12

ตอนที่ 12

 

 หากเขามิได้ตามหาตัวองค์ชายสี่ เช่นนั้นเขามาสืบเรื่องใด...แล้วมาหาใครกันแน่หนอ?

ร้านค้าในตลาดไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักนับตั้งแต่วันที่ข้าอยู่ในวังหลวง ที่ต่างคือสถานะฮูหยินของข้าและเสื้อผ้าเนื้อดีที่สวมใส่ทำให้ใครต่อใครพากันหลีกทางให้ ป้ายหยกสลักถูกผูกไว้ที่เอวโดยหันชื่อสกุลออกมาให้เห็น ชาวบ้านร้านค้าหากใครอ่านหนังสือออกก็รีบก้มคำนับข้าอย่างเกรงอกเกรงใจ ส่วนใครอ่านไม่ออกก็พอจะรู้ได้จากการแต่งตัวของพวกเรา

ข้าเดินเคียงข้างหยางเฟิ่ง มีสององครักษ์เดินขนาบอยู่ด้านหลังและหญิงรับใช้มารยาทงามเช่นเพ่ยเพ่ยคอยติดตามรับใช้ ส่วนคนขับรถม้าหายตัวไปตั้งแต่หยางเฟิ่งสั่งการเรื่องบางอย่างตอนลงจากรถ ข้าเดาว่าคงไม่พ้นเรื่องคนที่เขาตามหาอยู่แน่ จึงปล่อยเรื่องของราชสำนักให้เป็นเรื่องของเขา มิได้เอามาใส่ใจมากมายนัก เวลานี้ข้าเพียงต้องการหาโอกาสกลับไปจวนตนเองเสียมากกว่า

สมองคิดหาวิธี ตามองข้าวของอย่างเพลิดเพลิน ส่วนนิ้วก็หยิบเงินใช้จ่ายอย่างมือเติบ ร้านรวงส่วนใหญ่ที่ข้าเหยียบเท้าเข้าไปล้วนแต่เป็นร้านในฝันทั้งนั้น ผ้าแพร...ของใช้ชั้นดี หรือกระทั่งอาหารเลิศรสที่ไม่เคยได้ลิ้มรสชาติสักครั้ง วันนี้ข้าจึงไม่ลังเลที่จะซื้อหามาหวังนำไปฝากท่านพ่อท่านแม่

ข้าให้เพ่ยเพ่ยแบกของเหล่านั้นจนนางบ่นเป็นพักว่า ในวังมีเหตุใดข้าถึงต้องซื้อสิ่งของมากมายขนาดนี้ ข้าทำหน้าดุใส่ให้นางเดินตามมาเงียบๆ หากถุงเงินเช่นหยางเฟิ่งไม่ห้ามข้า นางก็ไม่มีสิทธิ์ส่งเสียงบ่น

“เดินไม่ถึงสามร้านเจ้ากลับแวะซื้อของไม่หยุดมือ ครั้งหลังออกมานอกวังข้าคงต้องเพิ่มรถม้าใช้แบกของ”

เห็นเขากล่าวล้อเลียน ข้าก็หันไปฉีกยิ้มเจื่อนให้คนข้างตัว ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไม่ให้คนสงสัย “ท่านให้ถุงเงินมาขนาดนี้ อย่างไรข้าย่อมไม่พลาดโอกาสแน่! ฮ่า...ว่าแต่เดินมานานขนาดนี้ข้าเองก็เริ่มหิวแล้วสิ...” ข้ากุมท้องพลางอ้อนวอน “แต่ท่านพี่...ข้ายังอยากไปดูผ้าร้านตรงหน้าอีกเสียหน่อย ท่านไปรอข้าที่โรงเตี๊ยม สั่งอาหารไว้ได้หรือไม่ ไม่กี่ชั่วกาน้ำชาข้าจะรีบตามไปแน่นอน!” 

หยางเฟิ่งมองมือข้าที่ลูบท้องตัวเองก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ

“หากน้องหญิงต้องการเช่นนั้น พี่จะปฏิเสธเจ้าได้อย่างไร ให้หย่งอวี้ไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่ มีคนคอยดูแลพี่คงวางใจมากกว่า” เขากล่าวถามอย่างห่วงใย

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง! มีบุรุษไปยืนรอที่ร้านผ้าจะเกะกะเสียเปล่าๆ อีกอย่าง ข้าเองก็มีเพ่ยเพ่ยคอยดูแลอยู่แล้ว” 

ข้าพูดเน้นคำว่าเกะกะให้หย่งอวี้ได้ยิน ก่อนบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้เขาตามมาทำลายแผนการของข้า หยางเฟิ่งทำหน้าอ่อนใจในความดื้อรั้นเช่นนี้ ก่อนพยักหน้าเรียกหย่งอวี้ที่กำลังแผ่รังสีเย็นมาทางข้ากลับไปหาเขา ข้าหรี่ตาเชิดหน้ามองหย่งอวี้ เขาจ้องข้าอยู่ครู่แล้วหันหลังเดินจากไป พวกเราต่างคนยังต่างไม่ชอบขี้หน้า หากให้เขามาอยู่ใกล้ๆ จะอึดอัดกันเสียเปล่าๆ

