5

ตอนที่ 5


 

ภูมิรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูละครฉากหนึ่งอยู่ และไม่รู้เป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตากันแน่ ยายเด็กนักศึกษาเปรี้ยวจี๊ดที่เขาเจอในร้านอาหารเมื่อเดือนก่อน ปรากฏตัวในคลับที่เขาเลือกเข้ามานั่งดื่มเพื่อหนีจากการตามประกบของพิมประกาย อย่างน้อยมานั่งดื่มคนเดียวก็ดีกว่าถูกผู้หญิงคนนั้นเกาะติดราวกับงูเหลือมจนถึงเช้า

หลังจากนั่งได้ไม่นาน ภูมิก็สังเกตเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่นั่งนัวเนียกันโดยไม่สนใจสายตาใคร เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจำยายเด็กนั่นได้ ทั้งที่ได้พบกันแค่ครั้งเดียว และหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ดูไม่เหมือนสาวนักศึกษาคนเดิมสักนิด เสื้อผ้าที่รัดตึงไปกับสัดส่วนโค้งเว้าอ้อนแอ้น เผยโนมเนื้อขาวนวลยั่วยวนกิเลสผู้ชายนัก แถมยังยอมให้ไอ้หนุ่มข้างๆ จับลูบคลำตามใจชอบ ภูมิบอกไม่ถูกว่าเห็นแล้วรู้สึกอย่างไร มันมีทั้งความเสียดายและเวทนา เพราะดูก็รู้ว่าหญิงสาวน่าจะถูกเลี้ยงมาโดยครอบครัวมีอันจะกินพอสมควร ทั้งที่การศึกษาก็ไม่ได้ด้อย แต่ทำไมถึงเลือกทำตัวเสเพลปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้ 

บางทีคนบ้านนอกอย่างเขาอาจมองสาวชาวกรุงไม่ทะลุปรุโปร่งก็ได้ แม่นี่อาจเป็นแค่นักศึกษาขายตัว เร่ขายนวลเนื้อแลกเงินเพื่อเอามาปรนเปรอความสุขความสบายของตัวเอง ไม่แน่ว่าถ้าเขาเดินเข้าไปหา เสนอค่าตัวมากกว่าไอ้หนุ่มนั่นเธออาจยอมไปกับเขาก็ได้ ความคิดนั้นยั่วยวนไม่น้อย ภูมิกวาดมองเรียวขาสวยใต้ชุดกระโปรงที่ยาวเพียงไม่กี่คืบ ทรวงอกที่ดันนูนอยู่ในเสื้อตัวน้อยช่างตรงกันข้ามกับเรือนร่างบอบบางนัก มันจะเป็นอย่างไรหนอถ้าเขากระชากเสื้อผ้าที่แทบไม่สามารถปกปิดเนื้อนวลนั่นออก กอดจูบร่างน้อยนุ่มนิ่มจนเธออ่อนปวกเปียก ปล่อยให้เขาจับเรียวขางามตวัดรัดรอบสะโพก แล้วฝากฝังความเป็นชายจนล้ำลึก ทำให้เธอคิดอะไรไม่ออก ขัดขืนอะไรไม่ได้นอกจากรับทุกอย่างที่เขาปรนเปรอให้

ขณะที่เฝ้ามองด้วยความคิดอันหิวกระหาย จู่ๆ แม่สาวน้อยนั่นก็หันมาสบตาเขาพอดี นัยน์ตาคู่สวยมองเขาด้วยความพิศวง คล้ายประเมินบางอย่าง ดูเหมือนหล่อนจะหวาดๆ เขาอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ กระทั่งจู่ๆ ผู้ชายอายุราวๆ สี่สิบรูปร่างสันทัดคนหนึ่งเข้ามาผสมโรง เขาได้ยินไม่ถนัดว่าคนพวกนั้นทะเลาะอะไรกัน แต่ชายที่มาใหม่ตรงเข้าไปคว้าต้นแขนหญิงสาวแล้วกระชากตัวขึ้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย

คงเป็นเสี่ยอีกคนในใบรายชื่อยาวเหยียดของแม่สาวร้อนแรงนั่นกระมัง ภูมิคิดแล้วก็ส่ายหน้า ก่อนจะลุกจากโต๊ะ ปล่อยเสียงเอะอะวุ่นวายไว้ข้างหลัง  

"ปล่อยแฟนฉันนะโว้ยไอ้แก่!" กันต์ธรดึงมืออีกฝ่ายออกจากต้นแขนบาง และทันทีเช่นกันที่มินตรารีบหลบไปอยู่ข้างหลังเขา

"แกนั่นแหละ กล้าดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวลูกสาวฉันแบบนี้ มิ้นบอกพ่อมาเดี๋ยวนี้นะ นี่ออกมากับมันสองต่อสองแบบนี้กี่ครั้งแล้ว"

สีหน้าของกันต์ธรเปลี่ยนเป็นงุนงง ก่อนจะหันไปถามหญิงสาวที่หลบอยู่ข้างหลัง

"นี่พ่อมิ้นเหรอ"

"ไม่ มิ้นไม่รู้จักสักนิด อย่ามาขี้ตู่" มินตราปฏิเสธอย่างดื้อดึง ยิ่งมองเห็นว่าใครกำลังขึ้นบันไดตามมาอีกคน จากความกลัวก็เปลี่ยนเป็นความโกรธทันที หน็อย ไอ้เราก็นึกว่าพ่อคงไปเค้นกับรชยาว่าเธออยู่ที่นี่แล้วตามมาลากกลับบ้าน ที่ไหนได้ พานังโฉมฉายมากกที่นี่นี่เอง พ่อนะพ่อ แล้วดูสิ ยังมีหน้ามาโวยวายใส่เธออีก

"กลับบ้านกับพ่อเดี๋ยวนี้ นี่อะไร" อดิรุจมองแก้วเครื่องดื่มบนโต๊ะอย่างไม่อยากเชื่อ "นี่หนูดื่มเหล้าเหรอ!"

