6

ตอนที่ 6


 ละครบทแรกได้เริ่มขึ้นแล้ว...

ภายนอกปรากฏทิวทัศน์งดงาม บรรดาตำหนักเรืองทองที่เคยได้เห็นจากภาพวาดในร้านค้า เวลานี้กลับมาอยู่ตรงหน้าให้เชยชม บริเวณโดยรอบล้อมด้วยสวนดอกไม้นานาพรรณติดกับสระบัวใหญ่ที่ให้ความรู้สึกสบายและสงบใจ ไกลออกไปเล็กน้อยมีใครบางคนยืนห่างตรงสะพานน้ำ พลันเสียงพิณหนึ่งดังแว่วมาไม่เร็วไม่ช้า

 

เงาหนึ่งทอดกายลงโดดเดี่ยว

แสงจันทราสาดกระทบ

เงาเด่นพลันระยิบเล่นแสง

สูงศักดิ์เหนือสูงส่ง คงไว้ผู้เดียวดาย

 

บุรุษผู้หนึ่งรอบกายดูเย็นยะเยือกราวถูกหิมะห่อหุ้ม ดวงหน้าตั้งตรงมองไปเบื้องหน้า นิ้วเรียวยกขลุ่ยเป่าคลอเสียงพิณเป็นจังหวะ ข้ามองเขาอย่างฉงน เหตุใดเงาร่างนั้นถึงได้ดูโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้ ราวจ้าวหมาป่าบนยอดเขาสูง แม้ดูแข็งแกร่งทะนงแต่กลับไร้มิตรสหายอยู่ข้างกาย

“สูงศักดิ์เหนือสูงส่ง คงไว้ผู้เดียวดาย”

ข้าเผลอท่องคำกลอนออกมา พลันสายตาราบเรียบของเขาได้มองตอบ คนผู้นี้เสื้อผ้าที่สวมใส่ช่างโดดเด่นดูแปลกตานัก ชุดขาวสะอาดดูสุขุมบอกอุปนิสัย เงารอบตัวทอประกายแสงจันทร์ตกกระทบ ทำให้ข้าไม่อาจละสายตากลับมาได้ แต่ยังมิทันที่พวกเราจะได้มองหน้ากันไปนานกว่านั้น หญิงแปลกหน้ากลับดึงตัวข้าเข้าในรถม้า นางส่ายหน้าห้ามปรามไม่ให้ข้าทำอีก ทั้งยังปลดม่านลง ข้าได้แต่นั่งนิ่งฟังเสียงพิณกระทั่งรถม้าจอดเทียบลงตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง

“มาถึงแล้วเพคะ”

หญิงแปลกหน้ายอบตัวคารวะ ผายมือเป็นสัญญาณให้ข้าเดินลงก่อน ข้าก้าวเท้าอย่างระวัง มีนางเดินตามหลังประชิดตัวจนน่าอึดอัด ราวกลัวว่าข้าสามารถหนีหายไปได้ รอบข้างมีเหล่านางกำนัลถวายบังคมให้เมื่อเดินผ่าน ดูแล้วสตรีผู้มีใบหน้าคล้ายข้าคงเป็นองค์หญิงตัวจริงไม่ผิดแน่ ข้าเฉมองไปอีกทาง เห็นตรอกแคบเล็กอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าว ตัวข้าแม้วิ่งได้ดีไม่แพ้เด็กผู้ชายแต่ใช่ว่าจะวิ่งพ้นคนเป็นวรยุทธ์เช่นพี่สาวคนนี้ได้ ขณะกำลังชั่งใจคิดหนีพี่สาวแปลกหน้าพลันกระซิบอย่างรู้ทัน

“หม่อมฉันได้จัดเตรียมยอดฝีมือไว้หมดแล้ว ทรงตัดใจเสียเถิดเพคะ”

ข้านึกอยากตีองค์หญิงผู้นั้นขึ้นมาเสียดื้อๆ นอกจากหน้าตาข้าคล้ายนาง ความคิดพวกเรายังคล้ายกันอีกด้วย!

 

ประตูเบื้องหน้าเปิดออก ใครบางคนยืนหันหลังรออยู่ตรงนั้น พวกเราได้รับอนุญาตเพียงสอง นางกำนัลส่วนใหญ่ได้แต่เฝ้าอยู่หน้าประตูด้านนอก ขาข้าสั่นพึ่บพั่บจะก้าวก็มิอาจก้าว กลายเป็นพอจะก้าวพลันเกือบสะดุดล้ม ข้าอายุเพียงสิบห้า ผ่านชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาสามัญ ตลอดชีวิตมิเคยทำให้ผู้ใดโกรธแค้น แต่สตรีเบื้องหน้า เพียงแค่เห็นบรรยากาศรอบตัวพลันรู้ได้ว่าโกรธเคืองข้ามากขนาดไหน

ไม่สิ...ฮองเฮามิได้โกรธข้า แต่กำลังกริ้วองค์หญิงผู้นั้นต่างหากเล่า!

