๔
ค่ำคืนไร้ความฝัน
หนึ่งสัปดาห์ได้แล้วที่ญามีอาไม่ฝัน แม้กระทั่งวูบหลับบนรถนานหลายชั่วโมงก็ไม่มีความฝันใดๆ แทรกเข้ามารบกวนในห้วงนิทรา ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกลัวว่าเธอจะค้นพบความจริงอันเร้นลับก่อนเวลาอันควร...
ความจริงที่ดำมืดและไร้ทิศทาง ความจริงที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะค้นพบเพื่ออะไร หรือความจริงนั้นกำลังต้องการสิ่งใดจากผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นเธอ
ญามีอาก้าวลงจากรถบรรทุกทหาร ภายนอกคลุมด้วยผ้าใบสีเขียวแก่ซึ่งกันได้ทั้งแดด ลม ฝน เพราะต้องการมาตาลูลา รัฐอิสระที่ระยะนี้ปิดประเทศเนื่องจากสงครามทางการเมือง บิดาจึงจัดการให้เธอร่วมทางมากับคณะทหารสมทบ กองหนุนที่สิบสอง เดินทางออกจากทางเหนือของไทยตอนเช้าตรู่ เข้าสู่เขตตาลูลาช่วงสาย และถึงที่หมายซึ่งเป็นค่ายทหารตอนบ่ายแก่ๆ
หญิงสาวยืนอย่างมั่นคง กวาดมองพื้นที่ราวๆ สามไร่ของค่ายทหาร มีเต็นท์โล่งสองหลังใหญ่เป็นศูนย์อำนวยการอยู่ด้านหน้า ข้างๆ ยาวไปจนสุดด้านหนึ่งตั้งกระโจมหลังน้อยใหญ่ลดหลั่นไปตามความเหมาะสม คาดด้วยสายตาก็น่าจะเป็นที่พักของทหารประจำการในค่าย
ถัดจากกระโจมไปทางฝั่งซ้าย มีเต็นท์โล่งตั้งเด่นเบื้องหน้า เบื้องหลังมีกระโจมขนาดเท่าๆ กันสามหลัง ภายในเต็นท์ดูจะวุ่นวายเล็กน้อย มีคนเดินไปเดินมาอยู่ไม่น้อยกว่ายี่สิบคน หลายคนในนั้นสวมปลอกแขนสัญลักษณ์แพทย์สีแดงตรงแขนซ้าย บอกสถานะหน้าที่ในการปฏิบัติงาน
ก่อนมาบิดาบอกเธอไว้ว่า ถึงช่วงนี้จะไม่มีการสู้รบเช่นที่ผ่านมา แต่ข่าววงในก็ประกาศชัดว่าผู้นำกลุ่มกบฏจอเลอทู๖ หลบหนีการจับกุมไปได้ ทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ ค่ายทหารจึงตื่นตัวและเตรียมพร้อมรับมืออยู่ตลอด เพราะเริ่มมีการสร้างสถานการณ์กับประชาชนตามหมู่บ้านแถบชายแดนแล้ว ถึงกับมีข่าวลือว่าเป็นการสั่งการของผู้นำกลุ่มกบฏ เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีและชื่อเสียง จากความอัปยศอันสิ้นท่า ย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อสองเดือนก่อน
ค่ายทหารที่เธอกำลังยืนอยู่นี้ก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่ถูกเพ่งเล็งและเพิ่งเกิดเหตุระเบิดเมื่อสามวันก่อน จึงต้องส่งกองหนุนมาสมทบเพื่อสังเกตการณ์และป้องกัน การมาครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ญามีอาเป็นแพทย์เพียงคนเดียว ยังมีทีมแพทย์และพยาบาลจากหน่วยแพทย์อาสาร่วมเดินทางมาด้วยอีกสี่ชีวิต ในสี่นั้นมีแพทย์หญิงด้วยอีกหนึ่งคน