เพ่ยเพ่ยเห็นข้าจะหันหลังเดินก็ถือโอกาสส่งของให้หลี่จวินไปวางไว้ที่ร้าน แต่ข้ากลับส่งมือห้ามเสียก่อน “เพ่ยเพ่ย ของพวกนี้เจ้าถือไปด้วย ข้าอยากกินมันระหว่างรออาหารมื้อใหญ่”

“แต่นายหญิง!” นางโวยวาย

“ตามใจนางเถิด” หยางเฟิ่งยิ้มให้เพ่ยเพ่ยที่ทำหน้างอ นางจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง เขามิได้สงสัยสิ่งใดเพียงยกมือโบกส่งให้ข้าก่อนหายตัวขึ้นไปชั้นสองของโรงเตี๊ยม

 

เพ่ยเพ่ยส่งเสียงโอดครวญเดินตามข้าต้อยๆ ไปที่ร้านผ้า ไม่มีใครตามข้ามาสักคน และนั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ ทว่าหย่งอวี้ผู้นั้นกำลังส่งสายตาจับผิดข้าตลอดทางที่เดินมา ข้าแสร้งไม่สนใจรีบขึ้นชั้นสองของร้านผ้า แต่บานหน้าต่างใหญ่ของร้านกลับมาตรงกับห้องส่วนตัวของโรงเตี๊ยมเสียได้!

หยางเฟิ่งหันมาส่งยิ้มทักทาย ส่วนข้าได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ตอบเขา ขณะที่หย่งอวี้เอาแต่ยืนมองข้าเลือกซื้อผ้าจากหน้าต่างโรงเตี๊ยมไม่ละสายตา

“เจ้าบ้านี่!” ข้าแค่นเสียงบ่น กระชากผ้าที่อยู่ตรงหน้าด้วยโทสะ เป็นเพราะถูกสายตาเย็นคู่นั้นจ้องจับผิดสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังในใจเขา ข้าเองไม่ใช่คนสมองวิกล หากเขาไม่ชอบข้า ข้าก็ไม่ชอบเขาเหมือนกัน

“นะ...นายหญิงเจ้าคะ!” เสียงกระชากของทำเอาเพ่ยเพ่ยที่ยืนหอบของพะรุงพะรังสะดุ้งตัวด้วยความกลัว

ข้าสงบอารมณ์โกรธแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย็น โปรยสายตาหวานผิดกับอารมณ์เมื่อครู่ไปทางหย่งอวี้ เพ่ยเพ่ยยิ่งมองเห็นอารมณ์ข้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายก็ยิ่งหวาดหวั่นพรึงพรันใจ

“เพ่ยเพ่ย เจ้าช่วยข้าเลือกผ้าสักผืน ข้าอยากได้ผืนดำไว้เย็บตุ๊กตาสักตัวและต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นนะ เพราะช่วงนี้ข้าฝันร้ายอยู่บ่อยๆ อยากให้วิญญาณอาฆาตดวงนั้นสู่สุคติเสียที จะได้ไม่คอยตามหลอกหลอนข้า” 

“ฝันร้ายหรือเจ้าคะ” เพ่ยเพ่ยทำหน้าตาสับสน มองข้าสลับกับหย่งอวี้ที่จ้องประสานตามา แต่พอเห็นคนตรงข้ามทำหน้าตาน่ากลัวใส่ นางก็สะดุ้งตัวหันกลับมาหาข้าทั้งสีหน้าลนลาน

ทีแรกคิดว่าไม่รู้เรื่อง ที่แท้หย่งอวี้กลับอ่านปากข้าออกได้ในระยะไกล เช่นนั้นก็ดี!

ข้าหยีตายิ้มกวนโมโห ยิ่งเขาโกรธยิ่งชอบใจ “ใช่ ข้าฝันร้าย ช่วงนี้วิญญาณร้ายคอยตามมองข้า กลับวังคราวนี้เห็นทีต้องทำพิธีปัดเป่าเสียหน่อย!”

หึ...โมโหให้อกแตกตายไปเสีย!

“เอ๋? พิธีปัดเป่าหรือเจ้าคะ”

ข้าขี้คร้านจะอธิบาย อย่างไรคนเช่นเพ่ยเพ่ยคงอ่านสถานการณ์ผิดปกติไม่ออก ผิดกับหยางเฟิ่งที่คอยสังเกตมอง รู้ว่าข้าพูดจาประชดประชันหย่งอวี้ จึงได้แต่ส่ายหน้าห้ามปรามข้ามิให้ก่อกวนเขาอีก ข้าเองยังไม่หายอารมณ์เสียแต่ก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็ก จึงวางเรื่องทะเลาะหันไปสั่งเพ่ยเพ่ยวางของที่ซื้อมาลงทั้งหมดและหอบทุกอย่างไว้เอง

ไม่ไกลจากร้านผ้าก็จะถึงจวนสกุลวังแล้ว หากไม่อาศัยเวลานี้เห็นทีข้าคงไม่ได้พบหน้าท่านพ่อท่านแม่แน่

“ไม่ได้นะเจ้าคะ นายหญิงจะหิ้วของเองไม่ได้นะเจ้าคะ” เพ่ยเพ่ยไม่เข้าใจ จึงลนลานแย่งถุงไปจากข้า

“เหตุใดจึงไม่ได้ ข้าบอกให้เจ้าเลือกผ้าเจ้าก็เลือกแทนข้า ข้าหิวและอยากนั่งพัก จะลงไปรอเจ้าด้านล่าง หากเจ้าเลือกเสร็จเมื่อไรตามข้ามาแล้วกัน!”

