดิรุจก็ทนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องไปคิดว่าหากสองคนนี้มีลูกกัน เขาคงขาดใจตาย

ถึงตอนนี้จะพูดว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว อดิรุจก็ยังคิดเพียงว่าความสบายใดๆ ที่เขามอบให้มินตรา สามีในอนาคตของลูกสาวก็ต้องให้มินตราได้อย่างไม่บกพร่อง ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังจะได้ลูกสาวเขาไปเลย เขาจะเมินเฉยต่อความผิดพลาดของมินตรา จับใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้วหาสามีที่เหมาะสมให้เอง ซึ่งเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้บ้านนอกนี่!

“จู่ๆ ท่านก็ยื่นข้อเสนอแบบนี้มา ทางผมก็ลำบากใจนะครับ ท่านกับผมก็เป็นพ่อคนเหมือนกัน หากลูกจะเลือกผู้ชายสักคน พ่อแม่ก็อยากเห็นลูกเลือกเพราะผูกสมัครรักใคร่ ไม่ใช่แค่อารมณ์พาไป ตอนนี้ผมทำใจได้บ้างแล้ว ชีวิตคนเรามีใครไม่เคยผิดพลาด ลูกสาวผมก็เหมือนกัน แต่ผมจะไม่ยอมให้แกจมอยู่กับความผิดนั้นไปจนตาย” 

มินตราอดเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อด้วยความแปลกใจไม่ได้ แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงทุ้ม

“แล้วถ้าความผิดพลาดนั้นทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนล่ะครับ” ภูมิขัด “ขนาดนี้แล้วก็ยังจะแสร้งว่ามันไม่เป็นปัญหาอะไรอีกหรือ ขอโทษที่ผมไม่คิดเหมือนคุณ ลูกสาวของคุณได้สร้างปัญหาใหญ่หลวงให้ผม และผมจะไม่ยอมเดินจากไปเหมือนเหมือนตัวตลก”

“แกเองก็ได้เหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่เสีย” อดิรุจโต้ทันที “ลูกสาวฉันเลี้ยงดูมา คาดหวังว่าจะได้เจอคนดีๆ มีอนาคตที่ดี แต่กลับต้องมาเจอ ไอ้...คนแบบแกนี่!”

“โทษผมคนเดียวก็ออกจะไม่ยุติธรรมนะครับ เคยได้ยินไม่ใช่หรือ ตบมือข้างเดียวไม่ดัง”

“ไอ้...”

“เอาละๆ ผมเข้าใจว่าเรื่องยังไม่หายร้อน” ชัยวัฒน์ยกมือขึ้นปราม “แกเองก็เหมือนกันนะภูมิ อาก็บอกแล้วให้ทางนั้นเขาได้เตรียมตัวเตรียมใจบ้าง การเจรจาที่ใช้แต่อารมณ์มันจะตกลงกันได้หรือ” จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับอดิรุจและอนงค์อร “ผมเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นใครก็คงอยากให้ลูกได้พบคนดีๆ หลานชายผมอาจโผล่มาไม่ค่อยถูกที่ถูกเวลาเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยการที่มันอยากขอตกลงพูดคุย ก็น่าจะแสดงถึงความรับผิดชอบในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง ถ้าพูดเรื่องการศึกษาอาจจะเรียนมาน้อย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องฐานะ ความขยันขันแข็ง ผมพูดได้ว่ามันไม่น้อยหน้าเศรษฐีมีกะตังค์ในเมืองเหมือนกัน ถ้าคุณรุจเกรงว่ามันจะดูแลหนูมินตราให้อดๆ อยากๆ ก็เลิกกังวลได้เลย” 

ถึงกระนั้นภูมิก็ยังเห็นสายตาเหยียดหยามของอดิรุจอยู่ดี ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่ไม่ไว้ใจเขา แต่คงไม่ถูกชะตาเขาด้วย เพราะภูมิเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“ดิฉันไม่ได้ดูถูกดูแคลนหรอกค่ะ” อนงค์อรที่นั่งฟังเงียบๆ มาตลอดกล่าว ทำให้ผู้ชายในห้องทั้งหมดกลับมาสนใจ “ดิฉันพอใจที่เขากลับมาเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และขอรับน้ำใจความเป็นคนจริงของเขา แต่ถ้าถึงขึ้นจะขอตบแต่ง ดิฉันคงทำใจให้เห็นชอบด้วยไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นการแต่งงานเพียงเพื่อเพราะ ‘ต้องรับผิดชอบ’ หากดิฉันจะมีลูกเขย ก็อยากแน่ใจว่าเขารักใคร่ลูกสาวดิฉันด้วยใจ พร้อมจะปกป้องคุ้มครอง พร้อมจะใช้ชีวิตอย่างเข้าอกเข้าใจ และมีความสุขกับการแต่งงานที่เกิดขึ้น หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ หรือทำแค่เพื่อปกป้องฐานะหน้าตา ดิฉันว่าอย่างอย่าเลยดีกว่าค่ะ ดิฉันรู้ดีว่าชีวิตแต่งงานที่ขาดความรักมันเป็นอย่างไร” 

