9

หมูนุ่มในมือเชฟ


9

หมูนุ่มในมือเชฟ

 

แค่ทำอาหารให้กิน พิชามลก็ยิ้มได้ แต่กลับเป็นอจลที่ยังรู้สึกติดค้างเธอในใจ เขาชอบที่จะเรียกเธอว่าหมูนุ่ม ทั้งที่รู้ว่าเธอไม่พอใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อดไม่ได้ เหมือนกับมือที่ชอบเอื้อมไปดึงแก้มของเธอ ตบก้นของเธอ และ...เขายกมือนวดขมับห้ามไม่ให้ตัวเองคิดต่อเพราะเริ่มเข้าสู่โหมดอนาจาร

ตลอดมาอจลในฐานะพี่ชายคนโตทำตัวเหมือนผู้ใหญ่เกินวัย มีเพียงเรื่องของคนข้างบ้านที่เขาทำตัวเหมือนเด็กชายที่อยากแกล้งสัตว์ตัวเล็กๆ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงต้องการบุคคลที่สามมาช่วยวินิจฉัยว่าเขาควรจะปรับปรุงตัวดีหรือไม่

“ถ้ามีผู้ชายมาเรียกอี๊ดว่าหมูนุ่ม อี๊ดจะโกรธไหม” อจลคิดว่าน้องสาวของเขาน่าจะมีคำตอบที่ถูกต้องให้ เพราะอีกฝ่ายทำงานเป็นฝ่ายดูแลความเรียบร้อยในหน่วยงานรัฐ ถนัดใช้ทั้งวาจาและกำลัง

“ถ้ามีใครเรียกอี๊ดว่าหมูนุ่ม อี๊ดจะฆ่าเขาด้วยมือเปล่า ให้พี่ชายคนโตที่เป็นเชฟเลาะเนื้อเขาไปทำสตูเลี้ยงหมา แล้วให้พี่ชายคนรองที่เป็นเกษตรจังหวัดเอากระดูกไปเลี้ยงหมู ไม่ได้สิ นั่นเป็นการดูหมิ่นหมู อี๊ดจะให้พี่อ้นเอากระดูกไปสับผสมรวมกับอุจจาระคนทำเป็นปุ๋ยคอก”

เป็นการอธิบายที่ชัดเจนและเห็นภาพ เนื่องจากพวกเขาสามพี่น้องแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่รักใคร่สามัคคีกัน อจลเลยมั่นใจว่าหากผู้ชายคนไหนกล้าทำให้อมราเคียดแค้น เขาต้องตายอย่างอเนจอนาถ แบบไม่เหลือแม้กระทั่งซากศพให้ฌาปนกิจแน่นอน

“พี่ไปทำสาวคนไหนเคืองล่ะ แบบนี้ขอโทษยังไม่พอเลยนะ” ช่วงนี้อมรากลับไปทำธุระที่บ้านเกิด การอยู่ห่างกรุงเทพฯ ทำให้เธอรู้สึกว่างจนอยากสอบสวนพี่ชาย

“นอกจากไม่ขอโทษ พี่ยังบอกด้วยว่าชอบที่เธอเหมือนหมูนุ่ม”

“หยาบคายมาก! อี๊ดจะไปฟ้องแม่ บอกว่าพี่อาร์มเรียกแฟนคนใหม่ว่าหมูนุ่ม” อีกด้านของการสื่อสารมีเสียงคนเรียกแม่ตามประสาลูกคนเล็กขี้ฟ้อง

“อย่าบอกแม่นะ แล้วเขาก็ยังไม่ใช่แฟนพี่ด้วย” อจลรีบเตือนก่อนมารดาจะตกใจ ส่งผลให้น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความตระหนก

“ยังไม่ใช่แฟน แต่ไปเรียกเขาว่าหมูนุ่ม อาเมน พี่ฉันอดได้แฟนแน่” อมราอวยพรเสียงดังฟังชัด

เนื่องจากความรักใคร่กันในครอบครัว อจลเลยไม่เคยเล่าเรื่องนิยายของพิชามลให้พ่อแม่หรือน้องๆ ฟัง ส่วนเวลานี้เขาก็ลังเลว่าควรเล่าถึงความสัมพันธ์ครั้งใหม่ดีหรือไม่ เพราะเขายังไม่รู้ว่าควรเรียกว่าความสัมพันธ์ไหม เนื่องจากรู้ว่าน้องสาวต้องซักไซ้ เขาเลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องที่ใหญ่กว่าจนทำให้อมราลืมคำว่าหมูนุ่มไปได้เลย