ข้าพูดจบก็ไม่รอให้นางรับคำ รีบหอบหิ้วถุงไปฝั่งหนึ่งของร้านผ้า หลบตัวไปตามมุมอับสายตา คลานช้าๆ ลงไปชั้นล่างเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น

สำเร็จ

ข้าร้องเฮอยู่ในใจ รีบเดินออกมาจากหลังร้าน คนในร้านโค้งน้อยๆ เมื่อข้าเดินผ่าน หลังร้านผ้าคือจวนสกุลจวี๋ที่เคยมานั่งเย็บผ้ากองโตพวกนั้น ข้าเดินผ่านหน้าจวนสกุลจวี๋อย่างรวดเร็ว ทะลุตรอกซอยแสนคุ้นเคยมาหยุดเท้าหน้าประตูจวนตนเอง เหมือนไม่ได้กลับมาที่นี่เสียนาน ทำให้หลากความรู้สึกผสมปนเปจนตัวข้าถึงกับสั่นระริกด้วยความยินดี

ข้าเอื้อมมือผลักประตูช้าๆ มองเข้าไปในเรือนเห็นชายสูงวัยคนหนึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังมองท้องฟ้า เสื้อผ้าที่เคยขาดวิ่นกลับกลายเป็นผ้าต่วนเนื้อดีสีเขียวสะอาดตา คนด้านในหันมองข้าพักหนึ่งอย่างงุนงง ก่อนวิ่งเข้ามากอดข้าไว้แน่น ข้าถึงกลับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ร้องไห้ออกมาทันที

“เจ้าหายไปไหนมา!” นั่นคือประโยคแรกที่ท่านพ่อถาม ข้าได้แต่ร้องไห้โฮพูดไม่เป็นภาษา ท่านพ่อจึงช่วยหยิบของในมือมาถือไว้แทน “แล้วของพวกนี้อีก…มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น ดูเสื้อผ้าเจ้าสิ แล้วนี่ป้าย…สกุลจวี๋…จะ…เจ้า!!” 

ใบหน้าท่านพ่อเดี๋ยวซีดเดี๋ยวขาว หยวนผิงเฟย ชื่อบนป้ายสลักทำให้ท่านพ่อหน้าแดงคล้ำดำทะมึน ท่านพ่อคงคิดว่าข้าถูกอ๋องน้อยจวินฉีจับแต่งเป็นนางบำเรอของเขาแล้วแน่

ข้าเก็บป้ายหยกให้พ้นสายตาผู้คน รีบพูดห้ามก่อนจะเกิดความเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ “ไม่ใช่นะท่านพ่อ! ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด” ข้ารั้งแขนท่านพ่อที่รุดตัวเดินไปจวนสกุลจวี๋ด้วยโทสะ ค่อยๆ กล่าวให้ท่านสงบสติอารมณ์ “รีบเข้าไปข้างในก่อนเถิด แล้วข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง...”

ท่านพ่อคลายอารมณ์ลง พอเห็นข้ามองไปรอบๆ อย่างมีพิรุธถึงเดาได้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่อาจให้ใครได้ยิน จึงพยักหน้าลงเงียบๆ เดินนำข้าเข้าไปในเรือน

เมื่อเปิดบานประตูออก ข้าเห็นภาพใบหน้าอิ่มเอมของท่านแม่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงไม้หลังใหม่เอี่ยม ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด สภาพซอมซ่อที่เคยเห็นแต่เล็กหายไปจนเกลี้ยง ข้าตะลึงเพริดมองไปรอบบ้าน ดูอย่างไรก็คล้ายจวนขุนนางดูมีฐานะ ทั้งยังมีสาวใช้สองคนยืนอยู่ในห้องคอยรับใช้ คนหนึ่งถือถาดกับผ้าชุบน้ำ อีกคนถือถ้วยยาไว้ในมือ มีท่านหมอชราผู้หนึ่งสวมชุดขุนนางจากในวังกำลังตรวจชีพจรท่านแม่อยู่ข้างเตียง สีหน้าดูเคร่งเครียดจดจ่อตรวจอาการจึงไม่ทันได้สนใจข้า อีกคนยังอยู่ในวัยกลางคนใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูสุขุม ยืนพยักหน้านอบน้อมเมื่อข้าเดินเข้ามาในห้อง

“ท่านพี่ไปไหนมาหรือ...” ท่านแม่หันมาตามเสียงเปิดประตู แต่พอเห็นข้ายืนยิ้มเงียบอยู่พลันน้ำตาคลอขึ้นมาทันที “นาง?”