"ไม่กลับ! พี่กันต์ขา อย่าให้เขาพามิ้นกลับไปนะ เขาต้องตบตีมิ้นแน่ๆ มิ้นกลัว"  หญิงสาวแสร้งเกาะแขนชายหนุ่ม บีบน้ำตาอย่างเวทนา

"ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือลุง มิ้นเขาไม่อยากกลับ" พอกันต์ธรคิดจะจูงมือหญิงสาวเลี่ยงออกไป อดิรุจก็รีบเข้าไปขวาง กระชากคอเสื้อชายหนุ่มไม่ยอมให้ไปไหน "เอ๊ะลุง! คิดจะหาเรื่องกันหรือไง พ่อผมเป็นเจ้าของที่นี่นะ อยากโดนยามลากออกไปเหรอ"

"ถ้าแกยังกล้ามาเกาะแกะมินตรา แกได้เจอดีแน่ ไอ้พวกเด็กอมมือ ปัญญาหาเลี้ยงตัวเองยังไม่มี คิดจะมายุ่งกับลูกสาวฉันมันเร็วไป"

"อ้าว พูดแบบนี้มันหาเรื่องกันนี่หว่า"

พอเห็นกันต์ธรหันกลับไปอย่างพร้อมมีเรื่อง มินตราถึงกับหน้าถอดสี รีบเข้าไปยึดแขนชายหนุ่มไว้

"พี่กันต์ห้ามทำอะไรพ่อมิ้นนะ!"

"อ้าว ก็ไหนบอกเมื่อกี้ไม่ใช่พ่อ"

"ก็..." หญิงสาวอึกอัก "อย่าไปสนใจเขาเลยนะคะ เราไปกันเถอะ"

"หยุดนะยายมิ้น!"

"พี่รุจปล่อยแกไปเถอะ ในเมื่อเตือนดีๆ ไม่สนใจก็ช่างเถอะ" โฉมฉายเข้ามาเกาะแขนอดิรุจ เอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน ตรงข้ามกับแววตาที่มองมินตราอย่างเหยียดหยาม "แหม ปากเที่ยวด่าคนอื่นปาวๆ ว่าต่ำอย่างนั้น ต่ำอย่างนี้ แต่ตัวเองมันก็ไม่ได้สูงไปกว่ากันหรอกว้า"

"เก็บปากเน่าๆ ของหล่อนไว้กินข้าวเถอะ อย่าให้ฉันต้องตบให้เสียมืออีกเลย!" มินตราสวนขวับ ไม่คิดจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงอุบอิบนั่น อย่างน้อยบทเรียนที่หญิงสาวได้รับ ก็ทำให้โฉมฉายไม่กล้าต่อความใดต่อ "มิ้นจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าพ่อควงนังนี่มาที่นี่ก็แล้วกัน ส่วนพ่อก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นมิ้น ถือว่าต่างคนต่างเจ๊ากันไป"

"มินตรา หนูจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น หนูต้องกลับบ้าน รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงแค่ไหน"

"อย่ามาเซ้าซี้ได้ไหม รำคาญจะตายอยู่แล้ว เอาไว้ตัวเองทำตัวให้ดี เป็นตัวอย่างให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาสอนคนอื่นเถอะ!" พูดจบหญิงสาวก็หันไปฉุดแขนกันต์ธรให้ตามออกมา ไม่แลเหลียวแววตาเจ็บปวดของพ่อที่มองตาม

"มิ้น" น้ำเสียงระโหยของอดิรุจยังเรียกตาม

"ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือลุง ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมจะดูแลลูกสาวลุงอย่างดีเอง" กันต์ธรยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่ผู้ชายด้วยกันเข้าใจกันดี พอเห็นชายหนุ่มเดินตามลูกสาวไปพร้อมกับโอบเอวบางราวกับจะเย้ย อดิรุจถึงกับฟิวส์ขาด ถลาเข้าไปหากันต์ธรทันที แม้จะหนุ่มกว่าแต่เพราะไม่ใช่ชายรูปร่างล่ำสันกว่ากันนัก ทำให้ทันทีที่กำปั้นของเขาชกใส่ใบหน้าอีกฝ่าย กันต์ธรถึงกับล้มลงไปทันที ชายหนุ่มมึนงงไปเล็กน้อย พอตั้งหลักได้ก็พุ่งเข้าใส่อดิรุจอย่างไม่ยอมแพ้ เสียงแลกหมัดดังชัดเจน มินตราร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ พยายามเข้าไปห้ามแต่ไม่มีใครสนใจเธอแม้แต่คนเดียว

มินตราหนีออกจากคลับหลังจากรปภ. เข้ามาแยกอดิรุจกับกันต์ธร แต่ทั้งสองยังตะโกนด่ากันไม่เลิก มินตราอับอายขายหน้าเกินกว่าจะอยู่เป็นสักขีพยานได้ จึงหลบออกมาก่อนจะได้รู้ว่าพวกเขาเคลียร์ปัญหาได้หรือไม่

