8

ค่าตัวสิบล้าน


 

8

ค่าตัวสิบล้าน

 

ทั้งพ่อและแม่ของหญิงสาวที่ถูกเอ่ยนามขึ้นมาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความรู้สึกทั้งงงและตกใจจนแยกไม่ออก แล้วสุดท้ายต่างก็หันมามองหน้ากันเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิดไป

“สิน...หมายความว่ายังไงเรื่องกระเต็น” พิมพาได้สติก่อนสามีที่ยังนั่งนิ่งจึงรีบถามเพื่อความกระจ่าง

“ไม่มีอะไรซับซ้อนนี่ครับ ผมไม่อยากได้บ้านหลังนี้ แต่ต้องการกินรินไปเป็นของผม” เขาให้คำตอบอย่างชัดเจนเพื่อให้หมดข้อสงสัย

“นี่เธอกำลังจะเอาเงินมาซื้อลูกสาวน้างั้นหรือ” ทัดเทพถาม สีหน้าเหลือเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ คิดซะว่าเป็นการช่วยเหลือกันน่าจะดีกว่า” จิรสินบอกเสียงเย็น

เขาไม่เคยคิดจะเห็นใจใครในตระกูลญานันทรแม้แต่คนเดียว และหากเป็นไปได้ก็แทบอยากเหยียบให้จมดินด้วยซ้ำไป เผื่อจะสำนึกกันได้บ้างว่าเคยทำอะไรไว้กับไอ้เด็กลูกคนข้างถนน

“ช่วยเหลือยังไง!” ทัดเทพถามเสียงดังอย่างเหลืออด “นี่มันดูถูกกันชัดๆ”

“ใจเย็นๆ ก่อนค่ะคุณ” พิมพารีบปรามสามีที่กำลังฉุนขาด เมื่อมีหนุ่มมายื่นข้อเสนอเรื่องลูกสาวเอาดื้อๆ แบบไม่นึกเกรงอกเกรงใจกัน

“คุณจะให้ผมใจเย็นได้ยังไง เขาพูดเหมือนลูกสาวเราเป็นผู้หญิงข้างถนน ใครมีเงินก็ซื้อได้” ทัดเทพบอกภรรยาแล้วหันหน้าไปทางหนุ่มหน้าเข้มอย่างเอาเรื่อง แม้จะเป็นหลานชาย แต่งานนี้คงยอมกันง่ายๆ ไม่ได้แน่นอน

แต่ฝ่ายที่จะใช้เงินซื้อกลับยิ้มเหมือนถูกใจอะไรสักอย่าง

‘ความสะใจ! รสชาติมันหอมหวานอย่างนี้นี่เอง’

“คุณก็อย่าพูดอะไรรุนแรงไปเลยค่ะ เราไม่พอใจก็ปฏิเสธเขาไป” พิมพาพยายามไกล่เกลี่ย เพราะไม่อยากให้เรื่องลุกลามใหญ่โต

“อย่าเพิ่งปฏิเสธเลยครับ ผมไม่ได้รีบ ลองเอาไปคิดหรือปรึกษากันดูก่อนก็ได้” จิรสินบอกอย่างใจเย็นในฐานะฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า

“สิน...ทำไมถึงมายื่นข้อเสนอกันอย่างนี้ แล้วไม่คิดบ้างหรือว่ากระเต็นจะรู้สึกยังไง” ผู้เป็นแม่ฝ่ายหญิงอดถามไม่ได้เพราะรู้ว่าทั้งสองหนุ่มสาวเคยพบหน้าค่าตากันแล้วถึงสองหน

“ผมเจอน้องกระเต็นครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ ก็เห็นไปยืนโชว์ขาอ่อนเรียกลูกค้าทั้งหนุ่มทั้งแก่ โดนผู้ชายจ้องตาเป็นมันกันทั้งงาน แล้วคุณน้าสองคนเคยถามลูกสาวบ้างไหมว่าเวลาไปยืนโชว์เรียกแขกตามงาน มีพวกเสี่ยทั้งหลายมายื่นข้อเสนอหรือทิ้งเบอร์โทร. ไว้ให้บ้างไหม”

