3

ตอนที่ 3



 มันเจ็บปวดเหลือเกินเมื่อเห็นต่อหน้าต่อตาว่าเขาแคร์ผู้หญิงอื่นกว่า ลืมเลือนความรักความผูกพันที่เคยมี ลืมคู่ทุกข์คู่ยากที่เคยลำบากด้วยกันมา เพียงเพราะเธอตอบสนองความใคร่ให้เขาได้ไม่อิ่ม อกคนเป็นเมียทั้งรวดร้าวทั้งอ่อนล้าจนไม่อยากยื้อแย่งอะไรอีก

นอกจากอดิรุจแล้วคนที่มินตราต้องคอยเฝ้าประกบก็คืออนงค์อร เพราะอยากแน่ใจว่าเหตุการณ์ข่มขู่จะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือ ทั้งพ่อและแม่จงใจปิดปากเงียบไปไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้อีก จากที่มินตราเฉยๆ กับความสัมพันธ์เย็นชืดของพ่อแม่ ตอนนี้เธอชักอยากรู้จริงๆ แล้วว่าทั้งคู่มีปัญหาอะไร และยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นที่ต้องมองพ่อแม่พยายามดีกันต่อหน้าเธอ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าแต่ละคนเต็มกลืนกันแค่ไหน

อย่างเดียวที่อาจเป็นเรื่องดีๆ ก็คือ มินตราสนิทกับแม่มากขึ้น ในฐานะผู้หญิงอย่างไรเธอก็อดสงสารเห็นใจแม่ไม่ได้ ยิ่งเห็นว่าเมื่อเกิดปัญหาพ่อยังสามารถออกไปข้างนอก สังสรรค์กับเพื่อนฝูงเพื่อลืมปัญหาในบ้าน ยังมีญาติพี่น้องที่ติดต่อพูดคุยได้ หรือแม้แต่แอบย่องไปหาแม่โฉมฉาย แต่อนงค์อรนั่นเล่าไม่มีใครเลย และคนอย่างแม่คงไม่มีวันนำเรื่องในครอบครัวไปเล่าให้คนนอกฟัง

มินตรานั่งแท็กซี่จากมหาวิทยาลัยตั้งใจจะไปหาอนงค์อรที่สำนักงานทนายความศรันย์ เพราะอยากชวนมารดาไปกินข้าวเพื่อผ่อนคลายบ้าง เธอเบื่อบรรยากาศโต๊ะอาหารที่บ้าน ที่พ่อแม่เอาแต่ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ ไม่พูดไม่จากัน ทำให้รสชาติอาหารสุดฝืดเฝื่อน กระเดือกยังไม่อิ่มก็ต้องวางช้อนหนีขึ้นห้อง

ก่อนออกจากมหาวิทยาลัย กันต์ธรตามตื๊อบอกว่าจะไปส่งให้ได้ แต่มินตราปฏิเสธและหลบออกมาทันที อันที่จริงกันต์ธรก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ตอนที่ตัดสินใจคบหากัน มินตราคิดว่าชายหนุ่มเป็นคนรูปหล่อ ฐานะก็ใช่ย่อยเห็นว่าพ่อแม่ทำธุรกิจส่งออก พี่ชายก็กำลังจะลงเล่นการเมือง เพื่อนฝูงที่คบหาก็มีฐานะซึ่งเรียกว่าไม่ด้อยกว่ากัน แต่พอนานเข้ามินตราก็ชักเริ่มเบื่อ เบื่อสังคมจอมปลอมของแฟนหนุ่ม เบื่อสายตาเพื่อนฝูงของเขาที่มองเธอราวกับเป็นสินค้าเช่า บางคนอาจแค่พูดลับหลังสนุกปาก แต่บางคนก็อาจหาญขนาดเข้ามาต่อรอง ‘ถามราคาสินค้ามือสอง’ หากวันใดถูกสลัดทิ้ง 

ไม่ใช่แค่เพื่อนฝูงหัวสูงเหล่านั้น กันต์ธรเองก็เช่นกัน ความหึงหวงของชายหนุ่มนับวันยิ่งทำให้เธอรำคาญ จนพักหลังๆ ทั้งคู่เริ่มมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งจนเธอต้องพูดออกไปตรงๆ ว่าคนอย่างมินตราไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครจะมาควบคุมหรือข่มขู่ได้

