บทที่ ๘

บทที่ ๘

อย่าเพิ่งพระทัยร้อนสิคะ หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์เกือบห้ามไม่ทัน หัตถ์หนากุมกันแน่น รับสั่งไม่ออกว่าทำไมถึงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปถึงเพียงนี้ แค่ควงกันออกงานเพียงงานเดียวกลายเป็นข่าวลือได้ขนาดนี้เชียวหรือ สำคัญคือแค่ข้ามคืน ข่าวนี้กระเด็นเข้ากรรณอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วทันใจ

“อ้าว จะยังไงล่ะชาย ชอบกันอยู่แล้วก็ขอเสียให้เป็นเรื่องเป็นราว ใครเขาจะว่า เราก็มีเกียรติเป็นถึงราชนิกุลชั้นสูง เขาก็เป็นถึงลูกสาวพระน้ำพระยา เหมาะสมกันดี พี่ว่าทางฝ่ายเจ้าคุณวิเศษจะดีใจเสียมากกว่าที่จะได้มีลูกเขยเป็นหม่อมเจ้า ลูกสาวเขาจะได้เป็นถึงหม่อมเชียวนะชาย” ทรงออกโอษฐ์ปลาบปลื้ม ใครก็ได้เถอะ ขอให้มีเกียรติพอประมาณ มาฉุดน้องชายของพระองค์ลงจากความช่างเลือกเสียที

“ชายหมายถึง อย่างที่กราบทูลคราวที่แล้วไงคะว่าชายยังไม่ได้คิดชอบวิมาลาเขาแบบนั้น”

“อ้าว แล้วชายไปควงเขาออกงานได้ยังไง” ทรงทำพักตร์ง้ำ “อย่ามาปากแข็งเชียวนะชาย เราก็ไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้ จะมาหวงอะไรนักหนา แต่งไปเกิดไม่ชอบก็หาหม่อมเล็กหม่อมน้อยไปก็ได้ ไม่เห็นจะยาก ตอนนี้ขอให้ได้มีก่อนไม่ได้เชียวหรือ พี่กลัวจะแก่จนไม่มีแรงอุ้มหลาน”

“ทูลแล้ว ชายจะมีแค่หม่อมเดียว หม่อมที่ชายรัก”

“ก็แล้วไหนล่ะคนที่ชายรัก แค่ควงกันออกงานยังไม่มี พี่ก็เห็นมีแต่แม่วิมาลาคนนี้ละที่ชายกล้าควงให้คนอื่นเขาเห็น แถมบ้านก็ยังใกล้กันแค่นี้ บอกไปว่าไม่ได้คิดใครที่ไหนเขาจะเชื่อ”

“ก็พี่หญิงไงคะ น่าจะทรงเชื่อชาย ชายไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องปากแข็งหรือว่าโกหก ชายไม่ได้รัก ไม่ได้คิดกับเธออย่างนั้นจริงๆ ชายพาเธอออกงานเพราะว่าเพื่อนของชาย นายประจบนั่นแหละค่ะ เขาชวนน้องสาวของวิมาลาออกงาน แต่กลัวเจ้าคุณวิเศษจะไม่ให้ ชายก็เลยชวนวิมาลาเขาไปด้วย เจ้าคุณถึงยอม” ทรงอธิบายไปตามความจริง เพราะเป้าหมายแรกที่อยากให้ไปงานคือวิฬาร์ แต่เมื่อทำท่าจะไม่ไปก็เลยต้องเอาพี่สาวมาแอบอ้าง

“ไม่รู้ละ พี่ถือว่าชายทำให้เกิดข่าวขึ้นมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ แม่วิมาลาลูกสาวเจ้าคุณวิเศษคนนี้เป็นอย่างไร”

“ก็น่ารัก สวย เรียบร้อย แล้วก็เก่งงานบ้านงานเรือนค่ะ”

“เห็นไหมว่ามีแต่ข้อดี แต่งเถอะนะชาย แต่งไปเดี๋ยวก็รักกันเอง หรือชายจะให้พี่หาให้จริงๆ”

“โธ่ พี่หญิงคะ ชายขอเถอะนะคะ อย่าทรงทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เลย ถึงเธอจะดีแต่ชายก็ไม่ได้คิดกับเธออย่างนั้นจริงๆ ชายขอเวลาอีกนิดนะคะ ขอยืดเวลาออกไปอีกนิดเท่านั้นนะคะพี่หญิงของชาย” ทรงออดอ้อน ซึ่งก็น่าจะได้ผลเช่นทุกครั้ง

“ชายนะชาย” พระเชษฐภคินีทรงสะบัดพักตร์เมินไปอีกทาง แล้วทรงลุกขึ้นยืน

“จะเด็จไหนคะ”

“กลับสิจ๊ะ มาเสียเที่ยวแท้ๆ เชียว” 