“ทีมแพทย์เชิญรวมตัวกันฝั่งโน้นนะครับ หัวหน้าทีมรอทุกคนทางด้านโน้นแล้ว” ทหารคนหนึ่งซึ่งร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ด้วยบอกกล่าว
ทีมแพทย์ทุกคนต่างขานรับด้วยคำขอบคุณพร้อมกับหิ้วสัมภาระของตนเองก้าวไปตามทิศทางที่ทหารคนนั้นแจ้งไว้ ตรงเต็นท์อำนวยการของหน่วยแพทย์ที่ดูค่อนข้างวุ่นวาย แต่เมื่อพวกเธอเดินเข้าไปถึง แพทย์อาวุโสคนหนึ่งก็ปลีกตัวมาต้อนรับ
“วันนี้ค่อนข้างยุ่ง เดี๋ยวจะให้คนพาไปดูที่พัก และพักผ่อนกันไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันว่าใครจะต้องทำอะไร”
แพทย์อาวุโสรับไหว้แพทย์รุ่นลูก บอกกล่าวสิ่งที่ต้องทำในวันนี้คร่าวๆ ก่อนจะให้แพทย์หนุ่มอีกคนมารับช่วงต่อดูแลทีมแพทย์มาใหม่
แพทย์หนุ่มคนนี้มีนามว่า 'กิจจา' เป็นแพทย์รุ่นพี่ญามีอาถึงห้าปี เขาแนะนำตัวกับทีมแพทย์ใหม่ด้วยความเป็นมิตร ก่อนจะพาทุกคนไปดูรอบๆ สถานที่และพาไปยังที่พัก โดยให้แพทย์หญิงทั้งสองคนพักในกระโจมเดียวกันกับแพทย์หญิงอีกคนที่พักอยู่ก่อนหน้า ส่วนนายแพทย์อีกสองคนและบุรุษพยาบาลอีกคนพักด้วยกันอีกหนึ่งกระโจม
ด้วยสถานการณ์ หน่วยแพทย์จึงไม่แบ่งชั้นวรรณะ ไม่มีการแบ่งแยกที่พัก ทุกคนมีตำแหน่งเทียบเทียมกัน ต่างเพียงภาระหน้าที่ตามวิชาชีพและความรู้ความสามารถเท่านั้น
“พี่ขออาบน้ำก่อนนะ อากาศเย็นก็จริงแต่ฝุ่นเยอะ รู้สึกเหนียวตัว” พอเข้าที่พัก แพทย์หญิงที่เดินทางมาด้วยกันก็เอ่ยขอ เพราะห้องน้ำมีห้องเดียว
ญามีอาซึ่งไม่ได้อยากทำธุระส่วนตัวใดๆ พยักหน้า “ตามสบายค่ะ หนูว่าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
ที่นี่อากาศดี ถึงจะเย็นไปหน่อย แต่เพราะเคยชินกับอากาศต่างประเทศที่เย็นกว่าไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกเลวร้าย สำหรับเธอมันกำลังสบาย
“เขาว่าอาหารมื้อเย็นจะเริ่มห้าโมงครึ่ง อย่าลืมล่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ความห่วงใยเล็กๆ ที่เพื่อนใหม่หยิบยื่นให้ เพียงพอให้ญามีอายิ้มกว้าง
หลายคืนที่ไม่ถูกทำร้ายด้วยความฝันทำให้เธอผ่อนคลาย แต่ลึกๆ มันกลับดึงเอาความสงบสุขบางอย่างของเธอไป ทำให้เหมือนในอกโหวงเหวงว่างเปล่าชอบกล
หญิงสาวย่ำเท้าไปด้านหน้าช้าๆ พลางครุ่นคิดถึงความตั้งใจที่มาที่นี่ นอกจากต้องการช่วยคน เธอยังต้องการหาโอกาสรู้จักคู่หมาย ได้ยินมาว่าตาเนซามาที่ค่ายนี้บ่อยครั้ง เนื่องจากเคยเป็นฐานที่มั่นชั่วคราวตอนเกิดสงครามกบฏจอเลอทู เธอจึงตั้งใจเลือกที่นี่ทั้งที่บิดาเห็นว่าอันตราย เพราะมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะได้เจอเขามากกว่าพื้นที่อื่นๆ
แต่เธอจะเสียเวลาเปล่าไหมนะ
ถ้าเขาไม่ได้มาที่นี่เลยตลอดเวลาที่เธอเป็นแพทย์อาสาล่ะ...
“มะ...หมอ หมอ ช่วยหน่อยครับ ช่วยหน่อย!”