คำพูดที่กล่าวออกไปแม้ไม่เจาะจง แต่อดิรุจรู้สึกถูกตีกระทบกลายๆ ทว่าเขาไม่ได้โต้แย้ง ได้แต่ปั้นหน้าปึ่งกับข้อกล่าวหาของภรรยาในใจ

“ดิฉันมีลูกสาวแค่คนเดียว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขของลูก หวังว่าคุณจะเข้าใจ” ประโยคท้ายนั้นอนงค์อรส่งสายตาไปทางภูมิ ไม่ได้แสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ นอกจากความกังวลของคนเป็นแม่ ที่ต่อให้ลูกทำผิดอย่างไร ถูกตราหน้าว่าเลวร้ายแค่ไหน ก็ยังพร้อมจะปกป้อง

“ว่าไงเจ้าภูมิ มีอะไรจะแย้งไหม อาว่าที่คุณอรพูดมานั่นก็ถูก ถ้าตัวแกยังไม่ได้รู้สึกรักใคร่จริงจริงจัง ก็น่าจะปล่อยให้น้องเขามีโอกาสได้เลือกคนที่เขาอยากเลือก”

นี่ถ้ามีใครบอกว่าเขาเป็นพวกชั้นต่ำ ไม่คู่ควรอย่างที่บิดาของมินตราพยายามบอก ภูมิยังหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองได้ แต่อนงค์อรกำลังบีบให้เขาเอาความรู้สึกของตัวเองมาเดิมพัน นั่นทำให้ภูมิไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไร เขาพูดไม่ถนัดปากเหมือนเดิมอีกแล้วว่าชอบหรือรักมินตราหรือไม่ เขาจะพูดได้เช่นไรในเมื่อเขาเพิ่งถูกหญิงสาวใช้ความรู้สึกเป็นเครื่องมือ แต่สิ่งที่ภูมิยังยืนยันไม่เปลี่ยนแปลงคือ เขาไม่ปรารถนาแบ่งปันมินตราให้ใคร ไม่ว่าตอนนี้หรืออนาคต

“ขอผมคุยกับน้องตามลำพังได้ไหมครับ”

“ไม่ได้!” อดิรุจขัดเสียงลั่น “ผมว่าคุณกลับไปเถอะ ลูกสาวผมเองก็ไม่ได้อยากเจอหรืออยากต้อนรับอะไรคุณนักหรอก แกกำลังทำใจอยู่ แล้วการที่คุณทำแบบนี้ มันยิ่งทำให้ชีวิตแกวุ่นวาย ถ้าคุณรักลูกสาวผมจริงๆ หรืออย่างน้อยเห็นแก่อนาคตของแก ก็ให้เราลืมๆ เรื่องที่มันผ่านไปแล้วเถอะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ” มินตราเอ่ยแทรกพร้อมแตะมือบิดาเบาๆ เธอไม่อยากหลบหนีให้ใครมาหัวเราะลับหลัง “ให้มิ้นคุยกับเขาเถอะ”

มินตราเดินนำชายหนุ่มออกมาที่สวนด้านนอก ติดกับระเบียงห้องรับแขก ซึ่งคนที่นั่งอยู่ด้านในจะเห็นว่าทั้งคู่พูดคุยกันด้วยอารมณ์แบบไหน แต่ก็เป็นส่วนตัวพอที่จะไม่มีใครได้ยินถ้าทั้งคู่ไม่ตะคอกใส่กัน หญิงสาวต้องทำใจอยู่นานกว่าจะหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มได้ แวบแรกเขาดูเหมือนใครสักคนที่มินตราไม่เคยรู้จัก ใบหน้านั้นกระด้าง ไม่ได้ให้ความรู้สึกผ่อนคลายหรือขี้เล่นเหมือนเดิม รอยคล้ำใต้ตาและความอิดโรยสะท้อนความหม่นหมองบนใบหน้าชายหนุ่ม แต่บางทีหน้าตามินตราตอนนี้ก็คงไม่ดีกว่ากันนัก

“ว่าไงคะคุณภูมิ อยากพูดอะไรก็รีบๆ พูด”

ดวงตาสีดำเบิกโตขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเค้นเสียงหัวเราะหยันออกมา

“คุณหรือ” เขาย้ำอีกครั้ง และคำตอบจากหญิงสาวก็คืออาการเชิดหน้ารับ

“ฉันไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่นะ แต่ฉันบอกได้เลยว่าคุณไม่มีทางได้ในสิ่งที่คุณต้องการหรอก ไหนคุณบอกตัวเองมีดี แล้วทำไมต้องมาตามตื๊อผู้หญิงที่เขาไม่สนใจ อีกอย่างคุณน่าจะยินดีที่ตัวเองได้กำไร ฉันไม่ต้องการเอาความอะไรด้วยเพราะไหนๆ มันก็เป็นความยินยอมของฉัน ส่วนคุณก็ได้ผู้หญิงคนหนึ่งฟรีๆ แค่นี้ก็เจ๊ากันแล้วนี่”

ภูมิกำหมัดแน่น นี่ถ้าไม่เพราะมีสายตาหลายคู่คอยจับตาอยู่ เขาคงจะคว้าผู้หญิงคนนี้มาเขย่าเพื่อเรียกสติแล้ว

“แล้วความรู้สึกของฉันล่ะ” ภูมิเค้นเสียงลอดไรฟัน “เธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการ โดยการใช้ความรู้สึกของฉันมาเป็นเครื่องมือ แต่ฉันไม่คิดว่าไอ้พรหมจรรย์ของเธอ มันจะมีราคาขนาดเอามาชดเชยได้หรอก!”