ท่านพ่อพยักหน้ายิ้มเรียบให้ท่านแม่ จูงแขนข้าเดินเข้าไปหา อีกมือยกไล่คนอื่นๆ ออกไปจากห้อง สาวใช้กับท่านหมอจึงทยอยเดินออกนอกประตู ข้าสบตาเข้ากับท่านหมอชรา อีกฝ่ายยิ้มมองข้าอยู่ครู่พลางเดินจากไป ข้ารู้สึกคุ้นหน้าเขาอยู่บ้างแต่กลับจำมิได้ว่าเคยเห็นคนผู้นี้ที่ไหน จึงไม่ได้ใส่ใจและทำเพียงค้อมตัวมองส่งเขาเท่านั้น

สาวใช้ปิดประตูยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก ข้าถึงกล้าพูดกล้าทำได้มากขึ้น รีบเดินไปสวมกอดท่านแม่ทันที

“ท่านแม่!”

ท่านแม่กลั้นน้ำตา กระชับกอดข้าไว้พลางลูบศีรษะอย่างอ่อนโยนถาม “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง...”

“อย่าห่วงข้าเลย เป็นท่านที่น่าห่วงมากกว่านัก อาการท่านเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาดูแลท่านดีหรือไม่” ข้ารีบถามด้วยความห่วงใย

นางจับข้อมือข้าไว้แน่นและยิ้มให้น้อยๆ “แม่ดีขึ้นมาก เจ้าเล่าเป็นอย่างไร เหตุใดหายไปนานเช่นนี้”

“ข้ามีเหตุผล…ข้า” ข้าตอบคำตะกุกตะกัก นางจึงพยักหน้าน้อยๆ ให้ท่านพ่อ

ท่านพ่อรีบเดินไปตรวจประตู ปิดช่องลมทุกแห่งแน่นสนิทก่อนจะพยักหน้ากลับมา “เล่ามาเถิดผิงเฟย”

ข้าถอนหายใจ กล่าวอย่างเคร่งเครียด “ท่านแม่...เวลานี้ข้าถูกฮองเฮาจับตัวเข้าวังอยู่ในฐานะองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิง วันนี้เพิ่งสบโอกาสหนีกลับมา อาจใช้เวลาอยู่กับพวกท่านได้ไม่นานนัก”

“เจ้า…เจ้าอยู่ในวังหรือ!” หัวคิ้วนางขมวดเคร่งเครียด

ข้าพยักหน้า มองแววตาอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นล้ำลึก ข้าไม่เคยเห็นท่านแม่ทำสีหน้าเช่นนี้มาก่อน จึงมองตามอย่างสงสัยก่อนตัดสินใจถามออกมา “หรือมีเรื่องใดที่พวกท่านปิดข้าไว้?” 

นางเงียบไปพักใหญ่ เงยหน้ามองท่านพ่อก่อนพูดออกมา “กำไลหยกนี่...” เสียงนางขาดหายไปอย่างไม่รู้จะเริ่มกล่าวจากตรงไหน มือหยิบกำไลหยกเงินมากำไว้อย่างแผ่วเบา สายตายามมองมันคล้ายทั้งสุขใจและทุกข์ใจผสมปนเปจนยากจะแยก สุดท้ายทั้งห้องกลับเงียบเสียงลง ไม่มีใครกล่าวคำใดออกมาราวกับไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก

“กำไลหยกเงินเป็นของบิดาที่แท้จริงของเจ้า เขาอยู่ในวังหลวง...” ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากท่านพ่อ สีหน้าดูเจ็บปวดที่ต้องเป็นคนพูดออกมาแทน

ท่านแม่เอาแต่หลบสายตาข้า น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ตลอดเวลานางเข้มแข็งมาตลอด แม้เจ็บปวดจากโรคมากขนาดไหน แม้ไม่มีเงินจะกินจะใช้ นางกลับมีสีหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมความหวังให้เราสองพ่อลูกมาโดยตลอด แต่เวลานี้นางกลับมีท่าทีอ่อนแอแสดงออกมา ราวกับเก็บความทุกข์ใจครั้งนี้ไว้เนิ่นนานนับหลายปี

ข้าสับสนไม่ทันตั้งตัว ได้แต่มองหน้าคนทั้งสองที่บัดนี้คนหนึ่งเป็นมารดา ส่วนอีกคนกลับกลายเป็นพ่อบุญธรรมไปเสียแล้ว ก่อนรีบหันไปหาท่านพ่อ กล่าวว่า “ช่างเถิด ไม่ต้องเล่าแล้ว! ข้าไม่สนว่าใครเป็นพ่อที่แท้จริงของข้า เพราะท่านเป็นคนเลี้ยงดูข้ามา ข้ารักท่านยิ่งกว่าชายที่ทิ้งให้ท่านแม่กับข้าต้องลำบากเช่นนี้!”

ในใจทั้งสับสนทั้งเสียใจ ท่านพ่ออยู่ในวังสุขสบายแต่กลับไม่เหลียวแลท่านแม่และข้า หากไม่คิดแต่งนางเป็นภรรยา หากไม่คิดเลี้ยงดูข้า อย่างไรตลอดเวลาที่ผ่านมาอย่างน้อยเขาควรมาไถ่ถามอาการป่วยของนางบ้าง เหตุใดถึงได้ใจจืดใจดำนัก!