ยังไม่ทันให้คำตอบตัวเอง เสียงเรียกจากเบื้องหน้าก็ดึงญามีอาออกจากความคิด หญิงสาวหันซ้ายแลขวาเพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลที่ถูกเรียกคือตัวเองหรือไม่ เพราะตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวยังไม่มีอะไรที่สามารถบ่งบอกได้เลยว่าเธอเป็นแพทย์คนหนึ่ง ทว่าบริเวณนี้ก็ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากเธอ
“ได้ค่ะ” คนร่างเล็กขานรับและวิ่งไปทางต้นเสียง ที่เธอสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอเป็นหมอถูกเฉลยในนาทีต่อมา เจ้าของเสียงที่เรียกเธอคือกิจจา แพทย์หนุ่มที่พาดูสถานที่ก่อนหน้านี้นั่นเอง “เกิดอะไรขึ้นคะรุ่นพี่”
ญามีอาบีบแอลกอฮอล์ล้างมือและคว้าถุงมือตรงโต๊ะมาเตรียมพร้อมโดยไม่ต้องมีใครบอก
“ผมได้รับแจ้งว่ามีรถตกผา ไม่ทราบสถานการณ์ ผมกำลังจะไปดูที่เกิดเหตุ ต้องการผู้ช่วย” กิจจาตอบระหว่างสาละวนหยิบข้าวของใส่เป้สนาม “คุณหมอสะดวกไปกับผมหรือเปล่า”
“ค่ะ ฉันสะดวก” ญามีอาไม่เพียงตอบรับโดยไม่ต้องคิด เธอยังขยับเข้าไปช่วยเช็กเป้สนามอีกใบที่รุ่นพี่ส่งมา “ญามีอาค่ะ รุ่นพี่เรียกมีอาเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณหมอ”
“กิจ เรียกพี่กิจได้เลย”
ช่วงเวลาแสนสั้นที่ต่างคนต่างจัดเตรียมสิ่งของ ไม่มีใครมองใคร ปล่อยให้ถ้อยคำง่ายๆ ลดช่องหว่างระหว่างเพื่อนร่วมงานใหม่ให้แคบลง
“รถอยู่ทางนั้น เราต้องไปพร้อมพวกทหาร”
กิจจาชี้รถกระบะสี่ประตูสีดำปลอด ญามีอาวิ่งตามเขาไปติดๆ
ไม่นานทหารก็พาแพทย์ทั้งสองมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นถนนเลียบผาคดเคี้ยวและอันตราย
“โห...”
ญามีอาถึงกับอุทาน สถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่เธอจินตนาการไว้มาก คำว่า 'ผา' ของรุ่นพี่ ไม่ใกล้เคียงกับความจริงที่เป็นถึง 'เหวลึก' เบื้องหน้านี้เลย
“มีอารออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวพี่จะลงไปดูด้านล่างกับทหาร”
ญามีอาเพิ่งได้สังเกตว่า ทหารที่ว่าเป็นชายหนุ่มล่ำสัน ร่างสูง แผงอกกว้างและคงจะหนั่นแน่นสุดๆ เครื่องแบบที่เขาสวมแนบเนื้อ อวดกล้ามอกนูนเด่น กระดุมเม็ดหนึ่งตึงแน่น อีกเม็ดไม่ได้ติด จึงเห็นผิวสีแทนเส้นขนเลือนราง ชวนให้คนมองหายใจลำบาก
บ้าจริง!
ใช่เวลาคิดอกุศลเหรอ!
ญามีอาก่นด่าตัวเองเจ็บแสบพอให้ถอนสายตาจากทหารหนุ่ม ซึ่งไม่ได้สนสายตาล่อกแล่กซอกแซกของเธอแต่อย่างใด หญิงสาวหันไปจดจ่อกับวิธีที่กิจจากำลังจะใช้ลงไปยังที่เกิดเหตุกับทหารนายนั้น ซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง
“เราจะโรยตัวลงไป เพื่อตรวจดูว่ามีผู้รอดชีวิตหรือไม่ มีผมและหมอกิจ ที่เหลือรอฟังคำสั่ง” ทหารนายนั้นแจงรายละเอียดด้วยน้ำเสียงแน่วนิ่ง ทั้งสุขุมและเปี่ยมไปด้วยอำนาจ
ญามีอาไม่รู้ว่าเขามียศอะไร แต่ทุกคนที่เดินทางมาด้วยกันไม่มีใครค้านคำสั่งเขาสักคน
“ข้างล่างทั้งลึกและแคบ หมอกิจรอผมส่งสัญญาณค่อยตามลงไป... เชือกพร้อมไหม!”
“พร้อมครับ!”
“เคลียร์พื้นที่!”