“เออ พี่ว่าจะขายบ้านหลังนี้นะ แต่ไม่อยากรีบขายแบบส่งๆ เอาแบบไม่ให้ราคาตกนัก เสียดายเงินดาวน์บ้าน” อจลพูดจบก็ทอดถอนใจเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตน

สองปีก่อนเขามองว่าการซื้อบ้านเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า อย่างน้อยก็ช่วยลดหย่อนภาษีได้ แต่หลังจากนั้นเศรษฐกิจก็ดำเนินไปในทางลบอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เขาเริ่มกลัวว่าจะต้องขายต่อบ้านหลังนี้ในราคาขาดทุน

“คงขายไม่ได้ปุบปับหรอก ระหว่างนี้ทำไมพี่อาร์มไม่ปล่อยเช่าล่ะ”

อจลปฏิเสธข้อเสนอของอมราโดยไม่ต้องคิด “ไม่ละ ให้คนเช่า ไม่รู้ว่าเขาจะทำบ้านโทรมไหม จะให้คนมาดูบ้านเพื่อซื้อก็เกรงใจคนเช่า ยิ่งปล่อยยากขึ้นไปอีก ขายอย่างเดียวดีกว่า แต่ก่อนไปพี่จะติดระบบสัญญาณกันขโมยเอาไว้ ยังไงให้เสียงดังเรียกยามหมู่บ้านมาดูก็ได้”

ชายหนุ่มไม่คาดหวังให้คนข้างบ้านปีนรั้วมากู้ภัย เพราะมันอันตรายต่อผู้หญิงตัวคนเดียวเกินไป และเขาก็ไม่ไว้ใจเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ที่เขาแทบจะไม่เคยเห็นหน้าด้วย นอกเหนือจากพิชามล ในความคิดอจล คนดีคนเลวไม่มีป้ายบอก ดังนั้นระหว่างเพื่อนบ้านแสนดีกับโจรจึงแยกแยะได้ยาก เขาเคยเห็นข่าวการถูกเพื่อนบ้านบุกรุกมาขโมยของบ่อยครั้ง นั่นน่ากลัวกว่าโจรมืออาชีพเสียอีก เพราะคนบ้านใกล้เรือนเคียงมักจะรู้มากกว่าคนที่อยู่ไกลว่าบ้านใกล้ๆ มีคนอยู่หรือไม่

สังคมเมืองสมัยนี้อันตรายอย่างเห็นได้ชัด แต่อจลเลือกซื้อบ้านจากโครงการที่มีระบบจัดการบริหารส่วนกลางที่ดี มีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำหน้าหมู่บ้านยี่สิบสี่ชั่วโมง มีการตรวจตราคนเข้าออกอย่างเข้มงวด หากไม่มีสติกเกอร์ที่ออกโดยนิติบุคคลสำนักงานหมู่บ้านก็ไม่อาจเอารถเข้าออกได้ ยกเว้นทางเจ้าของบ้านติดต่อให้เข้ามาได้ชั่วคราว นั่นจึงทำให้บ้านที่ปราศจากคนอยู่สองเดือนไม่เหลือแต่บ้านเปล่าๆ เพราะถูกโจรยกเค้าไปจนหมด ทว่าเวลาอีกแปดเดือนนานเกินไป เขาไม่ไว้ใจที่จะทิ้งบ้านไว้โดยไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ เลย

ห่วงบ้านตัวเองแล้ว อจลก็อดห่วงไปถึงบ้านข้างๆ ไม่ได้ พิชามลอาศัยอยู่คนเดียวในบ้าน แล้วข่าวเพื่อนบ้านแปลงร่างเป็นโจรบุกข่มขืนหญิงสาวที่อยู่ตามลำพังก็เยอะกว่าข่าวโดนเพื่อนบ้านยกเค้าเสียอีก เขาถึงขั้นคิดว่าจะช่วยเธอสำรวจรอบบ้านว่าปลอดภัยไหม ก่อนจะนึกได้ว่าภายในบ้านของเธอนอกจากเหล็กดัดแน่นหนากว่าบ้านของเขา เธอยังมีระบบล็อกแม่กุญแจสองชั้น ซึ่งหากเธอไม่ส่งกุญแจบ้านสำรองให้ ก็อย่าหวังว่าจะเดินเข้าไปในบ้านเธอได้ง่ายๆ