“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดผิงเฟย ท่านพ่อของเจ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยเหลือพวกเราไม่ได้!” ท่านแม่ตะโกนออกมาทั้งน้ำตา ข้าจึงได้แต่ปิดปากเงียบไม่พูดอีก ทรุดตัวลงเบนหน้าลงพื้นเพื่อสงบสติอารมณ์

ท่านพ่อมีเหตุผลใดทิ้งข้ากับท่านแม่นานขนาดนี้? ตอนแรกข้าคิดจะไม่ตามหาเขา แต่พอท่านแม่ออกตัวปกป้องขึ้นมาข้าก็นึกอยากเจอเขาขึ้นมาจริงๆ และอยากต่อว่าเขาแทนนางด้วย!

“อวี้ซี...เรื่องนี้หนักหนาสำหรับผิงเฟยมากนัก เจ้าให้เวลานางสักหน่อยเถิด”

“ท่านพ่อ...ท่านแม่ ข้าเข้าใจทุกสิ่งดี เพียงแต่หากไม่ให้ข้ารู้สึกโกรธเลยมันย่อมเป็นไปไม่ได้”

ท่านแม่ปรับสีหน้าสงบลง ตบมือเรียกข้าเบาๆ พลางหยิบกำไลหยกเงินยื่นให้ “เจ้าเข้าวังแล้ว ต่อไปพวกเราอาจไม่ได้เจอกันอีก กำไลหยกเงินวงนี้แม่ขอให้เจ้าเก็บไว้กับตัว” ท่านแม่วางกำไลใส่มือข้า ของชิ้นเดียวที่มีค่าที่สุดสำหรับนางและต่อไปมันจะเป็นตัวแทนของนาง “แต่เจ้าอย่าได้ให้ใครเห็นมันเป็นอันขาด และอย่าได้คิดตามหาพ่อของเจ้าให้เป็นภัยต่อตัวเจ้าเอง รับปากแม่สิ”

“ข้ารับปาก” ข้าแสร้งยิ้มพลางพูดต่อ “ท่านพักผ่อนให้สบายเถิด เดิมข้าไม่อาจมาหาพวกท่าน คงอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว เห็นพวกท่านอยู่สบายข้าเองก็โล่งใจ”

ข้ากุมมือคำนับโขกหัวให้ท่านพ่อและท่านแม่ เพราะไม่อาจรู้ว่าจะได้มีโอกาสแสดงความกตัญญูเช่นนี้อีกหรือไม่

พวกเราเงียบกันอยู่ครู่ด้วยความโศกเศร้า จากนั้นท่านพ่อถึงเอ่ยขึ้นเมื่อทอดสายตาอาลัยมองข้า “รักษาตัวเจ้าเองด้วย” ท่านยิ้มพลางประคองตัวเข้ามากอด

ข้าไม่อาจกลั้นน้ำตาที่ข่มไว้ พูดขึ้นทั้งเสียงสั่น “ท่านพ่อ…ยังไงข้าก็รักท่านเหมือนพ่อแท้ๆ ของข้านะ” ข้าซุกกอดท่านเหมือนเด็กเล็ก ไม่เคยรับรู้ว่าอ้อมกอดนี้ประคองข้าไว้ด้วยความรู้สึกอย่างไรในตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านพ่อแต่งท่านแม่มาในฐานะภรรยา รับลูกของชายอื่นมาเลี้ยงดูแต่กลับรักข้าราวกับลูกแท้ๆ ข้าทั้งละอายใจทั้งขอบคุณที่ได้เกิดมาเจอเขา

“พ่อก็รักเจ้าเช่นชีวิตของพ่อเช่นกัน”

ท่านแม่กอดพวกเราไว้ กระทั่งสุดท้ายความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวบนใบหน้างดงามนั้นยังมีเพียงดวงตาที่เอ่อคลอน้ำตาประดับไว้ เป็นข้าที่ไม่อาจหยุดร้องไห้ได้เมื่อต้องก้าวเท้าออกจากจวนตัวเอง “พวกท่านทั้งสองรักษาตัวด้วย”

ท่านแม่พยักหน้า ลุกจากเตียงโดยมีท่านพ่อประคองเพื่อมาส่งข้าที่หน้าประตู สาวใช้ทั้งสองรีบเข้ามาช่วยเหลือ พลางโค้งตัวให้ข้าอย่างมีมารยาทแล้วปรนนิบัติท่านแม่ต่อ มีเพียงท่านหมอทั้งสองที่รั้งๆ รอๆ เพื่อคำนับส่งข้า

“ท่านหมอทั้งสอง ข้าขอฝากพวกท่านดูแลนางให้ดีด้วย” ข้าก้มคำนับให้

ท่านหมออายุน้อยกว่าลนลานรีบก้มหน้ากล่าวคำทันที “นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋องน้อย ข้าย่อมทำตามคำสั่งอย่างดีที่สุด”