แล้วเหตุใดฟ้าดินถึงปล่อยคนก่อเรื่องหนีหาย และปล่อยข้ามารับโทษที่นางก่อ?

ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!

ทว่ามาจนป่านนี้หากจะหันหลังกลับก็ดูสายเกินแก้ ข้าเก็บปากสงบคำอย่างรู้มารยาท เร่งฝีเท้าก้มคุกเข่าถวายพระพร “ถวายพระพรเพคะ” ก่อนจะยิ้มกว้างเพื่อกล่าวทูลความจริงทั้งหมด ทว่าทันทีที่เห็นพระพักตร์หันมาจ้อง คำพูดทั้งหมดก็ได้ถูกแววพระเนตรเย็นชาริบรอนไป รู้สึกได้ทันทีว่าสีหน้าตนจืดเจื่อนขนาดไหน

“คิดจะเล่นลิ้นอยู่อีกหรือ?”

สตรีตรงหน้าแม้ดูน่าเกรงขามแต่ขณะเดียวกันกลับงดงามราวกับหงส์ ภายใต้ชุดสีทองปักลายหงส์ยาวเลื้อยพื้นขับอำนาจบารมีให้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว จนข้ามิกล้าขยับกายไปทางไหน พระนางปราดสายพระเนตรแหลมคมจิกอยู่ที่ตัวข้าขณะย่างเท้าเข้าไปใกล้

เวลานี้ข้าไม่อาจทำใจเย็นไม่เกรงกลัวได้อีกแล้ว ตัวข้าสั่นเป็นลูกนกเผชิญหน้าเสือร้าย ยิ่งมองพระพักตร์ข้ายิ่งไม่กล้าหายใจ เกรงว่าหากรบกวนพระทัยเข้าอาจทรงลงอาญาสั่งตัดหัวข้าขึ้นมา ดังนั้นพอคางเรียวเล็กของข้าถูกพระนางจับเชิดขึ้นมองประสานสายพระเนตรดาลเดือด ข้าจึงทำใจยอมรับล่วงหน้าคิดว่าตนคงไม่มีชีวิตรอดกลับไปอีกแน่ เพราะไม่รู้ว่าองค์หญิงผู้นั้นได้ก่อเรื่องร้ายแรงใดเอาไว้ และเป็นศัตรูกับฮองเฮาหรือไม่

ฮองเฮามิได้ตรัสสิ่งใดอยู่นาน กระทั่งน้ำเสียงเปี่ยมบารมีเอ่ยเรียก “ฟู่ซิ่นจง...” 

พระนางกล่าวพลางลดมือปล่อยใบหน้าข้าให้เป็นอิสระ ก่อนกลับไปนั่งบนตั่งยาวปูด้วยขนสัตว์นุ่มสีน้ำตาลเหลือบทอง นิ้วมือเรียวไล้ไปตามแขนเก้าอี้ก่อนจะเคาะมันอย่างใช้ความคิด ใบหน้างดงามเม้มปากขบคิดอย่างหนัก

พี่สาวแปลกหน้าที่ข้าเพิ่งรู้ว่านางชื่อฟู่ซิ่นจงเดินขึ้นหน้าไปใกล้พระพักตร์ พลางโค้งตัวรับคำว่า “เพคะ” ก่อนจะยิ้มน้อยๆ คิดว่าตนย่อมได้รับคำเชยชม

“นางไม่ใช่องค์หญิง” 

คำกล่าวเรียบเฉยไม่ยินดีไม่ยินร้าย แต่กลับทำคนโค้งตัวทรุดหมอบลงกับพื้น โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่าจนหน้าผากปูดบวม ใบหน้าซีดขาวด้วยรับรู้ถึงความผิดที่ไม่น่าอภัยของตน

“หม่อมฉันสมควรตาย! หม่อมฉันสมควรตาย!”

“ใช่ เจ้าสมควรตาย” พระนางตรัสเสมือนเห็นความตายเป็นเรื่องเล็กน้อย นิ้วเรียวยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง ทอดสายพระเนตรมองห้องโถงอันเงียบกริบราวชื่นชมมวลบุปผา

ช่างน่ากลัวเสียจริง! ขนาดพี่สาวทำงานรับใช้พระนางยังกล่าวว่าสมควรตาย แล้วกับข้าที่มิได้เกี่ยวข้อง ย่อมไม่ทรงเหลือวิญญาณไว้ให้ใครได้เซ่นไหว้

ฮองเฮาวางถ้วยชาลงถาดเงิน ลุกขึ้นตรงไปหาพี่สาวพลางเงื้อมือเรียวขึ้นตบแก้ม

เพี้ยะ!

