2
แค่รักคงไม่พอเพียง
ตุ๊กตาบ่าวสาวหมุนตัวตามจังหวะวนกลับไปกลับมาพร้อมเสียงเพลงจากกล่องดนตรี ทั้งสองอยู่ในโลกแห่งเพลงวอลซ์และรักหวานซึ้งตราบชั่วนิรันดร โลกที่มาหยารัศมีได้เพียงแค่ฝัน ทว่าไม่มีวันได้ครอบครอง
ร่างกายของเธอเจ็บร้าวไปหมด แต่ไม่เจ็บเท่าหัวใจ สมองตีบตันด้วยอารมณ์หดหู่สิ้นหวัง เมื่อวานเธอยังคิดว่าการแทรกแซงแผนการของบัวบูชาเป็นเรื่องฉลาดที่สุดเท่าที่เธอเคยคิดได้ แต่วันนี้มาหยารัศมีพบว่านั่นเป็นเรื่องโง่เขลาเท่าที่เธอเคยกระทำ เพราะเธอลงมือทำร้ายตัวเองอย่างสาหัส และไม่กล้าจะไปสู้หน้ามหาภาพ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไรกับน้องสาวคนนี้
หญิงสาวนั่งเอนหลังอยู่บนเตียง หมุนแกนข้างกล่องดนตรีอีกรอบเมื่อมันหยุด ฟังซ้ำไปซ้ำมา ดูการเคลื่อนไหวครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่รู้ว่าตนได้ยินได้เห็นอะไรตรงหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาเดินเข้ามาในห้อง
“เกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนไปไหนมา”
เรืองฤทธิ์เปิดประตูเข้ามาถามโดยไม่เคาะ น้ำเสียงของเขาห้วนกระด้าง ยากที่คนฟังจะรู้ว่านั่นเป็นการแสดงออกถึงความเป็นห่วง
หากเป็นเมื่อก่อนมาหยารัศมีคงโวยวายไปแล้วว่าพ่อก้าวก่ายเรื่องของเธอ แต่ตอนนี้เธอนิ่งเงียบ ซึ่งสร้างความกังวลให้แก่เขายิ่งกว่าการแผดเสียงแสดงความเอาแต่ใจเสียอีก
“เป็นอะไรไป ไม่สบายเหรอ ไปหาหมอหรือยัง”
มือใหญ่เอื้อมไปแตะหน้าผากบุตรสาว แต่เธอเบี่ยงหน้าหลบ เพราะไม่คุ้นเคยกับการแสดงความรักระหว่างพ่อลูกที่ห่างหายไปสิบกว่าปี
มาหยารัศมีไม่ได้ไม่รักพ่อ แต่เวลาแห่งความสนิทสนมหมดไปนานแล้ว ตอนห้าขวบเธอเคยร้องขอ แต่เรืองฤทธิ์ทุ่มเทชีวิตไปกับงานจนหมดสิ้น แล้วชดเชยลูกสาวที่ขาดแม่ด้วยเงินทอง
ทุกครั้งที่คนเป็นลูกขอเวลาให้ทั้งคู่ ไม่ว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน คนเป็นพ่อจะถามว่าไปกับคนอื่นได้ไหม กินข้าวคนเดียวได้หรือเปล่า หากอารมณ์ไม่ดีก็จะสั่งไม่ให้เธอกวนใจ เพราะเขากำลังหาเงินให้
การเรียกร้องความสนใจด้วยการออกเที่ยวกลางคืน ไปปาร์ตีโต้รุ่ง เต็มที่ก็แค่ทำให้พ่อโกรธจนต้องเข้ามาตำหนิ ทว่าไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น สุดท้ายเธอจึงเคยชินว่ามีหรือไม่มีพ่ออยู่เคียงข้างก็ได้
เพราะที่ผ่านมาเธอมีมหาภาพ เขาเป็นความอบอุ่นของเธอ เป็นคนที่คอยพาเธอไปไหนต่อไหน ตอนสอบเข้ามัธยม เข้ามหาวิทยาลัย แม้แต่ตอนเรียนจบถ่ายรูปฉลองรับปริญญา มาหยารัศมีก็มีเขาอยู่ข้างๆ
กล่องดนตรีประดับเจ้าบ่าวเจ้าสาวอันนี้ก็เป็นของขวัญวันเกิดของมาหยารัศมีที่มหาภาพมอบให้ เธอยังจำมันได้ดีเพราะวันนั้นเรืองฤทธิ์ลืมวันคล้ายวันเกิดครบอายุสิบขวบของเธอ เนื่องจากเขาบินไปงานฉลองธุรกิจเปิดใหม่ในต่างจังหวัด แม่บ้านลาออกพอดี ไม่มีคนหาข้าวให้เด็กน้อยคนเดียวในบ้าน ทำให้เธอร้องไห้เพราะความหิว และคิดว่าตัวเองไร้ความสำคัญ