ฝ่ายที่เป็นพ่อแม่ถึงกับพูดไม่ออก เพราะไม่เคยถามไถ่ลูกสาวเรื่องนี้มาก่อน แต่ทัดเทพซึ่งเป็นพ่อก็อดรู้สึกอดสูไม่ได้ที่ต้องปล่อยให้ลูกสาวคนสวยไปยืนตากหน้าโชว์ตัวเพื่อหาเงินเข้าบ้าน

“ถึงกระเต็นจะทำงานแบบนี้ แต่ไม่เคยทำเรื่องเสียหายแน่นอน” พิมพาต้องรีบแก้ตัวแทนลูกสาวในฐานะคนเป็นแม่

“ก็ดี...ถ้าอย่างนั้นผมจะให้เพิ่มเป็นสิบห้าล้านก็แล้วกัน” จิรสินบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนเพื่อลากลับ เพราะคาดว่าวันนี้คงยังไม่ได้คำตอบแน่ๆ “เอาเป็นว่าวันนี้ผมกลับก่อน...”

“ค่าอะไรคะ สิบห้าล้าน!” เสียงใสๆ ดังขึ้นตรงหน้าประตูโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่ามีใครมายืนอยู่ตรงนั้น ทั้งสามคนที่เจรจากันอยู่จึงหันไปมองพร้อมๆ กัน

“กระเต็น!” ทัดเทพเรียกชื่อด้วยความตกใจ เพราะไม่แน่ใจว่าลูกสาวมาถึงตั้งแต่เมื่อไรและได้ยินอะไรบ้าง

“สวัสดีค่ะพี่สิน” กินรินทักทายและยกมือไหว้หลังจากพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ไม่ง่ายนัก แม้จะไม่ได้ฟังมาแต่ต้น แต่บทสนทนาในช่วงท้ายๆ ที่เพิ่งมายืนแอบฟังนั้นเกี่ยวข้องกับตนอย่างแน่นอน

เขาพูดถึงอาชีพพริตตีของหล่อนอย่างเหยียดหยาม ฟังแล้วแทบไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงขายตัวที่ใครมีเงินก็ซื้อได้ แล้วตบท้ายด้วยการบอกว่าจะให้เงินสิบห้าล้านเพื่อแลกกับอะไรสักอย่างที่กินรินเดาไม่ถูก “คุยอะไรกันอยู่คะ”

“เอ่อ...” พิมพาอึกอัก สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจเมื่อเห็นว่าหน้าหวานๆ ของลูกสาวดูเคร่งเครียดกว่าปกติ

“ไม่มีอะไรหรอกลูก” ทัดเทพบอกลูกสาว ก่อนหันไปทางแขกผู้มาเยือนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและห่างเหินต่างจากครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน “นายกลับไปเถอะสิน”

น้ำเสียงห่างเหิน ไร้ความเป็นกันเองจากเจ้าของบ้านทำให้ชายหนุ่มนิ่งขึงไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานเขาก็ยิ้มออกมาแบบคนที่ไม่แคร์ใครทั้งนั้น เพราะคนที่นี่ต้องชดใช้ให้เขาอย่างไม่มีข้อยกเว้น

“ผมให้เวลาคิดสามวันแล้วจะมาเอาคำตอบ”

“นายไม่ต้องมาที่นี่อีก เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว” ทัดเทพบอกเสียงดังกว่าเดิมอย่างพยายามระงับอารมณ์

“พ่อคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน” เมื่อทุกคนกลับนิ่งไม่ยอมตอบ กินรินจึงหันไปหาคนต้นเรื่องที่ยืนอยู่กลางห้องโถง ซึ่งเขากำลังมองมาที่หล่อนอยู่พอดี

“ผมจะให้เงินพวกคุณไปถอนจำนองบ้านจากธนาคาร แล้วแถมให้อีกสองล้านรวมเป็นสิบห้าล้าน แต่ดูเหมือนน้าทัดเทพยังคิดไม่ตก”

กินรินได้ยินแล้วอ้าปากค้างเหมือนไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน “พี่สินจะให้เงินเราทำไม หรือว่าจะซื้อบ้านเราอีกหลัง” หล่อนถามหลังจากเริ่มได้สติ แต่เมื่อเหลือบมองหน้าชายหนุ่มผู้เป็นญาติแล้วกลับรู้สึกหน้าตาร้อนวูบวาบขึ้นมา

ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าของหล่อนอย่างสำรวจ แล้วแลกวาดไปทั้งตัวอย่างไม่คิดเกรงใจ ราวกับกำลังประเมินวัตถุสิ่งของหรือสินค้าสักชิ้น “เปล่า...ผมไม่เอาบ้านหลังนี้ แต่ผมอยากได้คุณ” เขาบอกอย่างไม่อ้อมค้อม

“ว่าไงนะ!” กินรินมองเขาอย่างตกตะลึงพรึงเพริด

นี่เขากำลังขอซื้อตัวหล่อนด้วยเงินสิบห้าล้าน!