ข้าขมวดคิ้วพลางมองเขา ไม่นึกว่าจวี๋จวินฉีผู้นั้นจะทำตามวาจาของตน

หมอเฒ่าเพียงยิ้มให้ข้า ท่วงท่าของเขาดูสงบเป็นอย่างมากราวกับนักพรตผู้ไม่เกี่ยวข้องกับโลกอันวุ่นวาย ท่านหมอเดินเข้ามาหาข้า หันไปกล่าวกับท่านพ่อท่านแม่ว่า “นายท่านกับฮูหยินรอตรงนี้เถิด ฤดูนี้เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว อาการฮูหยินอาจกำเริบขึ้นมาได้ ข้าน้อยจะไปส่งแม่นางเอง”

ท่านพ่อพยักหน้า ข้าจึงพยักหน้าให้ท่านพ่อพลางเดินตามท่านหมอผู้เฒ่าไป เดินกันอยู่นานกระทั่งถึงหน้าประตูจวน เขาถึงกล่าวให้ได้ยินเพียงสองว่า “แม่นางอย่าได้กังวล ข้าน้อยจะคอยดูแลฮูหยินเป็นอย่างดี...และหากไม่จำเป็นโปรดอย่ากลับมาที่นี่อีก” ดวงตาเรียบสงบมีแววตักเตือนแฝงอยู่

ข้ามองตามเขาอย่างสงสัย แต่ไม่กล้าถามอะไร คนจากในวังอาจรู้หรือไม่รู้เรื่องที่ฮองเฮาสลับตัวข้าเข้าวัง จึงทำแค่พยักหน้ารับปาก ใจรับรู้ถึงความหวังดี มิได้รู้สึกถึงสายตามุ่งร้าย จึงรู้ว่าการที่ข้ากลับมาที่จวนอาจเผลอทำเรื่องอันตรายเข้า ทว่าแม้ไม่รู้จักท่านหมอผู้นี้มาก่อนแต่ข้ากลับรู้สึกไว้ใจเขาได้อย่างน่าประหลาด

“ขอบคุณท่านหมอมาก...ข้าฝากดูแลฮูหยินด้วย”

ข้าเปิดประตู หันหลังกลับไปมองท่านพ่อท่านแม่ เห็นคนทั้งสองมองส่งข้าจากเรือนนอนจึงตัดสินใจหันกลับอย่างแน่วแน่ ก่อนรีบสาวเท้าวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วยกมือเช็ดน้ำตาหมดจดเพื่อไม่ให้ใครจับพิรุธได้

ข้าหลับตาลงอย่างเศร้าสร้อย อยากให้เรื่องเหล่านี้เป็นฝันเพียงตื่นหนึ่ง สกุลวังตลอดมาอยู่อย่างเงียบสงบ ใครกล่าวว่าก็ได้แต่ก้มหน้ารับ เวลานี้ข้ากลับพาเรื่องวุ่นวายเข้ามาในบ้าน เจอผู้คนมากมายที่ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ หากบอกว่าไม่กังวลใจเลยคงเป็นไปไม่ได้

ข้าสาวเท้าวิ่งเร็วขึ้น เลี้ยวมุมตรอกทางไปร้านผ้าก่อนชนใครอีกคนเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย! เจ็บชะมัด”

เสียงโอดครวญดังขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ข้าขยี้หัวตัวเองลุกขึ้นปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า เจ้าคนที่เดินชนข้าก็กำลังลุกขึ้นเช่นกัน แต่เมื่อปัดฝุ่นเสร็จดีพลางยกมือชี้หน้าเตรียมจะกล่าวว่าข้า เสียงของเขากลับหายไปเสียดื้อๆ ใบหน้าแดงก่ำโกรธจัดเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวราวเห็นผีทันที

ข้าอ่านแผ่นป้ายของเขาที่เก็บได้เมื่อครู่ เหตุการณ์ชุลมุนทำให้แผ่นป้ายของพวกเราสลับกัน เขาคว้าแผ่นป้ายในมือข้าหมายจะแย่งคืน แต่ข้ากลับหลบได้ทันเสียก่อน อืม...หยกชิ้นงามสีส้มแดงราวสีของดวงอาทิตย์ย่อมมีเพียงไม่กี่คนสามารถครอบครองมันได้ และหากข้าจำไม่ผิด หนึ่งในนั้นคือองค์ชายสี่หมิงเฟิงเหอ พระอนุชาของรัชทายาท

“ทะ...ท่าน! หนีออกมาอีกแล้วหรือ!?” เจ้าหนุ่มผิวขาวราวเกล็ดหิมะละเอียดชี้นิ้วสั่นระริกมาทางข้า

ตอนแรกข้าไม่มั่นใจว่าใช่เขาหรือไม่ แต่พอได้ยินเขาเรียกข้าว่าพี่อีกทั้งความสูงยังพอๆ กันจึงเดาได้ว่าเขาอายุไม่น้อยกว่าก็เท่ากับข้าแน่ ทั้งสายตาระแวดระวังของเขาที่มองมาดูอย่างไรก็ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ราวกับข้าเป็นเสือและเขาเป็นลูกกวาง หากข้าก้าวเดินไปสองก้าวเขาก็พร้อมจะถอยไปอีกสี่ก้าว ข้าหรี่ตาเอื้อมมือรั้งคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ก่อนจะทันหนี หากรัชทายาทออกมาตามหาคน ข้าก็รู้แล้วว่ามาตามหาใคร