“นอกจากรถคงต้องดูเรื่องติดตั้งระบบรดน้ำอัตโนมัติด้วย พี่ไปเอารถมาแล้วนะ แต่ลืมขอบใจแป้งเรื่องที่มารดน้ำต้นไม้ให้”

หลังจากเลิกรากับกังสดาล บ้านและรถของอจลก็ขาดคนดูแล ถึงอมราอยู่กรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ ก็วุ่นวายกับงานของตน หนำซ้ำยังเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยครั้ง สุดสัปดาห์ก็ชอบกลับบ้านเกิด เขาเลยว่าจ้างกึ่งไหว้วานให้เพื่อนของน้องสาวมาขับรถไปไว้ที่อื่น จะได้ช่วยสตาร์ตเครื่องเป็นระยะช่วยไม่ให้รถพัง และใช้บริการพนักงานทำความสะอาดมาจัดการบ้านให้เขาก่อนเดินทางกลับ

แต่อจลลืมนึกถึงต้นไม้รอบๆ บ้าน ที่สำคัญลืมหมาไปด้วย ยังดีที่คนข้างบ้านรับอุปถัมภ์เฉาก๊วย ทำให้เขาไม่ต้องโดนข้อหาทารุณกรรมสัตว์ปล่อยให้หมาอดตาย และเพราะมัววุ่นวายใจกับคนข้างบ้าน เขาเลยเพิ่งสังเกตว่านอกจากพุ่มไม้นอกหน้าต่างครัวที่โดนเฉาก๊วยเหยียบย่ำเพื่อขออาหาร ต้นไม้รอบๆ บ้านของเขายังสดชื่นดี ดีกว่าข้างบ้านที่เหลือเฉพาะไม้ยืนต้นที่ไม่จำเป็นต้องเอาใจใส่เสียอีก

“เปล่านะ แป้งมันไม่ได้ว่างขนาดนั้น ขนาดรถของพี่อาร์มมันยังให้แฟนมันไปช่วยขับออกมาเลย หรือบ้านพี่มีนางไม้ กลางคืนออกมาช่วยรดน้ำต้นไม้ให้” อมราล้อเล่นขำๆ แต่อจลไม่ขำ ขณะครุ่นคิดว่าใครมาช่วยรักษาชีวิตต้นไม้ให้เขาก็เหลือบเห็นตัวการทางหางตา

“ไม่ใช่นางไม้หรอก” แต่เป็นหมูนุ่ม

อจลตัดบทน้องสาวที่กำลังตั้งคำถามว่าเขารู้ได้อย่างไร เพราะต้องรีบไปจับพิชามลที่กำลังปีนข้ามรั้วมาแอบรดน้ำต้นไม้ให้เขา

 

เห็นได้ชัดว่าพิชามลเข้าออกบ้านของเขาอย่างเชี่ยวชาญ เธอไม่เหลียวซ้ายแลขวาสักนิด อจลคาดว่าเธอต้องคิดว่าเขาไม่อยู่บ้าน เนื่องจากเขาทิ้งรถไว้ให้ร้านคาร์แคร์หน้าปากซอยล้างขัดสี แล้วเดินกลับบ้าน

“ทำอะไรครับ เฮ้ย!!!” อจลถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว

ในเมื่อสายยางยังคามือพิชามล พอทัก เธอก็ตกใจเปลี่ยนมารดน้ำอจลซะอย่างนั้น ดีที่เขาหลบไว ความเสียหายเลยไม่เยอะ เฉาก๊วยโผล่มาส่งเสียงเห่า แล้ววิ่งกลับไปกลับมา คาบเอาตุ๊กตาไก่มาเล่นด้วย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่อจลไม่เข้าใจมัน แต่ที่สำคัญเขาต้องทำความเข้าใจคนข้างบ้านก่อน