“คุณภูมิ!”

“ปัดโธ่เว้ย! เลิกเรียกฉันแบบนั้นเสียที แล้วคนที่เป็นฝ่ายเสียหายตอนนี้คือฉันไม่ใช่เธอ เลิกตีหน้าเหมือนตัวเองเจ็บปวดเสียทีเถอะ ไม่เห็นหรือว่าคนที่เจ็บกว่าเธอยืนอยู่นี่!”

“อย่ามาขึ้นปัดโธ่กับฉันนะ คุณยังก็เรียกฉันว่าเธอเหมือนกัน ก็ได้ ฉันเสียใจ ฉันขอโทษที่ได้คุณแล้วไม่รับผิดชอบ พอใจหรือยัง!”

“ไม่โว้ย!”

“อย่ามาขึ้นโว้ยใส่ฉันนะ!”

ทั้งคู่ชะงักไปพร้อมกัน เมื่อสังเกตว่าอดิรุจเคลื่อนไหวเมื่อได้ยินเสียงของทั้งคู่ ภูมิยกมือขึ้นเสยผมและแทบทึ้งติดมือมาด้วย

“เธอจะต้องบอกพ่อแม่เธอว่าจะแต่งงานกับฉัน บอกว่ามันเป็นความเต็มใจของเธอเอง”

“นี่คุณกำลังข่มขู่ฉันเหรอ ไอ้ที่ฉันพูดๆ ไปมันไม่ได้ซึมเข้าสมองคุณเลยใช่ไหม ฉันไม่แต่ง ทำไมฉันต้องแต่งกับคุณในเมื่อฉันหาที่ดีกว่านี้ได้” มินตราเห็นชายหนุ่มผงะ ราวกับว่าเขาเพิ่งถูกเธอตบหน้าฉาดใหญ่ และยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบ้ด้วยความโกรธ

“อ๋อ ที่แท้ก็แม่คนหัวสูง อยากมีผัวรวยๆ มีหน้ามีตา งั้นเห็นทีคงต้องให้พ่อกับแม่เธอใส่ตะกร้าล้างหลายๆ น้ำหน่อย ถึงจะดับกลิ่นคาวจากตัวเธอได้”

“คุณอยากจะพูดอะไรก็ตามใจเถอะ คุณพูดเองว่าเสียความรู้สึกกับสิ่งที่ฉันทำแค่ไหน แล้วยังจะเอาชีวิตมาผูกกับคนที่คุณเกลียดทำไม อย่าทำตัวเหมือนเด็กงี่เง่าอยากเอาชนะไปหน่อยเลย เพราะคุณนั่นแหละที่จะเสียใจ ฉันเห็นมากับตาตัวเองแล้วว่าชีวิตคู่ที่ปราศจากความรักมันเป็นยังไง และฉันจะไม่ยอมให้ตัวเองไปอยู่จุดนั้นเด็ดขาด” มินตรามองภูมิอีกครั้ง เก็บรายละเอียดทุกอย่างบนตัวเขาโดยเฉพาะแววตา แปลกดี ทั้งๆ ที่เธอควรจะลืมเขาให้เร็วที่สุดแล้วก้าวเดินต่อไป แต่ทำไมเธอกลับทำในสิ่งตรงข้ามด้วยการพยายามจดจำเขา “ลาก่อนค่ะคุณภูมิ”

“ถ้าเธอหันหลัง แล้วเดินหนีไปจากฉันอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะมินตรา”

มินตราที่กำลังจะเดินกลับบ้านหยุดกึก มีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงเย็นๆ ของชายหนุ่ม

“รู้ไหม ทุกการกระทำย่อมสะท้อนกลับไปหาผู้กระทำเสนอ ในเมื่อเธอกล้าใช้ฉันเพื่อแก้แค้น เพื่อความสะใจของตัวเอง เธอก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาเช่นกัน ไม่มีการหลอกลวงใดๆ ที่จะไม่ต้องชดใช้ ไม่มีความแค้นใดที่จะไม่ถูกชำระ!” 

พอร่างบางหมุนตัวกลับมา มินตราก็ต้องกลั้นใจเมื่อพบว่าภูมิมายืนอยู่ใกล้เหลือเกิน แววตาและท่าทางของเขาทำให้มินตราไม่อาจขยับหนีได้ กระทั่งมือของชายหนุ่มวางบนไหล่ของเธอ กิริยาของเขาแม้จะนุ่มนวล แต่คนภายนอกมองมาจากที่ไกลๆ คงคิดว่าเขากำลังเป็นฝ่ายอ้อนวอน ร้องขอความเห็นใจจากเธออยู่ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลยสักนิด

“คุณจะทำอะไร” หญิงสาวทำปากพูดขมุบขมิบ เมื่อมือใหญ่เริ่มลูบผมเธอแผ่วเบา

“เธอต้องบอกพ่อกับแม่เธอตามที่ฉันสั่ง”

“ไม่!”