‘พี่กันต์ชักเริ่มวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของมิ้นมากเกินไปแล้วนะคะ’ 

‘พี่ไม่ได้วุ่นวายอะไร ก็แค่ทำตามหน้าที่ คนเราคบกันยังไงก็ต้องคอยเทกแคร์กันบ้าง น้องมิ้นคิดมากไปเองน่ะสิ’

มินตราแทบอยากแบะปาก เมื่อคิดถึงความหึงหวงไร้สาระของกันต์ธร ที่แค่เธอเฉียดใกล้หรือคุยกับผู้ชายคนไหน เขาก็พร้อมจะหาเรื่องเธอทันที แม้จะไม่ได้ด่าว่าตรงๆ แต่การประชดประชันด้วยคำพูดก็ถือเป็นการดูถูกเธออย่างรุนแรง โดยเฉพาะการทำต่อหน้าคนอื่นๆ

‘มิ้นไม่ใช่นักโทษที่พี่จะคอยตามเช็กตลอดเวลา และพี่ก็ไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวในโลกที่มิ้นจะคุยด้วย’

‘แต่พี่เป็นแฟนมิ้น พี่มีสิทธิ์รู้ทุกอย่าง’ กันต์ธรชักหัวเสีย ‘หรือมิ้นซ่อนใครไว้ ถึงได้ไม่อยากให้พี่รู้นัก’

‘ค่ะเป็นแฟน แต่ไม่ได้เป็นผัว วันนี้มิ้นเลือกคบพี่ ก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้มิ้นจะเลิกคบกับพี่ไม่ได้ ดังนั้นอย่ามาทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชีวิตมิ้น หรือถ้าคิดว่าคบกับมิ้นปัญหาแยะนัก อยากเปลี่ยนใจไปคบคนอื่นที่ง่ายกว่าก็ยังทันนะคะ’

‘นี่มิ้นขู่จะเลิกกับพี่หรือ’

‘ไม่ได้ขู่ แต่มิ้นทำจริงแน่ ถ้าคบกันแล้วมีแต่ปัญหาจะคบกันไปทำไม แล้วมิ้นจะบอกให้ ไม่มีพี่ มิ้นก็ไม่ตาย!’

นั่นแหละชายหนุ่มถึงยอมล่าถอย คนอย่างมินตราเคยเสียดายกะแค่ผู้ชายคนเดียวเสียทีไหน หนุ่มๆ รอโอกาสจีบเธอมากมาย จะหน้าตา ฐานะ เธอแทบชี้นิ้วเลือกได้ ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องการที่สุดคือ ความพอใจของตัวเอง ไม่ใช่ความพอใจของคนอื่น

ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงหญิงสาวก็มาถึงสำนักงานทนายความศรันย์ ที่นี่เป็นตึกออฟฟิศขนาดสี่ชั้น ค่อนข้างใหญ่โตทีเดียว คนที่เป็นเจ้าของและเป็นเจ้านายของแม่คือนายศรันย์ มินตรารู้แค่ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่เรียนคณะเดียวกันกับแม่สมัยมหาวิทยาลัย ก่อนจะชักชวนแม่และคนรู้จักมาทำงานด้วยกัน เธอเคยพบนายศรันย์ไม่กี่ครั้ง ทว่าวันนี้เมื่อเข้าไปในตัวอาคาร คนแรกที่มินตราได้พบก็คือตัวศรันย์นี่แหละ ดูเหมือนเขากำลังจะออกจากออฟฟิศพอดี ชายวัยกลางคนผมสีดอกเลา ผิวขาว ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา ความภูมิฐาน และบรรยากาศสบายๆ รอบตัวเขายังคงเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นเสมอ อย่างน้อยเวลาที่ได้คุยกันมินตราก็รู้สึกว่าคำพูดและการกระทำของเขาออกมาจากใจจริงๆ ไม่ใช่แค่ตามมารยาทหรือแสร้งเอาใจแบบที่คนส่วนใหญ่ทำกับเธอ

“สวัสดีค่ะคุณลุง” มินตรายกมือไหว้ผู้สูงวัยพร้อมส่งยิ้มให้ ฝ่ายนั้นรับไหว้และดูแปลกใจที่เห็นเธอที่นี่เช่นกัน  