รอยแดงช้ำปรากฏขึ้น เลือดแดงสดไหลตามรอยกรีดจากปลอกเล็บ ทว่าแทนที่พี่สาวจะร้องไห้ นางกลับคุกเข่านิ่งไม่ร้องขอชีวิต ทั้งใบหน้ายังไม่มีน้ำตาสักหยดจนคนมองเช่นข้าอดรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แทนนางมิได้

“แต่เจ้ายังทำได้ดี” ฮองเฮาปรายตามองมาทางข้าพลางสรวลในลำคอ

“ทำได้ดี?” พี่สาวเงยหน้ากล่าว แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยปนไม่เข้าใจ

ข้าเองก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อจับตัวคนไร้ประโยชน์เช่นข้ามาผิดแล้วพี่สาวจะทำได้ดีได้อย่างไร? แต่คำถามนี้กลับถูกความกลัวเข้าครอบงำ ข้าได้แต่นั่งตัวสั่นยอมให้ฮองเฮาเดินมาจับใบหน้าพิจารณาอย่างถ้วนถี่ สายตาคมมองจิกข้าทีละส่วนไล่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ

“เหมือนมาก หากไม่นับตัวเจ้าที่สั่นเทาอยู่ตรงนี้...องค์หญิงหมิงเหม่ยหลิงมิเคยเกรงกลัวผู้ใด ไม่เช่นนั้นจะกล้ายื่นข้อต่อรองกับข้ารึ? หึ!” พระนางสะบัดหน้าข้าจนหันไปอีกทาง พลางจ้องเขม็งประหนึ่งเหยี่ยวคอยควบคุมเหยื่อที่ตนหาได้ไม่ให้หนีรอดออกไป “เจ้ารู้มากเกินไป ดังนั้นข้าจึงมีทางเลือกต่อชีวิตให้ อย่างไรชีวิตเจ้าก็เท่ากับตายไปแล้ว” 

ข้ามองพระนางอย่างตกตะลึง ทรงคิดจะฆ่าข้าจริงเสียด้วย!

แล้วข้าทำสิ่งใดผิดเล่า? ที่ผิดคือฟู่ซิ่นจงที่จับข้ามาผิดมิใช่หรือ? ข้าไม่ได้อยากมานั่งตัวสั่นตรงนี้เสียหน่อย! แม้อยากเถียงใจแทบขาดแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปาก

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องอยู่ในฐานะองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิง เจ้าผิดเองที่หน้าตาคล้ายนางไม่มีผิด หากไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ ข้าคงไม่อาจปล่อยเจ้าและคนในสกุลเจ้าให้หายใจอยู่ได้” พระนางตรัสชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงฟังดูเรียบง่ายสงบนิ่ง แต่กลับบังคับคนฟังให้ยอมจำนนต่อกฎเกณฑ์ของตน

แล้วอย่างไรเล่า? อย่างกับข้าวังผิงเฟยผู้นี้มีสิทธิ์เลือก หากไม่ยอมรับเงื่อนไขคนสกุลวังจะโดนฆ่าปิดปากทั้งหมด เท่ากับว่าข้าต้องยอมรับอย่างจำนนมิใช่หรือไงกัน!

ข้าซ่อนความกลัวและโทสะ ก้มลงทูลอย่างนอบน้อม

“หม่อมฉันย่อมทำตามพระประสงค์ เพียงแต่...”

ข้าลังเลที่จะกล่าวต่อ พระนางจึงตรัสถามขึ้นเองว่า “เพียงแต่อะไร? หรือเจ้าอยากได้เงินทอง ข้ามีให้เจ้าได้” รอยยิ้มเย็นโค้งขึ้นอย่างงดงามทว่าน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง จนข้าคิดว่าตนถูกแช่เป็นก้อนน้ำแข็งไปเสียแล้ว

ใจเย็นเข้าไว้...