ช่วงเวลาที่เด็กหญิงคิดว่าตนอยู่เพียงคนเดียวในโลก เด็กชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาพร้อมกล่องของขวัญและคำปลอบโยน ของขวัญจากเขาอาจไม่ช่วยให้เธอหยุดร้องไห้ แต่อ้อมกอดของเขาช่วยได้
‘ไม่งอแงแล้วนะ ลูกหยีไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวซะหน่อย’
จากวันนั้น โลกของมาหยารัศมีจึงเป็นพี่ภาพ ไม่ใช่พ่อ
มือของหญิงสาวหมุนกล่องดนตรีต่อ เพราะไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่านี้ แต่มันเป็นการยั่วโมโหบิดาโดยไม่เจตนา เขาห่วงใยเธอ ทว่าไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบกลับสักนิด
“ทำบ้าอะไร พ่อพูดไม่ได้ยินเหรอ”
ด้วยอารมณ์หงุดหงิด เรืองฤทธิ์จึงปัดของที่อยู่ในมือบุตรสาวออก หวังแค่จะหยุดไม่ให้มันส่งเสียงรำคาญหู ไม่นึกว่ามันจะหล่นลงมาแยกชิ้นส่วนอยู่บนพื้น ตามด้วยเสียงกรีดร้องของมาหยารัศมี
“พ่อ!!! นั่นของพี่ภาพให้ลูกหยีนะ พ่อทำอย่างนี้ได้ยังไง”
ร่างที่ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองต่อบิดาเมื่อครู่ กลับถลาลงจากเตียงเพื่อประคองเศษตุ๊กตาเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หลุดแยกออกจากกันขึ้นมาดูว่าจะสามารถซ่อมแซมมันได้ไหม
แต่ไม่ว่าจะเพ่งมองอย่างไร เธอก็รู้ว่าของที่พังไปแล้วไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม กล่องดนตรีที่กลายเป็นชิ้นๆ จึงเป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือนว่าสิ่งที่หลุดจากมือของเธอไปแล้วไม่มีทางกลับมาได้ เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายน้องสาว ซึ่งเป็นเพียงอย่างเดียวที่มหาภาพเต็มใจมอบให้ แต่นอกจากมาหยารัศมีจะรักษามันเอาไว้ไม่ได้ เธอยังทำลายด้วยสองมือตนเอง
อารมณ์โกรธเกรี้ยวอัดแน่นต้องการหาที่ระบาย ส่งผลให้มาหยารัศมีหันไปตะโกนใส่เรืองฤทธิ์ ตัดบทคำขอโทษที่ค้างอยู่บนปลายลิ้นของเขา
“พ่อทำมันพังทำไม! พ่อเข้ามาในห้องลูกหยีทำไม!!!”
ก็เพราะพ่อห่วงลูกยังไง เป็นประโยคที่อยู่ในใจของเรืองฤทธิ์ ทว่าเขาไม่เคยพูดมันออกมา เขาอยากให้ลูกสาวรู้ว่าถึงเขาจะหมกมุ่นกับงาน แต่มาหยารัศมีเป็นคนที่เขานึกถึงและห่วงใย น่าเสียดายที่เขามักจะแสดงออกช้าไปเสมอ
ตอนมาหยารัศมีอายุห้าขวบ เรืองฤทธิ์เพิ่งนึกได้ว่าคนรับใช้บอกว่าเธอบ่นคิดถึงเขา แต่เขารอสะสางงานให้เสร็จก่อน ค่อยกลับมาบ้านมา และพบว่าลูกสาวกำลังหัวเราะเล่นอยู่กับมหาภาพ ตอนเธอสิบขวบ เขายอมรับว่าดีใจที่ทำงานชิ้นใหญ่สำเร็จ ดีใจที่หาหลักประกันด้านการเงินให้ลูกได้ เช้าวันต่อมาเมื่อพ่อของมหาภาพโทร. มาบอกว่าเด็กชายไปอยู่เป็นเพื่อนเด็กหญิงทั้งวัน เขาจึงรีบส่งของขวัญวันเกิดย้อนหลังมาให้ แต่มันก็ล่าช้าเกินไปและไร้ความสำคัญไปเสียแล้ว
ช่วงนี้เขามีปัญหาเรื่องงาน กว่าจะนึกได้ว่าละเลยลูกสาวก็พบว่าเมื่อวานเธอหายไปเกือบทั้งคืน แต่ก็สายเกินกว่าจะพูดกันดีๆ หรือไม่ก็อาจสายเกินกว่าจะกอบกู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่
“มันจะสักเท่าไหร่เชียว เดี๋ยวให้คนไปหาซื้อให้ใหม่ จะเอากี่สิบกี่ร้อยอันก็บอกมา”