หญิงสาวเดินสะเปะสะปะ ทั้งจากความโกรธและเครื่องดื่มที่ทำให้มึนๆ หวังว่าจะกลับถึงห้องพักของรชยาได้ก่อนจะอ้วกแตกอยู่แถวนี้ เอ่อ แต่คิดอีกทีกลับไปอ้วกที่ห้องของเพื่อน เธออาจโดนเทศนาจนถึงเช้าก็ได้ มินตราคิดแล้วก็ถอนใจ เอนหลังพิงกับกำแพงริมถนน ทั้งเหนื่อยและอ่อนล้าจนไม่อยากทำอะไรอีก ไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากเจอใครสักคน บางทีเธออาจต้องทบทวนเรื่องการย้ายไปอยู่หอพักคนเดียวจริงจังเสียที แต่ถึงจะพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ถ้าต้องจ่ายค่าห้องพักคนเดียวก็คงลำบากไม่น้อย แต่จะให้กลับบ้านแบมือขอเงินพ่อแม่ ก็ค้านกับศักดิ์ศรีที่ยึดไว้นัก คิดแล้วอยากหัวเราะตัวเอง คงเป็นอย่างที่พ่อพูด คนอย่างเธอพึ่งพาแต่พ่อแม่ จะให้อยู่ตัวคนเดียวมีหวังอดตาย

เพราะงั้นเธอต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปดั่งคำพูดของพ่อน่ะหรือ ไม่มีทาง!

หญิงสาวแข็งใจยืนตัวตรง ค่อยๆ เดินตรงไปยังถนนใหญ่ที่เห็นรถราแล่นไปมา ทว่าจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เดินอยู่คนเดียว เสียงฝีเท้าจากข้างหลังทำให้มินตราเบือนหน้ากลับไปมอง แสงไฟข้างถนนส่องให้เห็นชายสองคนเดินล้วงกระเป๋า เดินทอดน่องตามหลังอย่างไม่เร่งรีบ แต่สัญชาตญาณกับความรู้สึกไม่ปลอดภัยจู่โจมมินตราทันที หญิงสาวรีบกระชับกระเป๋าแนบตัว ถ้าเป็นโจรเธอยังมีสเปรย์พริกไทยอยู่ในกระเป๋า ถึงกฎหมายบ้าๆ จะระบุว่ามันเป็นของผิดกฎหมายพอๆ กับเครื่องชอร์ตไฟฟ้าและปืน แต่มินตรายอมติดคุกดีกว่าปล่อยให้ตัวเองไม่มีอะไรป้องกันตัวเลยในยามฉุกเฉิน

เมื่อแน่ใจว่าคนข้างหลังเร่งฝีเท้าตามจริงๆ ความกลัวก็ยิ่งทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากตอนออกมาจากคลับเธอเลือกออกมาทางด้านหลัง เพราะไม่อยากให้พ่อและกันต์ธรตามตัวพบ เธอไม่คิดว่าจะต้องอ้อมเข้ามาในซอยที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน แถมยังมาเจอแจ็กพอตอีก!

มินตราสะดุ้งเฮือก ฝีเท้าหยุดกึก... ข้างหน้ายังมีผู้ชายอีกคนดักรออยู่ หลังจากรั้งรออยู่อึดใจ อีกฝ่ายก็เดินตรงเข้ามา หญิงสาวคิดจะเลี่ยงไปยังซอยข้างๆ แต่ยังไม่ทันหมุนตัวกลับ มือแข็งแรงก็ยื่นมาคว้าต้นแขนเธอแน่น พวกมันไม่ได้ส่งเสียงดังข่มขู่ อาจเพราะอยู่ห่างจากถนนไม่กี่เมตร หากมีใครมองมาก็อาจสังเกตเห็นความผิดปกติได้

"ปล่อยนะ!" มินตราพยายามกระชากแขนให้หลุด แต่ต้องสะดุ้งวาบเมื่อมีมีดเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่เอว เท่านั้นหญิงสาวก็ยิ่งลนลานด้วยความกลัว "ยะ...อย่าทำอะไรฉันนะ ถ้าอยากได้กระเป๋าก็เอาไปเลย แต่ปล่อยฉันไปเถอะ"

"หุบปาก" เขาสั่งเสียงเข้ม "ตามพี่มาดีๆ แล้วจะไม่เจ็บตัวนะน้องสาว"

เมื่อถูกรุนหลังให้เดินไปยังทางแยกซึ่งเห็นว่ามีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ มินตราก็ตัวแข็งทื่อไม่ยอมขยับ เคยได้ยินข่าวฉุดผู้หญิงบังคับขึ้นรถไปข่มขืน ฆ่าหมกศพไว้กลางทุ่งกว่าจะมีคนมาเจอก็ขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว แค่คิดถึงจุดจบตัวเองมินตราก็แทบขาดใจ ไม่สิ ถึงต่อให้ตายจริงๆ เธอก็ไม่กลัวหรอก แต่กลัวอีตรงจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้างก่อนตายต่างหาก!

"เอ๊า เฉยทำไม รีบไปสิ ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ๆ จะดูแลหนูอย่างดี เสร็จเรื่องแล้วจะพาไปส่งถึงบ้านเลย"

เมื่อรู้สึกว่ามีมือรุ่มร่ามยื่นเข้ามาลูบคลำ มินตราก็ขยะแขยงจนทนไม่ไหว ทันทีที่มือซึ่งยึดต้นแขนไว้คลายออก เธอก็ใช้จังหวะนั่นฟาดกระเป๋าใส่ใบหน้าอีกฝ่าย พอมันเซไปข้างหลังมินตราก็รีบวิ่งโดยไม่สนใจเสียงสบถ

"นังตัวแสบ!"