“ขอโทษค่ะ” พิชามลยิ้มแหยๆ แล้วหันไปฉีดน้ำเล่นกับเฉาก๊วยแก้เขิน

หมาติ๊งต๊องตัวนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตอีกอย่างที่มุดลอดรั้วบ้าง ข้ามรั้วบ้างไปมาระหว่างสองบ้านอย่างเสรี มองหนึ่งคนหนึ่งตัวแล้วอจลเกิดแรงกระตุ้นอยากจะเจาะรั้วทำประตูให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ฉุกคิดได้ว่าไม่ควร เพราะแค่นี้เธอก็ย่ำเท้าเข้ามาสร้างร่องรอยในชีวิตเขามากเกินไปแล้ว

“คุณเข้ามารดน้ำต้นไม้ประจำเลยเหรอครับ” ถ้าคนไม่โง่ย่อมดูออกว่าอจลไม่ชอบใจที่มีคนเข้ามาในบ้านเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งพิชามลไม่น่าจะโง่

“ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้เข้ามาเป็นประจำ” เธอเกือบจะทำให้เขาเลิกขมวดคิ้วได้ ถ้าไม่พูดต่อ “แค่สองสามวันเข้ามาครั้งนึงไม่ให้ต้นไม้ตาย”

คำว่าประจำของเขาน่าจะต่างจากเธอ อจลไม่รู้จะชี้แจงประเด็นนี้อย่างไร เพราะเจตนาดีกับการก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลมันทับซ้อนกันอยู่ ที่สำคัญช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเขาอยู่ในสภาวะยุ่งยากทางอารมณ์ หากพิชามลไม่ยื่นมือเข้ามา ทั้งหมาและต้นไม้คงกลายเป็นซาก

ระหว่างกล่าวโทษกับขอบคุณเป็นสองทางเลือกที่ต่างกันลิบลับ อจลเลยใช้ความนิ่งเงียบจ้องหน้าพิชามล ปล่อยให้เธอเป็นฝ่ายตัดสินใจเอง หลังจากเธอก้มหน้าหลบตาใช้มือปิดวาล์วตรงปลายสายยาง ตามด้วยใช้เท้าเขี่ยตุ๊กตาไก่ยางล่อให้เฉาก๊วยที่อยากมีส่วนร่วมออกไปจากวงสนทนา เธอก็ไม่มีอะไรจะทำ นอกจากยอมเปิดปากก่อน

“เอ่อ...แอบเข้ามาแบบนี้มันดูโรคจิตใช่ไหมคะ”

คำถามของพิชามลไม่ตรงกับที่อจลกำลังคิดเช่นเคย แต่หลังจากตริตรองดู เขาก็คิดว่ามันใช่

คนปกติที่ไหนแอบย่องเข้าบ้านคนอื่นเพื่อรดน้ำต้นไม้กับให้อาหารหมา ส่วนใหญ่คงทำเพื่อสร้างความประทับใจ แต่นั่นก็ต้องให้อีกฝ่ายรู้และปลาบปลื้ม การแอบทำมันเข้าข่ายโรคจิต ซึ่งจากการที่อจลประเมิน พิชามลไม่ได้แอบชอบเขาขนาดจะมาช่วยดูแลบ้านให้ ไม่อย่างนั้น นิยายของเธอคงจะเปลี่ยนไปอีกแบบ เป็นนักเขียนสาวข้างบ้านถูกเชฟหนุ่มปีนข้ามรั้วไปกระทำอนาจารแทน

มโนภาพไปไกลถึงดาวพลูโตเสร็จ ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นกุมขมับ ดูเหมือนอิทธิพลประหลาดจากเธอจะเข้ามาครอบงำเขาแล้ว

“คุณคงไม่ได้คิดอะไรพิลึกอยู่ใช่ไหมคะ” หลังจากมีเดดแอร์ระหว่างทั้งคู่อยู่หลายนาที เธอก็ถามอย่างลังเล

แต่เขาตอบอย่างจริงจัง “คงคิดพิลึกแบบเดียวกับคุณนั่นแหละ” อจลมั่นใจว่าต่อให้เขาจินตนาการประหลาดแค่ไหนก็ไม่เท่าพิชามล “คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าต่อให้หวังดี คุณก็ไม่ควรแอบเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เคยอ่านข่าวไหมที่ว่าเจ้าของบ้านเข้าใจผิดเลยเผลอยิงคนที่เข้ามาโดยไม่ขออนุญาตตายน่ะ”

สุดท้ายชายหนุ่มตัดสินใจว่าควรเปิดอบรมพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมให้แก่คนข้างบ้าน ถือว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

