7

ตอนที่ 7


 

 มินตราบอกเสียงเบา แต่ในใจกำลังกรีดร้องว่า ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง!

จากที่คิดว่าตำรวจคงใช้เวลาตลอดภพชาตินี้เพื่อตามคนร้าย แต่ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์มินตราก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ บอกว่าจับหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ทำร้ายเธอได้ แต่เพื่อความแน่ใจจึงอยากให้เข้ามาชี้ตัว เพราะคนร้ายไม่ได้ก่อคดีกับเธอแค่รายเดียว ยังมีผู้เสียหายรายอื่นด้วย จะต่างกันก็ตรงที่รายอื่นๆ นั้นพวกมันเลือกลงมือตามจังหวะและโอกาส แต่กรณีของเธอมันเลือกลงมืออย่างจงใจ

มินตรากับรชยาไปถึงสถานีตำรวจเป็นรายแรก และชี้ตัวผู้ต้องสงสัยที่ยืนหน้าจ๋อยได้อย่างแม่นยำ นี่ถ้าไม่เพราะยังแปลกใจอยู่ มินตราคงได้ทะยานเข้าไปบ้องหูสักทีให้หายแค้น

“ที่ว่าไอ้หมอนี่มันจงใจหมายความว่ายังไงหรือคะ จะบอกว่ามันมาดักรอทำร้ายเพื่อนหนูหรือ” รชยารีบถาม

“มันบอกว่าเพื่อนมันชื่อนายอาคมเป็นคนชวนไปดักน้องคนนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะชิงทรัพย์ แต่มันตั้งใจอุ้มเลย”

“ต๊าย!” รชยายกมือขึ้นทาบอก ขณะที่คนเป็นเพื่อนแม้จะตกใจแต่กลับดูนิ่งกว่า “นี่จะฆ่าจะแกงกันเลยเหรอคะ เพื่อนหนูไม่เคยมีเรื่องอะไรกับใครที่ไหน ใช่ไหมยายมิ้น”

“ก็เนี่ย พี่ถึงต้องเรียกมาถาม แน่ใจจริงๆ นะ ว่าไม่ได้ไปมีเรื่องมีราวกับใคร ลงมันจงใจแบบนี้ยังไงก็ต้องมีคนที่ไม่ชอบหน้าเราแน่ๆ”

“แล้วคุณตำรวจไม่เค้นถามมันล่ะคะ ว่าหนูไปทำอะไรให้พวกมันไม่พอใจ” มินตราย้อน

“มันบอกว่ารู้จักนายอาคมแค่ผิวเผิน เขาให้เงิน ชวนมา แล้วก็...” นายตำรวจกระแอมไอ “คงคิดว่าอุ้มหนูสำเร็จจะเอาไปทำปู้ยี่ปู้ยำยังไงก็ได้ เห็นว่าหน้าตาหนูดีมันก็โอเค แต่มีเรื่องมีราวอะไรกันมันไม่รู้ พี่ได้รายละเอียดแค่ชื่อกับรูปพรรณ แต่นายอาคมอะไรนี่เป็นใครมาจากไหน คงต้องสืบกันต่ออีก จริงสิ พี่จำได้วันนั้นหนูมาแจ้งความกับผู้ชายอีกคน แล้วนี่ไม่มาด้วยกันเหรอ เป็นไปได้ไหมว่าหนูไม่มีปัญหากับใคร แต่แฟนหนูมี”

“ไม่ค่ะ เขากลับต่างจังหวัดไปแล้ว อีกอย่างเขาไม่ใช่แฟนหนู” มินตราปฏิเสธหน้างอ

“หรือว่าเขามีศัตรูที่ตามมาแก้แค้น” รชยายังไม่ตัดความเป็นไปได้

“ฉันว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับเขานะ เพราะไอ้พวกนั้นมันจงใจเล่นงานฉันเลย เขาแค่บังเอิญผ่านมาเจอแล้วช่วยไว้เท่านั้น”

“แกแน่ใจนะยายมิ้น คิดให้ดีๆ ไปเผลอเหยียบตาปลาใครเข้าจนเขาแค้น แล้วก็จ้างไอ้พวกนั้นมาเล่นงานแกหรือเปล่า”

“ก็บอกว่าไม่...” หญิงสาวชะงักเมื่อฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

โฉมฉาย!

หลังเสร็จเรื่องที่สถานีตำรวจ สองสาวแวะที่ร้านอาหาร สั่งอาหารง่ายๆ กินกัน ถึงเวลานั้นมินตราค่อยๆ เล่าทุกอย่างให้เพื่อนสนิทฟัง ย้ำอย่างมั่นใจ มีล้านให้ล้านเปอร์เซ็นต์ว่า

“ต้องเป็นนังเมียน้อยสะตอเบอแหลนั่นแน่!” หญิงสาวพูดแล้วเข่นเขี้ยว “คงแค้นที่โดนฉันตบเสียหน้าหันปากเจ่อ หน็อย คิดจะใช้แผนสกปรกกับฉัน น่าเจ็บใจนัก พ่อนะพ่อ เลือกอะไรไม่เลือก ดันไปเลือกงูพิษมากก”

“แกแน่ใจนะว่าเป็นฝีมือแม่นั่นจริง”

