2
พรหมลิขิตหรือแค่บังเอิญ
ภายในออฟฟิศขนาดกะทัดรัดที่ถูกสร้างขึ้นเฉพาะกิจของบริษัทเลิศทรัพย์ไพศาลอยู่ในบรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศมือสองที่ครางหึ่งๆ ให้ได้ยินเป็นครั้งคราว พนักงานทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างคร่ำเคร่ง และไม่มีทีท่าว่าจะมีใครลุกออกจากที่นั่งประจำตำแหน่ง แม้ตอนนี้จะล่วงเลยเวลาเลิกงานไปนานมากโขแล้วก็ตาม
“พวกมึงไม่คิดจะพูดอะไรกันเลยเหรอ แม่งเงียบอย่างกับป่าช้า” ก่อเกียรติเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ทว่าวิศวกรเพื่อนร่วมงานที่มีอยู่ทั้งหมดสี่ชีวิตกลับเพียงส่ายศีรษะและก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
“ทำงานเหนื่อยๆ แบบนี้กูว่าเราควรจัดนะ หรือพวกมึงว่าไง”
และเหมือนว่าครั้งนี้จะได้ผล เพราะทุกคนหันมาสนใจเขาเป็นตาเดียว
“ผมรอคำนี้มานานแล้วเฮีย” พัฒน์เอ่ยขึ้นพร้อมไถเก้าอี้ไปนั่งข้างวิศวกรรุ่นพี่ เช่นเดียวกับเสกข์ที่ชูนิ้วโป้งเห็นดีเห็นงามกับคำพูดเพื่อน
“มึงว่าไงเตอร์”
“เฮียยังจะถาม อย่างไอ้เตอร์น่ะเหรอมันจะเซย์โน” พัฒน์ว่าอย่างรู้ใจ ทำงานด้วยกันมาหลายปี มีหรือเขาจะไม่รู้จักอีกฝ่าย
“ทำเป็นรู้ดีนะมึง”
“หรือมึงไม่เอา” อีกฝ่ายท้า
“ถ้าเฮียไม่ชวน กูนี่แหละจะเป็นคนเปิดเอง” อธิชเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“กูว่าแล้วไง”
“ไอ้ป๋อ” อธิชเอ่ยเรียกมือขวา
“ครับพี่เตอร์”
“ไปจัดมาซิมึง” อธิชยื่นธนบัตรฉบับละหนึ่งพันบาทไปตรงหน้าปรวุฒิ แต่อีกฝ่ายกลับทำสีหน้างงงวยเสียอย่างนั้น “มึงสงสัยอะไร”
“คือผมไม่เข้าใจว่าจัดมาของพี่เตอร์คืออะไร รบกวนขยายความคำว่าจัดมาให้หน่อยได้ไหมครับ”
เพียงชายหนุ่มผู้ตามไม่ทันเอ่ยจบประโยค ทุกคนในออฟฟิศก็ถอนหายใจออกมาเพราะความไร้เดียงสาของเด็กใหม่ ก่อนจะเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ไอ้ป๋อ...”
“มึงไม่ได้ถามเพราะอยากกวนตีนกูใช่ไหม” คนที่ถูกขอคำอธิบายเพิ่มเติมถามอย่างไม่แน่ใจ
“ผมจริงจังนะครับ”
“ไอ้เหี้- หน้าแม่งโคตรจริงจัง” พัฒน์แทบหลุดขำเมื่อเห็นความจริงจังบนหน้าเด็กใหม่
“มึงไปเทรนเด็กใหม่หน่อยซิเสกข์ ดูท่าไอ้เตอร์จะยังไม่สอนวิชา” ก่อเกียรติวานลูกน้อง
“มึงนี่น้า เกียรตินิยมไม่ได้ทำให้มึงทันสถานการณ์เลยจริงๆ”
เสกข์ส่ายหน้าอย่างขำขันปนเอ็นดู ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาปรวุฒิและโอบบ่าพาเดินออกไปจากออฟฟิศ ตลอดทางเดินไปยังซูเปอร์มาร์เกตก็พร่ำสอนธรรมเนียมการผ่อนคลายเวลาเครียดกับการทำงาน ซึ่งประโยคที่ได้ยินจากปากเด็กใหม่ก็มีแต่คำว่า ‘มีแบบนี้ด้วยเหรอครับ’ ตลอดทาง
...