แล้วก็เสด็จออกไปเลย เจ้าของบ้านทรงผ่อนปัสสาสะยืดยาว ไม่รู้ว่าเริ่มต้นได้อย่างไร และที่แน่ๆ คือพระเชษฐภคินีองค์นี้ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เสียเมื่อไร แล้วข่าวลือที่ทรงทราบมารุนแรงลุกลามไปถึงขั้นไหนก็สุดจะรู้ ท้ายที่สุดคือจะต้องระวังตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

แล้วก็เป็นอย่างที่ทรงคิดนั่นเอง เพราะรถพระที่นั่งของหม่อมเจ้าหญิงรุจิรภามิได้เลี้ยวไปในทางที่ควรจะเลี้ยว แต่ถูกสั่งให้เลี้ยวไปอีกทาง รับสั่งสั้นๆ เด็ดขาด 

“ไปผ่านทางบ้านเจ้าคุณวิเศษซิ” 

พระพรหมท่านคงเกรงจะชักช้าไม่ทันพระทัย เพราะรถเจ้ากรรมมาดับเอาเสียหน้าประตูรั้วตึกหลังใหญ่นี่เอง นายมหาดเล็กวิ่งลงไปแก้ ฝ่ายที่ประทับรอในรถก็ร้อนแสนจะร้อน แต่สายพระเนตรยังสอดส่ายเข้าไปในตัวบ้าน หวังจะได้เห็นหน้าแม่วิมาลาคนนี้สักครั้ง

บ้านยังเงียบเชียบ รถก็ยังแก้ไม่เสร็จ ไม่นานก็เสด็จลงมาจากรถเพราะทนความอบอ้าวภายในไม่ไหว ทรงถามนายมหาดเล็ก 

“รถเป็นอะไร”

“ไม่ทราบกระหม่อม อยู่ๆ ก็ดับเสียอย่างนั้น” 

คนขับก็แก้อะไรไม่ได้ กำลังทรงคิดว่าไปตามคนในวังน้ำค้างมาช่วยก็น่าจะดี เสียงหวานเสียงหนึ่งก็เรียกเอาไว้เสียก่อน พอทรงหันพักตร์กลับไปถึงได้ทอดพระเนตรเห็นร่างบางเดินลอดประตูรั้วออกมาหา หน้าตาท่าทางดี แต่อายุอานามน่าจะไม่มากนัก เสียงหวานยังทักซ้ำ

“รถเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

นายมหาดเล็กจะตอบก็ทรงยกหัตถ์ห้าม ก่อนจะหันมายิ้ม 

“รถเสียจ้ะ พอจะรู้จักใครที่ไหนจะแก้รถได้ไหมจ๊ะหนู” จะทรงทำเป็นคนธรรมดาสักวัน ไหนๆ รถก็เสียแล้ว มาดูน้ำใจคนบ้านเจ้าคุณวิเศษประกอบการตัดสินใจหน่อยจะเป็นไร แล้วดูท่าคนตรงหน้าก็ไม่น่าเป็นแค่เด็กในบ้านธรรมดาหรอก

“ต้องไปรับมาจากในตัวตลาดโน่นค่ะ ประเดี๋ยวให้คนไปตามให้นะคะ จะเข้ามาพักก่อนไหมคะ แดดร้อนออกอย่างนี้” เจ้าบ้านเชื้อเชิญอย่างมีไมตรี อีกประการคือท่าทางของสุภาพสตรีสูงวัยตรงหน้าก็ไม่ได้บ่งว่าจะเป็นคนเลวร้าย ดูจากเครื่องแต่งกาย รถที่ใช้ อีกทั้งกิริยาวาจาทั้งหลายก็น่าจะเป็นคนในสังคมชั้นสูงพอตัวทีเดียว

“เกรงใจหนู อีกอย่างเจ้าของบ้านเขาจะไม่ว่าเอาหรือจ๊ะ”

“เจ้าคุณพ่อไม่อยู่หรอกค่ะ มีอะไรเดี๋ยวฉันจะรับผิดชอบเอง” วิฬาร์ยิ้มขณะก้าวนำอีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน

เพราะเรียกเจ้าของบ้านว่าเจ้าคุณพ่อ ทำให้ฝ่ายเสด็จตามคิดไปไกลว่านี่หรือคือแม่วิมาลาลูกสาวเจ้าคุณวิเศษ ก็น่ารักอยู่หรอก ท่าทางก็ดีมีน้ำใจ แต่ไม่สวยอย่างที่เขาเล่าลือกัน ท่าทางก็คล่องแคล่วว่องไวเสียเกินกว่าจะเป็นผู้หญิงเก่งงานบ้านงานเรือนได้