“ต้องใช่แน่ เชื่อสิฉันรช นังนั่นมันเป็นพวกกัดไม่ปล่อยเหมือนกัน”

“ถ้ามั่นใจแบบนั้น แล้วทำไมเมื่อกี้เธอไม่บอกตำรวจไปล่ะว่าสงสัยใคร”

พอถูกถามแบบนี้คนที่กำลังโกรธจนควันออกหูก็ไหล่ตกทันที

“พูดไปเรื่องก็ต้องถึงพ่อกับแม่ อีกอย่างแค่คำพูดของไอ้โจรกระจอกนั่น อีตาอาคมนี่เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ หลักฐานอะไรชัดเจนสักอย่างก็ไม่มี คิดว่าพ่อจะเชื่อไหม ดีไม่ดีจะหาว่าฉันปั้นน้ำเป็นตัว แล้วรับรองเลย อีนังปลาแห้งหน้าแหลมเฟี้ยวนั่นคงตอแหลใส่พ่อ หาว่าฉันกล่าวหามัน เรียกความสงสารได้อีกจม ฉันน่ะไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่แม่นี่สิ ถ้าต้องมารู้ว่าชู้รักของพ่อจ้างคนมาอุ้มลูกสาวไปรุมโทรม แม่จะเสียใจแค่ไหน”

“ก็จริงของแก” รชยาฟังปัญหาของเพื่อนแล้วก็ถอนใจเฮ้อ อยากช่วยแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร “แล้วผู้ชายที่ไปแจ้งความกับแกวันนั้น ไม่ติดต่อไปบอกเขาหน่อยล่ะว่าทางนี้มีความคืบหน้า”

“จะติดต่อยังไงล่ะ เบอร์โทร. ก็ไม่มี หรือถ้ามีตำรวจเขาก็โทร. ไปบอกเองแหละ”

“แต่ยังไงฉันว่าตอนนี้แกกลับบ้านดีไหม เกิดแม่อะไรนั่นเขาย้อนกลับมาจัดการแกอีกจะทำไง”

“กลับบ้านหรืออยู่กับแกมันต่างกันตรงไหน” มินตราย้อนถาม อิดออดไม่ยอมกลับ

“อย่างน้อยๆ หมู่บ้านแกก็ดูปลอดภัยกว่าหอพักของฉัน ที่หอน่ะถึงจะมียามเฝ้า แต่ก็มีคนเข้าออกตลอด บางคนก็รอให้คนในใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไปก่อน ส่วนตัวเองก็เนียนตามเข้าไปด้วย ฉันไม่เห็นว่าทางหอเขาจะตรวจคนเข้าออกได้มากมายตรงไหน เกิดพวกนั้นมันตีเนียนเข้ามาฆ่ารัดคอแกจะทำไง”

“ปาก!” มินตราอดที่จะฟาดเพื่อนสักทีไม่ได้ “นี่แช่งฉันเหรอ”

“ก็มันจริงนี่นา ที่พูดนี่ก็เพราะเป็นห่วง กลับบ้านเถอะมิ้น ป่านนี้คุณลุงคุณป้าเขาคงเป็นห่วงแย่แล้ว มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน นั่นน่ะพ่อแม่แกนะ แกจะตัดขาดได้ลงด้วยเรื่องแค่นี้น่ะเหรอ” พอเห็นเพื่อนจะอ้าปากแย้ง รชยาก็ยกมือขึ้นห้าม “อดทนหน่อยน่ามิ้น ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ ถ้าแม่โฉมนี่เป็นพวกแค้นฝังหุ่นจริงๆ ถ้าเล่นงานแกไม่สำเร็จ แล้วกลับไปหาเรื่องแม่แกล่ะ ใครจะอยู่ช่วยเหลือคุณป้า”

ประเด็นหลังนั่นแหละที่ทำให้มินตราอ่อนลง ถ้าโฉมฉายกล้าลงมือกับเธอราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ซ้ำยังวีรกรรมก่อนหน้านั้นอีก คงไม่ต้องเดาแล้วกระมังว่ามีอะไรที่แม่นี่ไม่กล้าทำ ใจหนึ่งมินตราก็นึกสาสมใจหรอกที่พ่อถูกผู้หญิงแบบนั้นปั่นหัวเสียได้ แต่ในความเป็นลูกเธอก็ไม่อยากให้ใครมาทำลายครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุพการี 

คิดได้เช่นนั้นวันต่อมามินตราเลยต้องยอมกลืนคำพูด แบกหน้าตึงๆ กลับบ้าน คิดปลอบใจตัวเองว่า ถ้าไม่เพราะเป็นห่วงแม่ เธอไม่มีวันกลับเด็ดขาด แต่พอกลับถึงบ้านจริงๆ หญิงสาวก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของคนเป็นพ่อแม่ ทั้งคู่ดูจะไม่ ‘กล้ำกลืน’ เวลาต้องอยู่ด้วยกันอย่างแต่ก่อน แต่จะเรียกว่าหวานชื่นก็ไม่ใกล้เคียงนัก อาจเพราะครั้งนี้พ่อสำนึกผิดจริงๆ ที่ทำให้เธอหนีกระเจิดกระเจิงออกจากบ้าน และทำให้แม่ต้องเสียใจ ถึงอย่างไรคนอยู่ด้วยกันมายี่สิบกว่าปีต่อให้สิ้นรักก็คงไม่สิ้นความผูกพันไปด้วย ระหว่างที่มินตราไม่อยู่ ทั้งคู่ก็น่าจะมีการพูดคุยอย่างเปิดใจเช่นกัน