รอยยิ้มร้ายกาจผุดผาดขึ้นบนใบหน้าภูมิ รอยยิ้มโหดเหี้ยมในแบบที่ที่มินตราไม่เคยเห็นมาก่อน

“งั้นเธอก็จะได้เห็นว่าฉันคนนี้ทำอะไรได้บ้าง เรื่องของเธอกับฉันมันอาจไม่ได้ร้ายแรงอะไรสำหรับประเทศนี้ แต่ถ้าฉันจะเอาเรื่องมันก็เอาได้ เช่นว่า...” เขาแสร้งกลอกตาขบคิด “เธอกับพ่อแม่เธอรวมหัวกันหลอกฉัน”

“พูดบ้าๆ คุณก็รู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นเรื่องความสมยอมระหว่างคุณกับฉัน!” มินตราพยายามดิ้น แต่ยิ่งถูกรัดแน่นมากขึ้น

“โถ แม่คุณ คิดว่าโยนพรหมจรรย์ใส่หน้าฉันแล้วทุกอย่างก็จบหรือ แม่คนสมองน้อย ฉันจะคิดข้อหาอะไรสักอย่างขึ้นมาก็ได้ เอาอะไรดี ต้มตุ๋น หลอกลวง หรือขายตัว ต่อให้สุดท้ายสืบพยานจนฉันแพ้ ฉันก็ไม่ต้องเสียอะไรอยู่ดี ยกเว้นฝ่ายพวกเธอ ถึงตอนนั้นพ่อแม่คงต้องเอาปี๊บมาคลุมหัว เพราะชื่อลูกสาวคงฉาวโฉ่ไปทั่ว”

“บ้า! ทุเรศที่สุด คุณกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง” มินตราตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ เขากล้า... เขากล้าพูดแบบนี้กับเธอเชียวหรือ!

“พ่อแม่ของเธอเองก็มีหน้ามีตา มีชื่อเสียงที่สะสมมาไม่น้อย มันจะเป็นยังไงถ้าทุกอย่างมาพังเพราะลูกอย่างเธอ” ภูมิกระตุกยิ้มอีกครั้ง ย้อนคำพูดหนึ่งในประโยคหนึ่งของเธอ “น่าสนุกดีนะ”

“ถ้าคุณทำอะไรพ่อแม่ฉันละก็ ฉันไม่เอาคุณไว้แน่!”

“น้ำหน้าอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้ และถ้าจำไม่ผิด ตัวเธอนั่นแหละที่ทำลายพวกท่านยิ่งกว่าใครๆ ทุกอย่างที่มันยุ่งอีนุงตุงนังอยู่ตอนนี้ ต้นเหตุก็มาจากเธอทั้งนั้น ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะมินตรา เธอจะต้องเข้าไปแล้วบอกพ่อแม่เธอว่าจะแต่งงานกับฉัน ถ้าตุกติก พ่อเธอ แม่เธอ ฉันสาบานว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะทำลายหน้าที่การงาน ชื่อเสียงของพวกเขาทั้งหมด และเธอก็รู้ว่าฉันทำได้แน่ๆ ไม่ใช่แค่ขู่”

มินตราพยายามหายใจ ไม่อยากให้ความตระหนกที่ภูมิฟาดใส่ทำให้เธอสมองเบลอจนคิดอะไรไม่ออก เขาไม่กล้าทำหรอก เขาไม่ใช่คนแบบนั้น... ความคิดมินตราชะงักกึก ทำสิ เขาทำได้แน่ ดูอย่างคนที่เขาพามานั่นปะไร มินตรารู้แล้วว่าเขาจงใจข่มเธอ พยายามแสดงว่าเขาก็มีหนทาง มีอำนาจพอที่จะใช้มันเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แล้วหากมองสิ่งที่เธอทำกับเขา ทำไมเขาจะไม่อยากทำให้เธอเจ็บปวดเล่า

นี่เธอเผลอไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งด้วยเสียแล้ว...

มินตรารู้สึกคล้ายจะเป็นลมเอาดื้อๆ ร่างกายสิ้นเรี่ยวแรงที่จะยืน หากไม่เพราะมีสองแขนของเขาคอยประคองอยู่ ภูมิดึงเธอเข้าไปแนบอกราวกับเป็นคู่รักที่ทะเลาะเบาะแว้ง และตอนนี้ปรับความเข้าใจกันได้แล้ว เขากระซิบเหนือใบหูมินตรา

“ตกลงใช่ไหมเด็กดี” เขาถามอย่างเย่อหยิ่ง และมินตราแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองพยักหน้ารับ “ดี กลับเข้าไป แล้วทำให้แนบเนียนหน่อย แม่ของเธอเป็นคนฉลาด ท่านอ่านทุกอย่างทะลุหมดแน่ถ้าเธอยังทำท่าขวัญกระเจิงอยู่แบบนี้ ฉันอยากให้ท่านเชื่อว่าเธอเต็มใจจริงๆ”