“หนูชื่อวิมาลาหรือจ๊ะ” รับสั่งถามเมื่อประทับที่ศาลาเล็ก 

วิฬาร์ร้องสั่งให้คนเอาน้ำมาให้แขกของหล่อน เผื่อแผ่ไปถึงคนขับรถที่ยืนเฝ้ารถอยู่ข้างนอกด้วย ก่อนจะกำชับให้หาคนไปตามคนแก้เครื่องมาจากในตัวตลาด คนรับใช้รับปากมั่นเหมาะ ไม่นานก็ยกแก้วน้ำมาให้ วิฬาร์จึงตอบคำถาม

“รู้จักคุณพี่วิมาลาด้วยหรือคะ เปล่าหรอกค่ะ ฉันชื่อวิฬาร์ เป็นลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณพ่อน่ะค่ะ”

คนฟังทรงเลิกขนงเล็กน้อย “อ้าว หรือจ๊ะ ฉันคิดมาตลอดว่าเจ้าคุณวิเศษกับคุณหญิงแสนมีลูกคนเดียว” 

คำถามนี้เองที่ทำให้คนฟังหัวเราะน้อยๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยสักนิด

“ก็ถูกอยู่ค่ะ เพราะเจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแสนท่านมีคุณพี่วิมาลาคนเดียว ฉันเป็นลูกภรรยารองของท่านน่ะค่ะ” 

คำตอบนั้นทำให้คนที่นั่งฟังนิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะว่าถูกใจท่าทางยิ้มง่ายแบบนั้น แม้จะไม่สวยแต่ก็ช่างพูดช่างคุย ดังนั้นเมื่อทราบว่าอีกฝ่ายเป็นลูกภรรยารอง พระทัยจึงแกว่งนิดๆ

“ขอบใจมากที่ช่วยเหลือ” ประโยคต่อมาทรงใช้เวลารวบรวมครู่หนึ่ง เป็นอันว่าทรงรู้แล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่วิมาลา แต่เป็นคนน้อง...ชายภาไม่เห็นเคยพูดถึง

“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ นั่งรออยู่จนกว่ารถจะซ่อมเสร็จก็ได้นะคะ อ้อ นั่นไงคะพี่วิมาลา” 

หล่อนร้องบอก เรียกสายพระเนตรให้หันกลับไป ถึงได้เห็นสตรีร่างบางอีกคน คนนี้สวยกว่า สง่ากว่า ทุกท่าทางการเดินราวกับล่องลอยออกมา ทรงยิ้มอยู่ในที 

คนนี้หรือ...วิมาลา สวยจริง สวยสมคำเล่าลือ ถ้าชายภาจะชอบก็ไม่แปลกนักหรอก

“นั่นใครน่ะวิฬาร์” นั่นคือประโยคของคนที่ดึงตัวน้องสาวเข้าไปถาม หล่อนได้ยินมาว่าวิฬาร์พาใครก็ไม่รู้เข้าบ้านเลยเดินออกมาดู ถึงได้เห็นว่าเป็นสตรีวัยกลางคน ท่าทางหน้าตาดี เสียอย่างเดียวคือหล่อนไม่รู้จัก และคิดว่าน้องสาวก็ไม่น่าจะรู้จัก

“ไม่ทราบหรอกค่ะ รถเธอมาเสียหน้าบ้านเรา น้องให้คนไปตามช่างในตลาดมาให้ ข้างนอกร้อนก็เลยเชิญให้เธอมานั่งพักข้างใน” วิฬาร์เดินเกาะแขนพี่สาว “โธ่ เธอทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ น้องเชื่อว่าเธอไว้ใจได้ ไม่ได้เป็นโจรเป็นผู้ร้ายมาจากที่ไหนแน่นอน”

“พี่ก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้น แค่ไม่อยากให้เอาคนไม่รู้จักเข้าบ้านเท่านั้น”

“ก็ข้างนอกมันร้อนออกอย่างนั้นนี่คะ”

“เอาเถอะ” วิมาลาถอนหายใจ ยิ้มแล้วส่ายหน้าเพราะท่าทางของน้องสาว วิฬาร์ใจดีอย่างนี้เสมอ อย่างนี้ถึงได้น่ารัก เพราะมีน้ำใจ หล่อนเองก็คิดว่าผู้หญิงที่นั่งในศาลายามนี้คงไม่มีทางเป็นโจรเป็นผู้ร้ายอย่างที่น้องสาวว่านั่นแหละ แต่อดจะพูดไม่ได้เท่านั้นเอง

“ขอโทษนะจ๊ะ” เสียงเรียกของคนในศาลาทำให้การสนทนาของสองพี่น้องต้องหยุดลง “หนูชื่อวิมาลา เป็นลูกสาวเจ้าคุณวิเศษกับคุณหญิงแสนใช่ไหมจ๊ะ” 

คนถูกถามพยักหน้าแล้วเดินจูงมือน้องสาวเข้ามานั่งในศาลา เพิ่งได้มองคนตรงหน้าเต็มตานี่เอง ในความสวยมีรัศมีอะไรบางอย่างที่คุ้นเคย