แต่คนอย่างมินตราเจ็บแล้วจำ ดังนั้นเมื่อพ่อขอคุยกับเธอด้วยหน้าจ๋อยๆ เพื่อขอแก้ตัว หัวใจของหญิงสาวเลยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถึงคนเราควรได้รับโอกาสแก้ไขความผิดพลาด แต่เพราะพ่อทำลายโอกาสที่เธอให้ไปแล้วถึงสองครั้ง มินตราจึงไม่แน่ใจว่าต้องมานั่งช้ำเป็นครั้งที่สามหรือเปล่า หญิงสาวจึงเอ่ยกับพ่อ ย้ำให้เขาเห็นว่าเธอไม่ได้ยื่นคำขาดกับเขาอย่างเสียสติ แต่มาจากความเชื่อมั่นทั้งหมดที่ยังหลงเหลือในหัวใจ

“มิ้นจะเชื่อพ่ออีกสักครั้งค่ะ แต่มิ้นอยากให้พ่อรู้ไว้ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ” 

จากนั้นทุกอย่างก็กลับไปสู่กระแสลมที่สงบอีกครั้ง อดิรุจปฏิบัติตัวเป็นพ่อและสามีที่ดี นอกจากเลิกงานกลับบ้านตรงเวลา เขายังหาเวลาพาลูกเมียออกไปข้างนอกด้วยกันพร้อมหน้า มินตรานึกๆ แล้วจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ไปไหนมาไหนกับครอบครัวพร้อมหน้า นอกจากกินข้าวที่บ้านด้วยกันนั้นผ่านมานานแค่ไหน แต่ถึงลมจะสงบ ‘สายสืบ’ ของมินตราก็ยังทำงานขยันขันแข็งตามรายงานไม่ขาด

“ป้าว่าไงนะคะ แม่โฉมนั่นลาออกแล้ว” หัวใจของมินตราพองโตด้วยความยินดี “แน่ใจนะคะป้า”

“แน่ค่า ก็แม่นั่นระยะหลังทำตัวมีปัญหา ไม่ใช่แค่ปัญหาเพื่อนร่วมงานนะคะ ตั้งแต่รปภ. ยันหัวหน้าก็เจอฤทธิ์เดชนางมาแล้วค่ะ ไอ้ที่ลาออกนี่คงเริ่มรู้ตัวกระมังคะ อยู่นานกว่านี้คงได้ใบเชิญออกแทน”

“แล้วป้าพอรู้ไหมคะ ว่าตอนนี้แม่นี่เขาไปทำอะไรที่ไหน”

“เอ๋ อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันคะ” สายสืบรับเสียงอ่อย เรื่องในตึกเจ้าหล่อนรู้ดีหมด แต่ภายนอกคงบอกยาก

ช่างเถอะ มินตราบอกตัวเอง ยายโฉมฉายนั่นจะไปอยู่ที่ไหนก็ช่าง ขอแค่เลื้อยออกไปให้พ้นๆ ครอบครัวของเธอก็พอ

ในวันหยุดมินตรากับรชยาออกไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าด้วยกัน ท่าทางอารมณ์ดีของหญิงสาวทำให้คนเป็นเพื่อนอดแหย่ไม่ได้

“แหม ดูเหมือนช่วงนี้เธอจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ”

“ก็แน่สิ ตอนนี้พ่อทำตัวดีขึ้นแยะ ไม่ใช่แค่กับฉันนะ กับแม่ก็ด้วย ส่วนยายโฉมนั่นก็ลาออกไปแล้ว ไม่ต้องมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ พ่ออีก”

“บอกแล้วเรื่องบางเรื่องมันต้องใช้เวลา คนในครอบครัวเดียวกันหนักนิดเบาหน่อย ก็ต้องเข้าใจให้อภัยกันบ้าง”

“ไม่รู้สินะรช” มินตราไม่แน่ใจ “ยังไงแก้วที่มันร้าว ถ้าไม่เอาไปหลอมใหม่ มันก็ยังเห็นรอยร้าวอยู่ดี แล้วหัวใจคนเรา รวมถึงความรู้สึกที่เสียไปมันเอาไปหลอมใหม่ได้เสียเมื่อไหร่ อีกอย่างฉันไม่อยากหลอกตัวเอง พ่อกับแม่น่ะเขาไม่ได้รักกันอย่างแต่ก่อนหรอก และฉันก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าความสัมพันธ์นี้ วันข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อไป ที่หวังตอนนี้ก็แค่ไม่อยากเห็นฝ่ายไหนทำร้ายกันอีก” 

“อนาคตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะ คิดถึงตอนนี้ก็พอ ไม่แน่อะไรๆ มันอาจไม่เลวร้ายก็ได้ อุ๊ยเดี๋ยว” รชยาดึงแขนเพื่อน สูดกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟที่โชยมาจากร้านด้านหน้า “นี่ๆ ขอฉันซื้อกาแฟสักแก้วก่อน เธอจะเอาด้วยไหม ร้านนี้โกโก้ปั่นก็ไม่เลวเลยนะ”

สองสาวเดินเข้าร้านกาแฟแบรนด์ดังที่มีลูกค้าอยู่แน่นร้าน ทั้งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะและเข้าแถวซื้อหน้าเคาน์เตอร์ แม้พนักงานสี่ห้าคนจะช่วยกันจนมือเป็นระวิง แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ทันใจนัก จนมีเสียงบ่นลอยๆ จากหญิงสาวรายหนึ่ง

“ท่าทางต้องรอนาน แถมโต๊ะว่างก็ไม่มี” หญิงสาวรายนั้นบ่นอุบอิบเสียงไม่ดังเท่าไหร่ แต่เพราะยืนอยู่ใกล้ๆ เลยได้ยินทุกคำพูด “ดูสิคะ สั่งกาแฟแก้วเดียวนั่งกันสามสี่คน แต่จะว่าไปคนไทยก็แบบนี้ บ้าเห่อของนอก”  

“ก็บอกแล้ว วันหยุดแถมเป็นช่วงเที่ยงแบบนี้คนแยะ ร้านอาหารข้างบนเขาก็มีเครื่องดื่มให้เลือกเหมือนกัน” ชายหนุ่มอีกคนคล้ายจะเหน็บนิดๆ ว่าเจ้าหล่อนก็ ‘บ้าเห่อของนอก’ ไม่ต่างกันหรอก “นี่ถ้าพิมจะรอกาแฟ งั้นผมขึ้นไปรอที่ร้านนะ หิวแล้ว เดี๋ยวมีธุระต้องไปทำอีก”

“ก็ได้ค่ะ” เจ้าหล่อนยังทำเสียงกระเง้ากระงอด “ภูมิขา พิมเห็นคุณเอาแต่ทำงาน อยากพามาเปิดหูเปิดตาบ้าง อุดอู้อยู่แต่ในไร่น่าเบื่อจะตาย”

หือ? มินตรามุ่นคิ้ว ทำไมกะอีแค่ชื่อสั้นๆ นั่นช่างฟังแทงหูพิลึก หญิงสาวแอบเหลือบมองไปทาง ‘คู่ชู้ชื่น’ พอดีกับที่รชยาซึ่งเข้าไปยืนต่อท้ายแถวโบกมือเรียก

“ยายมิ้นมีเค้กมะพร้าวเหลือด้วยนะ เอาไหม”

วินาทีที่มินตราเห็นใบหน้าคมเข้มชัดๆ หญิงสาวถึงได้เห็นว่าทางนั้นก็กำลังเหลือบมองมาที่เธอพอดี ทั้งคู่ชะงักพร้อมกัน พอรู้ตัวมินตราก็แสร้งทำเป็นเมินหน้าหนีไม่รู้ไม่ชี้ แต่คงไม่ทันการณ์แล้ว เพราะตอนนี้หน้า ‘ภูมิขา’ ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวมาแต่ไกล

“ว่าไงจ๊ะน้องสาว เอ๋ หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนนะเนี่ย”

หญิงสาวเมินหน้าหนีไปอีกทาง เร็วเสียจนใครมองก็รู้ว่าจงใจ

“อะ...อะไร หนูไม่รู้จักพี่ เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ ทักผิดแล้วมั้ง” มินตราควักไม้ตายกระต่ายขาเดียวออกมาโชว์หน้าด้านๆ นี่แหละ

“ใครคะภูมิ”

หญิงสาวที่มาด้วยถาม โฉบเข้ามาเกาะหนึบที่ท่อนแขนกำยำของชายหนุ่ม รวดเร็วราวกับเท้าติดสเกต ไม่ใช่รองเท้าส้นเข็ม แล้วพอมองหน้าฝ่ายนั้นชัดๆ แวบแรกมินตราต้องยอมรับว่าเจ้าหล่อนสวยสะดุดตาทีเดียว อีกฝ่ายสวมชุดที่ออกแบบทันสมัยรับกับสัดส่วนโค้งเว้า โดยเฉพาะหน้าอกที่ดันเสียจนร่องอกขาวๆ แทบล้นออกมาหนีบแขนคนข้างๆ ใบหน้าตกแต่งแบบจัดเต็ม ทำให้อายุจริงๆ คงลดลงไปโข

“คนรู้จักน่ะ” ชายหนุ่มรับ

“เอ๊ะ! อย่ามาขี้ตู่ หนูว่าพี่จำคนผิดไง”

“จำผิดได้ยังไง” ฝ่ายนั้นยังยืนยันพร้อมรอยยิ้มกวนๆ “อ้อ ตำรวจเขาโทร. ไปบอกพี่เรื่องความคืบหน้าของคดี แต่งานที่ไร่ยุ่งเลยเพิ่งมีโอกาสได้มา”

“คดี คดีอะไรกันคะภูมิ ทำไมพิมไม่เห็นรู้เรื่อง”