มินตราร้องกรี๊ด แค่วิ่งไปยังไม่ถึงสามก้าวก็ถูกกระชากผมจากด้านหลังเต็มแรง ฉุดเธอจนล้มลง ศอกกระแทกกับพื้นคอนกรีตจนเจ็บปลาบ ข้าวของในกระเป๋ากระจัดกระจาย พอเห็นกระป๋องสเปรย์สีดำกลิ้งอยู่ตรงหน้า มินตรารีบคว้าแล้วหันไปฉีดใส่หน้าใครก็ตามที่ยืนจังก้า ไอ้หมอนั่นยกมือขึ้นกุมหน้าส่งเสียงร้องโหยหวน

"พวกมึงนี่ไม่ได้เรื่องเลย อีแค่ผู้หญิงคนเดียวมันอะไรนักหนาวะ!" เจ้าของเสียงเกรี้ยวกราดแทรกเข้ามา ขณะที่มินตราพยายามกระเสือกกระสนไปข้างหน้า "พูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังใช่ไหม!"

หญิงสาวกรีดร้องเมื่อถูกกระชากผม บังคับให้เงยหน้าขึ้น จากนั้นฝ่ามือหนาก็ตบที่แก้มของเธอ รุนแรงจนมินตราได้รสเค็มของเลือดในปาก

"ถ้าไม่อยากโดนกระทืบตรงนี้ก็ลุกขึ้น"

"ไม่ ปล่อยนะ ช่วยด้วย ใครก็ได้..." คราวนี้มินตราร้องไม่ออก เพราะทันทีที่ถูกกระชากตัวขึ้นจากพื้น กำปั้นหนักๆ ก็ชกท้องเธอจนตัวงอ พวกมันช่วยกันลากตัวเธอเข้าไปในซอยที่จะไม่มีใครเห็น มินตราได้แต่พยายามสูดลมหายใจ อาการคลื่นไส้แล่นขึ้นมาจุกถึงคอ และความสิ้นหวังทำให้เธอหวาดกลัวจนแทบประคองสติตัวเองไม่ได้ ชั่ววินาทีนั้นมินตราคิดถึงพ่อกับแม่จับใจ

พ่อจ๋า แม่จ๋า... ช่วยมิ้นด้วย

"นั่นพวกแกทำอะไร!"

มีเสียงตะโกนของผู้ชายแว่วเข้ามา มินตราพยายามขยับปากร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีแรงพอจะเปล่งเสียงออกมา

ช่วยด้วย... หญิงสาวได้แต่ขยับปากพะงาบๆ

"อย่ามาเสือกเรื่องของผัวเมีย!" ใครคนหนึ่งที่ฉุดตัวเธอไว้ตะโกนบอก มินตราแทบอยากร้องไห้โฮ คนสมัยนี้ก็มีน้ำใจกันอยู่บ้าง แต่พอเจอ 'เรื่องของผัวเมีย' เข้าไป ไม่มีเสียละจะอยากเข้ามาสอด ตอนที่เธอเกือบหมดหวังไปแล้ว มินตรากลับได้ยินเสียงร้องลั่น มือที่ยึดตัวเธอไว้คลายออก ทำให้ร่างบางเซไปพิงกำแพง แล้วทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างช่วยตัวเองไม่ได้

"วะ ไอ้เวรนี่!"

มินตรามองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทั้งตกใจ หวาดกลัว และเสียขวัญ ผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งเอาตัวเข้ามาขวางเธอไว้ มีเสียงย่ำเท้าสับสนอลหม่าน เสียงกระแทก และเสียงสบถ ก่อนจะมีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ตะโกนเข้ามาว่ามีคนตีกัน ทำให้พวกนั้นยอมล่าถอยอย่างช่วยไม่ได้

"คุณเป็นยังไงบ้าง" ผู้ชายคนนั้นเขย่าไหล่บางเบาๆ แต่อาการจุกบวกกับอาการวิงเวียน ทำให้หญิงสาวโก่งคออาเจียนทันที มีเสียงคนสองสามคนรุมล้อมอยู่รอบตัว แต่สิ่งที่มินตรารับรู้ได้ มีแค่มือใหญ่ๆ ที่ลูบแผ่นหลัง รอกระทั่งเธออาเจียนจนเสร็จ

"เป็นยังไงบ้างลูก ต๊าย นี่มันถึงกับทำร้ายเลือดตกยางออกเลยหรือ ดูสิ ผู้หญิงตัวแค่นี้มันก็ยังทำได้"

มีเสียงบอกให้เธอนั่งพักก่อน มีมือยื่นเข้ามาบีบนวด และยาดมก็ยื่นเข้ามาใต้จมูก

"เดี๋ยวผมพาไปโรงพยาบาลดีกว่าครับ อยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง รถผมจอดอยู่ทางโน้น"

"รีบพาไปเถอะพ่อคุณ เอานี่กระเป๋า ไม่รู้มีอะไรหายไปหรือเปล่า"

จากนั้นร่างของมินตราก็ถูกอุ้มลอยขึ้นจากพื้น หลังจากถูกแกว่งไกวไปมาระหว่างแผงอกหนาครู่หนึ่ง ร่างของเธอก็ถูกวางลงบนเบาะหนัง มินตราไม่มีสติพอจะพูดอะไรนอกจากปล่อยให้คนแปลกหน้าขับรถพาเธอออกไปจากที่นี่

มินตราปล่อยให้พยาบาลป้ายยาตรงมุมปากที่แตกกับแก้มที่บวมตุ่ย แถมตอนล้มศอกก็กระแทกพื้นแรงจนหนังเปิดต้องเย็นแผลอีก หลังจากนอนพักอยู่ครู่ใหญ่และอาเจียนไปอีกรอบ มินตราจึงพอจะลุกขึ้นมานั่งได้ วันนี้มันเป็นวันอะไรของเธอหนอถึงได้มีแต่เรื่องไม่หยุดไม่หย่อน