มินตราถูกชายหนุ่มโอบประคองกลับเข้ามาในบ้าน ภูมิส่งตัวเธอคืนให้พ่อกับแม่ ส่วนตัวเองก็กลับไปนั่งที่เดิม เขาไม่ได้แสดงท่าทีดีอกดีใจออกหน้า แต่ทุกคนคงเห็นแล้วว่าทั้งคู่คงตกลงกันได้

“เอ้า ว่าไงล่ะทีนี้” ชัยวัฒน์เอ่ยถามด้วยท่าทีขำๆ เมื่อสบตาหลานชาย “คุยกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

ภูมิยืดตัวขึ้น ตอนแรกมินตราคิดว่าเขาคงจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อบีบบังคับให้เธอเล่นไปตามแผน ทว่าคนที่ชายหนุ่มหันไปพูดด้วยกลับไม่ใช่เธอหรือพ่อ แต่เป็นผู้เป็นแม่แทน

“ผมคงยกเอาหน้าตาชื่อเสียงของตัวเองมาเป็นเครื่องรับประกันไม่ได้ เพราะผมก็แค่ชาวบ้านธรรมดา”

“แหม ถ้าขนาดคุณเชิญท่านผู้กับกำมาถึงบ้านดิฉันได้ อย่าถ่อมตัวเลยค่ะว่าคุณเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา” อนงค์อรย้อน ไม่แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้นัยความหมายของเขา

“มันช่วยไม่ได้นี่ครับ เรื่องของผมกับมินตรา...กับมิ้น มันไม่ถูกไม่ควรจริงๆ แต่ผมก็พยายามที่จะแก้ไข”

“ด้วยการคิดว่าการแต่งงานสามารถแก้ไขได้ทุกอย่างน่ะหรือ” อดิรุจทำเสียงขึ้นจมูก

“ผมกับมิ้นคบหากันมาได้ระยะหนึ่งแล้วครับ” ประโยคที่ภูมิกล่าวทำให้ทุกคนต่างนิ่งอึ้งทีเดียว แถมชายหนุ่มยังกล่าวต่อไปอย่างเป็นจริงเป็นจัง ชนิดที่ถ้าเขาเล่นละครอยู่ ก็แสดงได้สมบทบาทมาก “ผมยอมรับว่าโกรธ แต่หากจะให้ความยุติธรรมผมบ้าง การที่ผมถูกคนที่ตัวเองรักทำเหมือนเป็นของเล่น จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลยจริงๆ หรือครับ”

“ดิฉันเข้าใจ” เสียงของอนงค์อรเริ่มอ่อนลง “แต่ถ้าคุณบอกว่าคบหากับยายมิ้นด้วยความจริงใจจริงๆ แล้วทำไมถึงปล่อยให้เรื่องมันแดงขึ้นก่อนถึงเปิดเผยตัว ทำไมคุณไม่คิดจะทำอะไรให้ถูกต้องเสียตั้งแต่แรก ถ้าคุณอยากให้เกียรติลูกสาวดิฉันจริงๆ”

“ก่อนหน้านั้นผมคิดจะเข้ามาคุยกับทางนี้หลายครั้งแล้ว แต่มิ้นเขาปฏิเสธตลอด เห็นว่าทางบ้านมีปัญหา... ผมเข้าไปตอนนี้คงไม่เหมาะ ก็เลยได้แต่รอ” เห็นได้ว่าคำตอบของภูมิทำให้สองสามีภรรยาขยับตัวด้วยความอึดอัดใจ “ผมเองก็ต้องไปๆ ระหว่างเมืองจันท์กับกรุงเทพฯ พูดไปก็เหมือนแก้ตัว แต่เวลากับจังหวะไม่อำนวยจริงๆ กระทั่งล่าสุด ผมตั้งใจจะเข้ามาคุยกับทางคุณอรแล้ว แต่ดูเหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับมิ้นอีก เธอมาหาผม ร้องไห้ร้องห่มเสียใจยกใหญ่ นี่ผมเองก็สงสัย ว่าจะถามทางคุณอรกับคุณรุจว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“นี่เป็นเรื่องในครอบครัว ไม่ใช่เรื่องของนาย!” อดิรุจสวนอย่างมึนตึง แต่นั่นยิ่งทำให้คำพูดของภูมิมีน้ำหนักขึ้น

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมก็อยากให้คุณเห็นใจมิ้น ตอนนั้นน้องไม่มีใครนอกจากผม เราเพียงแต่ช่วยเหลือให้กำลังใจกัน จน...อาจเกินเลยไป แต่ผมยืนยันได้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับน้อง ไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ถึงแม้จะใช้ผมเพื่อประชดประชันพ่อแม่ แต่ผมก็ไม่มีทางเกลียดมิ้นได้ ผมรักน้องจริงๆ และนี่ถือเป็นโอกาสเดียวของผมที่จะรับผิดและทำให้ทุกอย่างชัดเจน” 