“ยายมิ้น...” เสียงเรียกของรชยาชะงัก เมื่อเห็นเพื่อนคุยอยู่กับคู่ชายหญิงตรงหน้า รชยาไม่ทันสังเกตการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แถมยังถูกชายหนุ่มถามแทรกขึ้นมาก่อน

“สวัสดีจ้ะ” ภูมิทักทาย ท่าทางเป็นมิตรและรอยยิ้มจริงใจ ทำให้รชยามองด้วยความสนใจ “เพื่อนมิ้นสินะ คดีของหนูมิ้นเป็นไงบ้าง เห็นว่าตำรวจจับตัวคนร้ายได้คนหนึ่งใช่ไหม พอดีพี่เป็นเจ้าทุกข์ร่วมด้วย”

“อ๋อ...” พอได้ยินเสียงร้องอ๋อของรชยา มินตราก็แทบอยากร้องกรี๊ดแล้วฟาดเพื่อนสักที “พี่ที่ช่วยยายมิ้นแล้วพาไปแจ้งความด้วยใช่ไหมคะ แหม หน้าตาท่าทางเหมือนที่ยายมิ้นบรรยายไว้เป๊ะเลยค่ะ”

“รช!”

“นั่นไง!” ชายหนุ่มยิ้มอย่างผู้ชนะ “ขนาดเพื่อนเรายังรู้จักพี่เลย ทำไมคนที่บรรยายหน้าตาพี่ได้ดันสมองเสื่อม ดูสิเจอผู้ใหญ่แค่ทักทายหรือยกมือไหว้กันสักนิดก็ไม่มี”

สุดท้ายมินตราก็จำต้องยกมือไหว้ ท่าทางไม่ได้แข็งอย่างฝืนใจ แต่ก็ไม่นอบน้อมนัก ยกเว้นน้ำเสียงที่ชัดเจนว่าไม่ยินดีที่ได้พบ

“อ๋อ นึกออกแล้ว สวัสดีค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นขอตัวนะคะ ไปเหอะรช” มินตราคว้าแขนเพื่อน แต่เสียงทุ้มๆ ข้างหลังที่ไล่ตามมา ไม่รู้ทำไมถึงได้มีอำนาจขนาดทำให้เธอหยุดได้

“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิ นี่พี่ยังไม่ได้ถามรายละเอียดเรื่องคดีเลย พี่กำลังจะไปกินข้าว ถ้ายังไงไปด้วยกันเอาไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยง อยากกินอะไร ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ฝรั่ง เหนือ ใต้ อีสานได้ทั้งนั้น”

เท่านั้นทั้งแม่สาวส้นเข็มกับมินตราก็แทบจะร้องออกมาพร้อมกันว่า ‘ไม่เอา!’

“เอาค่ะ!”

“ยายรช!”

แม่เพื่อนตัวดียังมีหน้าหันมาทำตาใสราวกับจะถามกลับว่า ‘ทำไมเหรอ’ ส่วนเจ้ามือหน้าใหญ่ก็ไม่เปิดโอกาสให้ใครสอด รีบต้อนผู้หญิงสามคนที่สูงเฉียดหัวไหล่เขานิดหน่อยไปยังชั้นถัดไป ซึ่งมีร้านอาหารมากมายให้เลือก 

หลังจากใช้เวลาอยู่เกือบสิบนาทีกว่าจะตกลงเลือกร้านได้ เพราะแม่สาวส้นเข็มจู่ๆ ก็กลายเป็นคนกินยาก กระเดือกอะไรก็ไม่ลงไปหมด ส่วนมินตราเห็นว่าปลีกตัวหนีไม่ได้ก็เลยตามเลย กินๆ ให้เสร็จจะได้รีบกลับ คนที่เลือกร้านอาหารเลยเป็นรชยาและเจ้ามือ ซึ่งเห็นพ้องกันว่าร้านอาหารจีนก็น่าจะดี เพราะมีพวกติ่มซำให้เลือกชิมหลายอย่าง พอสั่งอาหารเสร็จ ทั้งโต๊ะก็มีแค่เจ้ามือกับรชยาอีกนั่นแหละที่คุยจ้อกันไม่หยุด

“ตำรวจเพิ่งจับคนร้ายได้คนเดียวค่ะ คงต้องใช้เวลาเหมือนกันถ้าจะตามพวกที่เหลือ” รชยาพูดจ๋อยๆ “ไอ้ตัวที่กินข้าวแดงอยู่ตอนนี้มันคงไม่ยอมซวยคนเดียวหรอก ได้ซัดทอดต่อแน่ว่าใครบงการ”

“บงการหรือ?” ภูมิเลิกคิ้ว และแทบทันทีที่หญิงสาวหน้าหมวยทำหน้ายู่ เพราะโดนเพื่อนข้างๆ กระทุ้งสีข้างไปหนึ่งที “หมายความว่ายังไงที่ว่ามีคนบงการ อย่าบอกนะว่าพวกนั้นตั้งใจมาอุ้ม”

“หลักฐานอะไรก็ยังไม่มี อย่าเพิ่งสรุปเลยค่ะ” มินตราตัดบท “บางทีอาจจะ...ผิดตัวก็ได้”

