6

6

 

ถึงแม้ว่าจะนัดกันดิบดีว่าเช้าวันใหม่จะไปกราบขอพรที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทว่าเมื่อถึงเวลาอัปสรนภากลับมีระดู   ดังนั้นอนิลบถกับศกุนตลาจึงมีโอกาสได้ไปกราบขอพรองค์พระแก้วเพียงลำพังสองต่อสอง 

   “อยากดูหรือคะ” อนิลบถเหลือบตามองคนที่เอี้ยวตัวมองโรงภาพยนตร์ ‘ศาลาเฉลิมบุรี’ ที่เขาเพิ่งขับรถผ่านแล้วเอ่ยถาม

ศกุนตลาเอียงตัวกลับมายิ้มกว้างก่อนจะส่ายหน้า 

“แต่พี่อยากดู” อนิลบถว่าพร้อมกับยักคิ้วขึ้นข้างเดียว ซึ่งเป็นข้างที่ศกุนตลามองเห็นชัดเจน เพราะใช้ชีวิตร่วมกันมานับสิบปีเขาย่อมรู้ดีว่า เจ้าของรอยยิ้มหวานข้างๆนั้นถ่อมเนื้อถ่อมตัวและขี้เกรงใจเพียงใด “ไม่ได้เที่ยวเล่นมาแรมปี ไม่เห็นใจพี่หรือไร”

ศกุนตลาส่ายหน้าระรัว

“หือ ...” อนิลบถเหล่ตามอง คนที่ส่ายหน้าหมายจะสื่อว่าไม่ได้คิดเช่นนั้น เบิกตากว้างเมื่อหวนคิดได้ว่าการส่ายหน้าของเธอในครานี้แปลความหมายได้อีกนัย นั่นก็คือ ... เธอไม่เห็นใจคนที่ไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติมานั่นเอง เมื่อคิดได้ดังนั้นศกุนตลาจึงรีบพยักหน้าแรงๆ

“สรุปว่าสงสารหรือว่าสมน้ำหน้า” อนิลบถเย้า

โธ่ พี่เวหาใช้คำถามเช่นนี้ แล้วปักษาจะตอบอย่างไร ...

ศกุนตลาเม้มปากแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆคนที่กำลังจดจ่อกับการมองทางเบื้องหน้า วางฝ่ามือขวาทับหลังมือซ้าย จากนั้นเกยคางลงบนหน้ามือขวา เอียงหน้าให้ได้องศาแล้วกะพริบตา 

อนิลบถหลุบตามองใบหน้าจิ้มลิ้มตรงหน้าแล้วหลุดขำ “วันนี้ปักษาต้องรับหน้าที่พาพี่เที่ยว”

“...”

“พี่จะได้มีเรื่องสนุกๆไปอวดนภาบ้าง”

ศกุนตลาระบายยิ้มมุมปาก ถึงแม้ว่าเบื้องลึกของความรู้สึกจะพองฟู แต่กระนั้นก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ 

เธอหรือ ... ที่จะพาพี่เวหาเที่ยว 

เธอหรือ ... ที่จะทำให้พี่เวหาสนุก

จะเป็นไปได้อย่างไรกัน หญิงสาวลอบถอนหายใจ 

 

สองหนุ่มสาวนั่งท่าเทพบุตรและท่าเทพธิดา กราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง ก่อนจะหลับตาแล้วขอพรต่อองค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองปางสมาธิแบบศิลปะก่อนเชียงแสน แกะสลักจากหยกอ่อนเนไฟรต์ สีเขียวเรืองรองดังมรกต ประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ในพระบรมมหาราชวัง หลังจากกราบขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว อนิลบถจึงพาศกุนตลาไปปรับประทานข้าวมันไก่ร้านดัง 

“รสดีเหมือนทำเองหรือเปล่า” อนิลบถเอ่ยถามคนที่กำลังเคี้ยวข้าวมันไก่จนแก้มยุ้ย

ศกุนตลาหัวเราะคิกวางช้อนส้อมในมือลง แล้วหยิบดินสอขึ้นมาจดบนหน้าสมุด ‘ปักษายังต้องหัดอีกเยอะค่ะ’