“ขอโทษค่ะ” ในที่สุดเธอก็ยอมรับผิดอย่างที่ควรทำ แต่แค่ไม่กี่วินาทีสมองของเธอก็กระโดดไปยังทิศทางอื่น แล้วเล่าด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“จะว่าไปปีที่แล้วก็มีข่าวที่ตำรวจหญิงเข้าห้องผิดชั้น แล้วยิงหนุ่มผิวสีเจ้าของห้องตายเพราะเข้าใจผิดนะคะ เข้าห้องคนอื่นแท้ๆ ดันไปยิงเจ้าของบ้านตาย”

ข่าวดังในอเมริกานี้อจลก็เคยได้ยินมา และติดตามบทสรุปจนจบคดี ซึ่งตำรวจหญิงต้องรับโทษ แม้ว่าน้องชายผู้ตายจะให้อภัยก็ตาม มันเป็นคดีที่น่าสนใจ แต่สิ่งที่เขาเลือกทำไม่ใช่นั่งลงแตกประเด็นวิเคราะห์คดีโหดร่วมกับพิชามล เขาเลือกที่จะยกมือกุมขมับแทน

“ตกลงคุณรู้หรือเปล่าเนี่ยว่าคุณทำอะไรผิด” เขาไม่รู้จะเรียกเธอว่า ‘พวกหลงประเด็น’ หรือ ‘พวกชอบหลงลืมหัวข้อสนทนา’

“รู้ค่ะ” เธอกลับมาก้มหน้ายอมรับผิดเสียงอ่อยอีกครั้ง “ฉันทำผิดต่อคุณตั้งหลายอย่าง ทั้งเรื่องนิยาย แล้วก็เรื่องที่แอบเข้ามาในบ้านของคุณด้วย ฉันไม่ควรจะแก้ตัว แต่ฉันมีเหตุผลนะคะ”

“ผมแน่ใจว่าคุณต้องมี” อจลรู้ว่าพิชามลมีเหตุผลในการตัดสินใจทำอะไร เพียงแต่จะเป็นในแบบที่คนธรรมดาใช้เป็นมาตรฐานในการตัดสินใจหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ฉันผิดที่เอาคุณไปเป็นต้นแบบนิยาย ทำให้คุณกับกัสจังต้องเลิกกัน เฉาก๊วยไม่มีที่ไป ต้นไม้ไม่มีคนดูแล ฉันเลยอยากจะไถ่โทษด้วยการคอยดูแลไม่ให้บ้านของคุณอยู่ในสภาพน่าหดหู่ตอนคุณกลับมา”

อจลไม่ต้องการแจกแจงกับพิชามลว่าต่อให้เธอไม่เขียนนิยายเรื่องในบ้านแห่งรัก เขากับกังสดาลก็ต้องเลิกรากันอยู่ดี แต่เขาเข้าใจประเด็นที่เธอต้องการจะสื่อ ในโลกที่เธอมีแค่หนังสือกับอินเทอร์เน็ตและจินตนาการไร้ขอบเขต เธอคิดว่าการที่เขากลับมาพบว่าต้นไม้สีเขียวกลายเป็นสีน้ำตาลจะทำให้เขาร้าวรานใจกว่าเดิม

ชายหนุ่มไม่อยากซักไซ้ว่าทำไมเธอไม่ถามเขาก่อนลงมือ เพราะเดาได้ว่าหากเธอติดต่อไปหาเพื่อขอเข้ามารดน้ำต้นไม้ เขาคงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“มันก็ใช่ ผมคงแย่ถ้ากลับมาพบว่าต้นไม้ในบ้านตายหมด และเฉาก๊วย...” ซึ่งเขาไม่ชอบหน้ามันเท่าไร “...ตายไปเพราะอดอาหาร”

กล่าวจบอจลก็หันไปเห็นเจ้าหมาปัญหาเยอะตัวนั้นกำลังแทะตุ๊กตาโนมที่เขาได้มาจากรัสเซียตอนไปเที่ยวยุโรป ไม่รู้ว่าเพราะเฉาก๊วยรู้สึกถึงสายตาอำมหิตของเขาหรือเพราะตุ๊กตาปูนไม่อร่อย มันจึงเปลี่ยนจากแทะเป็นฉี่รด แล้วเดินส่ายหางมาประจบเขา