“มาหาคุณอรหรือลูก” ฝ่ายนั้นทักทายอย่างใจดีเช่นเคย

“ค่ะ มาชวนแม่ไปทานข้าว ตั้งใจจะแวะไปซื้อของเข้าบ้านด้วย มิ้นเลือกไม่เก่ง ซื้อเองทีไรโดนแม่ดุประจำว่าเลือกแต่ของไม่จำเป็น แล้วนี่คุณแม่อยู่ไหนคะนี่”

“คุณอร...” อีกฝ่ายอึกอักเล็กน้อย ก่อนส่งสายตาไปยังส่วนที่แยกเป็นห้องรับรอง “ตอนแรกก็ว่าจะกลับพร้อมคุณอร แต่เมื่อกี้มีแขกมาขอพบ เขาเลยให้ลุงกลับก่อน”

“ลูกความเหรอคะ”

“ลุงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่น่าจะใช่นะ เพราะรายนี้เขามาขอพบคุณอรแบบเจาะจง ดูแปลกๆ ท่าทางไม่เหมือนคนมีปัญหามาปรึกษา” 

มินตราชะโงกหน้ามองผ่านประตูห้องรับรองซึ่งมีช่องกระจกใส ทำให้เห็นว่าอนงค์อรนั่งอยู่ที่โซฟาด้านในกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ถึงมองเห็นแค่ด้านหลังมินตราก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

อนงค์อรยังคงรักษาสีหน้าสงบเยือกเย็นไม่ต่างกับเวลาที่คุยกับลูกความ หรือคนที่เข้ามาปรึกษาปัญหาทุกข์ร้อน อย่างน้อยการทำงานที่ต้องอยู่กับคนซึ่งมีแต่เรื่องร้อนใจก็ทำให้เธอสามารถ ‘เย็นโดยที่ไม่ต้องบังคับตัวเองนัก แต่ครั้งนี้แม้ภายนอกจะยังสงบ ทว่าภายในกลับเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนหน้านั้นแม้สามีจะออกไปทำอะไรข้างนอก แม้บางครั้งเธอจะบังเอิญพบเขาอยู่กับผู้หญิงอื่น หรือเสียงซุบซิบนินทาที่ผู้คนนำมาให้ อนงค์อรก็ได้แต่ปล่อยวาง ให้คำพูดทุกอย่างลอยผ่านไปดุจสายลม ตราบใดที่อดิรุจไม่นำผู้หญิงเหล่านั้นเข้ามายุ่งกับครอบครัว ไม่ยกย่องหรือเชิดชูออกหน้า เธอก็พร้อมสงบเสงี่ยมไม่รู้ไม่เห็น 

แต่ครั้งนี้มันเกินไปกว่าที่เธอคาดคิดนัก แค่เพียงระยะเวลาไม่เท่าไหร่ อนงค์อรไม่คิดเลยว่าสามีจะผูกพันกับหญิงสาวตรงหน้ามากขนาดที่เจ้าหล่อนกล้าเข้ามาบอกกล่าวตรงๆ ว่าตนเป็นใคร และต้องการอะไร

“ฉันว่าคนที่คุณสมควรไปบอกควรเป็นคุณรุจมากกว่า หากเขาอยากหย่า คนที่ตัดสินใจก็ควรเป็นเขา ไม่ใช่ฉัน”

“พี่รุจจะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะคะ” โฉมฉายเสียงอ่อน แต่สายตาที่มองอีกฝ่ายทั้งทิ่มแทงทั้งเย้ยหยัน “ก็มีเมียเป็นทนายความเสียแบบนี้ หากหย่าไม่ต้องถูกฟ้องร้องหรือ พี่รุจเขาสงสารโฉม กลัวว่าโฉมจะถูกลากเข้ามาวุ่นวายด้วย เพราะแบบนี้เรื่องมันถึงได้คาราคาซัง คุณพี่ก็ไม่ได้จะขี้ริ้วขี้เหร่ ฐานะ งานการก็มั่นคง หย่ากับพี่รุจแล้วไปหาคนอื่นก็ยังทัน แต่พี่รุจนี่สิคะต้องทนทรมานอยู่กับเมียที่หมดรักแล้ว ครั้นจะทิ้งจะขว้างคนเขาก็จะได้ตราหน้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย โฉมถึงต้องแบกหน้ามาขอร้องให้คุณพี่ปล่อยพี่รุจไปเสีย ถือว่าชาตินี้คงทำบุญกันมาแค่นี้”