ทหารหนุ่มกระตุกล็อกที่เอวอยู่หลายที เพื่อสำรวจว่าตัวล็อกแน่นหนาดีหรือไม่ ก่อนจะก้าวไปจับเชือกเส้นใหญ่ที่โยนส่วนหนึ่งลงไปข้างล่างแล้วขึ้นมา
“รอบข้างไม่พบสิ่งผิดปกติ ทีมลาดตระเวนล้อมพื้นที่ไว้เรียบร้อยครับ” ลูกน้องคนหนึ่งของเขารายงาน
ทหารคนนั้นพยักหน้า แล้วออกคำสั่งส่งท้ายอีกเพียงคำเดียว
“ไป!”
สิ้นคำนั้น ร่างสูงใหญ่ก็โรยตัวสู่ก้นเหวอย่างรวดเร็ว ญามีอายังไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าฝ่ายนั้นใช้มือหรือเท้าข้างใดเกี่ยวเชือกไว้บ้าง เขาก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว
“เตรียมไฟฉุกเฉิน” นายทหารที่อยู่ด้านบนออกคำสั่ง ชายคนนี้ไม่ได้สูงกำยำเท่าคนที่โรยตัวสู่หุบเหว แต่ก็น่าครั่นครามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ด้วยความที่พื้นที่ปกคลุมด้วยป่ารกชัฏ เวลาจึงไม่สัมพันธ์กับดินฟ้า ความมืดครอบงำเร็วกว่าเข็มบนหน้าปัดนาฬิกา ทีมทหารที่ทำหน้าที่ดูแลความสว่าง รีบติดตั้งอุปกรณ์ ครู่เดียวเสียงมอเตอร์ปั่นไฟก็ดังขึ้น รอบบริเวณที่ถูกครอบงำด้วยความมืดก็สว่างไสวแตกต่างจากพื้นที่โดยรอบ
“พี่ต้องลงไปแล้ว ด้านล่างมีคนรอดชีวิต” กิจจาหันมาบอกแพทย์รุ่นน้อง หลังจากได้รับสัญญาณจากทหารอีกคนที่สื่อสารกับทหารที่ลงไปข้างล่างอยู่ตลอด
ญามีอาพยักหน้า มองเขาถอยไปยืนตรงจุดเดียวกับนายทหารซึ่งโรยตัวไปก่อนหน้าแล้วหายลงไปสู่หุบเหวจุดเดียวกัน ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากทหารคนที่ออกคำสั่งให้เตรียมไฟฉุกเฉิน
“ฉันต้องเตรียมสถานที่สำหรับกู้ชีพผู้บาดเจ็บทันทีที่ถูกดึงตัวขึ้นมา ตรงไหนพอจะใช้ได้บ้างคะ” สถานการณ์ชวนให้ตกใจ แต่ญามีอาก็ครองสติได้ดีและไม่ลืมหน้าที่ตัวเอง
“ทางนี้ครับ” เขาชี้ไปยังจุดที่สว่างที่สุด
ญามีอาพยักหน้า ก้าวไปยังจุดที่เจ้าหน้าที่ชี้ แล้วปลดเป้สนามลงจากหลัง ตรงนี้สว่างที่สุดและเหมาะสมสำหรับการกู้ชีพที่อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเล็กเพื่อช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บ เธอยังไม่ได้เอาอุปกรณ์ใดๆ ออกจากเป้ ทหารคนเดิมก็นำเปลหามลงจากรถมาวางไว้ข้างๆ
ญามีอามองมันแล้วดึงผ้ายางผืนหนึ่งออกจากเป้มาปูบนเปลหาม ก่อนจะดึงอีกผืนมาปูที่พื้น หยิบอุปกรณ์จำเป็นเท่าที่มีทั้งหมดออกมาวางลงไปทีละอย่าง ทั้งยังประกอบสายให้สารน้ำเตรียมพร้อมไว้กับที่แขวนด้วย
“คุณหมอดูคล่องแคล่วจังนะครับ เป็นหมอมานานแล้วเหรอครับ ผมไม่เคยเห็น” ทหารนายเดิมถามเธอ ไม่รู้ว่าเขาชมจริงจังหรือเพียงกลัวเธอจะตื่นเวทีจึงชวนสนทนา
ญามีอาตอบกลับ ขณะยังไม่หยุดมือ “ฉันเป็นแพทย์อาสาที่เพิ่งมาถึงที่นี่วันนี้ค่ะ ตอนเป็น Resident เคสหนักๆ อย่างนี้ก็เคยได้เจอมาบ้างแล้วจึงพอรับมือได้ ไม่ยากอะไร”