ถ้ามันจะทำให้สองพ่อลูกกลับมาเป็นเหมือนเดิม กลับไปตอนเธออายุสี่ขวบ ตอนที่เขาสอนเธอขี่จักรยาน อุ้มเธอตอนหกล้ม เป็นคนที่เธอหันมาหาทุกครั้งที่ร้องไห้ ต่อให้เอาทุกอย่างที่เขามีไปจนหมดสิ้นรวมทั้งชีวิต เรืองฤทธิ์ก็จะหามันมามอบให้มาหยารัศมี
“ลูกหยีไม่เอาของของพ่อ ลูกหยีจะเอาของพี่ภาพ พ่อทำให้มันกลับไปเหมือนเดิมได้ไหมล่ะ”
เขาทำไม่ได้ เขาทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อลูกกลับไปเป็นดังเดิมไม่ได้ เขาทำได้แค่ให้มันเลวร้ายลง
“ถ้าเห็นมันดีกว่าพ่อ ก็ไปอยู่กับมันไป”
ใบหน้าของมาหยารัศมีซีดเผือดโดยไม่ทราบสาเหตุ เรืองฤทธิ์อยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอผลุนผลันวิ่งออกไปจากห้อง ผ่านประตูหน้าบ้านไปถึงประตูรั้วด้วยความเร็วที่เขาตามไม่ทัน
“ลูกหยีหยุดนะ! เป็นบ้าอะไรฮะ!!!”
เรืองฤทธิ์กลัวว่าลูกจะออกจากบ้านเพื่อประชดคำพูดของเขาแล้วไม่กลับมาอีก แต่กลับพบว่ามาหยารัศมียืนนิ่งค้างอยู่หน้าประตูรั้ว สองตาของเธอมองไปยังรถที่ขับผ่านไปด้วยความเร็ว แต่ไม่เร็วไปกว่าจะมองเห็นว่ามีใครนั่งอยู่ตอนหน้าของรถ
มหาภาพกับบัวบูชานั่งรถออกไปด้วยกัน
ไหนว่าพวกเขาเลิกกันแล้ว ทำไมยังอยู่ด้วยกัน สายตาของมาหยารัศมีไม่ได้ดีพอจะมองผ่านกระจกกรุฟิล์มกันแสงไปเห็นสีหน้าของมหาภาพและบัวบูชา แต่เห็นชัดเจนว่าคนที่เธอรักและมอบตัวพร้อมหัวใจไปให้ กลับไปหาคนรักเก่า คนที่ทรยศเขา โดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาถามเธอถึงเรื่องเมื่อคืน
โลกของมาหยารัศมีกลายเป็นสีดำ เธอเดิมพันความรักลงไปจนหมด แล้วพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงความว่างเปล่า
“ลูกหยี! ลูกหยี”
เสียงตะโกนของเรืองฤทธิ์เหมือนดังมาจากที่ไกลๆ แต่มาหยารัศมีปิดกั้นการรับรู้รับฟัง ไม่สนใจว่าขณะตัวเองจมไปสู่การสลบไสล คนที่รักเธอโดยปราศจากเงื่อนไขกำลังเจ็บปวดไม่ต่างจากเธอ
“ลูกหยีไม่สบายเหรอ”
น้ำเสียงผ่านสายโทรศัพท์ของมหาภาพยังคงแสดงความห่วงใยเหมือนวันก่อน แต่วันนี้มันไม่ก่อให้เกิดความอบอุ่นให้แก่มาหยารัศมีเช่นเดิมอีกแล้ว ความจริงเธอไม่อยากจะคุยกับเขา โทรศัพท์มือถือถูกปิดเครื่องไปตั้งแต่เมื่อวาน ทว่าเขายังติดต่อมาผ่านโทรศัพท์บ้าน
หลังจากเธอหมดสติอยู่ตรงประตูรั้ว เรืองฤทธิ์ก็พาเธอกลับมาห้องนอน ระหว่างปฐมพยาบาลก็ให้คนมาจัดการเอากล่องดนตรีเจ้าปัญหาออกไป แล้วไม่รู้ว่าเกิดความผิดพลาดตรงไหน ของที่ควรได้รับการซ่อมแซมจึงหายไปพร้อมกองขยะ แล้วหัวใจของเธอก็ตามไปด้วย
“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ”
เธอไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ เพราะเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็พบว่าตาที่มืดบอดเพราะความรักของเธอสว่างขึ้น
มหาภาพไม่เคยแสดงออกกับเธอเกินกว่าคำว่าพี่ชาย เป็นมาหยารัศมีต่างหากที่งมงายในรัก ไม่ว่าเขาจะคบหรือเลิกรากับบัวบูชา ก็ไม่ได้ทำให้เขากลายมาเป็นคนรักของเธอ