“ที่จริงคุณอายุขนาดนี้ตัดสินใจเองก็ได้ ผมให้เวลาสามวันแล้วค่อยให้คำตอบ” เขาบอกกับเจ้าตัวที่ยังยืนนิ่งอึ้งพูดไม่ออก

“นายกลับออกไปจากบ้านนี้ได้แล้ว แล้วไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก” ทัดเทพไล่ด้วยความโมโหสุดขีดที่โดนหลานชายดูถูกน้ำใจอย่างที่ไม่เคยมีใครกระทำมาก่อน

“คุณน้าทั้งสองคนอย่าคิดอะไรมากเลยครับ หาทางออกเพื่อความอยู่รอดจะดีกว่า เพราะดอกเบี้ยไม่เคยปรานีใครอย่างที่เรารู้กัน”

“แต่สินก็ไม่น่าจะมาพูดจาดูถูกน้ำใจกันอย่างนี้” พิมพาอดต่อว่าไม่ได้ที่ลูกชายของจรัสพรทำอะไรไม่คิดไว้หน้าผู้หลักผู้ใหญ่ “น้าเสียใจนะ แล้วคิดว่าแม่ของสินเองก็คงเสียใจเหมือนกันถ้ารู้เรื่องนี้”

จิรสินอึ้งไปเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงแม่ของเขาซึ่งยังไม่รู้เรื่อง แต่ไม่นานเขาก็ปัดความรู้สึกลังเลอ่อนไหวออกไปจากใจ

“ผมไม่ได้ดูถูก ก็บอกแล้วไงว่าจะช่วย อย่างน้อยลูกสาวน้าพิมพาก็ไม่ต้องไปยืนตากหน้าใส่ชุดสั้นๆ ให้ผู้ชายเป็นร้อยเป็นพันจ้องตาแทบถลน ที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะเคยเห็นมากับตา”

ฝ่ายที่เป็นพ่อแม่ถึงกับหน้าเผือดและไม่กล้าเถียง ตามปกติแล้วลูกสาวผู้ดีมีเงินก็คงไม่ไปทำงานแบบนี้กันแน่ๆ แต่กินรินยืนยันกับพ่อแม่มาตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ทำอะไรให้เสื่อมเสียมาถึงทางบ้านและเป็นการทำมาหากินสุจริต

“กระเต็นไปยืนโชว์ตัวก็จริง แต่มีหน้าที่คอยแนะนำสินค้านะคะ ไม่ได้เป็นผู้หญิงขายตัว” คนที่ตกเป็นเป้าหมายต้องรีบปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองจึงบอกเขาเสียงดังกว่าปกติด้วยความไม่พอใจ หน้าหวานๆ เต็มไปด้วยความขึ้งโกรธอย่างปิดไม่มิด และเผลอจ้องตาเขาแบบเอาเรื่องที่มายืนพูดจาดูถูกกันถึงในบ้าน

“ถ้าคุณยอมรับเงินสิบห้าล้านจากผม ต่อไปก็ไม่ต้องไปยืนตามงานให้เมื่อย เพราะยืนอีกเป็นปีก็คงหาเงินมาปลดหนี้ไม่ได้”

กินรินฟังแล้วได้แต่เม้มปากแน่นเพราะเถียงไม่ออก ที่เขาพูดมาไม่มีอะไรผิด ครอบครัวของหล่อนกำลังจะไม่มีบ้านอยู่ในเร็วๆ นี้

ถึงแม้วันนี้จะประกาศขายบ้านแต่ก็ยังไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจะมีคนมาซื้อ แล้วถ้าปล่อยให้ธนาคารยึดไปก็ยังไม่รู้ว่าพ่อจะถูกฟ้องล้มละลายหรือไม่ เพราะหากว่าบ้านถูกขายทอดตลาดในราคาต่ำกว่าหนี้สินทั้งหมดสิบสามล้าน คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือพ่อที่ต้องเป็นฝ่ายจ่ายส่วนต่างนั้นให้แก่ธนาคารตามกฎหมาย ถ้าไม่มีจ่ายก็อาจถูกฟ้องล้มละลาย!