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ นับเลขเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมันดีมากเพราะช่วยลดความโกรธที่เขามีต่อหมาและคนตรงหน้า

“ฉันแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดไม่ได้ แต่ฉันสัญญานะคะว่าต่อไปฉันจะไม่ทำ”

พิชามลยกมือเสมอใบหน้าทำท่าจะกล่าวปฏิญาณ แต่คงนึกบางอย่างขึ้นได้เลยเอ่ยสัญญาใหม่ โดยปรับเปลี่ยนคำพูดที่เพิ่งจะออกจากปากไป “เอาเป็นว่าฉันสัญญาว่าจะพยายามไม่ทำผิดต่อคุณอีก”

จากมุมมองที่อจลเห็น พิชามลตัวสูงแค่ไหล่ของเขา นอกจากตัวเล็กแล้วเธอยังเป็นคนขี้กลัว ดูได้จากความกล้าที่จะเข้ามารดน้ำต้นไม้อย่างเปิดเผยยังไม่มี แต่เธอมีความตั้งใจที่จะแก้ไขความผิดของตน ซึ่งเขาต้องคิดหนักว่าจะให้อภัยเธอได้หรือไม่

“เอาเป็นก่อนที่คุณจะทำอะไรเกี่ยวกับผม คุณควรคิดให้รอบคอบก่อน ไม่ดีกว่า ก่อนที่คุณจะทำอะไรให้ถามผมก่อน”

นั่นเป็นการก้าวก่ายความคิดของคนอื่นหรือไม่ อจลไม่รู้ แต่เขาต้องป้องกันความคิดบ้าๆ ของพิชามลไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่

“สัญญาค่ะ” เธอสัญญาอย่างง่ายดายแล้วยื่นนิ้วก้อยให้เขา

เกี่ยวก้อยสัญญาช่างเป็นอะไรที่เด็กเหลือเกิน อจลได้ชื่อว่าแก่ก่อนวัย ไม่ใช่เด็กกว่าอายุจริง แต่พอเห็นพิชามลรอคอยตาปริบๆ เขาก็อดที่จะยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยเธอไม่ได้ ยิ่งพอเห็นเธอยิ้ม หน้าบึ้งๆ ของเขาก็คลายออกเป็นรอยยิ้มตาม หนำซ้ำยังรู้สึกว่าเวลาที่ทั้งสองสัมผัสกันช่างสั้นเกินไป อดไม่ได้ที่จะยืดเวลาอีกนิดด้วยการก้มลงไปขโมยจูบเธอเบาๆ แล้วตีหน้าบึ้งตอบโต้ท่าทางงวยงงของเธอ

“จูบผนึกสัญญาไง ไม่เคยได้ยินเหรอครับ”

เขาอ้างไปแบบนั้น และจากการที่เธอกระแอมเพื่อให้คอโล่งกลบเกลื่อนการหัวเราะบอกว่าเธอรู้ทัน แล้วใช้ความสามารถในการสนทนาที่มีจำกัดเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น

“มื้อเย็นนี้คุณจะทำอะไรให้ฉันกินคะ” พิชามลถามด้วยสีหน้าแววตาคาดหวัง

อจลอยากจะกลอกตาใส่ ตามด้วยย้อนถามว่าเขาไปสัญญากับเธอตั้งแต่เมื่อไรว่าจะทำอาหารให้กินทุกมื้อ

แล้วชายหนุ่มก็คิดได้ จากความผิดทั้งหมดที่หญิงสาวทำลงไป เขาควรจะแก้แค้นเธอด้วยเรื่องที่เธอกลัวที่สุด เขาจะขุนให้เธออ้วนกลม ทำลายความคาดหวังว่าจะผอมของเธอซะ

วางแผนโหดเหี้ยมเสร็จ อจลก็ยื่นนิ้วชี้ไปจิ้มแก้มพิชามล มันหยุ่นนุ่มเด้งมือจนเขาอดจะจิ้มซ้ำไม่ได้ พอเห็นว่าเธอหดคอจะเบนหน้าหนี แต่ไม่กล้าทำเพราะติดว่ากำลังขอให้เขาทำกับข้าวมื้อเย็นให้ เขาก็ยิ่งได้ใจจิ้มไปอีกสองที ดึงอีกหนึ่งทีก่อนตอบ

“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ปล่อยให้คุณผอมหรอกหมูนุ่ม”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น