“เมื่อวานพี่จะไปหาลูกหยี แต่น้ามลไม่สบาย พี่เลยรีบพาน้ามลไปโรงพยาบาล”
สมองของมาหยารัศมีพยายามประมวลเหตุการณ์ แล้วคาดเดาว่าขณะมหาภาพขับรถออกไปพร้อมบัวบูชา เบาะหลังของรถที่เธอมองไม่เห็น คงมีร่างของกมลชนกนอนอยู่
“น้ามลเป็นยังไงบ้างคะ” ถึงเธอกับอีกฝ่ายจะมีปัญหากัน แต่อย่างไรกมลชนกก็เป็นญาติสนิทของมหาภาพ ความเคยชินทำให้มาหยารัศมีถามออกไป
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แต่หมอบอกว่าน้ามลเครียดเกินไป พี่เลยอยู่เฝ้าน้ามลตั้งแต่เมื่อวาน น้ามลหลับๆ ตื่นๆ นี่ก็เพิ่งหลับสนิท”
น้ำเสียงของมหาภาพบอกว่ามีอะไรมากกว่านั้น แต่มาหยารัศมีไม่อยากจะซักถามในเวลาที่เธอเองก็อ่อนล้าไปทั้งตัวและหัวใจ อยากจะวางสายด้วยซ้ำ แต่เขากลับโพล่งถามในเรื่องที่เธอไม่อยากพูดถึง
“คืนก่อน ทำไมลูกหยีไปที่ห้องนั้น”
มาหยารัศมีกัดปาก มือที่ไม่ได้ถือหูโทรศัพท์จิกลงไปบนเนื้อตัวเอง เพื่อให้ความเจ็บช่วยให้เธอมีสติสำหรับใช้ตอบคำถาม แต่ไม่พบว่ามีคำตอบไหนดีพอ
‘ลูกหยีแค่อยากผูกมัดพี่ภาพ’
‘ลูกหยีแค่เห็นโอกาสจะใช้ตัวเองแลกตำแหน่งคนรักของพี่ภาพ’
‘ลูกหยีแค่โง่เกินไป คิดว่าเซ็กซ์แลกความรักได้’
การตำหนิตัวเองว่าโง่ แตกต่างจากการประจานความโง่ของตนให้คนอื่นรับรู้ มาหยารัศมีเคยพูดเป็นนัย เปิดเผยความในใจให้มหาภาพรับรู้ แต่เขาพยายามกลบเกลื่อนและตอบกลับเป็นนัยเช่นเดียวกันว่าไม่รักเธอ แต่เธอก็ยังทำเรื่องผิดพลาดเพื่อจะแย่งหัวใจของเขามาครอง
“ลูกหยีมีอะไรก็พูดกับพี่ตามตรงได้เลยนะ” น้ำเสียงปลอบประโลมของมหาภาพ ส่งผลให้มาหยารัศมีหลับตาลงด้วยความเจ็บร้าวในอก
เธอรู้แล้วว่าทำไมถึงไม่เคยบอกรักมหาภาพได้อย่างชัดเจนสักครั้ง
เพราะมาหยารัศมีรู้ว่าไม่มีทางได้ความรักของมหาภาพ เธอไม่ได้กลัวอับอาย แต่รู้ว่ามันจะเป็นจุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ของทั้งสอง เธอหวาดกลัวที่จะพลาดหวังจากสิ่งที่ได้ร้องขอ ทว่าในวันนี้เวลานี้ เขากลับมอบในสิ่งที่เธอไม่ได้ร้องขอ
“พี่จะรับผิดชอบลูกหยีเอง เราจะแต่งงานกันทันทีที่ลูกหยีพร้อม”
น้ำตาของเธอหยดลงมาโดยไม่รู้ตัว และมันไม่ใช่น้ำตาแห่งความสุข
หากมาหยารัศมีไม่รู้จักมหาภาพเป็นอย่างดี เธอคงไม่สังเกตว่าคำพูดหนักแน่นของเขา แฝงน้ำเสียงไม่สบายใจซ่อนอยู่ลึกๆ
อาจเพราะใจของเขา ไม่ยินยอมพร้อมใจไปกับสมองที่สั่งให้เขาต้องรับผิดชอบ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ลูกหยีกำลังไปเรียนต่อโทที่อเมริกา”
เราจะแต่งงานกัน เป็นประโยคที่มาหยารัศมีอยากได้ยินจากปากมหาภาพมากที่สุด แต่เมื่อสิ่งที่เคยอยากได้มาตั้งแต่จำความได้มาอยู่ในมือ เธอกลับไม่อยากได้มันแล้ว เพราะสิ่งที่ต้องการที่สุดในตอนนี้คือไปจากเขา ไปอยู่ที่ไหนสักที่ที่ไม่มีคำว่า เรา และไม่มีเขา
“ไหนลูกหยีบอกพี่ว่าไม่อยากไปไงล่ะ” น้ำเสียงของเขาเริ่มร้อนรน แต่เธอเย็นชาไปถึงหัวใจ จนไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น