 

จิรสินกลับไปได้สักพักแล้ว แต่ทั้งสามคนพ่อแม่และลูกยังคงนั่งอยู่ในห้องโถงชั้นล่างด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ต่างกันมากนัก

“ดีนะที่คุณพ่อหลับอยู่บนห้อง ถ้าได้ยินคงรับไม่ได้แน่” ทัดเทพบอกหลังจากเงียบกันไปนาน “ไม่คิดเลยว่าเด็กสินนั่นจะกลายเป็นคนอย่างนี้ไปได้ ท่าทางก็ดูดี แต่ทำไมถึงได้ไม่มีมารยาท ดูเป็นคนหยาบกระด้างทั้งที่ไปเติบโตอยู่ในประเทศที่เจริญแล้ว”

กินรินได้ยินแล้วต้องสูดลมหายใจลึก ที่พ่อว่ามาคงไม่ผิด แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้หยาบกระด้างกับทุกคน เพราะจำได้ว่าวันแรกที่พบกันในฐานะที่หล่อนเป็นพริตตี เขากลับดูมีมารยาทและอ่อนโยนกว่านี้มาก แต่พอรู้ว่ากินรินเป็นลูกหลานบ้านญานันทร ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีราวกับเป็นคนละคน

“เขาคงไม่ชอบหน้าพวกเรา” กินรินบอกเสียงเบา

“แต่เราก็ไม่เคยไปทำอะไรให้เขานี่ลูก” พิมพาอดค้านไม่ได้ เพราะเรื่องราวในอดีตตนเองไม่เคยมีส่วนร่วม ตอนนั้นยังรู้สึกสงสารและเห็นใจจรัสพรเสียด้วยซ้ำเมื่อลูกชายหนีหายออกจากบ้านไป

“ดูเหมือนเขาไม่ชอบทุกคนที่อยู่ในบ้านนี้ค่ะ” กินรินเดาใจชายหนุ่มผู้มีอดีตได้ไม่ยาก จากประสบการณ์ตรงที่เคยเจอมากับตัว “แม่เคยบอกว่าแต่ก่อนมีแต่คนรังเกียจเขานี่คะ จนเขาต้องหนีออกไป”

“เฮ้อ...เรื่องมันก็นานมาแล้ว จะต้องมาคิดแค้นอะไรกันจนถึงวันนี้” พิมพาส่ายหน้าช้าๆ

“เขาจะคิดยังไงก็เรื่องของเขา แต่เราอย่าไปเสวนาด้วยอีก” ทัดเทพห้ามลูกสาวเสียงเข้ม

“แต่ถ้าเราได้เงินสิบห้าล้านจากเขา เราก็ไม่ต้องลำบากนะคะพ่อ” กินรินบอกด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนักว่าพูดไปแล้วผู้ใหญ่จะคิดอย่างไร

“นี่อย่าบอกนะว่าลูกจะยอมไปเป็น เอ่อ...” ทัดเทพพูดไม่ออกเพราะกระดากปาก

ทั้งท่าทีและข้อเสนอของจิรสิน ใครมาได้ยินก็ต้องเข้าใจไปในทางเดียวกันว่าฝ่ายชายไม่ได้คิดมาสู่ขอไปเป็นศรีภรรยา แต่เงื่อนไขที่เสนอมาเพื่อต้องการกินรินไปเป็น ‘นางบำเรอ’ หรือ ‘เมียเก็บ’ เท่านั้นเอง

มีหรือที่คนอย่างทัดเทพที่ฟูมฟักเลี้ยงดูลูกสาวมาเป็นอย่างดี ส่งเสียให้ร่ำเรียนอย่างเต็มที่จะยอมให้ลูกต้องไปตกอยู่ในสภาพนั้น อย่างน้อยศักดิ์ศรีของญานันทรที่เคยเป็นตระกูลเก่ามานับร้อยปีก็ยังค้ำคออยู่นั่นเอง