ภูมิทำหน้าไม่เชื่อ อาจเพราะเขาก็คิดแบบนั้นตั้งแต่แรก ตอนเขาเห็นไอ้พวกโจรห้าร้อยนั่นครั้งแรก พวกมันไม่ได้ดักรอเหยื่อแบบสุ่ม แต่ซุ่มรออย่างมีเป้าหมาย เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ตัดสินใจตามไป

“น่ากลัวจังเลยนะคะ พิมก็เตือนแล้วกรุงเทพฯ ไม่ได้ปลอดภัยเหมือนต่างจังหวัด แล้วดูสิ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแทนที่จะบอกพิมสักคำ พิมน่ะรู้จักตำรวจผู้ใหญ่หลายท่าน จะได้บอกให้ท่านช่วย รับรองเรื่องเดินเร็วกว่านี้แน่”

“ผมเกรงใจ อีกอย่างเรื่องแค่นี้ ทางตำรวจเขาก็จัดการเองได้ ไม่ต้องลำบากท่านๆ หรอก”

“แหม เกรงจงเกรงใจอะไร คนกันเองแท้ๆ เมื่อก่อนพิมมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาคุณบ่อยๆ แล้วภูมิก็ช่วยเหลือพิมได้ทุกเรื่อง มีหรือคะที่พิมจะเมินปัญหาภูมิได้” ไม่พูดปากเปล่า แต่ยังทำให้เห็นด้วย มือเรียวสวยแต่งเล็บสีแดงสดยื่นไปกุมมือชายหนุ่มเบาๆ ราวกับภรรยาสาวที่ให้กำลังใจสามี ชนิดที่รชยาเห็นแล้วยังอดกระซิบกับเพื่อนระหว่างที่แม่สาวปากแดงเริ่มคีบอาหารให้เจ้าภาพ จิ๊จ๊ะเอาอกเอาใจออกหน้า แต่พอสบโอกาสตาคมๆ อย่างกับมีดโกนก็จะมองมาที่พวกเธอ พร้อมข้อความว่า ‘คนนี้ของฉัน!’

“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะยายมิ้น ฉันรู้สึกเหมือนนั่งดูแกตอนอายุสักสามสิบยังไงไม่รู้”

“บ้า ฉันไม่มีวันอ่อนให้ผู้ชายแบบนี้หรอก เสียศักดิ์ศรี พวกผู้ชายเป็นแค่ข้าราชบริพารไว้รองบาทฉันเท่านั้นแหละ”

“งั้นถ้ามีอะไรคืบหน้าก็บอกพี่ด้วยได้ไหม” ภูมิหยิบนามบัตรจากกระเป๋า เลื่อนไปตรงหน้ามินตราอย่างเจาะจง เล่นเอาแม่สาวปากแดงที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำตาโต ชักสีหน้าไม่พอใจไปทางพ่อตัวดี

“อะไรกันคะภูมิ ไหนว่าเรื่องแค่นี้ตำรวจจัดการได้ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจไปเถอะค่ะ คุณเองก็ไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยตรงสักหน่อย”

“ไม่ตรงได้ไง” ภูมิชี้หน้าตัวเอง แม้ตอนนี้จะไม่มีร่องรอยใดๆ แล้วก็ตาม “หมัดขวาเข้ามาตรงนี้เลยนะพิม”

“นี่ขนาดสู้กันเลยเหรอคะ” รชยาทำตาโต ส่วนคนได้ทีก็โอ่อย่างหน้าไม่อาย

“สามรุมหนึ่งเลยนะน้อง ยิ่งตอนที่มันชักมีดออกมาเล่มเท่านี่! พี่นี่นึกว่าจะไม่รอด ดีว่านึกถึงครูที่เคยสอนมวยให้ เท่านั้นแหละ พี่งี้เหมือนเห็นแสงสว่างเลย สติมาปัญญาเกิด ออกหมัดออกเข่าอย่างกับครูลง โอ๊ย บอกได้คำเดียว กระ- เจิง!”

“ฮู้ยยย! พี่โคตรใจอะ!”

มินตราอยากกลอกตา ใครเชื่อก็บ้าเต็มทีแล้ว แต่เท่าที่เห็นรชยาก็คงบ้าไปเรียบร้อยแล้วจริงๆ นึกอยากเตือนความทรงจำว่าตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ ตัวเองไม่ใช่หรือที่เตือนเธอเหยงๆ ว่าผู้ชายไว้ใจไม่ได้ แล้วนี่อะไรกัน แค่เขาเลี้ยงข้าวนิดหน่อยก็แปรพักตร์ไปเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เฮ้อ รีบกินแล้วรีบกลับดีกว่า หญิงสาวรีบก้มหน้าโกยข้าวผัดปูที่รชยาตักแบ่งให้ใส่ปาก แต่กินไปได้ไม่กี่คำก็มีเสียงท้วงมาจากฝั่งตรงข้าม

“ตายจริงหนู ทำไมเวลากินข้าวถึงเริ่มตักจากตรงหน้าก่อนล่ะคะ” ยายป้าส้นเข็ม ตาวาว ปากแดง นมใหญ่เอ่ย ส่ายหน้าน้อยๆ ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กที่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ก่อนสาธิตให้ดูด้วยกิริยาเอาบุญ “ดูนะจ๊ะ กินข้าวน่ะต้องเริ่มตักจากท้ายๆ เข้ามาจ้ะ ตักจากตรงหน้าออกไปแบบนี้ เท่ากับกวาดสิ่งดีๆ ออกจากตัว ลักษณะแบบนี้ทำอะไรก็ไม่ค่อยเจริญนะรู้ไหม”

มินตรานิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วตักข้าวจาก ‘ตรงหน้า’ กินอีกคำ เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยก่อนตอบว่า

“พอดีหนูชอบล่าอาณานิคมน่ะค่ะ” 

“พี่ภูมินี่เขาคุยสนู้กสนุกนะยายมิ้น” รชยาซึ่งตอนนี้คงเลือกข้างเรียบร้อยแล้วพูดขึ้น เพราะหลังออกจากร้านอาหารหญิงสาวก็ยังคุยจ้อไม่ยอมหยุด

“สนุกไปคนเดียวเถอะ ไม่เห็นเหรอไงแฟนเขามองฉันอย่างกับเป็นงูเป็นตะขาบ”

“พี่ภูมิเขาแนะนำว่าคุณพิมประกายนั่นเป็นแค่เพื่อนร่วมงานไม่ใช่เหรอ”

“โอ๊ย ยายรช” มินตราทำเสียงแหลมอย่างอดไม่อยู่ “ปกติเธอน่ะฉลาดกว่าฉันทุกอย่าง ทำไมเจออีตานั่นแป๊บเดียวไอคิวลดลงขนาดนี้ เพื่อนรวมงานกะผีน่ะสิทำตัวติดกันอย่างกับแฝดสยาม ไม่เห็นเหรอ แม่นั่นแทบจะเอาปากกามาเขียนไว้บนหน้าผากพี่ภูมิของเธอว่า จอง!”

รชยาไม่เถียงเพราะของมันเห็นๆ กันอยู่ เพียงแต่ฝ่ายชายไม่มีท่าทีอะไรพิเศษตอบนี่สิ คนเราถ้าคบหากันเป็นแฟนก็คงเห่อและอยากอวดเป็นธรรมดา แล้วพิมประกายคนสวยก็สวยจริง เอาอกเอาใจเก่งจริง อย่างน้อยๆ ถ้าสองคนนั่นมีอะไรลึกซึ้งต่อกัน ฝ่ายชายก็น่าจะมีปฏิกิริยามากกว่านี้ รชยาเชื่อเช่นนี้ก็เพราะท่าทีของภูมิที่เธอเห็น แทบไม่ต่างกับมินตราคนสวยเวลาถูกผู้ชายเอาอกเอาใจ แต่แม่คุณไม่คิดหลงใหลได้ปลื้ม หรืออยากสานสัมพันธ์อะไรด้วยนั่นแหละ

“แต่เขาก็ใจดีอุตส่าห์เลี้ยงข้าวพวกเรา ฉันว่าคงจะมีกะตังค์ทีเดียว”

“เฮอะ ก็แค่วางท่าไปอย่างนั้นแหละ แล้วถึงจะเป็นเศรษฐีก็แค่เศรษฐีบ้านไร่ จะมีเงินถุงเงินถังแค่ไหนกันเชียว เธอไม่รู้ละสิ บ้านตานั่นเขาปลูกมันปลูกข้าวโพด ทำสวนผลไม้ เลี้ยงไก่ แหม ร้วยรวย”

“ทำเป็นพูดไปนะยายมิ้น งานเกษตรพวกนี้อาจจะหนัก แต่ผลตอบแทนน่ะไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ นี่เพื่อนพ่อฉันเองก็ทำฟาร์มไก่ แกส่งลูกเรียนจบดอกเตอร์ทั้งสามคน แกอย่าเพิ่งไปตัดสินคนแค่ภายนอกเลย เอ่อ เมื่อกี้แกหยิบนามบัตรพี่เขามาไหม”

“เอามา” หญิงสาวตอบรวนๆ เพราะตอนจะลุกจากโต๊ะ เธอคิดจะแสร้งทำเป็นลืม แต่ภูมิราวกับนกรู้ สุดท้ายเลยต้องยัดนามบัตรลงกระเป๋ามาด้วย “ถ้าชื่นชมกันขนาดนั้น แกเอาไปเลยไหมล่ะ”

“ไม่เอ๊า เขาให้แก จะมาให้ฉันต่อทำไม เอาน่ามิ้น เขาก็ไม่ได้ดูแย่อะไร ทำไมแกตั้งป้อมกับเขานัก อีกอย่างฉันว่าหลังจากนี้ก็คงไม่ได้เจอหน้าเขาอีกแล้วละ”

มินตรายังคงหน้าบูด ก็ไม่เชิงว่ารังเกียจเดียดฉันท์อะไร แต่เธอไม่อยากยุ่งกับผู้ชายที่ทำท่า ‘หมายหัว’ ตัวเองแบบนี้ มันรู้สึกไม่ปลอดภัย ที่สำคัญเธอไม่ชอบเป็นไก่ให้หมาตัวไหนมาหยอก หวังว่าจะเป็นอย่างที่รชยาพูดจริงๆ ขออย่าให้ต้องมาเจอะมาเจอกันอีกเลย สาธุ!