โฉมฉายขยับยิ้มเมื่อได้ยินเสียงสูดลมหายใจลึก สะใจเป็นยิ่งนักที่ได้เห็นหน้านังเมียทนายหดเหลือแค่สองนิ้ว เธอก็แค่นั่งรอเงียบๆ ปล่อยให้บ้านใหญ่ลุกเป็นไฟ ผู้หญิงคนไหนๆ ยังไงก็ไม่ต่างกัน ถูกเมียน้อยมาหยามถึงที่ ถ้ายอมได้ก็คงโง่เป็นควายแล้ว

อันที่จริงเธอก็ไม่อยากใช้วิธีนี้ ถ้าไม่เพราะตั้งแต่นังลูกสาวตัวดีนั่น อดิรุจเริ่มไม่มีเวลาให้เธอ ไม่สนใจไยดีดังแต่ก่อน โทร. ไป ส่งข้อความไปก็ไม่เคยตอบรับ บางครั้งเธอพยายามเข้าไปเคลียร์ปัญหาตรงๆ ก็ยังบอกปัด โกรธปึงปังใส่เธออีก

‘โฉมอย่าเพิ่งกวนใจพี่ตอนนี้ได้ไหม ช่วงนี้พี่ทำงานยุ่ง ทั้งเรื่องงาน เรื่องที่บ้าน ยังต้องให้พี่มาปวดหัวเรื่องโฉมอีกหรือ’

‘แล้วมันเป็นความผิดของโฉมหรือคะ พี่รุจขออะไรไว้โฉมเคยขัดใจไหม ต่อหน้าคนอื่นพี่บอกไม่ให้พูดเรื่องของเรา โฉมก็ทน แต่นี่พี่เมินใส่โฉมแบบนี้ ตกลงเราจะจบกันใช่ไหม’

‘โฉมก็เห็นยายมิ้นตามพี่แจ พี่มีลูกสาวคนเดียว พี่ไม่อยากให้ลูกเสียใจ ยิ่งโฉมไปหาเรื่องระรานคุณอรเธออีก ตอนนี้ยายมิ้นแทบไม่มองหน้าพี่ด้วยซ้ำ พี่เตือนโฉมแล้วใช่ไหม ถ้าจะคบกับพี่ก็ห้ามยุ่งกับลูกเมียพี่ คุณอรเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ เผลอๆ จะลุกขึ้นมาฟ้องหย่าพี่รวมถึงโฉมด้วย คราวนี้ได้ซวยกันแน่’

‘โฉมไม่สนหรอกค่ะ อยากฟ้องก็ฟ้องเลย แต่ถ้าพี่ทิ้งโฉมละก็เราได้เห็นดีกันแน่ โฉมจะประกาศให้คนรู้กันไปเลย ว่าโฉมเองก็เป็นเมียพี่จะมาทิ้งขว้างกันไม่ได้!’

ถึงจะขู่คนหน้าบางอย่างอดิรุจหรือก่อกวนนังเมียทนายสำเร็จก็ยังไม่หนำใจ โฉมฉายถึงได้ต้องใช้วิธีเร่งรัดให้นังเมียมันรีบหย่าเสีย เธอไม่สนหรอกต่อให้ถูกตราหน้าว่าเป็นมือที่สาม ทำครอบครัวคนอื่นบ้านแตก ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก ในเมื่อผู้ชายเป็นฝ่ายเข้ามายุ่งกับเธอก่อน จึงไม่ใช่ความผิดของเธอฝ่ายเดียว ชีวิตที่ผ่านมาโฉมฉายต้องพึ่งพาตัวเอง ไม่เคยมีใครสงสารเห็นใจ และความสงสารเห็นใจก็ไม่เคยทำให้เธอรอดพ้นจากความทุกข์ยากด้วย ตอนนี้เธอต้องการเพียงความมั่นคงในชีวิต และอดิรุจนี่แหละที่สามารถมอบให้เธอได้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ต้องได้เขามาครอบครอง