“หนูรู้ค่ะพ่อว่าเขาไม่ได้มาขอแต่งงาน” กินรินยอมรับความจริงได้ไม่ยาก หล่อนเติบโตขึ้นมาในช่วงขาลงของญานันทรจึงไม่รู้สึกยึดติดกับสิ่งใดมากนัก ที่ผ่านมาก็ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดและพยายามหาเงินมาช่วยทางบ้าน ซึ่งระยะหลังไม่เพียงแค่ฝืดเคือง แต่ยังมีหนี้สินก้อนโตเพิ่มขึ้นมา

“แล้วลูกจะทำใจได้เหรอ” พิมพาถามด้วยความเป็นห่วง “เขามาอยู่ที่นี่อาจจะยังไม่มีใคร แต่ทางโน้นมีครอบครัวอยู่แล้วรึเปล่าก็ไม่รู้”

กินรินฟังแล้วยิ่งสับสน แต่เงินสิบห้าล้านยังวนเวียนอยู่ในสมอง เพียงแค่ตอบตกลงและยอมทำตามความต้องการของเขา หล่อนก็จะได้เงินมาไถ่บ้านคืนจากธนาคารเพื่อให้ครอบครัวมีที่พักพิงต่อไปแบบไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจอย่างที่ผ่านมา

‘เมียเก็บ!’ แต่คำนี้ช่างแสลงใจอย่างบอกไม่ถูก

โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรกับหล่อนอยู่หรือ จึงต้องมาเจอเรื่องราวในแบบไม่คาดฝันมาก่อนในชีวิต

“ไม่...พ่อไม่ยอมให้ลูกทำแบบนั้นแน่ๆ” ทัดเทพส่ายหน้า

“พ่อคะ แต่หนูเป็นห่วงทุกคน โดยเฉพาะคุณปู่ ท่านแก่มากแล้วนะคะ แล้วถ้าบ้านเราถูกยึด ซึ่งไม่แน่ว่าจะลุกลามไปถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลายรึเปล่า คุณปู่จะเป็นยังไง รวมทั้งพ่อกับแม่ด้วย”

เหตุผลของลูกสาวทำให้ผู้ใหญ่นิ่งเงียบไป เพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยและคงผ่านไปได้ไม่ง่ายนัก

“กระเต็น...แต่แม่ก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะที่หนูจะต้องเสียสละเพื่อทุกคนมากถึงขั้นนั้น ลูกเพิ่งจะบอกเองว่าจิรสินไม่ชอบพวกเราทุกคนเพราะแค้นเรื่องที่เคยถูกบีบจนต้องหนีออกจากบ้าน แถมเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาเติบโตมายังไง และทุกวันนี้นิสัยใจคอเป็นยังไงกันแน่ แล้วลูกคิดว่าจะไปอยู่กับเขาได้หรือ”

กินรินฟังแล้วต้องแอบกลืนน้ำลาย ยิ่งนึกไปถึงชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เพิ่งขับรถกลับออกไปก็ยิ่งไม่แน่ใจ หล่อนไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ บางครั้งก็ดูเหมือนเป็นหนุ่มไฮโซ แต่ที่เห็นเมื่อครู่นี้ เขาดูเป็นคนหยาบคายและก้าวร้าวผิดกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่พอกไว้ด้วยความหรูหรา

“เอาเป็นว่ากระเต็นจะลองไปขอร้องเขาดูนะคะ บางทีเขาอาจจะใจอ่อนช่วยเราก็ได้”

“ขอร้องว่ายังไง” ทัดเทพสงสัยขึ้นมาทันที

“ขอร้องให้เขาซื้อบ้านเราเหมือนบ้านโน้นไงคะ แล้วถ้าเขาจะไม่ให้เราอยู่ต่อก็ไม่เป็นไร กระเต็นจะขอเวลาเขาสักปีเพื่อหาบ้านใหม่ กระเต็นกับพี่ธานช่วยกันสองคนน่าจะพอไหว เดือนหน้าอาจจะได้งานถ่ายโฆษณากับงานละครค่ะ เป็นงานที่เคยไปออดิชันไว้”

“พ่อขอโทษนะที่ทำให้ลูกๆ ต้องลำบาก”