อนงค์อรส่งสายตาไปทางลูกสาวที่เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะขัดใจยิ่งนัก แต่หากทั้งคู่มีใจให้กันดังที่ชายหนุ่มอ้าง การที่ลูกสาวได้เคียงคู่กับผู้ชายที่รักใคร่ก็ไม่ใช่เรื่องที่อนงค์อรจะเข้าไปขัดขวาง คิดในใจว่าดีเสียอีก หากในอนาคตมินตรามีชายหนุ่มคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่อให้ผู้ชายยุคนี้ปากปฏิเสธว่าไม่คิดถึงอดีต แต่จะทำได้จริงสมคำพูดนั้นมีสักกี่คนกันเชียว อยู่กันนานไป หากรับข้อบกพร่องกันไม่ได้ เกิดมีปากเสียงกันขึ้นมา อดีตของมินตรานี่แหละจะกลายเป็นมีดที่ผู้ชายคนนั้นคว้ามาแทงลูกสาวของเธอ

นายภูมิคนนี้ แม้เธอจะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่การที่เขากล้ากลับมาประกาศขอในสิ่งที่ต้องการได้ ไม่หลบลี้หนีหายทั้งๆ ที่ทำได้ ก็แสดงว่าคงมีความรู้สึกผูกพันกับลูกสาวเธออยู่บ้าง

“ทุกอย่างที่แม่อยากพูดก็พูดไปแล้ว” อนงค์อรสรุป “หนูชอบเขาไหม อยากตบแต่งไปเป็นคนของเขาไหม นี่เป็นอนาคตของมิ้น มิ้นตัดสินใจเองเถอะ”

มินตราก้มหน้า ขบริมฝีปากไม่ให้สั่น หลังจากทำใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้ารับเล็กน้อย

“ค่ะ”

“ค่ะอะไร พูดให้ชัดๆ แม่อยากได้ยินจากปากมิ้น”

มินตราบอกไม่ถูกว่าต้องใช้ความพยายามแค่ไหน และใช้มันเพื่ออะไร เพื่อโกหกหรือเพื่องัดความจริงที่ซุกซ่อนในใจออกมาพูด เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาภูมิ ดวงตาดำคมนั้นรอคอยคำยืนยันของเธอ

“มิ้นกับพี่ภูมิคบกันมาสักระยะแล้วจริงๆ ค่ะ เขาอาจจะ...ท่าทางเอาเรื่องสักหน่อย พูดจาก็ไม่ค่อยน่าฟัง แต่เป็นคนจริงใจ หลายต่อหลายครั้งด้วยซ้ำที่มิ้นก่อปัญหาให้ แต่พี่ภูมิก็ยังอดทนคอยแนะนำช่วยเหลือ มิ้นคิดว่าหากจะอยู่กับใครสักคนได้โดยไม่ต้องพยายามแสร้งเป็นคนอื่น ก็คงมีแค่พี่ภูมินี่แหละ มิ้นเสียใจค่ะ หลายวันก่อนนั้นมิ้นตื้อไปหมด มิ้นน้อยใจพ่อ มิ้นเสียใจที่แม่สนใจคนอื่นมากกว่า มิ้นแค่อยากให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม ถึงได้ทำเรื่องประชดประชันแบบนั้นออกไป และลากให้พี่ภูมิต้องมาอยู่กลางปัญหา” มินตรารู้สึกว่าได้ยินเสียงสูดหายใจลึกของใครบางคน ซึ่งน่าจะเป็นภูมิ “ความรู้สึกที่มิ้นเคยมีไม่ได้เปลี่ยนไป และรู้ว่าแค่คำขอโทษอาจจะไม่พอ แต่ถ้าการที่พี่ภูมิขอคบหากับมิ้นอย่างเปิดเผย นั่นหมายถึงเราสองคนพร้อมจะเริ่มต้นกันใหม่... มิ้นก็ยินดี”

ภายในห้องเหลือเพียงความเงียบ มินตรายังคงประสานสายตากับชายหนุ่มตรงข้ามราวกับจะอ่านใจกันและกัน กระทั่งได้ยินเสียงปรบมือด้วยความยินดีของชัยวัฒน์

“ดีๆ แบบนี้สิ คนเรารักกัน ผิดพลาดอะไรก็ให้อภัย ให้โอกาสกันบ้าง ค่อยๆ เรียนรู้กัน ทีนี้อาจะได้ไปบอกอาหน่อยของแกได้เสียทีว่าหลานชายคนโปรดเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ถ้าอย่างนั้นทางคุณอรกับคุณรุจพร้อมจะคุยเรื่องฤกษ์ยามกันเมื่อไหร่ก็บอกมาได้เลย หรือจะให้ทางผมเป็นธุระจัดการให้ก็ได้ เจ้าภูมิกำพร้าพ่อแม่ อยากให้คิดเสียว่าผมเป็นญาติผู้ใหญ่ฝั่งเจ้าภูมิมันก็แล้วกัน”

แม้ลูกสาวจะพูดเช่นนั้น แต่อนงค์อรก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

“ดิฉันว่าค่อยๆ ดูฤกษ์ยามไปเถอะค่ะ เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ยายมิ้นก็ยังเรียนอยู่ ดิฉันเป็นห่วงอนาคตของลูก ถ้ายังไงแค่หมั้นหมายไว้ก่อนก็น่าจะพอ”

นัยน์ตาสีดำหรี่ลงบอกถึงความไม่พอใจนัก แต่ภูมิก็เห็นด้วยเรื่องอนาคตของมินตรา ถ้าเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้น้องๆ แต่ละคนร่ำเรียนให้สูงที่สุด เขาก็จะไม่แสร้งมองเมินอนาคตของมินตราเด็ดขาด แต่ขณะที่ชายหนุ่มจะเอ่ยปากยอมผ่อนปรน อดิรุจก็โพล่งขึ้นมากลางวงอย่างไม่เกรงใจ

“ฉันไม่ยอม ยังไงๆ ฉันก็ไม่ยอมให้ลูกสาวฉันแต่งกับแก!”