"แผลวันพรุ่งนี้คงจะบวมหน่อย แต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องห่วงค่ะ ส่วนแผลที่ศอกรอเจ็ดวันแล้วค่อยมาตัดไหมนะคะ"

"ต้องมาที่โรงพยาบาลอีกเหรอคะ คือที่นี่ไกลจากที่พักน่ะค่ะ"

"ถ้าไม่สะดวกจะไปที่คลินิกหรือโรงพยาบาลใกล้ๆ ก็ได้ค่ะ อ้อ เดี๋ยวไปรับยาที่ห้องยาก่อนนะคะ" 

มินตราพยักหน้ารับช้าๆ ร่างกายยังมึนชาอยู่นิดๆ ขณะเลื่อนตัวลงจากเตียงคนไข้ จากนั้นก็ชะงักไป จริงสิ กระเป๋าของเธอน่าจะอยู่กับผู้ชายที่พามาส่งโรงพยาบาล มินตรารีบถามพยาบาลถึงคนที่พาเธอมา ก่อนจะได้คำตอบว่าเขาน่าจะรออยู่หน้าห้อง แต่พอออกมาข้างนอก นอกจากญาติคนเจ็บที่มีทั้งลูกเด็กเล็กแดง คนหนุ่มสาว ผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว มินตราไม่เห็นผู้ชายคนไหนดูเหมือนคนที่พาเธอมาเลย แต่จะว่าไปเธอก็ไม่ทันเห็นหน้าเขาชัดๆ จำได้แค่ว่าเป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ แล้วตอนนี้เขาหายไปไหนแล้ว อย่าบอกนะว่าเธอโดน 'พลเมืองดี' ฉกกระเป๋าไปอีก โอ๊ย นี่มันจะซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนเกินไปแล้วนะ สงสัยพรุ่งนี้คงได้รีบเข้าวัดทำบุญพรมน้ำมนต์ล้างซวยแปดวัดเก้าวัดคราวนี้แหละ!

"เรียบร้อยแล้วเหรอ"

มินตราหันไปตามเสียงทุ้มจากด้านหลัง นาทีต่อมาสายตาก็ปะทะเข้ากับแผงอกของใครบางคน หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ กวาดสายตาไปสู่ใบหน้า ผู้ชายผิวเข้ม หนวดเคราบนแนวคางขึ้นครึ้ม น่าจะแก่กว่าเธอหลายปีทีเดียวแต่คงไม่เกินสี่สิบ มินตรากะพริบตาอย่างงุนงง ทำให้มุมปากบางแต่สีสดของชายหนุ่มโค้งเป็นรอยยิ้ม

"ยังมึนหัวอยู่หรือ จะอ้วกอีกรอบหรือเปล่า"

เท่านั้นหญิงสาวก็กระจ่างใจ...เขานี่เอง

"เอ่อ..." เธอขยับปากพะงาบๆ ไม่รู้จะเรียกฝ่ายว่าอะไรดี แต่ถึงจะตัวใหญ่หนวดครึ้ม ทว่ามินตราไม่รู้สึกว่าเขาน่ากลัวหรือดูเป็นโจรผู้ร้าย "คือ กระเป๋า..."

"อ๋อ เอานี่" เขายื่นกระเป๋าถือของเธอส่งให้ "ดูก่อนสิว่าอะไรหายไปหรือเปล่า มันฉุกละหุก ไม่ได้ดูว่าเก็บมาครบไหม"

มินตรารับกระเป๋ามาเปิดดู กระเป๋าเงินกับของใช้เล็กๆ น้อยๆ ยังอยู่ครบ รวมทั้งสเปรย์พริกไทยด้วย แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวถึงกับครางอย่างหมดแรงคือสมาร์ตโฟนที่เพิ่งใช้ได้ไม่กี่เดือนมีรอยร้าวตรงมุมของจออย่างเห็นได้ชัด ถึงตัวเครื่องจะยังทำงานได้ปกติ แต่ค่าเปลี่ยนหน้าจอใหม่คงพอๆ กับโดนปล้น

"โทร. หาคนรู้จักหรือไม่ก็พ่อแม่ก็ดีนะ แล้วเดี๋ยวไปแจ้งความที่โรงพัก ฉันขอใบรับรองแพทย์ให้แล้วจะได้เอาไปประกอบ แล้วนี่ยาของเธอ" เขาส่งถุงยาที่บนซองพลาสติกมีชื่อโรงพยาบาลประทับอยู่ และเป็นครั้งแรกที่มินตราสังเกตว่ามือข้างหนึ่งของเขามีผ้าพันแผลพันไว้ด้วย พอเงยหน้าขึ้นพิจารณาอีก บนหน้าผากกว้างบริเวณขมับขวาของเขาก็มีรอยช้ำม่วงนูนเด่นเช่นกัน

"พวกมันทำร้ายพี่ด้วยเหรอคะ"

คิ้วเข้มตัดเฉียงเลิกขึ้นนิดๆ แต่สีหน้าของเขายังคงผ่อนคลายสบายๆ ไม่สิ เขามองเธอคล้ายๆ จะตำหนิอะไรมากกว่า