“โฉมอยากให้คุณพี่เป็นคนบอกพี่รุจเอง บอกว่าตัวเองต้องการหย่า พี่รุจจะได้ไม่ต้องอยู่กับความรู้สึกผิด และถือว่าพี่ไปด้วยความเต็มใจของพี่”

“ฉันยังยืนยันคำเดิม” อนงค์อรเอ่ย แม้บัดนี้สุ้มเสียงจะไม่มั่นคงดังเดิม “หากจะมีการหย่า คุณรุจต้องเอ่ยปากเอง”

“เอ๊ะ คุณพี่โง่หรือแกล้งโง่กันแน่คะ พี่รุจเขารักโฉม แล้วสุภาพบุรุษอย่างพี่รุจเขาไม่พูดให้เมียเสียหน้าหรอกค่ะ ทำไมคะ ผู้หญิงเก่งอย่างคุณพี่ไม่ได้หน้าหรอกหรือที่สลัดผัวห่วยๆ ได้ก่อน คนเขาจะได้ลือว่าเก่งจริง ต่อให้ไม่มีผัวเลี้ยงก็อยู่ได้ จะทนเป็นหมาหัวเน่าไปทำไม ลูกเต้าพี่ก็มี อย่างน้อยแก่ไปก็มีคนเลี้ยงดู ส่วนคุณรุจโฉมจะดูแลเอง อ๋อ หรือคุณพี่อยากได้เงินเพื่อจะหย่า ถ้าอย่างนั้นโฉมจะบอกคุณรุจให้ก็ได้”

พูดจบไม่ทันไร เสียงหวานๆ แต่เด็ดขาดก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

“จะไม่มีการหย่าอะไรทั้งนั้น หรือถ้าจะมีใครไป คนคนนั้นก็เป็นเธอ ไม่ใช่แม่ฉัน!”

ทันทีที่ร่างบางเดินเข้ามาในห้อง โฉมฉายก็เด้งตัวลุกขึ้นทันที หน้าเสียไปเล็กน้อย บ้าจริง ทำไมนังลูกสาวมันถึงโผล่หัวมาที่นี่ได้ ลำพังแม่มันเธอไม่กลัวแม้แต่น้อย ยกเว้นนังอสรพิษนี่ เห็นๆ อยู่มันร้ายกว่าแม่หลายเท่า

“มิ้น” อนงค์อรรีบเข้ามาขวางลูกสาว เมื่อเห็นสายตาที่มองโฉมฉายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“มาที่นี่ทำไม!” มินตราตวาดลั่น แต่พอทางโฉมฉายตั้งสติได้ก็เชิดหน้าสู้เช่นกัน

“ฉันแค่เป็นตัวแทนพี่รุจมาพูดกับแม่ของเธอเท่านั้น”

“พูดแทนพ่อ หรือพูดแทนตัวเองกันแน่ ครั้งก่อนฉันเห็นแก่หน้าพ่อถึงไม่ตบหล่อนจนไปกองอยู่ข้างถนน แต่ดูท่าหนังหน้าหนาอย่างกับรองเท้าส้นตึกแบบนี้ แค่ตบคงไม่รู้สึกหรอกมั้ง” 

“มิ้นอย่าลูก” อนงค์อรยึดตัวลูกสาวแน่นเมื่อคิดจะตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย “อย่าไปทำเขา ปล่อยเขาไปเถอะ”

“แม่อย่ามาห้ามมิ้นนะ มันเป็นใคร กล้าดียังไงมาหาเรื่องแม่ถึงที่นี่ ต่อให้แม่ยอม มิ้นก็ไม่ยอม!”

“ฉันเองก็เป็นเมียของพี่รุจเหมือนกัน ฉันควรได้รับความยุติธรรม แกกับแม่แกนั่นแหละที่ควรสำนึกตัวเอง จะตกกระป๋องอยู่แล้วยังไม่เจียมตัวอีก” 

“โอ๊ย โลกนี้มันเป็นอะไรกันไปหมด สัมภเวสีมันถึงได้เยอะนัก” มินตราเค้นเสียงเหี้ยม “คอยแต่จ้องจะเกาะขอส่วนบุญคนโน้นคนนี้ คนประเภทเธอเนี่ยน่าจะรีบๆ ลงนรกไปชดใช้กรรมเสีย เพราะอยู่ไปก็รังแต่จะสร้างบาปสร้างกรรมเพิ่ม แค่ศีลข้อสามยังรักษาไม่ได้ ยังจะมาดิ้นพล่านเรียกร้องความยุติธรรม บอกตรงๆ นะ เห็นแล้วฉันสังเวช!”   