การเรียนแพทย์ปกติก็เน้นปฏิบัติการ หลายปีที่เป็นนักศึกษาและเรียนเฉพาะทางก็ไดสั่งสมประสบการณ์มาไม่น้อย หลายครั้งที่ต้องเผชิญกับเคสอุบัติเหตุ ทั้งผู้บาดเจ็บถูกส่งต่อเข้ามาที่โรงพยาบาล หรือกระทั่งเคสหนักๆ ที่จำเป็นต้องออกไปนอกพื้นที่ เธอที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน (Resident) มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือแพทย์เฉพาะทางในการผ่าตัดและดูแลผู้ป่วย บางครั้งยังต้องผ่าตัดเองเพราะแพทย์ไม่เพียงพอ
“มิน่า ผมไม่ค่อยเห็นหมอหญิงเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วมือไม่สั่น” ทหารหนุ่มชื่นชม บางคนยังให้เขาช่วยเตือนด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไร
“สั่นค่ะ แต่ฉันกดมันไว้” เธอไม่ได้กดมันไว้ด้วยการจิกปลายเล็บลงบนมืออย่างที่ใครๆ ชอบทำเพราะมือไม่ว่าง แต่เธอกดมันไว้ด้วยปลายเท้า จิกนิ้วเท้าลงบนพื้นแน่นๆ แทน
ญามีอาเบี่ยงตัวเล็กน้อย ให้เขาเห็นลักษณะการวางเท้าของตัวเอง นายทหารจึงคลี่ยิ้มและพยักหน้าให้
“คุณหมอเท่มากๆ ครับ”
“พวกคุณก็เช่นกันค่ะ” ญามีอายิ้มตอบแล้วบอกความต้องการ “ฉันขอไม้ดามแบบนี้เพิ่มหน่อยสิคะ ไม่แน่ใจว่าคนเจ็บจะมีจุดไหนหักบ้าง ฉันเตรียมมาแค่สองชุด กลัวไม่พอ”
อุปกรณ์สำหรับดามกระดูกถูกส่งให้นายทหารดู อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วออกคำสั่ง ครู่เดียวก็มีคนรับคำสั่งไปทำตาม
“ว. สอง ว. สอง หมอกิจถูกงูกัด ดึงตัวขึ้นไปด่วน!” วิทยุสื่อสารข้างเอวทหารหนุ่มส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือสองครั้งติดๆ
ญามีอาเงยหน้า ทหารคนเดิมก็ลุกไปแล้ว เขาคว้าวิทยุสื่อสารมารับคำสั่ง ก่อนจะสั่งทีมให้ไปเตรียมพร้อมตรงขอบเหว
“หมอถูกงูกัด ดึงตัวขึ้นมา” ทหารทุกนายไม่มีอารามตกใจ พากันคว้าเชือกและพร้อมใจกันนับ “หนึ่ง สอง สาม ดึง...”
นายแพทย์กิจจาก็ถูกดึงขึ้นมาถึงด้านบน ญามีอาวิ่งไปจะปฐมพยาบาล แต่พบว่าที่ขาของรุ่นพี่มีผ้าผูกไว้แล้ว ครั้นจะค้นหาเซรุ่ม เสียงจากวิทยุสื่อสารก็หยุดการกระทำของเธอ
“เป้สนามไม่มีเซรุ่ม ส่งหมอกลับไปที่ค่ายด่วน ส่งหมออีกคนลงมา ตอนนี้ส่งตัวคนเจ็บขึ้นไปไม่ได้!”
“เชิญครับคุณหมอ”
ญามีอาทันคว้าเป้สนามที่เหลือของอยู่ภายในไม่กี่อย่าง แล้วมายืนอยู่บนขอบเหวด้วยการนำของทหารคนเดิม
“เป้หมอกิจอยู่ข้างล่าง หมอไม่ต้องกังวล”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เธอได้ยิน ก่อนจะโรยตัวลงสู่เบื้องล่างอันมืดมิด
เสี้ยวนาทีนั้น ภาพของคนผู้หนึ่งกระโดดจากเครื่องบินก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดอย่างไม่ได้ตั้งใจ เสียงระเบิดกัมปนาทกึกก้องแทรกเสียงครวญของสายลมและเสียงสบถของใครคนหนึ่ง
“นั่นใคร!”
ญามีอาตะโกนท่ามกลางความมืดมิด นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เธอกลับจมดิ่งสู่ความจริงที่เลวร้ายกว่า สองมือเล็กหมดเรี่ยวแรง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ร่างบอบบางร่วงลงสู่หุบเหว
ความคิดเห็น |
---|