“แล้วเจ้าล่ะ? ไม่ใช่ว่ากำลังหนีอยู่หรอกหรือ!” มุมปากองค์ชายสี่กระตุก รีบดิ้นตัวกระเสือกจะหนีไปให้ได้ แม้ข้าไม่มีแรงเทียบเท่าบุรุษแต่ก็นับว่าแข็งแกร่งเกินสตรีทั่วไป จึงสามารถรั้งองค์ชายอายุน้อยผู้นี้สำเร็จ ข้าขู่เสียงเย็นวางอำนาจถามเขาว่า “เจ้าจะไปไหนอีก!”

“โธ่…พี่สาว ข้าขอเวลาสักสามชั่วยามเท่านั้นแล้วจะรีบกลับเข้าวังทันที ปกติท่านไม่เคยห้ามข้าแท้ๆ วันนี้เหตุใดถึงได้เข้มงวดนัก” ข้าไม่ยอมปล่อยแม้คนจะอิดออดถูมือไปขอร้องไป ใบหน้าไร้เดียงสาดูน่าสงสารเสียจนข้าเกือบใจอ่อนเข้า

ให้ตายสิ! ข้ามันขี้สงสารนะรู้ไหม!

“คราวนี้ไม่ได้แล้ว! เจ้าทำคนทั้งวังวิ่งวุ่นไปหมดรู้ตัวหรือไม่!” ข้าแกล้งเอ็ด มองเฟิงเหอทำสีหน้าสำนึกผิด ก่อนโดนข้ากึ่งลากกึ่งจูงไปที่ร้านผ้าด้วยกัน

เมื่อมาถึงร้านผ้า เพ่ยเพ่ยที่เห็นเฟิงเหอเข้าได้ทำกองผ้าที่ถือพะรุงพะรังหล่นลงพื้น สีหน้านางตกใจสุดขีด เดินก้าวไปซ้ายทีขวาทีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ราวกับหากรายงานรัชทายาทเวลานี้ก็ไม่รู้เฟิงเหอจะโดนโทษหนักขนาดไหน หรือหากไม่รายงานช่วยกันปกปิด รัชทายาทจะกริ้วนางหรือไม่?

เฟิงเหอปรายตามองเพ่ยเพ่ย สีหน้าไม่สบอารมณ์สุดขีดที่ถูกจับกลับมาได้ หันมาถามข้าเสียงเนือยว่า “พี่ชายมาด้วยสินะ” เขาบ่นอุบอิบพลางหันไปมองหน้าต่างถึงได้สบสายตาเย็นเยียบของรัชทายาทที่มาจากอีกฟากหนึ่ง ก็รีบหันกลับมาทำหน้าถมึงทึงใส่ข้าทันที “พี่สาว ท่านทำให้ข้าลำบากแท้ๆ!”

ข้าหาวหวอดไม่ใส่ใจ “ใครใช้ให้เจ้าทำผิดกฎกันเล่า?”

“นายหญิง…เหตุใด…แล้วของพวกนั้น…คือ…” เพ่ยเพ่ยถามตะกุกตะกัก เหลือบมองของข้าที่หายไปและมองเฟิงเหอซึ่งถูกข้ารั้งคอเสื้อไว้

ข้าไม่อยากพูดมากเลยตัดบทนางไปว่า “เจ้าไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น จำแค่ว่าข้าวของทั้งหมดข้าโดนโจรดักปล้นระหว่างทาง และท่านชายน้อยผู้นี้เป็นคนช่วยเหลือข้าให้รอดพ้นจากพวกขี้ขโมยชั่วช้าได้ ช่างบังเอิญเหลือเกิน จริงไหมท่านชายน้อย” ข้ากระทุ้งศอกถาม

“เดี๋ยวสิ!” เด็กหนุ่มข้างตัวทำหน้างุนงง อ้าปากเตรียมจะพูดความจริง ข้ารีบมองห้ามเขาดุๆ เขาจึงหุบปากเงียบไปและมองข้าคล้ายไม่เข้าใจ

ข้าค่อยๆ เลื่อนตัวไปข้างเขากระซิบเสียงเบาว่า “ข้าเพิ่มความดีความชอบให้ ไม่คิดจะรับมันหรืออย่างไร เจ้าเด็กโง่!” ข้าจ้องหน้าคนเขม็ง ก่อนจะแสร้งยิ้มหวาน ตบไหล่เขาเบาๆ ไปทีหนึ่ง

เฟิงเหอทำตาแวววับขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่า หากมีความดีความชอบโทษที่โดนก็อาจจะบรรเทาลง จึงปัดเสื้อจัดให้เข้าที่ก่อนทำสีหน้าฮึกเหิมออกมา

“อย่างที่เจ้าได้ยินเลยแม่นาง หึๆๆ!” 