“อีเด็กบ้า แกด่าฉันเรอะ!” โฉมฉายตาลุกวาว เงื้อฝ่ามือขึ้นหมายตบอีกฝ่าย แต่เอาเข้าจริงๆ พอหญิงสาวอายุน้อยกว่าเงื้อมือขึ้นรอท่า เธอกลับชะงักไปเอง ไม่คิดว่ามันจะกล้าสู้ทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าแม่มัน 

“เอาซี้ อยากตบฉันเหรอ มาเลย คนแบบหล่อนเค้นหายางอายคงไม่มี มันต้องเค้นเอาเลือดปากออกนี่แหละถึงจะเหมาะ” มินตราสวนก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ “ฉันไม่เหมือนแม่หรอกนะ ใครทำฉันเจ็บ ฉันจะทำให้มันเจ็บกว่าร้อยเท่าพันเท่า ใครทำลายครอบครัวฉัน ก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบสุขเลย อยากได้ผัวคนอื่นเขานักใช่ไหม ด๊าย ฉันจะให้ทั้งผัวทั้งหมายศาลเอาไปนอนกอดเล่น!”

“แกไม่กล้าหรอก” พอเห็นอีกฝ่ายเอาจริง โฉมฉายก็ชักลังเล

“ทำไมฉันจะไม่กล้า ถ้าคนอย่างหล่อนยังกล้ามาประกาศตัวเป็นเมียน้อยชาวบ้านไม่รู้จักอาย ทำไมเมียที่อยู่กินอย่างถูกต้องอย่างแม่ฉันต้องอายด้วย แต่ก็อย่างว่าละนะ กำพืดคนเรามันไม่เหมือนกัน” 

โฉมฉายแทบดิ้นพล่านด้วยความเจ็บแค้น ไม่คิดว่าทุกอย่างจะออกมาเช่นนี้ ที่สำคัญแค้นนังลูกสาวปากกรรไกรนี่นัก นี่น่ะหรือลูกสาวที่อดิรุจชื่นชมนักหนาว่าน่ารักดีแสนดีราวนางฟ้า นางมารสิไม่ว่า

“ฉันว่าเธอกลับไปเถอะ” อนงค์อรตัดบท ตอนแรกเธอคิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจนพอใจแล้วไปเอง แต่เมื่อลูกสาวอยู่ด้วย อนงค์อรจะไม่ยอมให้ลูกมาทนรับรู้เรื่องเหม็นคาวของพ่อมากไปกว่านี้อีก “เธออยากได้อะไร หวังอะไรก็ไปบอกคนที่เขาอุ้มชูเลี้ยงดูเธอโน่น และไม่ว่าเขาจะให้เธอได้แค่ไหน นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันและลูก ในเมื่อเธอเลือกจะเป็นของเล่นให้เขา ก็อย่าโทษคนอื่นในเรื่องโชควาสนา แต่จงโทษตัวเองที่พอใจจะเป็นแบบนี้”

“ปากดีไปเถอะ! ผัวคนเดียวยังเอาไม่อยู่อย่าริอ่านมาสั่งสอนคนอย่างฉัน ถ้าที่บ้านมันมีข้าวให้กินอิ่ม เขาจะมาหาฉันทำไม แต่นี่คงเพราะทนนังปลาตายอย่างเธอไม่ไหวมากกว่า รู้ไหม อยู่กับฉันเขาพูดถึงเธอยังไง เขาว่าเธอมันดีแต่กดหัวผัวให้ต่ำทำตัวเองให้สูง ก็แค่หวังลบปมด้อยทั้งนั้น ถ้าไม่เห็นแก่ลูก ป่านนี้เขาเลิกกับเธอไปนานแล้ว แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ ทั้งแม่กับลูกสันดานพอๆ กันแบบนี้” สายตาชิงชังมองไปยังมินตรา กวาดมองตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าแล้วแบะปากเยาะเย้ย “โหงวเฮ้งอย่างเธอ ชาตินี้คงมีผู้ชายดีๆ อยากเอาไปทำเมียหรอกนะ แต่ถ้าเป็นเมียน้อยเมียเก็บพวกเสี่ยตัณหากลับ รายได้อาจดีพอเลี้ยงดูแม่เธอตอนแก่ก็ได้”