“พ่อคะ มิ้นก็บอกแล้ว...” มินตราที่นั่งอยู่ข้างๆ พยายามปรามเมื่อเห็นอดิรุจลุกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย ใบหน้าแดงก่ำ และกระชากเสียงเกรี้ยวกราดอย่างไม่เกรงใจ

“ไม่ต้องพูด! แค่เห็นหน้ามันพ่อก็รู้แล้วว่าสันดานเป็นยังไง หนูยังเด็ก ไม่รู้หรอกว่ารักกับหลงมันต่างกันยังไงบ้าง แล้วที่ว่าคบกันพ่อไม่เชื่อเด็ดขาด หรือต่อให้คบจริงๆ จะนานสักแค่ไหนกันเชียว หนูแค่หลงมันเท่านั้น ส่วนแกก็คิดจะมาหลอกลูกสาวฉันละสิ ฝันไปเถอะ!”

“คุณรุจผมว่าคุณใจเย็นๆ ก่อนดีกว่า ผมรับประกันได้ว่าเจ้าภูมิมันไม่เคยมีประวัติเป็นเสือผู้หญิง แถมยังเอาการเอางาน เรื่องเหล้ายานี่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง”

“แต่ก็เป็นแค่ชาวไร่ชาวสวน” อดิรุจยังไม่ฟังเสียงใครหน้าไหน ทำให้ชัยวัฒน์ชักเริ่มมีสีหน้าตึงเช่นกัน “ผมไม่ได้จะอวดอ้างว่าครอบครัวผมร่ำรวยอะไร แต่ก็มั่นใจว่าเลี้ยงลูกเมียให้สุขสบายได้ แล้วไอ้...หลานชายของท่านน่ะ วันๆ ตากแดดตากลมทำไร่สวน จะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลยายมิ้น เคยรู้อะไรเกี่ยวกับยายมิ้นบ้าง ลูกผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร ผมไม่มีวันยอมให้ลูกต้องไปตกระกำลำบาก เพียงเพราะทำผิดพลาดครั้งเดียวหรอก”

“การใช้ชีวิตคู่ มันคือการปรับตัวเข้าหากัน และพร้อมจะเดินไปด้วยกันนะคุณรุจ” ชัยวัฒน์ฟังความเห็นคนเป็นพ่อแล้วอดส่ายหัวไม่ได้ เคยเห็นมานักต่อนัก พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเสียจนเท้าไม่ติดดิน พอโตมาก็กลายเป็นพวกภูมิคุ้มกันความลำบากบกพร่อง เจออะไรนิดอะไรหน่อยก็ท้อแท้ไม่สู้ หรือไม่ก็กลับมาเรียกร้องให้พ่อแม่ไขว่คว้าเอาความสำเร็จมาให้

“เราเองก็เคยเป็นหนุ่มเป็นสาว คุณก็น่าจะเข้าใจ ตอนคบกันมันก็อย่างหนึ่ง แต่เมื่อตัดสินใจเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องรู้จักปรับตัว รู้จักหน้าที่กันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เคยสบายแบบไหนก็หวังจะสบายแบบนั้นตลอดไป หรือต้องให้อีกคนคอยแบกรับความสุขของตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว หากเป็นแบบนี้ ผมว่าอย่าแต่งกันเลยดีกว่า เพราะลางว่าจะอยู่กันไม่รอดเสียตั้งแต่ต้นนี่แหละ”

“ดี! งั้นก็ไม่ต้องแต่ง!”

“คุณรุจ ฉันว่าคุณเริ่มไม่มีเหตุผลแล้วนะ” อนงค์อรชักอดรนทนไม่ไหว

“ใช่ ผมไม่มีเหตุผล ไม่มีเหตุผลที่จะให้มันมาแต่งงานกับยายมิ้นเลยสักข้อ หรือคุณมีล่ะ!”