ข้าฝืนกลืนน้ำลายแล้วพูดต่อ “หม่อมฉันต้องการหมอและยามารักษาท่านแม่ เพราะหากท่านแม่ตายก็เท่ากับชีวิตหม่อมฉันได้ตายลงแล้วเช่นกัน” 

วันนี้ดวงข้าคงตกต่ำถึงขีดสุด ข้ากล้าท้าทายอ๋องน้อยจวี๋จวินฉีจนตัวเองเกือบโดนขืนใจ และยังกล้าท้าทายอำนาจมารดาของแผ่นดิน เวลานี้ข้าไม่มีสิ่งใดจะเสีย เช่นที่ทรงได้กล่าวไว้ ชีวิตข้าก็เท่ากับตายไปแล้ว ดังนั้นหากข้ากล่าวคำใดพลาดพลั้งผลลัพธ์สุดท้ายย่อมไม่ต่างกันเท่าไร

แล้วจะให้ข้าหวาดกลัวสิ่งใดอีกเล่า?

ฮองเฮายกถ้วยชาชะงักค้าง ยิ้มเรียบๆ กล่าวว่า “ข้าตกลง...หมอหลวงจะคอยดูแลแม่ของเจ้าอย่างดีทุกวันจนกว่าข้าจะพบตัวองค์หญิง” ทรงจิบชาอึกหนึ่ง จากนั้นถึงวางถ้วยลงอีกครั้งและถามข้า “เจ้าชื่ออะไร”

“หม่อมฉันวังผิงเฟยเพคะ” พระนางชะงักตัวนิ่ง สรวลขึ้นไม่หยุด

“หึ...สกุลวังหรอกหรือ? ไม่คิดว่าบุตรีมีใบหน้าคล้ายคลึงองค์หญิงมากนัก” ทรงหยุดคำพลางหันไปหาพี่สาว “ฟู่ซิ่นจง เจ้าจงไปตามหมอฝีมือดีมารักษาจนกว่าอาการนางจะหายขาด” 

“เพคะ” ฟู่ซิ่นจงยอบตัวรับคำ ก้าวถอยหลังออกไปรวดเร็วเพื่อไปจัดการตามคำสั่ง ทั้งห้องจึงเหลือเพียงข้ากับฮองเฮาเท่านั้น

“เจ้าต้องได้รับการขัดตัวเสียใหม่ เจ็ดวันนี้ต้องเรียนรู้กฎพื้นฐานในวัง เก็บตัวอยู่แต่ในห้องห้ามออกจากตำหนักเด็ดขาด ข้าจะสั่งลงโทษกักบริเวณเจ้า เข้าใจหรือไม่?” 

ฮองเฮาตรัสทั้งเสียงเย็นจนแทบเรียกได้ว่าเย็นชา แววตาดูโกรธตัวต้นเหตุไม่น้อย

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”

“เรื่องหนึ่งที่เจ้าห้ามลืม” พระนางหยุดคำ ก่อนพูดต่อ “ห้ามให้ใครรู้ตัวจริงของเจ้าเด็ดขาด หากพลาด...ข้อต่อรองนี้ถือเป็นสิ้นสุด เรื่องเรียนรู้ในวังเจ้าเองก็ต้องทำให้ได้ภายในเจ็ดวัน ข้าจะมอบให้ฟู่ซิ่นจงคอยดูแล”

“เพคะ”

“อีกเรื่อง เจ้าต้องเรียกข้าว่าเสด็จแม่” พระนางดูลังเลที่จะกล่าว ท่าทางลำบากใจไม่น้อยเมื่อให้คนไร้ฐานะเช่นข้าเรียกขานแทนองค์หญิง แต่ในเมื่อเรื่องทุกอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งข้าทั้งพระนางจำต้องทำไปตามที่ควรเป็น แม้อึดอัดกันอยู่บ้างแต่อย่างไรพวกเราต้องสวมบทบาทให้แนบเนียนที่สุด

“เพคะ” ข้ารับคำ

จังหวะนั้นเองที่ฟู่ซิ่นจงสาวเท้าเข้ามาในห้อง ฮองเฮาเรียกนางไปรับคำสั่งอยู่ครู่ ฟู่ซิ่นจงถึงพยักหน้าสองสามทีรับคำก่อนเรียกนางกำนัลหน้าห้องเข้ามาในห้องโถง

“พวกเจ้าเร่งไปเตรียมสำรับกับอ่างน้ำร้อน ข้าจะพาองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิงกลับตำหนัก” พี่สาวพูดสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มงวดแล้วเดินมาประชิดตัวข้าอีกรอบ

“เชิญองค์หญิงเสด็จเพคะ” นางผายมือไปที่ประตู แต่ข้ากลับหันหลังย่อตัวถวายบังคมฮองเฮา

“เสด็จแม่...หม่อมฉันทูลลา” ข้ากล่าวขึ้นพลางยิ้มเรียบ

พี่สาวหลุบหนีสายตาตำหนิของฮองเฮาด้วยลืมเตือนเรื่องสำคัญกับข้า ผิดกับข้าที่ทรงมองด้วยสายตาชื่นชมอยู่หลายส่วน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น