มินตราโกรธจนแทบพุ่งเข้าไปบีบคออีกฝ่ายอยู่รอมร่อ หากไม่เพราะสุ้มเสียงเย็นๆ ของอนงค์อรเอ่ยขึ้น

“พูดจบแล้วใช่ไหม” อนงค์อรถาม สีหน้าเย็นชาจับใจ ดูเหมือนว่าคำพูดสุดท้ายของโฉมฉายจะสามารถกะเทาะความอดทนของอนงค์อรจนแตกร้าว เพียงแต่เธอไม่ได้เต้นเร่าหรือกรีดร้องอย่างที่หวังจะได้เห็น ซ้ำนัยน์ตาคมปลาบก็ทั้งน่ากลัวและทรงอำนาจจนคนมองชักร้อนๆ หนาวๆ “ฉันไม่อยากจะด่าผู้หญิงด้วยกันให้เสียหรอกนะ ยิ่งเธออุตส่าห์ลดตัวลงไปเป็นที่ระบายความใคร่ให้สามีฉัน ยิ่งต้องขอบคุณ เพียงแต่อยากเตือนให้เธอใช้สมองให้มากกว่านี้ คิดถึงอนาคต คิดถึงเกียรติความเป็นลูกผู้หญิงของตัวเองบ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่อวดอ้าง ปลาบปลื้มหนักหนาว่าตัวเองเก่งเรื่องสืบพันธุ์แค่ไหน ใครได้ยินเข้าจะได้หัวเราะเยาะเอา ไม่ละอายตัวเอง ก็อายแทนพ่อแม่ที่ทำให้เธอเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาบ้าง” 

เท่านั้นโฉมฉายก็ร้องกรี๊ดราวกับโดนราดด้วยน้ำกรด คราวนี้เจ้าหล่อนถลาเข้าไปหาอนงค์อร ตบหน้าอีกฝ่ายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเสียเต็มแรง ฝ่ามือกระทบเนื้อดังเผียะ! พร้อมกับชี้หน้าตะคอกด่าอย่างเกรี้ยวกราด

“มึงไม่รู้จักกู มึงอย่างมาสอนกู กูของสาปแช่งให้มึงกับลูกมึงพินาศอีแก่!” แต่ยังไม่ทันขาดคำ บางอย่างก็พุ่งเข้ามาชนโฉมฉายจนเซถอยหลัง พอเงยหน้าขึ้น ฝ่ามือที่หนักหน่วงไม่น้อยกว่ากันก็ตบมาที่แก้มของเธอดังฉาด โฉมฉายเซเกือบล้ม ยกมือขึ้นกุมแก้มที่เจ็บชา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหญิงสาวอายุน้อยยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าแดงจัดด้วยความโกรธ หลังมือที่เงื้อค้างสะบัดตบแก้มอีกข้าง    

“กล้าทำร้ายแม่ฉันเรอะ แกไม่ตายดีแน่!” พูดจบมินตราก็พุ่งเข้าใส่โฉมฉายที่กำลังตกตะลึง พอสองร่างล้มลงไปกับพื้น หล่อนก็ลุกขึ้นคร่อม ทั้งจิกทั้งตบไม่ยั้งมือ ไม่สนใจเสียงร้องห้ามตกอกตกใจของผู้เป็นแม่ 