“พ่อเห็นว่ามันดีกับลูกหยีค่ะ” ซึ่งมันคงจะดีจริงๆ แล้วก็คงจะจริงอย่างที่พ่อของเธอพูดในตอนที่เธอเพิ่งฟื้นจากอาการสลบ
‘ถ้าจะเป็นจะตายเพราะผู้ชายขนาดนี้ก็ไปเรียนต่อเมืองนอกซะ จะได้หัดฉลาดๆ ขึ้นมากับเขาบ้าง’
มาหยารัศมีต้องยอมรับว่าเรืองฤทธิ์พูดถูก นอกจากตามตื๊อมหาภาพ เธอก็ทำเป็นแต่เรื่องโง่ๆ การไปเรียนต่อ อาจจะช่วย หรือไม่ช่วยพัฒนาสมองของเธอเลยก็ได้ แต่การไปให้ห่างเขา คงช่วยหัวใจที่เจ็บช้ำของเธอได้อย่างแน่นอน
“ลูกหยี พี่ไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พี่ยืนยันว่าจะรับผิดชอบลูกหยี”
“ขอบคุณค่ะ”
ขอบคุณที่ยังเป็นห่วงเธอ ขอบคุณที่ไม่กล่าวโทษสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการของเธอ ขอบคุณทุกอย่างที่เขามอบให้ รวมถึงการที่เขาช่วยให้เธอตระหนักรู้เมื่อสายว่าความหวังดีไม่ใช่ความรัก
ปลายสายยังมีหลายอย่างจะพูดกับเธอ แต่มาหยารัศมีวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้นอย่างแผ่วเบา สั่งคนรับใช้ว่าเธอจะนอน ไม่ต้องการรับโทรศัพท์จากใครทั้งนั้น มันเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเรียกดังขึ้น เธอหันหลังเดินกลับห้อง ขณะหูได้ยินคนรับใช้บอกมหาภาพว่าเธอไม่สบาย ต้องการพักผ่อน
สองเท้าของมาหยารัศมีไม่ชะงักเพื่อกลับไปรับสายของมหาภาพ แล้วก็ไม่ลังเลตอนเดินผ่านเมื่อเห็นเรืองฤทธิ์ส่งสายตาคาดโทษมาให้
เธอเหนื่อยแล้วจริงๆ จะไม่ทำอะไรที่ไร้ประโยชน์อีกแล้ว
สนามบินเป็นจุดวัดระดับความรัก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดสำหรับกล่าวอำลา มีคนมากมายเดินทางไกล โดยมีคนที่ห่วงใยมองตามหลัง ทว่ามาหยารัศมีไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น
หญิงสาวนั่งรอเวลาตามลำพัง โดยมีโทรศัพท์มือถืออยู่ในกระเป๋าสะพาย อีกไม่กี่ชั่วโมงเธอคงใช้หมายเลขนี้ไม่ได้ มันทำให้เธอชั่งใจว่าควรติดต่อบิดาก่อนจากไปดีหรือไม่ เพราะหลายวันที่ผ่านมาเรืองฤทธิ์วุ่นวายกับงานจนไม่มีเวลาพบหน้าเธอเลย มาหยารัศมีอยากกล่าวอำลาพ่อ แต่ก็กลัวว่าจะกลายเป็นการชวนทะเลาะ เพราะพ่อไม่ชอบให้ใครรบกวนเวลาทำงาน
สิ่งที่มาหยารัศมีไม่รู้และไม่มีทางรู้ตลอดชีวิต ก็คือเรืองฤทธิ์กำลังแอบมองเธออยู่ เขาไม่ได้อยากให้เธอไปเรียนต่อไกลตาอย่างที่แสดงออก แต่มีความจำเป็นบังคับ ดังนั้นจึงใช้คำพูดรุนแรงขับไสลูกสาวให้จากไป
ขณะที่มองเธออยู่ไกลๆ ทั้งที่ใจอยากเข้าไปหา ไปกอดลูกที่นั่งอยู่ตามลำพัง เขาก็ต้องข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเธออาจจะเปลี่ยนใจอยู่ที่นี่ แล้วเผชิญกับเรื่องที่เขาไม่อยากให้เธอต้องพบเจอ
เรืองฤทธิ์มีคำพูดหลายอย่างที่อยากจะใช้ลบล้างคำพูดร้ายๆ ในครั้งสุดท้ายที่สองพ่อลูกคุยกัน ไม่ว่าจะเป็น ‘พ่อหวังดีกับลูก พ่ออยากให้ลูกมีความสุข’ แต่เขาไม่อาจใช้มันออกไป
“สู้ๆ นะลูก”
นี่เป็นคำที่เรืองฤทธิ์บอกเด็กหญิงมาหยารัศมีตอนเธออายุสี่ขวบ ซึ่งต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาล เสียดายที่เวลานี้ เธอกำลังจะไปเรียนต่อปริญญาโท เขากลับแอบมาพึมพำบอกโดยที่เธอไม่รู้