“รู้จักเจ้าคุณพ่อกับคุณแม่ด้วยหรือคะ”

“ก็รู้จักเจ้าคุณวิเศษอยู่บ้าง ไม่นึกว่าวันนี้รถจะมาเสียเอาหน้าบ้านเจ้าคุณ ขอบใจหนูสองคนมากที่ให้ฉันเข้ามาพักข้างใน เพราะขืนอยู่ข้างนอกคงเป็นลมตายแน่นอน รับฉันเข้ามาอย่างนี้ไม่กลัวฉันเป็นโจรผู้ร้ายหรอกหรือ” 

เพราะถามเรื่องที่เพิ่งคุย สองพี่น้องจึงมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ก่อนวิฬาร์จะเฉลย

“ไม่หรอกค่ะ ท่าทางของคุณบอกไว้ว่าไม่ใช่แบบนั้น อีกอย่างเห็นอยู่ว่าคนเดือดร้อน จะให้เฉยอยู่ก็ใช่ที่”

คำตอบเรียบง่ายนั่นเองที่ทำให้ประทับอยู่ในพระทัย ดูเอาเถอะ ขนาดไม่รู้ว่าท่านเป็นใครยังต้อนรับดีเพียงนี้ มีน้ำใจถึงเพียงนี้ นี่ถ้ารู้จะเป็นอย่างไร ทรงยิ้มแล้วทอดพระเนตรสองพี่น้องสลับกันไปมา คนพี่สวยสง่า สวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์ คนน้องก็น่ารักน่าเอ็นดูไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าประทับพระทัยคนน้อง ถูกพระทัยคนพี่จะดีกว่า

“แล้วบ้านหลังนั้นล่ะจ๊ะ หลังใหญ่ๆ นั่น” ทรงชวนพูดไปถึงวังน้ำค้างของพระอนุชา แล้วก็สังเกตสีหน้าชัดเจน วิมาลายิ้มอยู่ในที ขณะที่วิฬาร์ออกจะเฉยจนเกือบเย็นชามากกว่า

“นั่นวังน้ำค้างค่ะ ของหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์”

“ใครนะจ๊ะ”

“หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ค่ะ” วิมาลาย้ำด้วยน้ำเสียงชื่นชมเหลือกำลัง “ทรงเป็นคุณหมอท่านชายน่ะค่ะ นายแพทย์หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์”

“อ้อ...ได้ข่าวว่ารูปงาม”

“ค่ะ รูปท่านงาม น้ำพระทัยท่านก็งาม” 

คำชมลอยออกมาจากหัวใจผ่านริมฝีปากอย่างไม่อาจปิดบัง มีหรือที่หม่อมเจ้าหญิงรุจิรภาจะไม่ทรงรู้ว่าวิมาลาคนนี้ดูเหมือนจะชื่นชมน้องชายท่านอยู่ไม่น้อย เป็นอันว่าเรื่องฝ่ายหญิงสำหรับพระองค์เองไม่มีปัญหา ทั้งสวยทั้งน่ารักออกปานนี้ ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหนมาได้อีก เหลือแต่ฝั่งชายหนุ่มเท่านั้นว่าจะทำอย่างไร

การสนทนาดำเนินเรื่อยไปด้วยเรื่องรอบกาย บางคราวก็เป็นเรื่องนอกความสนใจของวิมาลา ทรงสนุกที่จะได้คุยกับวิฬาร์มากกว่าเพราะรู้เยอะกว่า ท่าทางการพูดคุยไม่ได้อวดรู้ แต่พูดเรื่องที่รู้ได้อย่างคล่องปากเท่านั้นเอง อย่างน้อยก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน สำคัญคือถูกพระทัยนักหนาที่อีกฝ่ายเลือกเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น 

จากเช้าจนเกือบเที่ยง ตะวันจะตรงหัว คนของบ้านนี้ก็เข้ามาบอกว่ารถใช้ได้แล้ว

“พอดีเลยทีเดียว ขอบใจอีกครั้งนะจ๊ะที่ช่วยเอาไว้”

สองพี่น้องยกมือไหว้ลา ก่อนจะมองจนรถคันนั้นจนลับสายตา วิฬาร์เดินเข้าบ้าน บ่นกับพี่สาว 

“ยังไม่รู้ชื่อเลย แต่เธอก็คุยสนุกดีนะคะ ท่าทางเธอคงจะมีความรู้รอบตัวเยอะทีเดียว หาเรื่องมาพูดได้ไม่รู้เบื่อ” นานทีวิฬาร์จะได้เจอคนแบบนี้ เพราะอีกคนที่น่าจะรู้มากเหมือนกันไม่ค่อยน่าคุยด้วย คนในวังน้ำค้างนั่นอย่างไร รู้...รู้ทุกเรื่องนั่นแหละ

ไม่รู้ว่าทำไมต้องเอาไปเปรียบเทียบกับคนบ้านนั้นหรือว่าใครคนนั้นด้วยก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