เพ่ยเพ่ยพยักหน้าตามเขาช้าๆ มององค์ชายสี่ยกมือถูจมูกอวดวรยุทธ์แสนเก่งกาจยกใหญ่

เขาช่างเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ถูกข้ายุขึ้นง่ายดายเสียจริง...

 

อาหารถูกวางไว้อย่างครบถ้วน บนโต๊ะล้วนมีแต่ของน่ากินอย่างเป็ดตุ๋นยาจีน ไก่ผัดเจ็ดอย่าง หมั่นโถวลูกโตๆ และอื่นๆ อีกมากมายที่ข้าพอจะนึกออก โต๊ะที่ข้านั่งมีรัชทายาทและองค์ชายสี่รวมอยู่ด้วย ส่วนอีกโต๊ะเป็นบรรดาองครักษ์และเพ่ยเพ่ย

ตั้งแต่กลับมารัชทายาทเอาแต่มองหน้าเจ้าตัววุ่นเช่นองค์ชายน้อยที่ตัวเลอะฝุ่น กินอาหารมูมมามราวอดอยากมาหลายมื้อ แต่ตัวเขาเองไม่คีบอาหารเข้าปากสักคำ ทำให้ข้าพลอยไม่กล้าดื่มกินไปด้วย สักพักคนโดนมองยังไม่รู้สึก รัชทายาทถึงเริ่มวางสายตานั้นมาที่ข้าแทน เป็นสายตาที่ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ว่าเขาต้องการจะถามอะไร

“เป็นอย่างที่เพ่ยเพ่ยเล่าเพคะ เหตุใดเสด็จพี่ทรงมองราวกับสงสัยในสิ่งที่ข้าทูลเช่นนั้น ไม่ดีหรอกหรือที่ข้าพาเฟิงเหอกลับมาได้โดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงเลยสักน้อย” 

ข้าแสดงละครตบตา แสร้งน้อยใจนั่งนิ่งไม่ให้เขาเกิดความสงสัย เขามองข้าไม่ยอมคีบตะเกียบก็หันไปหาเจ้าคนกินมูมมามเสียงดัง ดูแล้วคงหนีออกนอกวังหลวงมาหลายวันโดยไม่มีใครรู้จนเงินหมดกระเป๋า ไม่มีเศษอีแปะซื้อแม้กระทั่งหมั่นโถวกิน เพราะดูจากสภาพเนื้อตัวมอมแมมสกปรก ก็พอจะเดาได้ว่าสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่มากขนาดไหน

เฟิงเหอเงยหน้าเมื่อบรรยากาศเงียบผิดปกติ ก่อนสบสายตาทุกคู่ที่จ้องมาทางเขา เจ้าตัวถึงพูดเสียงตะกุกตะกักรีบเข้าข้างข้ายกใหญ่ แต่ยังไม่วายคีบเนื้อกินไปด้วย

“ใช่แล้วพี่ชาย! ข้าเป็นคนช่วยพี่สาวจากคนสารเลวพวกนั้น ข้าเก่งใช่ไหมเล่า?” เจ้าตัวดีกล่าวจบก็ยกตะเกียบขึ้นชี้หน้ารัชทายาทอย่างลืมตัวก่อนชะงักมือ เมื่อเห็นสายตาเย็นมองตอบกลับมาอย่างไม่ชอบใจเขาถึงลดตะเกียบถอยไปอย่างว่าง่าย นั่งบ่นว่าไม่มีใครเชื่อตัวเองสักคน แต่ไม่วายคีบกับข้าวกินต่อ

เด็กหนอเด็ก!

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้า แค่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกเฟิงเหอ” หยางเฟิ่งพูดเสียงทุ้มเย็นตักเตือน จ้องเฟิงเหอจนคนสำลักน้ำชาออกมา

“คะ...แค่ก ข้าไม่ทำแล้วพี่ชาย ข้าไม่ทำ!” องค์ชายสี่รีบยกสามนิ้วขึ้นสัญญาพลางปาดแขนเสื้อเช็ดปากตัวเอง แม้กลัวพี่ชายขนาดไหนแต่ดูเหมือนยามนี้เขาคงกลัวไม่ได้กินเนื้อห่านที่เพ่ยเพ่ยยกมาใหม่มากกว่า

รัชทายาทส่ายหน้าถอนหายใจ อย่างไรเฟิงเหอคงไม่มีวันหยุดก่อเรื่อง ต่อให้ฮองเฮาจับเขาลากไปลงโทษอย่างไรสักวันเด็กคนนี้คงหนีออกมาอยู่ดี เขามองเฟิงเหอกินเนื้อห่านอยู่ครู่ก่อนหันมาสบตาข้า

“เหม่ยหลิง…นี่ไม่ใช่คนที่ข้าตามหาแต่เจ้าก็ทำได้ดี” กล่าวจบถึงคีบเนื้อเป็ดเข้าปากเป็นครั้งแรก รัชทายาทมักพูดเพียงไม่กี่คำแต่กลับแฝงไปด้วยหลายประโยคชวนคิด ทำเอาข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่? ข้าไม่กล้าถามต่อ ก้มหน้าก้มตากินข้าวในชามตนเองจนเกลี้ยงเกลา
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น