เมื่อดวงตาไม่อาจกักน้ำตาเอาไว้ รวมถึงหัวใจที่อาจจะทนต่อการมองดูเธอจากไปไม่ไหว เรืองฤทธิ์ก็หันหลังจากไป ทุกๆ ก้าวถ่วงหนักในใจเขา ลังเลว่าจะไปหรือไม่
ครู่ต่อมาหญิงสาวที่ก้มหน้ามองพื้นก็เงยหน้าขึ้น เพราะรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเขามาทำไม และเธอควรมีปฏิกิริยาเช่นไร
หลายวันที่ผ่านมาเหน็ดเหนื่อยกว่าชั่วชีวิตของมหาภาพเสียอีก เพราะเขาไม่แค่เพียงต้องคอยเฝ้าดูแลกมลชนกตลอดเวลาตามที่น้าเรียกร้อง เขายังต้องยืนอยู่ระหว่างผู้หญิงสองคนที่เขาให้ความสำคัญ
‘เลิกไปยุ่งกับลูกหยีได้ไหม ถือว่าน้าขอร้อง’
กมลชนกใช้ทั้งน้ำตาและฐานะญาติผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูมหาภาพมาตั้งแต่แบเบาะเป็นเครื่องมือกดดัน มหาภาพจะทำใจแข็งไม่สนใจการบีบคั้นนี้เลยก็ได้ แต่เธอกำลังไม่สบาย ต่อให้รู้ว่าเป็นอาการป่วยที่เกิดขึ้นเพราะจิตสำนึกของเธอที่อยากจะทำให้เขารู้สึกผิดก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจทำใจแข็งทำร้ายจิตใจญาติสนิทที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กได้
เช่นเดียวกันกับทางมาหยารัศมี ต่อให้เธอบอกว่าไม่ต้องรับผิดชอบ มหาภาพก็ไม่อาจเมินเฉย ทำเหมือนเรื่องคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้เธอจากไปทั้งที่ยังมีเรื่องค้างคาใจกันเช่นนี้
“ทำไมไม่บอกว่าจะไปวันนี้”
ถ้าเขาไม่ติดสินบนคนรับใช้ของเธอ ก็คงไม่รู้ว่ามาหยารัศมีกำลังจะเดินทางไปอีกซีกโลก มหาภาพพยายามติดต่อเธอทุกช่องทาง รวมถึงไปยืนหน้าประตูรั้วขอเข้าไปหา แต่คนรับใช้ที่ได้รับคำสั่งจากเรืองฤทธิ์ไม่ยอมให้เขาเข้าไป หนำซ้ำกมลชนกก็จะเป็นจะตายทุกครั้งที่เขาห่างสายตา ทว่าเมื่อรู้ว่าจะไม่มีเธออยู่ใกล้ๆ อะไรก็ขวางเขาไม่ให้มาเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ไม่ได้
“อย่าไปเลย พี่รู้ว่ามีหลายเรื่องที่เราไม่เข้าใจกัน แต่เราค่อยๆ พูดกันก็ได้”
ที่มาของเหตุการณ์ในคืนนั้นเป็นเช่นไร ต่อให้ไม่มีใครเปิดปากสารภาพ มหาภาพก็เดาได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว และต่อให้มาหยารัศมีทำตัวไม่ถูก เขาก็ต้องรับผิดชอบ
ไม่ว่าในสายตาใคร มาหยารัศมีจะเป็นสาวใจแตก ไม่สนใจสังคม ทำทุกอย่างตามแต่ใจตัว แต่ในสายตาของมหาภาพ หญิงสาวเป็นคนรักนวลสงวนตัว เธอใส่ใจสายตาคนอื่น เพียงแต่มีเกราะหนาป้องกันการถูกทำร้าย จนคล้ายคนที่เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล ทว่าต่อให้เธอนิสัยไม่ดีจริงๆ เขาก็ไม่เคยอยากทำร้ายเธอ แต่เมื่อเขาทำลงไปแล้วโดยไม่เจตนา เขาก็อยากจะแก้ไข ที่สำคัญคือรั้งเธอเอาไว้ข้างกายเขา
“อย่าไปเลย พี่เป็นห่วงลูกหยีนะ”
เขากล่าวอย่างจริงใจ แต่คำว่าห่วงใยไม่ใช่คำที่เธอต้องการ มาหยารัศมีสบตามหาภาพเป็นครั้งแรกนับจากเจอหน้ากัน ก่อนจะถามเสียงเบาทว่าชัดเจน
“นอกจากคำว่าห่วง พี่ภาพเคยรักลูกหยีบ้างไหมคะ”
ความเงียบช่วงสั้นๆ ตอบได้ดังก้องกังวานที่สุด