“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ ยังไงเราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้”

แม้จะยังหนักอก แต่ทั้งพ่อและแม่ก็อดยิ้มไม่ได้ เมื่อได้รับกำลังใจจากลูกสาวคนเล็กที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ

“ขอบใจนะลูก” ทัดเทพน้ำตาซึม

 

เรื่องที่จิรสินมายื่นข้อเสนอสิบห้าล้านรู้กันแล้วทั้งบ้าน ยกเว้นธารินทร์เท่านั้นที่ยังไม่รู้เรื่อง วิธานรู้สึกไม่พอใจจิรสินเช่นเดียวกับบิดา และไม่เห็นด้วยที่น้องสาวจะต้องยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อปลดหนี้ให้แก่ครอบครัว แต่กินรินยืนยันว่าจะขอเจรจากับจิรสินอีกครั้งเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาในแบบอื่น ซึ่งหากว่าเขายอมตกลงก็จะเป็นผลดีกับทุกคน

ด้านพิมพารู้สึกเห็นใจลูกสาวที่ต้องมาเป็นธุระวุ่นวายเรื่องหนี้สินที่ตัวเองไม่ได้ก่อ คืนนั้นจึงเดินไปเคาะประตูห้องลูกสาว “ยังไม่นอนหรือจ๊ะ”

“ยังค่ะ เผลอๆ อาจจะนอนไม่หลับก็ได้”

“ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกใช่ไหม”

กินรินพยักหน้ายอมรับ และดูเหมือนว่าแม่ก็คงคิดถึงเรื่องเดียวกัน โดยเฉพาะภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้

“แล้วลูกยังจะไปคุยกับเขาอีกหรือ ในเมื่อเขาดูถูกเราขนาดนี้แล้ว”

หญิงสาวได้แต่นิ่งเงียบ เพราะเข้าใจความรู้สึกของทุกคนในบ้านที่คงไม่ต่างกันมากนัก ครอบครัวหล่อนกำลังจนกรอบและจนมุมกับหนี้สินที่รุมเร้า แล้วเขาก็เดินเข้ามาเพื่อใช้เงินตบหน้าทุกคน

เขาคิดอะไรหรือกับเงินตั้งสิบห้าล้าน ไม่เสียดายเลยรึไง หรือว่าแลกได้เพื่อความสะใจ!

“แม่คะ ทำไมเขาต้องเกลียดพวกเราด้วย ในเมื่อเราไม่เคยทำอะไรให้เขา”

“เขาอาจจะเหมารวม เพราะคุณปู่ของลูกก็แสดงออกว่ารังเกียจทั้งสองคนแม่ลูกที่โซซัดโซเซกลับมาตายรัง”

“เขาเกลียดเรา แล้วเขาจะอยาก...เอ่อ...” สาวสวยวัยยี่สิบสองกระดากปาก พูดไม่ออก “จะมายุ่งกับกระเต็นทำไมคะ”

“เขาเป็นผู้ชาย ไม่เหมือนผู้หญิงหรอกลูก” พิมพาบอกอย่างคนที่ผ่านโลกมามากกว่า

“ยังไงคะ”

“แม่จะบอกยังไงดี” คนเป็นแม่มองลูกสาวที่ยังอ่อนประสบการณ์ในเรื่องเพศตรงข้ามอย่างหนักใจ เลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้ว่าลูกสาวของตนเองเป็นอย่างไร

“ผู้ชายอยู่กับคนที่เกลียดก็ได้หรือคะแม่” กินรินถามทั้งที่ไม่เข้าใจ

“ไม่เชิงอย่างนั้นหรอก แต่ว่า...พวกเขาอาจจะนอนกับใครก็ได้ แม้แต่คนที่ไม่รู้จักเพื่อระบายออกเท่านั้นน่ะลูก” พิมพาตัดสินใจบอกความเป็นจริงของอีกเพศหนึ่ง

“แม้แต่คนที่เขาไม่ชอบหน้าก็ได้หรือคะ”

“ได้สิ ก็แม่บอกแล้วไงว่าผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน”

กินรินพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า หล่อนไม่ได้รักและไม่ได้เกลียดเขา แล้วจะนอนกับเขาได้ไหมทั้งที่รู้เต็มอกว่าเขาโกรธเกลียด และทำไปทั้งหมดก็เพื่อความสาแก่ใจ