บนโต๊ะตัวยาวสีขาวที่มีเอกสารและแบบแปลนของอาคารวางอยู่ ถูกแทนที่ด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และมิกเซอร์หลากหลายชนิด บรรยากาศที่เคยเงียบสงัดจนได้ยินแต่เสียงครางของเครื่องปรับอากาศเปลี่ยนมาเป็นคึกคักด้วยเรื่องเล่าไม่ซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นบทสนทนาหลักก็ยังเป็นเรื่องงาน
“เอาหน่อยไหมป๋อ”
พัฒน์ชูแก้วพลาสติกในมือที่มีเครื่องดื่มสีเหลืองอ่อนขึ้นตรงหน้านักศึกษาจบใหม่
“ผมดื่มโค้กดีกว่าครับ” ปรวุฒิชูแก้วน้ำอัดลมในมือตัวเองขึ้น
“มึงไม่ต้องทำหน้าแปลกใจแบบนั้นหรอก” ผู้เป็นวิศวกรรุ่นใหญ่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของพนักงานน้องใหม่ “การดื่มสังสรรค์มันก็ต้องมีบ้างเป็นครั้งคราวไป ทำงานเหนื่อยๆ ก็ต้องมีผ่อนคลายกันบ้าง แล้วที่นั่งดื่มกันแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเสียงาน เพราะพวกเราก็ยังคุยงานกันปกติ”
“ที่อื่นเป็นไงกูไม่รู้นะ แต่ที่นี่...” พัฒน์ผู้ที่ทำงานกับเลิศทรัพย์ไพศาลมาตั้งแต่เรียนจบชี้นิ้วลงพื้นแล้วเอ่ยต่ออย่างคนมีประสบการณ์ “...เป็นแบบนี้”
“หมายถึงทำงานหนักแบบนี้?” เสกข์ถาม
“ขี้เหล้าแบบนี้ต่างหากโว้ย โดยเฉพาะเฮียก้อ!”
สองหนุ่มเอ่ยท้ายประโยคอย่างพร้อมเพรียงและแท็กมือกันอย่างถูกอกถูกใจ
“เข้ากันดีเชียวนะพวกมึง” คนถูกรุมแยกเขี้ยวใส่ แต่ปกติแล้วไม่เพียงแค่สองหนุ่มที่หยอกล้อเขาอย่างไม่เกรงกลัว ต้องมีอธิชที่คอยร่วมวงแจมด้วยอีกหนึ่ง ทว่าวันนี้คนหลังกลับเงียบผิดปกติ ไม่แม้แต่ได้ยินเสียงพูดหรือบ่นอะไร “มึงดูเงียบผิดปกตินะเตอร์ กูใช้งานมึงหนักไปเหรอ”
ก่อเกียรติเอ่ยประโยคหลังอย่างไม่จริงจังนัก เพราะไม่ใช่แค่อธิชที่งานหนัก แต่วิศวกรประจำไซต์งานนี้ทำงานหนักกันทุกคน แม้จะเป็นโครงการไม่ใหญ่และใช้วิศกรประจำไซต์เพียงห้าคน ไม่มีแม้แต่โฟร์แมนคุมงาน ถึงอย่างนั้นก็มีรายละเอียดยิบย่อยมากมายให้น่าปวดหัวเช่นกัน
“เปล่าเฮีย” อธิชส่ายหน้าพร้อมยกแก้วในมือขึ้นดื่ม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อในหัวมีเรื่องให้คิดไม่ตก “มีอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะ”
“เรื่องงานเหรอครับ” ปรวุฒิถามด้วยความร้อนรน เพราะกลัวตนเองจะทำตามที่อธิชสั่งได้ไม่ดี
“เปล่า” อธิชส่ายหน้า ตบบ่าคนขี้กังวลอย่างให้กำลังใจ “มึงทำงานได้ดี แล้วกูก็ไม่ได้เครียดเรื่องงาน”
“มึงมีแฟน?” เป็นพัฒน์ที่ถามและตั้งข้อสงสัย “จากประสบการณ์ผู้เชี่ยวชาญอย่างกู มองปราดเดียวก็รู้ว่ามึงไม่ได้เครียดเรื่องงาน แต่กำลังเครียดเรื่องผู้หญิง”
“พวกมึงเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม” อธิชปรายตามองทุกคน โดยไม่ปฏิเสธเพื่อนว่าตัวเองกำลังคิดเรื่องผู้หญิงอยู่จริงๆ
“พวกมึงที่ว่านี้...รวมถึงกูด้วยไหมวะ” ก่อเกียรติชี้เข้าที่หน้าตัวเอง
“เฮียด้วยนั่นแหละ”
“กูรวมอยู่กับ ‘พวกมึง’ ของมึงด้วยสินะ”
“เฮียแม่งก็ขี้ใจน้อยว่ะ” เสกข์ว่าขำๆ ก่อนจะหันไปสนใจเพื่อน “สาวที่ไหนทำมึงเพ้อเรื่องพรหมลิขิต”
“กูก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร”
“อ้าว!” ทุกคนที่รอฟังอุทานมาพร้อมกันอย่างมีส่วนร่วม
“ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็จริง แต่บังเอิญเจอกันมาสามครั้งแล้ว” อธิชชูนิ้วประกอบจำนวนครั้ง “แถมมีเรื่องน่าตลกคือดันอยู่คอนโดเดียวกัน แล้วคิดดูนะ ในคอนโดมีคนอยู่เยอะจะตายห่า เคยเดินสวนกับใครเกินหนึ่งครั้งไหม”
ทุกคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“หรืออาจจะเคยเดินสวนกันหลายครั้ง แต่จะจำได้ไหมล่ะ”
เป็นอีกครั้งที่ทุกคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ก็ใช่ไหมล่ะ”
“ใครจะไปจำหน้าคนที่เดินสวนได้ทุกคนวะ ขนาดยามหน้าคอนโดเจอแทบทุกวัน กูยังจำหน้าเขาไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับเพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้จักกัน” เสกข์ว่า
“เขาทำให้มึงประทับใจขนาดนั้นเชียว?” ก่อเกียรติถามบ้าง นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่อธิชเอ่ยถึงผู้หญิงกับเพื่อนร่วมงาน ปกติในหัวชายหนุ่มมีแต่เรื่องงานเป็นหลัก นานๆ ทีจะมีเรื่องผู้หญิงมาเป็นหัวข้อสนทนา แต่ไม่เคยมีครั้งไหนดูจงใจเท่าครั้งนี้มาก่อน
อธิชนึกถึงสายตาที่พร้อมจะฆ่าคนได้ของหญิงสาวแปลกหน้าในวันที่เจอหน้ากันครั้งแรกที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า ไหนจะคำต่อว่าต่างๆ นานาที่เขาแทบจับใจความไม่ได้
“ดูท่าจะประทับใจมาก ถึงกับพูดไม่ออกเชียว”
“เจอหน้ากันครั้งแรกถูกด่าว่าจอดรถได้ควายมาก คิดว่ามันน่าประทับใจไหมล่ะเฮีย”
“โคตรประทับใจเลยว่ะ” พัฒน์หัวเราะชอบอกชอบใจ ต่างจากเจ้าของเรื่องที่ทำหน้าแหยง
“ประทับใจกับผีน่ะสิ” อธิชว่า ก่อนจะเล่าต่อ “ครั้งที่สองก็บังเอิญเจอกันหน้าลิฟต์ที่คอนโด แต่เจ้าหล่อนก็รีบกดปิดประตูหนีเหมือนกลัวกูจะไปปล้น ครั้งที่สามก็เจอร้านข้าว นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน แต่ก็ทำเหมือนกูเป็นฝุ่นพีเอ็มสองจุดห้า”
“สรุปแล้วปัญหาของมึงคืออะไร ฟังมาถึงตรงนี้กูก็ยังไม่เข้าใจ นอกจากความน้อยอกน้อยใจที่เขาไม่เห็นหัวมึง” พัฒน์กอดอกถามน้ำเสียงจริงจัง