“ชักอยากชิมแล้วสิ”

‘งั้นทำตอนวันหยุดของคุณลุงดีหรือเปล่าคะ’

คนอยากลองชิมข้าวมันไก่ฝีมือน้องสาวหลุบตามองตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ก่อนจะพยักหน้า วางช้อนในมือลง แล้วเอื้อมไปโยกศีรษะเล็กอย่างนึกเอ็นดู 

“นอกจากจะแกะสูตรเมนูโปรดคุณพ่อแล้ว ยังเลือกทำวันหยุดของคุณพ่ออีก สงสัยพี่คงได้ตกกระป๋องสักวัน”

ศกุนตลาเอียงหน้าขึ้นยิ้มให้คนที่ใกล้จะตกกระป๋องจนตาหยี ก่อนจะก้มหน้าลงกดปลายดินสออีกรอบ 

‘ปักษาดูแลคุณลุงกับคุณป้าได้แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ส่วนพี่เวหาคือความภาคภูมิใจของท่าน’

ใบหน้าปริ่มจะยิ้มของอนิลบถชะงัก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการครางฮึ่มเมื่อเจ้าของมือบางเขียนประโยคถัดมา

‘อีกอย่างก็คงไม่มีกระป๋องที่ไหนใหญ่พอให้พี่เวหาหล่นลงไปแต่ถึงมีก็คงจะหลายตังค์ ปักษาจ่ายไม่ไหวหรอกค่ะ’

“…”

‘ครั้นจะขอคุณป้าก็คงโดนเอ็ดหูชา หาว่าสิ้นเปลือง’

“เซี้ยวใหญ่แล้วนะเรา ... หืม” อนิลบถบีบปลายจมูกเล็กแล้วโยกอย่างหมั่นเขี้ยว

สองหนุ่มสาวคุยเล่นหยอกล้อกันจนกระทั่งข้าวมันไก่ในจานหมดลง จากนั้นจึงขึ้นรถมุ่งหน้าไปทางแยกหมอมี และจุดหมายปลายทางก็คือ ‘โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมบุรี’

“นิยายที่ปักษาอ่านไปร้องไห้ขี้มูกโป่งไปเมื่อสามสี่ปีก่อน ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแล้วนะ” อนิลบถว่าพลางผายมือไปยังใบปิดภาพยนตร์ที่ติดอยู่บนผนัง

ศกุนตลาระบายยิ้ม ก่อนจะเปิดกระเป๋า หยิบสมุดดินสอออกมาเขียนตอบ 

‘แผลเก่า* ของไม้เมืองเดิม ปักษาอ่านสองสามรอบเทียวค่ะ’

 “วันนี้จะได้รู้กันเสียทีว่าขวัญเรียมในหนัง จะเหมือนในนิยายของปักษาหรือเปล่า”

...

เรียมเหลือลืมแล้วนั่น ขวัญของเรียม

หวนคิดคิดแล้วขมขื่น ฝืนใจเจียม

เคยโลมเรียมเลียบฝั่ง มาแต่หลังยังจำ

คำที่ขวัญเคยพลอดเคยพร่ำ ถ้วนทุกคำยังเรียกยังร่ำเร่าร้องก้องอยู่

แว่ว ๆ แจ้วหูว่าขวัญชู้เจ้ายังคอย**

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นอนิลบถก็ได้รับรู้ว่า ขวัญเรียมบนจอภาพยนตร์ทำให้หญิงสาวข้างกายน้ำตาไหลเป็นเผาเต่าได้ไม่ต่างกัน บางฉากเธอถึงกับสะอึกสะอื้นจนเขาต้องโอบปลอบ 