“ยังไงกระเต็นก็จะคุยกับเขาดูก่อนค่ะ อย่างน้อยเราก็เป็นญาติกัน เขาอาจจะเห็นใจเราก็ได้”

“ก็แล้วแต่ลูก แล้วจะไปคุยกับเขาเมื่อไหร่”

“จะโทร. ไปก่อนค่ะว่าเขาว่างวันไหน”

“หนูจะลองดูก็ได้ บางทีเขาก็อาจจะไม่ได้โกรธหรือเกลียดกระเต็นเลยก็ได้นะ เพราะหนูไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง แม่หวังว่าเขาจะมีเหตุผลพอ”

“นั่นสิคะ” หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำให้กำลังใจของแม่

เมื่อแม่ขอตัวไปเข้านอนแล้ว กินรินจึงหยิบโทรศัพท์มือถือและนามบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายใบย่อม หลังจากจดๆ จ้องๆ ลังเลอยู่ชั่วครู่ หญิงสาวจึงตัดสินใจกดหมายเลขบนนามบัตรก่อนที่ตนเองจะเปลี่ยนใจ รอไม่นานเขาก็รับสาย

“Hello, Sean’s speaking.”

ฝ่ายที่กดโทร. หาชะงักไปเมื่อปลายสายกรอกเสียงเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงดีกลับมาว่า ‘สวัสดี ฌอนกำลังพูดครับ’

กินรินเริ่มไม่แน่ใจว่าตนเองกดต่อสายไปผิดเบอร์หรือไม่ เพราะคนที่ตอบรับชื่อ ฌอน ไม่ใช่จิรสิน

“Hello...” เขาส่งเสียงทักทายมาอีกหนเมื่อเห็นว่าฝ่ายที่โทร. มายังเงียบ

“นี่ใช่หมายเลขโทรศัพท์ของคุณจิรสินหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใครกันแน่

“ครับ ของผมเอง” คราวนี้เขาตอบกลับมาเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ

“พี่สิน!”

“กินรินใช่ไหม” เขาถามกลับทันที คงเพราะมีแต่หล่อนกระมังที่เรียกเขาแบบนี้

น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความยินดีที่ได้รับโทรศัพท์จากหล่อน ซึ่งทำให้คนโทร. ไปหาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้

‘จะต้องดีใจทำไม ในเมื่อไม่ค่อยชอบหน้ากัน!’

“ใช่ค่ะ” หล่อนตอบเสียงเรียบ แต่ใจกลับเริ่มเต้นระทึกขึ้นมาเสียเฉยๆ “เอ่อ...เมื่อกี้นี้ทำไมบอกว่าชื่อฌอนคะ”

“อยู่ที่โน่นผมชื่อฌอน”

“ค่ะ กระเต็นมีเรื่องอยากคุยกับพี่สิน” กินรินตัดสินใจเข้าเรื่องทันที เพราะไม่อยากอ้อมค้อมให้เสียเวลา

“ผมคิดอยู่แล้วว่าคุณต้องโทร. มา” เขาบอกอย่างเป็นต่อ ทำให้คนฟังเม้มปากนิดๆ เพื่อระงับความไม่พอใจ

‘จะดูถูกกันไปถึงไหน หรือเห็นว่าตกอับเลยนึกจะเหยียบซ้ำยังไงก็ได้!’ กินรินได้แต่คิด พานพูดอะไรไม่ออกหลังจากนั้น

“ผมไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์ คุณมาพบผมได้ไหม” จิรสินกึ่งออกคำสั่งจนคนฟังรู้สึกได้

“ที่ไหนคะ”

“พรุ่งนี้มาที่ทำงานผม โรงแรมบางกอกพาราไดซ์ปาร์ก”

“ค่ะ”

“ผมจะรอนะครับ”

กินรินวางสายลงด้วยใจที่ยังเต้นแรง โดยไม่เข้าใจว่าตนเองจะต้องตื่นเต้นอะไรนักหนากับการพูดจากับเขา ใช่ว่าทั้งชีวิตนี้ไม่เคยคุยกับผู้ชายมาก่อน หรือเป็นเพราะว่ากำลังจะเจรจาเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น