"สามรุมหนึ่งเชียวนะจ๊ะ" เขาว่ายิ้มๆ "ถึงฉันจะตัวใหญ่กว่าพวกนั้น แต่ไม่ใช่ซูเปอร์แมน มันก็ต้องโดนลูกหลงกันบ้างแหละ แต่ถึงจะไม่ได้เป็นอะไรมาก ยังไงก็ต้องไปแจ้งความ มารสังคมแบบนั้นมันพลาดจากเหยื่อรายหนึ่ง มันก็ต้องหาเหยื่อรายใหม่ สู้ไปแจ้งตำรวจจะได้จับพวกมันตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้ใครดีกว่า" พอเห็นหญิงสาวอึกอัก ชายหนุ่มก็มุ่นคิ้ว ถามไปอีกว่า "หรือเธอรู้จักพวกมัน"

"ไม่รู้ หนูไม่รู้จักพวกนั้น" มินตรารีบปฏิเสธ

"แต่ฉันว่าพวกมันรู้จักเธอนะ ดูสิ ในกระเป๋าเธอมีข้าวของเงินทอง ถ้าเป็นโจรต่อให้มันหวังอย่างอื่นนอกเหนือจากของในกระเป๋า..."  เขาลดเสียงลงเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าซีด คงรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร "ต่อให้มีคนมาพบเสียก่อน พวกมันก็ยังมีโอกาสหยิบฉวยอะไรไปได้ แต่นี่พวกมันไม่สนเลยสักนิด เหมือนเป้าหมายอยู่ที่เธอตั้งแต่ต้น แบบนี้ไม่แปลกเหรอ โทร. บอกพ่อกับแม่เถอะ หรือจะโทร. บอกแฟนเธอก็ยังดี"

"แฟน? หนูไม่มีแฟนหรอก" หญิงสาวทำหน้ามุ่ยใส่

"อ้าว ก็เห็นจู๋จี๋กันอยู่ในคลับนั่นไม่เรียกว่าแฟนเหรอ เอ๋ หรือคนเมืองเดี๋ยวนี้เขามีคำเรียกอย่างอื่นอีก ไอ้คนหนุ่มต้องเรียกว่ากิ๊ก ส่วนคนแก่ๆ นั่นเรียกว่าป๋าหรือไม่ก็เสี่ย?"

"บ้า ทุเรศ นั่นพ่อหนู จะมาเสี่ยเส่ออะไรกันล่ะ!" มินตราโวยวายลั่นอย่างลืมตัว ก่อนจะมึนหัวไปอีกวูบ แล้วมือแข็งแรงที่เข้ามายึดต้นแขนเธอไว้ก็คือคนตัวใหญ่อย่างกับกอริลลานั่นแหละ ตอนแรกมินตราเกือบสะบัดแขนหนี เมื่อเขาสัมผัสเธอตรงจุดที่จำได้ว่าพวกก่อนหน้านั้นแตะต้อง แถมบีบแรงจนเธอนึกว่าแขนจะหักแล้ว

"นั่งลง" เสียงนุ่มเช่นเดียวกับสัมผัสบนต้นแขนเอ่ย แต่ก็มีความเฉียบขาดพอที่จะทำให้หญิงสาวยอมทำตามโดยง่าย "ถ้านั่นเป็นพ่อเธอ ก็ยิ่งต้องบอกให้รู้ แล้วนี่บ้านอยู่ไหน"

"เดี๋ยวหนูจะนั่งแท็กซี่กลับไปหอพักเพื่อน"

"ยังไงถ้าเพื่อนเธอรู้ เขาก็ต้องบอกพ่อกับแม่เธออยู่ดี ไม่รู้วันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องรู้ ขึ้นอยู่กับจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง สู้บอกเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้หาทางจับคนทำผิดไม่ดีกว่าหรือไง อย่าบอกนะว่าที่จริงหนีเที่ยว แล้วกลัวพ่อแม่รู้เลยไม่ยอมไปแจ้งความ"

ภูมิเห็นหญิงสาวนิ่งเงียบไป จากนั้นแม่ตัวดีก็ร้องไห้โฮเสียอย่างนั้น

ภูมิเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเบาะข้างๆ ในรถของเขาซึ่งมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่หญิงสาวบอก หลังผ่านไปพักใหญ่ เสียงร้องไห้ราวกับญาติเสียก็เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นเบาๆ ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางไว้อย่างดีตอนแรก พอเจอน้ำตาไหลพรากเป็นเขื่อนพัง ก็ละลายกลายเป็นคราบดำๆ ใต้ขอบตา ประกอบกับรอยช้ำและผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ามอมแมม ภูมิทั้งสงสารทั้งเวทนา ผู้หญิงหน้าตาดีๆ ดูมีอนาคตสดใส ทำไมถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้นะ 

"แน่ใจนะว่าจะไม่โทร. หาพ่อกับแม่"

นัยน์ตาที่ยังเปื้อนคราบน้ำตาตวัดมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ทันที

"พี่ไม่ต้องห่วงหรอก อีกอย่างโทร. ไปก็เท่านั้น เผลอๆ เขาคงหัวเราะว่าหนูดูแลตัวเองไม่ได้ สุดท้ายพอมีปัญหาก็ต้องแจ้นกลับไปหาเขา"

"ไร้สาระ" ภูมิส่ายหน้า "ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนคิดแบบนั้นหลังจากรู้ว่าลูกสาวรอดจากพวกมารสังคมได้หรอก"

"เพราะพี่ไม่รู้จักพ่อกับแม่หนูน่ะสิ" เธอเอ่ยอย่างดื้อดึง

"แต่ตอนอยู่ที่คลับ พ่อเขาก็อุตส่าห์มาตาม แบบนั้นยังไม่เรียกว่าห่วงอีกหรือ"