มินตราที่เตรียมตัวไปมหาวิทยาลัยเพิ่งลงมาร่วมโต๊ะอาหาร บนโต๊ะมีชามข้าวต้มซึ่งบิดาและมารดาคงรับประทานไปก่อนแล้ว เพราะตอนนี้อดิรุจซึ่งแต่งตัวพร้อมไปทำงานกำลังจิบกาแฟที่เหลืออยู่

“ว่าไงมิ้น กินข้าวต้มก่อนไหมลูก” ผู้เป็นพ่อชวน

“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวมิ้นไปหาอะไรรองท้องทีหลังก็ได้ เดี๋ยวจะสายเปล่าๆ” มินตราก้มลงหอมแก้มพ่อกับแม่คนละที และเพิ่งสังเกตว่าอนงค์อรไม่ได้สวมเสื้อผ้าสำหรับออกไปทำงาน “วันนี้ไม่เข้าออฟฟิศหรือคะแม่”

“วันนี้แม่หยุดน่ะ นานๆ ได้พักผ่อนบ้างก็ดี”

“ดีค่ะ” มินตราเห็นด้วย “เสียดายจังวันนี้มิ้นคงกลับช้าหน่อย เพราะมีนัดรวมกลุ่มทำงานกับเพื่อน ไม่งั้นจะรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อน”

“มีงานกลุ่มด้วยหรือลูก” อดิรุจถาม วางถ้วยกาแฟลงแล้วหยิบเสื้อนอกขึ้นสวม “วันนี้พ่อเองก็มีประชุมสรุปงานกลับดึกเหมือนกัน คุณอยู่คนเดียวได้นะคุณอร”

คำถามของสามีทำให้อนงค์อรเงียบไปเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรผิดสังเกต

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่ได้”

อดิรุจยักไหล่ก่อนออกจากบ้านพร้อมลูกสาว

เอาเข้าจริงๆ ดูเหมือนงานจะเสร็จเร็วกว่าที่คิด มินตราออกจากบ้านเพื่อนซึ่งใช้เป็นที่ประชุมกลุ่มตอนยังไม่หกโมงเย็นด้วยซ้ำ แม้เจ้าบ้านจะเชื้อเชิญให้อยู่กินอะไรเสียก่อนค่อยกลับ แต่มินตรากับเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ค่อนข้างไกลขอตัวกลับก่อน เจ้าของรถตระเวนส่งเพื่อนทีละคน มินตราขอลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เพราะเห็นว่ายังพอมีเวลาและจำได้ว่าร้านมันหวานที่อนงค์อรชอบเปิดบูทใกล้ๆ นี้ เลยตั้งใจจะแวะซื้อก่อน ระหว่างที่ชะเง้อชะแง้รอแท็กซี่อยู่นั้น สายตาหญิงสาวก็สะดุดเข้ากับรถเก๋งคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าตึกซึ่งเป็นอะพาร์ตเมนต์ รถคันนั้นเหมือนรถของพ่อไม่มีผิด และยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อรถแล่นผ่านไป โชว์เลขทะเบียนท้ายรถให้เห็นเด่นหรา

พ่อมาทำอะไรที่นี่ ก็ไหนบอกว่ามีประชุม... หญิงสาวก้มมองนาฬิกา สัญญาณไม่ดีนั่นทำให้มินตรารีบข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้าม แต่พอเธอจะผ่านรั้วด้านนอกเข้าไป ยามที่เฝ้าอยู่ในป้อมเล็กๆ ก็รีบโผล่มาขวางทันที

“มาหาใครครับคุณ”

“ฉัน...” มินตราที่ยังมึนๆ อยู่พยายามดึงสติตัวเอง “เอ่อ คุณรู้จักเจ้าของรถที่วิ่งเข้าไปเมื่อครู่นี้หรือเปล่าคะ”

ยามนิ่วหน้าแล้วมองไปยังทางที่รถเพิ่งแล่นผ่านไป “ก็ต้องรู้จักสิครับ เขาพักอยู่ที่นี่”

“ไม่จริง เขาจะพักอยู่ที่นี่ได้ยังไง คุณมั่วหรือเปล่า”

“โธ่ ผมเป็นยามที่นี่มาหนึ่งปีแล้วนะครับ ใครเข้าใครออก หน้าใหม่หน้าเก่าผมจำได้หมดแหละ รถเมื่อกี้ก็รถคุณอดิรุจ เพิ่งเข้ามาเช่าได้สักสองเดือนนี่เอง” ผู้พูดเห็นหน้าซีดๆ ของหญิงสาวกับสายตาที่เดาไปว่าทางนั้นคงไม่เชื่อ จึงเสริมข้อมูลเพิ่ม “อย่ามาทำหน้าเหมือนผมโกหกสิ คุณโฉมฉายเมียแกที่พักอยู่ข้างบน ยังทักทายกันบ่อยๆ เลย”

เท่านั้นมินตราก็รู้สึกหน้ามืดราวกับจะเป็นลม หญิงสาวเซแซ่ดๆ ไปข้างหลัง โชคดีว่ามือหนึ่งคว้าที่ยึดไว้ทัน และยามเข้ามาจับแขนอีกข้างไว้

“อ้าว เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ”

“มะ ไม่...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น