นี่มันเวรกรรมอะไรของเขาหนอ อดิรุจได้แต่รำพึงกับตัวเองหลังจากศรันย์เจ้านายของภรรยาโทร. ไปหาที่ทำงาน บอกว่าภรรยากับลูกสาวเขามีปัญหาตอนนี้อยู่ที่โรงพัก หัวใจเขาถึงกับหล่นวูบ เมื่อคิดว่ามีเรื่องร้ายเกิดกับลูกเมีย แต่ศรันย์ไม่ได้อธิบายสาเหตุ บอกว่าไปถึงก็รู้เอง เขาจึงรีบไปยังสน.ที่อีกฝ่ายแจ้ง พอไปถึงคนที่ถลาเข้ามาหาเขาเป็นคนแรกกลับไม่ใช่ใครอื่น โฉมฉายนั่นเอง ใบหน้านวลเต็มไปด้วยรอยแตกช้ำ แก้มบวม ปากเจ่อ ส่วนลูกเมียนั้นนั่งหน้าสลอนไม่บาดเจ็บอะไร นอกจากสีหน้าบึ้งตึงที่ทำให้อดิรุจกลืนน้ำลายฝืดคอ

โฉมฉายฟ้องพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น บอกว่าตั้งใจเข้าไปตกลงกับอนงค์อรดีๆ แต่อีกฝ่ายไม่ฟัง พูดจาหาเรื่องดูถูกเหยียดหยามตนที่เป็นน้อย ส่วนลูกสาวก็ช่วยแม่ตบตีเธอจนหัวร้างข้างแตก แม้จะตกใจที่โฉมฉายทำอะไรโง่ๆ ด้วยการไปปรากฏตัวต่อหน้าภรรยา แต่เพราะสภาพที่เห็นว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำมากกว่า ก็ทำให้อดิรุจย่อมสงสารเห็นใจ

‘มีอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆ หือ ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกับแบบนี้ พ่อไม่คิดเลยนะว่าลูกสาวของพ่อจะเป็นพวกชอบใช้กำลังไร้เหตุผล’

แต่พอเขาออกตัวปกป้อง ลูกสาวก็เถียงคอเป็นเอ็นกลับทันที

‘แค่ตอแหลไม่กี่คำ พ่อก็เชื่อมันแล้วหรือคะ แสดงว่าที่พ่อเอานังนี่มาเป็นนางบำเรอทั้งๆ ที่มีแม่อยู่ทั้งหมดไม่ผิดใช่ไหม ปล่อยให้มันมาเหยียดหยามน้ำใจแม่ถึงที่ทำงาน ร้องป่าวๆ ว่าเป็นเมียน้อยพ่อก็ไม่ผิดใช่ไหม แล้วที่สำคัญมันต่างหากที่ทำร้ายแม่ก่อน แทนที่จะถามสักคำพ่อยังหลับหูหลับตาเชื่อมันอีก’

‘ไม่จริงนะคะคุณรุจ คุณก็เห็นลูกสาวคุณเกลียดโฉม ใส่ร้ายโฉม’

ก่อนที่ลูกสาวกับโฉมฉายจะมีเรื่องกันคาโรงพักอีก อดิรุจจึงต้องรีบตัดปัญหา แม้จะกระอักกระอ่วนใจเหลือกำลังเมื่อต้องเอ่ยถามภรรยาที่นั่งสงบนิ่ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอสบตาแดงก่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่อดิรุจรู้ว่าตนได้สร้างความเจ็บช้ำให้ภรรยาแค่ไหน เขารู้สึกผิดแต่เพราะทิฐิและกลัวเสียหน้า กลัวเมียจะหัวเราะเยาะที่เขามีปัญญาหาผู้หญิงดีที่สุดได้แค่นี้มานอนกก จึงวางท่าเย็นชาแสร้งเมินเฉยต่อความเจ็บปวดผิดหวังของอนงค์อร

อนงค์อรไม่ต้องการให้เรื่องยืดยาวขายขี้หน้าไปกว่านี้ แค่คนที่สำนักงานรู้เห็นหลายรายโดยเฉพาะศรันย์ เธอก็อายแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว แต่เพราะเห็นถึงความอาฆาตมาดร้ายของอีกฝ่าย อีกทั้งไม่ใช่ครั้งแรก เรื่องซากสุนัขนั่นก็คงเป็นฝีมือของแม่คนนี้ อนงค์อรจึงขอลงบันทึกประจำวันไว้ พร้อมเตือนโฉมฉายว่าหากมาหาเรื่องตนกับลูกสาวอีก คราวนี้ให้รอหมายศาลได้เลย ส่วนสามีของเธอ อนงค์อรแทบไม่มองหน้า

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น