มีเสียง หึ ตอบกลับมาเบาๆ

"พี่รู้ไหม หนูเพิ่งจับได้ว่าพ่อแอบมีเมียน้อย แล้วผู้หญิงที่ตามพ่อมาด้วยก็คือนังนั่นแหละ" เธอเอ่ยอย่างเจ็บแค้นและพอพูดออกไป มันก็ยากนักที่จะหยุด "เขาไม่ได้ตั้งใจมาตามหนู แต่พานางบำเรอของเขามาหาความสุข ทิ้งให้แม่หนูอยู่ที่บ้าน ไม่สนใจไยดี แล้วที่โกรธก็ไม่ได้โกรธเพราะห่วงด้วย แต่คงเห็นหนูเป็นตัวมารขัดความสุข กลัวหนูจะคาบเรื่องไปฟ้องแม่น่ะสิ"

ภูมินิ่งอึ้ง คาดไม่ถึงกับสิ่งที่หญิงสาวบอก แต่ไม่ได้คิดว่าเธอโกหก เพราะน้ำเสียงและแววตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธจริงๆ เขารู้ว่ามันเป็นอย่างไรตอนรู้ว่าพ่อที่รักและเคารพ ผู้ชายที่เขาเชื่อว่าเป็นคนที่รักครอบครัวนักหนา กลับแอบออกไปมีลูกมีเมียนอกบ้าน โดยที่ภรรยาและลูกๆ ไม่รู้มาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่าบอกนะว่าที่แม่คุณทำตัวเสเพลแบบนี้ก็แค่ประชดพ่อแม่... เฮ้อ เด็กหนอเด็ก

"พ่อเขาอาจจะผิดจริง แต่ก็ไม่เกี่ยวกับแม่ไม่ใช่หรือ คิดไหมว่าเราออกมาเที่ยวเตร่กับผู้ชายแบบนี้ แม่รู้เข้าเขาจะเสียใจแค่ไหน" ใบหน้าที่ก้มงุดอย่างสำนึกผิดทำให้ภูมิถอนใจ เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังมีสำนึกดีชั่วอยู่ "พี่ไม่มีลูก แต่มีน้อง และที่สำคัญพี่มีพ่อมีแม่ ลูกใครๆ ก็รัก ยิ่งลูกผู้หญิงพ่อแม่ยิ่งรักยิ่งหวง สังคมเดี๋ยวนี้มีแต่พวกปากเหยี่ยวปากแร้ง คิดไหมพ่อแม่อุตส่าห์เลี้ยงดูทะนุถนอมเราอย่างดี ทำไมเราถึงไปเสนอตัวให้คนอื่นเขาง่ายๆ ผู้ชายน่ะ อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็ทิ้งไปได้ง่ายๆ เหมือนกัน"

มินตราอ้าปากค้าง คาดไม่ถึง หลังหายตกใจก็แหวใส่อีกฝ่ายทันที

"นี่พี่คิดว่าหนูหาบเร่เนื้อขายเหรอ!" เจ้าหล่อนตวัดเสียงฉุน แต่เขากลับไหวไหล่ไม่สะทกสะท้าน

"ไม่รู้ แต่ถ้ามีใครเห็น ก็ต้องคิดแบบพี่ทั้งนั้นแหละ ดูตัวเองตอนนี้สิ เหมือนอะไร"

นี่ถ้าไม่คิดว่าเขาเพิ่งช่วยให้เธอรอดพ้นจากอันตรายอย่างเฉียดฉิว ทำให้ยังพอมีสำนึกและความเกรงใจอยู่บ้าง ภูมิคิดว่าแม่คุณต้องอยากฟาดกบาลเขาแน่ๆ

"หนูจะแต่งตัวยังไง เป็นยังไงมันก็เรื่องของหนู นี่มันร่างกายหนู คนอื่นไม่เกี่ยว!"

"ใช่ นั่นมันร่างกายเรา ความพอใจของเรา แต่โลกนี้มันไม่ได้มีแค่ตัวเราไม่ใช่หรือ ยังมีสังคม และคนในสังคมก็มีทั้งดีทั้งชั่ว ก็เหมือนไอ้สามคนนั้นแหละ เราแต่งตัวยั่วยวนเที่ยวกลางค่ำกลางคืนมันเป็นสิทธิ์ของเรา แต่เห็นไหมคนอื่นเขาคิดกับเรา มองเรา และปฏิบัติกับเรายังไง สิทธิ์น่ะใครๆ เขาก็มี แต่อย่าอ้างสิทธิ์จนลืมใช้สติด้วย นี่ถ้าพี่ไม่บังเอิญผ่านไปแล้วเราถูกพวกมันฉุดไปจริงๆ ถามหน่อย สิทธิ์ที่เราร้องเหยงๆ ว่ามันเป็นของตัวเองน่ะ คุ้มกับสิ่งที่เสียไปไหม" ภูมิตวัดสายตามองหญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้า ไหล่บางสั่นเทิ้ม จากนั้นน้ำตาก็ร่วงแหมะๆ อีก เห็นแล้วเขาก็ถอนใจ ดึงกระดาษทิชชูส่งให้ "เลิกร้องไห้ได้แล้ว นี่ใกล้ถึงแล้วหรือยัง"

มินตรารับกระดาษทิชชูไปเช็ดน้ำตา พอเห็นคราบเครื่องสำอางที่หลุดออกมาก็ชักเชื่อเขานิดๆ ว่าสภาพของเธอเวลานี้คงดูไม่ได้จริงๆ

"พี่จอดตรงหน้าซอยข้างหน้านั่นก็ได้ เดี๋ยวหนูเรียกรถเข้าไปเอง"

"ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็มาส่งถึงที่นี่แล้ว ก็ส่งให้ถึงบ้านนี่แหละ เดี๋ยวเกิดโดนฉุดไปอีกไอ้ที่อุตส่าห์ช่วยไว้เดี๋ยวเสียเปล่า"