พอวันเรียนมาถึงวิฬาร์ก็ไปเรียนตามปกติ แต่พอลงจากรถได้ ใครบางคนก็วิ่งมาคว้าข้อมือไปบีบเสียแน่น แล้วกึ่งลากกึ่งจูงออกไป คนเพิ่งตั้งสติได้ถึงได้เห็นว่าไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเลิศพงษ์ วิฬาร์สะบัดมือตัวเองออก ส่งให้คนที่เดินอยู่หยุดชะงักแล้วหันมามอง ฝ่ายชายหน้าง้ำ

“หยุดนะเลิศ มีอะไรจะต้องมาลากแขนกันแบบนี้”

“ไม่ต้องเลยวิฬาร์ วิฬาร์รู้ไหมว่าคนเขาลือกันให้ทั่วว่าคืนงานเต้นรำอาจารย์จองตัววิเต้นอยู่คนเดียวทั้งคืน จริงใช่ไหมวิฬาร์ อาจารย์ประจบต้องชอบวิฬาร์ของเลิศแน่นอน แล้วอาจารย์ทำอะไรวิฬาร์หรือเปล่าบอกเลิศมานะ เลิศจะไปเอาเรื่องอาจารย์เอง” 

ท่าทางคนพูดจะโกรธจริงๆ วิฬาร์ทำอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะกลบไปก่อน

“โธ่ เลิศ ก็เราเป็นคู่เต้นอาจารย์ เลิศไม่ให้อาจารย์เต้นกับเราแล้วจะไปเต้นกับใคร”

“แล้วที่เขาว่าหวานกันราวกับคู่รักนั่นอีกล่ะ”

หญิงสาวส่ายหน้าหัวเราะ ไม่รู้ว่าเลิศพงษ์เอาข่าวลือที่ไหนมาพูดนักหนา 

“พอเถอะเลิศ บอกว่าไม่มีก็คือไม่มี บอกว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เลิศคิดก็ขอให้เชื่อตามนี้ เดี๋ยวนี้เราเป็นคนพูดอะไรไม่น่าเชื่อถือไปแล้วหรือยังไง แล้วก็ขอร้องอีกอย่างเถอะนะ อย่าเรียกเราว่าวิฬาร์ของเลิศอีกเลย คนอื่นเขามาฟังจะพลอยเข้าใจผิด” หล่อนเกรงใจเรื่องนี้มานานแล้ว แต่หาโอกาสพูดไม่ได้เสียที

“ทำไมล่ะวิฬาร์ ก็วิฬาร์ของเลิศไง ใครมันจะคิดอะไรก็ช่างหัวมันสิ”

“โอ๊ย เจ้าข้าเอ๊ย คนอะไรก็ไม่รู้ทึกทักอะไรอยู่ได้คนเดียว คิดเองเออเองอยู่ได้เป็นเรื่องเป็นราว” 

เสียงอย่างนั้นไม่ต้องหันมองก็รู้ว่าใคร เลิศพงษ์ตวัดหางตามองผู้มาเยือน ศจีเดินมายืนอยู่ข้างวิฬาร์ ลอยหน้าลอยตาไม่สนใจตาเขียวๆ ของอีกฝ่ายเลยสักนิด

“ไปเถอะวิฬาร์ ไปเรียนกัน ปล่อยหมามันบ้าของมันไปตัวเดียว”

“หุบปากเลยเชียวนะ ยายผีเสื้อสมุทรศจี” 

เมื่อศึกทำท่าว่าจะเริ่ม วิฬาร์ก็ต้องออกโรงห้ามทัพด้วยการเดินหนีเสียดื้อๆ เลิศพงษ์ผวาตาม ศจีแทรกกลางวางเฉย เดินเบียดกันไปมาจนแทบจะร่วงตกบันได วิฬาร์เดินหนีพ้นบันไดตึกมาได้หน่อยเดียวก็ชนเข้ากับกำแพงสูงใหญ่ หญิงสาวเงยหน้ามองคอตั้งบ่า

อีกฝ่ายก้มลงมองด้วยสายตาอ่อนโยน สองมือจับไหล่ยึดไว้ไม่ให้ล้ม 

“จะรีบเดินไปไหนกันไม่ทราบครับ”

“ขอโทษค่ะอาจารย์” 

คนเดินชนผละออกมา ยกมือไหว้ขอโทษ เลิศพงษ์เองพอเห็นว่าเป็นใครก็เชิดหน้าเดินมายืนเทียบข้าง โดนศจีดึงแขนเสื้อให้ถอยออกมา ประจบมองภาพนั้นแล้วหัวเราะ เพราะดูท่าฝ่ายชายจะหลงฝ่ายหญิงอาการหนักน่าดูชม

“ไม่เป็นอะไร ผมเข้าใจว่าคุณกำลังหนีอะไรหรือใครบางคนอยู่” 