“พี่รักลูกหยีเหมือนน้องสาวมาตลอด บางอย่างต้องใช้เวลา แต่พี่พร้อมจะรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับลูกหยี”
ถึงตรงนี้ มาหยารัศมีเองก็ต้องยอมรับว่ามหาภาพทำดีที่สุดแล้ว แต่เธอก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธเหตุผลของเขา เพราะมันสายเกินกว่าที่จะแก้ไขหลายๆ อย่าง
“ถ้าแค่นั้นมันก็คงไม่พอสำหรับการแต่งงาน”
“ถ้าอย่างนั้น...” ก่อนคำพูดต่อไปจะหลุดจากปากของมหาภาพ มือของมาหยารัศมีก็ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม
“มันไม่ใช่การต่อรองค่ะ มันคือการปฏิเสธ”
สักวันคำว่ารักแบบน้องสาว อาจจะเปลี่ยนเป็นรักแบบคนรัก แต่มาหยารัศมีรู้ดีว่าเธอจะจดจำคำพูดที่มหาภาพกล่าวว่าไม่ได้รักเธอตลอดไป รวมถึงค่ำคืนนั้นที่เธอโง่พอจะเชื่อว่าหลอกเขารวมถึงตัวเองได้ แต่สุดท้ายกลับเจ็บปวดที่รู้ว่าเธอครอบครองเขา เพราะเขาคิดว่าเธอเป็นคนอื่น เสียงเรียกชื่อบัวบูชาเหมือนยังดังอยู่ข้างหูของเธอจนถึงตอนนี้
ท่ามกลางความเงียบที่กัดกร่อนความสัมพันธ์อันพังทลายไปแล้ว เธอก็เอ่ยประโยคที่วนเวียนอยู่ในใจตลอดหลายวันออกมา
“คนที่ทำร้ายเราได้เจ็บปวดที่สุด คือคนที่เราแคร์”
หากว่าเธอไม่ใส่ใจก็คงไม่เจ็บปวด มาหยารัศมีเบื่อกับการร้องขอให้คนมารัก ตอนเด็กก็พ่อ ต่อมาก็มหาภาพ แล้วผู้ชายที่เธอรักทั้งสองคนก็ไม่อาจรักเธอในแบบที่เธอต้องการได้
“พี่ขอโทษ”
แค่เห็นเธอยืนอยู่ตรงนี้พร้อมร่องรอยของความเศร้าบนใบหน้า ถึงจะไม่พูดอะไรสักคำก็ทำให้เขารู้สึกผิดได้ถึงส่วนลึกของหัวใจ ตลอดมาเธออาจมองว่าเธอได้รับประโยชน์จากการมีเขาเป็นพี่ชายข้างบ้าน แต่ความจริงเขาเองก็ได้รับสิ่งดีๆ จากการมีเธอเป็นน้องสาว
มาหยารัศมีไม่มีทางรู้ว่า ขณะที่เธอแสดงความโกรธพ่อของตัวเองออกมา มหาภาพก็กดความโกรธที่มีต่อบิดาของตนเอาไว้ภายใน เขาอาจจะอายุน้อยมากตอนมารดาจากไป แต่เขาไม่ได้เด็กเกินกว่าจะไม่เห็นความเจ็บแค้นที่แม่มีต่อพ่อ แล้วตั้งแต่เล็กจนโต พ่อก็ไม่เคยสอนอะไรให้แก่เขา นอกจากการเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น
ดังนั้นมหาภาพจึงไม่เคยตำหนิน้าสาวที่เข้ามาแย่งตำแหน่งมารดาของเขาไปทั้งที่เพิ่งพ้นงานศพไม่นาน เพราะทุกคนล้วนเป็นเหยื่อความเจ้าชู้ของมานพ หทัยรัตน์แม่ของเขาเคยร้องไห้เสียใจอย่างไร หลังจากกมลชนกมารับตำแหน่งภรรยาหลวงก็ร้องไห้อย่างนั้น
แล้วการเติบโตมากับพ่อที่เจ้าชู้ไร้ความรับผิดชอบ กับแม่เลี้ยงที่ประคบประหงมเกินเหตุเพื่อยื้อแย่งความรักของเขาเอาไว้กับตัว นั่นมากพอจะทำให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งโตขึ้นมาเป็นพวกรักเพียงตัวเอง หรือไม่ก็เสเพลเช่นพ่อ แต่เพราะมีใครคนหนึ่งที่หวังจะพึ่งพาเขา เป็นจุดเปลี่ยนให้เด็กชายคนนั้นไม่เป็นคนดังกล่าว
“พี่ขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆ พี่ไม่เคยอยากทำให้ลูกหยีเจ็บ” ไม่ว่าจะตัวหรือหัวใจก็ตาม