โหย อีตาบ้า! นี่ถ้าไม่คิดว่าติดหนี้บุญคุณแม่จะตบบ้องหูให้ มินตราคิดอย่างเจ็บแค้น นอกจากพ่อแล้วไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเทศนาเธอขนาดนี้ พวกผู้ชายวัยเลยเบญจเพสนี่ขี้บ่นเหมือนกันหมดเลยหรือไง แต่พอมองเสี้ยวหน้าคมสัน มินตราก็อดสงสัยไม่ได้

"พี่มาเจอหนูได้ยังไง" คิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย "หนูเห็นแวบๆ ว่าพี่ออกไปก่อน แล้วทำไมไปโผล่ที่ซอยหลังร้านได้"

ชายหนุ่มกระแอมแล้วขยับตัวอยู่หลังพวงมาลัยรถ

"ออกมาก่อน แต่ปวดฉี่เลยไปยืนฉี่อยู่ตรงกำแพงหลังร้าน บังเอิญเห็นเราเดินผ่านไปพอดี แล้วสังเกตว่ามีผู้ชายไม่น่าไว้ใจตามไปด้วย"

"จริงอ้ะ" หญิงสาวยังไม่วายสงสัย "แล้วทำไมตอนที่มันขี้จุ๊ว่าเป็นผัวหนู พี่ยังกล้าเข้าไปต่อยกับพวกมันอีก ไอ้พวกโจรตบทรัพย์ ขู่เอามือถือหรือกระเป๋ากับผู้หญิงที่ยืนอยู่ที่เปลี่ยว มันก็ใช้มุกนี้กันทั้งนั้น แถมไม่มีใครอยากยุ่งด้วย"

"คนในเมืองเขาคิดยังไงพี่ไม่รู้ แต่ถึงจะเป็นผัวเมียจริงๆ การเห็นผู้ชายทำร้ายผู้หญิงไม่มีทางสู้ มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะยืนดูอยู่เฉยๆ สมัยนี้เขามีกฎหมายคุ้มครอง เอาผิดคนเป็นพ่อหรือสามีที่ชอบเลี้ยงลูกเมียด้วยลำแข้ง เสียแต่เมียๆ นั่นแหละที่ไม่เอาเรื่องเอง"

มินตรามองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ ถึงจะเป็นคนแปลกหน้า แต่อะไรบางอย่างในตัวเขาทำให้มินตรารู้สึกสนใจ ถ้าทั้งคู่ได้พบกันในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ก็คงดี... ไม่สิ บางทีเจอกันในสถานการณ์แบบนี้อาจดีที่สุดก็ได้ เพราะเขาได้เห็นสภาพที่ตกต่ำย่ำแย่ที่สุดของเธอ แต่ผู้ชายคนนี้กลับไม่มีทีท่ารังเกียจ หรือคิดไม่ซื่อ ทั้งๆ ที่หากจะทำก็ทำได้ ความอ่อนแอล้มเหลวที่มินตราพยายามปกปิดเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน กลับถูกเปิดเผยต่อหน้าชายหนุ่มจนหมดสิ้น หรือเพราะทั้งคู่ต่างเป็นแค่คนแปลกหน้าในสายตากันและกัน จึงไม่จำเป็นต้องสร้างภาพ หรือแคร์ว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าตัวเองดีหรือไม่ดีอย่างไร

"หนูยังไม่ได้ถามชื่อพี่เลย พี่ชื่ออะไร"

ตาคมปรายมองมาเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปมองยังถนนข้างหน้า

"ภูมิ"

"ชื่อเล่นหรือชื่อจริง"

"ทั้งสองอย่าง แล้วเรา?"

"มินตรา ที่บ้านเรียกมิ้น" เธอตอบ "ยังไงก็เถอะ หนูขอบคุณพี่มากสำหรับวันนี้ ถ้าไม่มีพี่ ไม่รู้ป่านนี้..."

"เรื่องมันแล้วไปแล้ว อย่าไปคิดอะไรเลย" ภูมิบอกปัดเมื่อได้ยินสุ้มเสียงสั่นพร่า

หลังจากขับรถเข้าไปในซอย เลี้ยวไปตามเส้นทางที่หญิงสาวบอก กระทั่งมาถึงหอพักแห่งหนึ่ง หญิงสาวก็โทรศัพท์ขึ้นไปบอกให้รชยามาเปิดประตูรับ เพราะตัวเองไม่มีคีย์การ์ด ระหว่างนั้นเขาก็ยังไม่วายที่จะย้ำ

"เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมารับไปสถานีตำรวจด้วยกัน"

"คะ?" มินตรารับงงๆ

"ยังไงก็ต้องไปแจ้งความ เพราะไม่ใช่แค่เราที่เป็นผู้เสียหาย พี่เองก็เป็นคนเสียหายเหมือนกัน เราจะไม่แจ้งความด้วยก็ตามใจ แต่ยังไงก็ต้องไปเป็นพยานให้พี่" พูดแล้วเขาก็ชี้รอยปูดบริเวณขมับ "นี่ดึกมาแล้ว จะขับรถวนไปแจ้งที่สถานีท้องที่ก็เสียเวลา เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน จำไว้สองโมงเช้าเดี๋ยวจะมารับ"

"แต่ว่า..."

"ไม่ตงไม่แต่อะไรทั้งนั้น เราอยากยอมก็ยอมไป แต่เรื่องนี้พี่ไม่ยอม ถ้าพรุ่งนี้มาไม่เจอ พี่จะตามไปถึงมหา'ลัยเชียว"

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น