อนงค์อรฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจ หันไปขอโทษด้วยสายตากับฝ่ายที่ชักเริ่มหมดอารมณ์จะเสวนา

“ขอเวลาเราหน่อยได้ไหมคะ ดิฉันเองก็อยากคุยกับยายมิ้นเพื่อให้แน่ใจกว่านี้”

“จะไปเสียเวลาคุยอะไรอีกคุณอร นี่คุณไม่เป็นห่วงลูกบ้างหรือไง”

หากเป็นแต่ก่อนอนงค์อรอาจฟังสามีมากกว่านี้ ทว่าไม่ใช่หลังจากเขาพาคนอื่นมาหยามเธอ ความเป็นพ่อที่ดีแต่หวงลูกสาว ทว่าไม่เคยยอมรับว่าการกระทำของตัวเองผลักดันลูกให้เตลิดแค่ไหน ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่ฟังคำพูดของมินตราและผู้ชายตรงหน้า อนงค์อรก็สิ้นไร้เหตุผลที่จะบอกว่าตัวเองกับสามีไม่มีส่วนทำให้ลูกต้องเป็นเช่นนี้ และการแก้ไขใดๆ ก็ตาม ไม่ใช่แค่ปกป้องลูกไว้ข้างหลังแล้วแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“จะให้ผมทำยังไง คุณถึงจะเชื่อว่าผมสามารถดูแลมินตราได้” ภูมิถามในที่สุด เขาต้องการคำตอบรับที่แน่ชัด ซึ่งจะมีแค่คำตอบเดียวเท่านั้น ยิ่งอดิรุจแสดงทีท่ารังเกียจเท่าไหร่ กีดกันเท่าไหร่ ภูมิก็ยิ่งต้องทำให้มินตราเป็นของเขายิ่งขึ้น เพราะแน่ใจว่าหลังจากนี้ อดิรุจต้องจะพยายามยัดเยียด ‘สามีที่ดีพร้อม’ หรือไม่ก็กันเธอจากผู้ชายทุกคนอย่างไม่ลืมหูลืมตาแน่ ยิ่งคิดถึงสิ่งที่มินตราพูดถึงพ่อ การนอกใจ การมีภรรยาน้อย... คิดแล้วก็นึกขันนัก ตัวเองสร้างเรื่องสารพัด แต่ดันกลัวกรรมตามสนองแล้วไปลงที่ลูกสาวแทน

“ถ้าคิดว่าผมจะพามินตราไปขุดดินถางหญ้าอยู่ในป่าในดง หรือขุดเผือกขุดมันกิน มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฐานะผมอาจไม่ร่ำรวยเท่าคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง แต่ถ้านับฐานะคนในท้องถิ่นก็ถือว่ามีอันจะกินพอตัว ถึงผมจะการศึกษาน้อย แต่น้องๆ ที่เหลือก็ร่ำเรียนจนได้ใบปริญญาเกือบทุกคน ชื่อเสียงตระกูลผมเป็นที่รู้จักกว้างขวางตั้งแต่สมัยปู่ย่า เราอาจไม่มีอิทธิพลมากมาย แต่ก็มีคนให้ความเกรงใจ ดังนั้นผมไม่คิดว่าผู้หญิงคนไหนที่แต่งงานกับผมจะต้องมานั่งอับอายหรือกลัวลำบากอะไร จะมีอย่างเดียวก็แค่ผมไม่รวยขนาดที่จะควงเมียออกงานให้สังคมรับรู้” ภูมิมองไปทางมินตรา “พี่ไม่เคยเสียใจที่เกิดมาเป็นลูกชาวไร่ แต่พี่คงเสียใจหากมันเป็นเหตุผลที่ใช้ตัดสินว่าเราไม่คู่ควรกัน พี่ให้สัญญาไม่ได้ว่าหากเลือกพี่แล้วชีวิตมิ้นจะไม่ต้องเผชิญความลำบากอะไรเลย เพราะชีวิตมันมีปัญหาเข้ามาได้ทุกเมื่อนั่นแหละ ไม่ว่าจะยาจกหรือเศรษฐี สิ่งที่พี่หวังมีแค่อยากให้มิ้นเชื่อใจพี่ เชื่อว่าเราจะผ่านทุกอย่างไปได้”

พอเห็นอดิรุจเตรียมอ้าปากแย้ง มินตราก็รีบกระตุกมือผู้เป็นพ่อไว้ ใช้สายตาอ้อนวอน

“พอเถอะค่ะพ่อ แค่นี้มิ้นก็อายจะแย่อยู่แล้ว คุณอาชัยวัฒน์ท่านคงคิดว่ามิ้นถูกเลี้ยงมาแบบเทวดา เอะอะนิดหน่อยก็กลัวจะลำบาก แล้วถึงต่อให้มิ้นแต่งกับพี่ภูมิจริง ก็ใช่ว่าปุบปับจะย้ายไปอยู่ด้วยกันเลย มิ้นยังเรียนหนังสือ หวังว่าพี่ภูมิจะเข้าใจ...” พอชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ มินตราจึงค่อยใจชื้นขึ้นเล็กน้อย “เห็นไหมคะ อะไรๆ มันไม่ได้เลวร้ายหรอก...ถ้าพ่อยอมรับ”

“เออเนอะ เด็กมันยังคุยรู้เรื่องกว่าผู้ใหญ่อีก” ชัยวัฒน์อดเหน็บไม่ได้ โดยไม่รู้ว่าคำถามต่อจากนั้นจะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเล่นงานหลานชายเขาอีกดอก “ถึงจะหมั้นหมาย แต่ก็คงต้องคุยเรื่องสินสอดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทางคุณเห็นว่ายังไง ก็คุยกันเสียตรงนี้เถอะ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น