มหาภาพรู้ดีว่าตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้เขาทำมาหยารัศมีเจ็บปวดแค่ไหน เสียดายที่เขาไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเครื่องย้อนเวลา อย่างน้อยมันก็อาจจะช่วยไม่ให้อกข้างซ้ายของเขาเจ็บแปลบจากคำพูดของคนตรงหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะตอนนี้คุณทำร้ายความรู้สึกของฉันไม่ได้อีกแล้ว”
คำสรรพนามเปลี่ยนจาก ‘พี่’ เป็น ‘คุณ’ ได้อย่างไรก็สุดรู้ แต่มันคงจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
ถ้ามีอะไรที่เรียกว่าเยื่อใย มันคงขาดไปตั้งแต่คืนนั้น พร้อมกับความไร้เดียงสาของเธอ ทว่าทุกอย่างไม่อาจโทษเขาเพียงฝ่ายเดียว
“ความจริงเรื่องคืนนั้นคุณไม่ได้ผิดสักนิด เป็นฉันที่...” ความสามารถในการพูดของเธอหมดลงแค่นี้
ต่อให้รู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายหาเรื่องใส่ตัว แต่อารมณ์โกรธเกรี้ยวและเจ็บปวดอัดแน่นเกินกว่ามาหยารัศมีจะยอมให้ตนเองใช้ความสามารถของสมองกลั่นกรองเหตุผลออกมาเป็นคำพูด
ชายหนุ่มก้มลงมองผู้หญิงตรงหน้า ด้วยรูปร่างเล็กบางกว่าเขาครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้เวลามหาภาพมองมาหยารัศมี เขามักจะเกิดความรู้สึกอยากปกป้องเธอจากอันตราย แต่เวลานี้ตอนที่ก้มลงมองเธอ เห็นดวงตาหลุบต่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น เขารู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่เป็นเช่นเดิม คำว่ารับผิดชอบ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นน้องสาวของเขา แต่เธอเป็นผู้หญิงของเขา
ทว่าทุกอย่างไม่ง่ายดายเหมือนใจคิด เขาตาม เธอหนี เขายื้อ เธอถอย ทางออกของทั้งคู่ นอกจากทางตัน ก็คือทางแยก ไม่มีคำว่าบรรจบ
“การไปเรียนต่อ คงเป็นเรื่องที่สมควรที่สุดในตอนนี้ค่ะ”
มหาภาพจำต้องยอมรับความคิดเห็นของมาหยารัศมี การมายื้อกันอยู่ตรงนี้ไม่ช่วยอะไรเลย เธอเจ็บปวด ส่วนเขาก็เจ็บปวดที่เห็นเธอเจ็บ
บางทีเวลาอาจจะช่วยเยียวยาความสัมพันธ์ของทั้งสอง และช่วยให้เขาไตร่ตรองตัวเองว่าจะรับผิดชอบเธอในฐานะคนรัก หรือไม่ก็ในฐานะพี่ชายที่หวังดี
“ไปถึงที่โน่นแล้วติดต่อมานะ พี่เป็นห่วง”
เขาไม่รู้ว่าคำนี้เป็นคำต้องห้ามสำหรับอารมณ์ของเธอ แต่มาหยารัศมีไม่กล่าวอะไร ขณะเดินไปเข้าแถวตรวจสัมภาระเตรียมตัวออกไปยังจุดรอขึ้นเครื่อง มหาภาพเดินตามไปนิ่งๆ เพราะเธอไม่ยอมให้เขาช่วยหิ้วกระเป๋าสะพายของเธอ
แล้วความเงียบ ไร้การสื่อสารระหว่างมาหยารัศมีกับมหาภาพก็ยาวนานไปเกือบหกปี
ด้านหลังของผู้หญิงที่ก้าวห่างออกไป ไม่ใกล้เคียงกับภาพน้องสาวในความทรงจำของชายหนุ่มอีกแล้ว แผ่นหลังของเธอเหยียดตรง ก้าวย่างของเธอมั่นคง
มหาภาพกำมือแน่นเพื่อไม่ให้ยื้อเธอเอาไว้ บอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่าเพื่อตัวของเธอเอง เขาจะต้องปล่อยมาหยารัศมีไป แต่ส่วนลึกในใจของเขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม และหากเจอกันอีกครั้ง เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้เธออภัยให้ทั้งตัวเขาและตัวเธอเอง
ความคิดเห็น |
---|