คำทักทายปราศรัยนั้นทำให้เลิศพงษ์หัวคิ้วกระตุก แต่ศจียิ้มถูกอกถูกใจ ถ้าให้เลือกระหว่างอาจารย์กับอ้ายหมาบ้าอย่างนายเลิศ อย่างไรเสียหล่อนก็ชอบอาจารย์ประจบที่ทั้งรูปงาม ทั้งฉลาด แล้วก็โก้อย่าบอกใครเพื่อน

“ผมว่าจะหาคุณอยู่พอดี”

“มีอะไรหรือเปล่าคะอาจารย์”

“ผมอยากจะขอบคุณเรื่องที่สโมสรคืนนั้น ผมสนุกมากทีเดียว แล้วคุณก็สวยมากในคืนนั้น ไม่แน่ใจว่าผมชมคุณหรือยังว่าคุณเต้นรำเก่ง” เขาบอก ทำให้คนฟังหัวเราะ

“อาจารย์ชมแล้วทุกอย่างที่อาจารย์พูดค่ะ”

“อ้าว อย่างนั้นถือว่าผมชมซ้ำเป็นคำยืนยันก็แล้วกัน อย่าลืมเข้าเรียนวิชาของผมนะ” 

ประจบพูดแล้วก็ยิ้ม เดินออกไป เลิศพงษ์สะบัดหลุดจากศจีมาเดินขวางหน้าวิฬาร์ สีหน้าโกรธจริงจัง

“เห็นไหม เลิศบอกแล้วว่าอ้ายอาจารย์นั่นต้องชอบวิฬาร์แน่นอน”

“อย่ามาพูดจาไม่สุภาพแถวนี้เชียวนะเลิศ แล้วอาจารย์ประจบท่านก็เป็นอาจารย์ เลิศจะมาเรียกท่านไม่สุภาพอย่างนั้นไม่ได้ เอาไว้สงบสติตัวเองได้เมื่อไหร่ค่อยมาพูดกัน ไปเถอะศจี” 

วิฬาร์ทำท่าจะโกรธเลิศพงษ์เอาจริงเอาจังเช่นเดียวกัน คนโดนทิ้งยืนนิ่งตัวเย็นวาบ ศจีเดินผ่านลอยหน้าลอยตาเชิดเข้าให้เสียหนึ่งทีอย่างสาแก่ใจ คนมองตามกำมือแน่น ชี้หน้ายายศจีปากดีอย่างคาดโทษ

“สะใจเราแท้เลยวิฬาร์ อย่างนายเลิศต้องเจออย่างนี้เสียบ้าง”

“เราก็ไม่ได้อยากทำหรอก แต่เลิศชักจะทำอะไรเกินควรไปแล้ว เรื่องเราไปงานเต้นรำกับอาจารย์ เราบอกให้ฟังกี่หนแล้วก็ไม่รู้ว่าไม่มีอะไร ตัวเองก็จะให้มีอะไรอยู่นั่นแหละ มันน่าโมโหไหมล่ะ” วิฬาร์บ่นเลิศพงษ์จริงจังเป็นครั้งแรก ศจีฟังแล้วหัวเราะ

“โอ๊ย เพิ่งจะรู้ตัวหรือเจ้าคะ นายเลิศเขาก็เป็นของเขาอย่างนี้มาตั้งนาน วิฬาร์ไม่สังเกตเองต่างหาก เขาชอบวิฬาร์มากนะ ชอบมากอาจจะถึงขั้นบ้าเลยก็ได้ ถึงได้เที่ยวหึงหวงไปทั่วไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างนี้ คนเขาก็รู้กันทั้งมหาวิทยาลัย เหลือแต่เจ้าตัวนี่แหละที่คิดว่านายเลิศคิดอย่างเพื่อน”

“ที่ว่านั่นจริงหรือเปล่า”

“อันไหนล่ะ”

“ก็อันที่ว่าเลิศไม่ได้คิดกับเราอย่างเพื่อน ความจริงเราก็พอรู้ แต่ไม่นึกว่ามันจะรุนแรงจนถึงคนอื่นมาร่วมรับรู้ด้วย”

“แน่สิ” ศจีขยับเข้าใกล้ ในยามที่ไม่มีเลิศพงษ์มาวุ่นวายหล่อนค่อยพูดได้ถนัดปากหน่อย “นายเลิศคนนี้นี่นะเขาเหมือนหมาบ้า เขาหวงของของเขาถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ของของเขาก็ตามเถอะ เราว่าวิฬาร์ต้องบอกไปจริงๆ จังๆ เสียทีหนึ่งว่าไม่ได้คิดอะไรด้วยนอกจากความเป็นเพื่อน ขืนปล่อยให้คิดเองอย่างนี้ไม่นานจะกลายเป็นหมาบ้าจริงๆ”