“หรือมึงคิดว่าสามครั้งที่เจอกันเป็นเพราะพรหมลิขิตที่สวรรค์สร้างเขาให้มาเจอกับมึง คู่สร้างคู่สมที่พระพรหมจัดให้” ก่อเกียรติเดา เพราะชายหนุ่มได้เกริ่นเรื่องพรหมลิขิตขึ้นมาก่อนหน้านี้
“ผมไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต”
“แล้วมึงจะเกริ่นนำเพื่อ?” ก่อเกียรติมองค้อน
“เฮียคิดว่าเรื่องที่ผมเล่าไปเป็นพรหมลิขิตหรือแค่เรื่องบังเอิญ”
“อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือพรหมลิขิต อยู่ที่มึงจะเลือกให้มันเป็นเรื่องไหน”
อธิชนึกตามคำพูดของก่อเกียรติ การบังเอิญเจอใครเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่ใครๆ ก็พานพบ แต่มันไม่ปกติสำหรับเขาเมื่อบังเอิญเจอผู้หญิงคนเดิมมาสามครั้งติด เขาไม่ใช่คนที่จะจำหน้าใครได้ขึ้นใจ จึงอดแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ได้
แต่ก็นั่นละ เขาอาจจะจำเธอไม่ได้เลยหากการเจอกันครั้งแรกไม่มีความพิเศษ ‘จอดรถได้ควายมาก’ ประโยคนี้ที่ทำให้เขาลืมเธอไม่ลง ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นบางทีก็อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเรื่องหนึ่ง
“เธอสวย?” พัฒน์ถามเมื่ออธิชดูคิดไม่ตกกับเรื่องนี้
“ก็น่ารักดี” คนถูกถามตอบตามตรง
“มึงจะจีบ?”
เพียงแค่ได้ยินคำถามของเพื่อน มุมปากหยักก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ ยามนึกถึงเรื่องราวครั้งล่าสุดที่เจอหญิงสาว
‘แต่ถ้าบังเอิญมีครั้งที่สี่ ผมจะจีบคุณ!’
เขาประกาศกร้าวเสียงดังฟังชัดขนาดนั้นไม่มีทางที่เธอไม่ได้ยินแน่นอน ตอนนั้นยอมรับว่าพูดไปเพียงเพราะหมั่นไส้ที่เจ้าหล่อนมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินว่าจะไม่มีความบังเอิญครั้งที่สี่เกิดขึ้น ทว่าตอนนี้เขากลับไม่คิดแบบนั้น
“ถ้าเจอเขาครั้งที่สี่ กูจีบแน่”
จีบจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดเล่น
“ก็แค่เนี้ย ประเด็นของมึงอยู่แค่ตรงนี้เนี่ย” พัฒน์ว่าระคนหมั่นไส้ ทั้งที่ก็มีคำตอบอยู่ในใจตัวเองแล้วแท้ๆ ยังจะทำเป็นถามความคิดเห็น
“เออ! จะมานั่งถามหาพรหมลิข่งพรหมลิขิตเพื่อ?” เสกข์สนับสนุนคำพูดเพื่อน
‘อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือพรหมลิขิต อยู่ที่มึงจะเลือกให้มันเป็นเรื่องไหน’
ตอนนี้เขาเลือกให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่หลังจากนี้เป็นต้นไปเขาจะเป็นคนลิขิตเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง
เขาไม่เชื่อใน ‘พรหมลิขิต’ แต่เชื่อใน ‘ผมลิขิต’
‘ผม’ ที่ชื่อ ‘อธิช เลิศทรัพย์ไพศาล’ คนนี้นี่ละ
ความคิดเห็น |
---|