วิฬาร์คิดไม่ตก พูดไม่ออกว่าจะต้องบอกอย่างไร แล้ววันนั้นไม่นานนักเลิศพงษ์ก็กลับเข้ามาขอโทษ ทำหน้าราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ที่ว่าจะพูดก็เลยกลายเป็นพูดไม่ออกไปเสียอย่างนั้น 

ศจีเองก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะรู้ว่าวิฬาร์เกรงใจเพื่อน ความจริงเลิศพงษ์ก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่ขืนปล่อยไว้นานอีกหน่อยจะเป็นเรื่อง แต่ตัวหล่อนจะพูดอะไรได้ พูดไปไม่ทันถึงสองคำก็ทะเลาะกันแล้ว ขืนไปบอกนายเลิศเข้าไม่วายต้องถูกหาว่าโกหกแน่นอน

เย็นนั้นวิฬาร์นัดแนะกับศจีให้พาเลิศพงษ์ออกมาคุยกันเสียให้รู้เรื่อง นายเลิศตัวดีก็ดีใจว่าถูกนัดออกมาหา พอเห็นว่าศจียืนอยู่ด้วยก็หน้าง้ำไม่พอใจ

“จะลากยายผีเสื้อสมุทรมาด้วยทำไมก็ไม่รู้”

“เอ๊ะ อย่าปากดีนักเลย” ศจีชี้หน้าแล้วก็เงียบ สะบัดหน้าไปอีกทาง

“เลิศ เราขอคุยอะไรด้วยหน่อยเถอะนะ” 

วิฬาร์เปิดประเด็นเพราะไม่อยากปล่อยเวลาให้นานไป ชายหนุ่มจึงละความสนใจจากคู่กัดมาหาหญิงสาว เขาเดินเข้ามาใกล้ ยิ้มหวานและมองแน่วนิ่ง วิฬาร์ก็ยิ่งลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี มองศจีก็เห็นแต่อีกฝ่ายพยักหน้าให้กำลังใจเท่านั้น

“เรื่องที่เลิศชอบเรานั้น เรารู้แล้วนะ”

คนฟังยิ้มแก้มแทบปริ เดินตรงเข้ามากุมมือหญิงสาวเอาไว้ ถามละล่ำละลัก 

“แล้ว...แล้ววิฬาร์จะว่าอย่างไร ถ้าวิฬาร์เห็นด้วย เลิศจะให้คุณพ่อมาขอวิฬาร์หมั้นก่อนดีไหม เลิศกลัวนะวิฬาร์ กลัวอาจารย์ประจบจะมาเอาวิฬาร์ไปจากเลิศ นะวิฬาร์ เราหมั้นกันก่อนนะ” 

แค่เริ่มต้นเลิศพงษ์ก็คิดไปเสียไกล วิฬาร์กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากเย็น

“เราขอบใจในน้ำใจของเลิศมากนะ แต่เราไม่ได้คิดกับเลิศอย่างนั้น”

แค่จบประโยคนั้น มือเลิศพงษ์ที่กุมมือเธอเอาไว้ก็ร่วงตกลงมาแนบอยู่ข้างลำตัว 

“วิฬาร์หมายความว่ายังไง”

“เราชอบเลิศอย่างเพื่อนจริงๆ และไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่านั้น ถ้าเราทำให้เลิศคิดหรือเข้าใจอะไรผิดไป เราขอโทษนะเลิศ แต่วันนี้เราต้องบอก เพราะไม่อยากให้เลิศหวังอะไรไปอย่างนั้น เรารักเลิศเกินกว่าความเป็นเพื่อนไม่ได้จริงๆ” 

สิ้นคำบอกเล่า นัยน์ตาคนฟังก็แดงก่ำ ถามเสียงกร้าว

“ทำไมล่ะวิฬาร์ เลิศไม่ดีตรงไหน”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าเลิศไม่ดี เพียงแต่วิฬาร์ไม่ได้คิดกับเลิศอย่างนั้น” ที่บอกไปไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือเปล่า

“เพราะอ้ายอาจารย์นั่นใช่ไหม หรือเพราะยายศจียุให้วิฬาร์บอกเลิศแบบนี้ ไม่หรอก...วิฬาร์จะไม่มีทางบอกเลิศอย่างนี้แน่ถ้าไม่เพราะมีคนยุ หรือว่าจะเป็นไอ้หม่อมเจ้านั่น ใครวิฬาร์ ใครที่ทำให้วิฬาร์บอกกับเลิศแบบนี้!” เสียงเลิศพงษ์เริ่มดัง ไม่นานก็กลายเป็นตวาด ร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วใช้สองมือเขย่าแขนวิฬาร์พลางถามซ้ำ

“บอกเลิศสิวิฬาร์ บอกเลิศมาว่าใครมันยุให้วิฬาร์ทำร้ายหัวใจเลิศอย่างนี้”

“ไม่มีใครเขายุวิฬาร์ได้หรอกเลิศ” ศจีออกโรงจะดึงแขนชายหนุ่มออก “วิฬาร์เขาไม่ได้คิดกับเลิศอย่างนั้นก็แล้วทำไมไม่ยอมรับเล่า คนเขาไม่รักไม่ชอบจะบังคับเขาได้อย่างไร”

“หยุดเลยนะยายศจี เธอนั่นแหละตัวดีที่มายุวิฬาร์”

“โว้ย ก็แล้วใครเขาจะยุให้ใครรักใครหรือไม่รักใครได้” คนหวังดียืนโวยวาย เลิศพงษ์เลยหันมาถามหญิงสาวอีกคน

“ไม่จริงใช่ไหมวิฬาร์”

“ขอโทษนะเลิศ ขอโทษจริงๆ” 

คำตอบรับแผ่วเบาทำเอาทุกอย่างในสมองของเลิศพงษ์หมุนคว้างไปหมด เขาเซแล้วถอยออกมาสองสามก้าว มองหน้าคนพูดนิ่งทั้งที่ตัวเองก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ เขารักวิฬาร์ รักหมดทั้งหัวใจนี่แหละ แล้วก็ไม่ได้อยากได้แค่ความรักอย่างเพื่อน เขาอยากได้มากกว่านั้นและสมควรที่จะได้มากกว่านั้น

“เลิศรักวิฬาร์” เสียงเขาแหบแห้ง ตาแดงก่ำ “เลิศรักวิฬาร์จริงๆ นะ”

“แต่เราไม่ได้รักเลิศแบบนั้น”

เลิศพงษ์สูญเสียเรี่ยวแรงจะยืนไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เขาสูดลมหายใจลึกแล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินโผเผออกไป เดินไปราวกับร่างไร้วิญญาณ วิฬาร์มองตามแล้วสงสารสุดหัวใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนหัวใจตัวเองไม่ได้

ศจีวางมือลงบนบ่าหล่อน “บอกไปอย่างนี้ดีแล้ว ดีกว่าปล่อยให้ถลำลึกแล้วมาผิดหวังเอาทีหลัง” 

แม้จะบอกแบบนั้นแต่ตัวเองก็ห่วงอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือนกัน เลิศพงษ์ดูอาการหนักกว่าที่คิด ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะจากนั้นตลอดทั้งสัปดาห์ ชายหนุ่มก็ไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นที่มหาวิทยาลัยเลย

วิฬาร์คิดเรื่องนี้จนกลายเป็นคนนอนหลับยากเต็มที หล่อนไม่รู้ว่าป่านนี้เลิศพงษ์เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เคยคิดว่าเพื่อนจะผิดหวังได้มากมายขนาดนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เครียดเสียจนหลายคนสังเกตเห็น เพราะนานแล้วที่วิฬาร์ไม่ค่อยยิ้มหรือหัวเราะนัก ถ้าพอจะมีเวลาสักหน่อยก็นั่งเหม่อ วิมาลาเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงไปกราบทูลให้คนที่ทำขนมไปให้ฟัง

“หมู่นี้วิฬาร์เป็นอะไรไม่ทราบเพคะ เหม่อลอยเหมือนคนใจไม่ค่อยอยู่กับตัว หม่อมฉันกลัวน้องไม่สบาย” 

หล่อนไม่ได้คิดอะไรมากกว่าการเล่าสู่กันฟัง แต่ผู้ฟังสะดุ้ง ความห่วงใยแล่นวูบเข้ามาในอุระร้อนผ่าว คนสดใสร่าเริงอย่างวิฬาร์น่ะหรือจะเหม่อลอย

“มีไข้ ตัวร้อน หรือร่างกายมีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีเพคะ เพียงแต่พูดน้อยลง ทานน้อยลง หม่อมฉันว่าคงจะคิดมากเรื่องเรียน นี่เจ้าคุณพ่อเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร” หล่อนว่าไป หัวใจคิดถึงน้องสาว ขนมที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ยกมาถวายจึงเป็นม่าย เพราะคนที่ได้ของถวายเสวยอะไรไม่ลง พระทัยยังกังวล

“อาทิตย์หน้ามหาวิทยาลัยหยุดหลายวัน” เพิ่งทรงคิดได้ว่าสัปดาห์หน้ามหาวิทยาลัยหยุดเสียหลายวัน เพราะประจบมาเปรยๆ ให้ฟังว่าต้องนั่งเหงาอยู่บ้าน ไม่มีอะไรทำ “ไปเที่ยวหัวหินกันไหม ไปเที่ยวด้วยกันสองบ้าน เผื่อว่าได้เที่ยวแล้วอาการวิฬาร์จะดีขึ้น”

“จริงหรือเพคะ” วิมาลาเงยหน้ายิ้ม แน่นอนว่าทรงยิ้มตอบรับ

“ถ้าเจ้าคุณอนุญาตนะ”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น