ดวงตาคู่คมหลุบมองศีรษะเล็กที่กระเพื่อมตามจังหวะสะอื้นอยู่กับหน้าอกของเขาแล้วยกมุมปากขึ้น ไม่แปลกที่ศกุนตลาจะน้ำตาไหลอาบแก้ม เพราะแม้แต่เขาเองที่เป็นผู้ชายอกสามศอกยังอดสะท้อนใจกับโศกนาฏกรรมรักบนจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าไม่ได้

 

“คุณพ่อกับคุณแม่ต้องเห็นตอนลงรถมาทีแรกค่ะ นภาตกใจเสียยกใหญ่ นึกว่าโดนใครแกล้งทั้งที่ออกไปกับพี่เวหาเสียอีก ที่ไหนได้โดนพี่ขวัญแกล้งนี่เอง”  

“ตาบวมถึงเพียงนี้ไม่ใช่ว่าไปนั่งร้องไห้ทั้งเรื่องรึ” คุณหญิงบุหงาว่าขณะตักแกงไหลบัวไปวางบนจานของสามีที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

“คนไม่มองแย่รึ หากพ่อเป็นคนอื่น ได้เห็นปักษาตอนร้อง คงได้คิดว่าโดนเวหาแกล้ง” พลโทนภถามเสียงกลั้วขำ

อนิลบถเบนสายตาไปสบกับหญิงสาวผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาหลักบนโต๊ะรับประทานอาหารค่ำเล็กน้อยก่อนตอบ “คนอื่นก็ร้องเหมือนกันครับ ...”

ศกุนตลายืดตัวขึ้นแล้วพยักหน้าช่วยยืนยันคำตอบ แล้วคลี่ยิ้มกว้างอย่างโล่งอกที่อนิลบถไม่ได้มองว่าเธอฟูมฟายจนเกินเหตุ ถึงแม้ว่าเธอจะทำให้อกเสื้อตัวโปรดของเขาชุ่มไปด้วยน้ำตาก็ตาม ทว่ารอยยิ้มเบาใจแต่งแต้มใบหน้าหมดจดได้เพียงชั่วขณะ เมื่อพี่ชายใจดีต่อประโยคจนจบ

“แต่ปักษาน่าจะร้องหนักสุดในรอบนั้น”

“...”

ศกุนตลาย่นจมูกแล้วถอนหายใจ จึงทำให้พลโทนภ คุณหญิงบุหงา อนิลบถ และอัปสรนภาหลุดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เค้าไม่น่าพลาด ไม่น่าเลยจริงๆ เลยอดเห็นคนร้องไห้ขี้มูกโป่ง แงๆ” อัปสรนภาเย้า

ศกุนตลาวางช้อนในมือลง ใช้นิ้วจิ้มหลังมือคนช่างแกล้งข้างกายแล้วแยกเขี้ยว และนั่นก็ยิ่งทำให้อัปสรนภาหัวเราะหนักขึ้นกว่าเดิม

 

ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงพักแต่อนิลบถก็ยังต้องเข้าไปประชุมที่กองบินใหญ่ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามและร่วมวางแผนกลยุทธ์ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ซึ่งหากมีสถานการณ์เร่งด่วนก็สามารถเข้าร่วมกองทัพได้อย่างทันท่วงที

“มีธุระที่ไหนกันต่อหรือเปล่าวะ” มนตรีร้องถาม เมื่อเดินออกมาจากห้องประชุม

“ไม่มี” อนิลบถส่ายหน้าไปมาก่อนตอบ จากนั้นจึงเบนสายตาไปมองเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน

“ไม่มี” บรรจบกับศรุตส่ายหน้าแล้วตอบเช่นเดียวกันกับคนก่อนหน้า

“ดี งั้นไปตีเทนนิสกัน” มนตรียักคิ้ว พร้อมกับหมุนนิ้วชี้ข้างขวาควงกุญแจรถยนต์เล่น และเมื่อเพื่อนร่วมทีมทั้งสามพยักหน้ารับจึงเดินนำทุกคนไปยังลานจอดรถ สี่หนุ่มลูกทัพอากาศแยกย้ายกันขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งพลขับหลังพวงมาลัยรถยนต์ของแต่ละคน แล้วออกเดินทางไปยังสนามเทนนิสที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกองบินนัก

ทั้งสี่ใช้เวลาในการเล่นเทนนิสร่วมสองชั่วโมง เมื่อเรียกเหงื่อได้ท่วมร่างกายแล้วจึงเข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ

“กลับบ้านเลยหรือไปไหนต่อ” มนตรีถามอนิลบถขณะเดินไปยังลานจอดรถข้างสนาม

“ว่าจะแวะไปหาของขวัญวันเกิดให้นภาสักหน่อย” อนิลบถตอบ

“นภา ...” มนตรีทวนชื่อแล้วยกมุมปากขึ้น เมื่อย้อนคิดถึงสาวน้อยถักผมเปียจอมทะเล้นที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาเสียหลายปี ไม่รู้ว่าป่านนี้จะยังแก่นแก้วแสนซนดังเดิมหรือไม่ “ยายผมเปียตัวแสบ ไม่เจอตั้งหลายปี เลิกป่วนบ้างหรือยัง”

อนิลบถหลุดเสียงหัวเราะในลำคอ ไม่แปลกที่เพื่อนสนิทจะเรียกน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาว่า ‘ยายตัวแสบ’ เพราะวีรกรรมของอัปสรนภาแต่ละเรื่องธรรมเสียเมื่อไร “ยายตัวแสบไม่ถักเปียมาหลายปีแล้ว ความป่วนก็ลดลงอักโข”

“จริงรึ” มนตรีทำหน้าคล้ายไม่เชื่อ ก่อนถามต่อ “ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”

“ยี่สิบสอง เสาร์หน้านายว่างหรือเปล่าล่ะ จะได้ไปเห็นกับตาว่าน้องสาวฉันเรียบร้อยขึ้นเป็นกอง”

“กองพะเนินเทินทึก” มนตรีว่าแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “งั้นฉันก็ต้องไปหาของขวัญด้วยสินะ ขืนไปมือเปล่า คงได้โดนเจ้าของงานวันเกิดเมิน ดีไม่ดีจะโดนไล่ออกจากงานอีกด้วย”

เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนั้นสองหนุ่มเพื่อนซี้จึงขับรถมุ่งหน้าไปยังหัวมุมถนนพระสุเมรุ ตัดกับถนนราชดำเนินกลาง ก่อนขึ้นสะพานผ่านฟ้าลีลาศ อันเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้ายอดนิยมแห่งยุค ตัวอาคารสูงห้าชั้น โดดเด่นด้วยหอสูงโปร่งทรงกลมที่อยู่ด้านบนสำหรับเป็นที่ระบายอากาศและเป็นส่วนประดับอาคาร

“น้องสาวนายชอบอะไรเป็นพิเศษ” มนตรีเอ่ยถามหลังจากที่เดินผ่านร้านเสื้อผ้าสำหรับสุภาพสตรีไปแล้วหลายร้าน

อนิลบถขมวดหัวคิ้วครุ่นคิด อัปสรนภาของอะไรเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ 

“หนังสือ” คนเป็นพี่ตอบพร้อมยิ้มมุมปาก “น้องสาวทั้งสองคนของฉันชอบอ่านหนังสือ”

“จริงสิ นายมีน้องสองคนนี่นา” มนตรีอมยิ้มยามนึกถึงใบหน้าหวานของสาวน้อยผมเปียอีกคนที่มักตัวติดกันกับอัปสรนภา และสิ่งหนึ่งที่เขาจำไม่เคยลืมนั่นก็คือครั้งแรกที่เจอกันยายผมเปียตัวแสบบอกกับเขาว่าเธอสองคนเป็นฝาแฝดที่หน้าตาไม่เหมือนกัน แต่กลับมีพรสวรรค์พิเศษคือสามารถสัมผัสได้ถึงความในใจของกันและกัน ซึ่งในวันนั้นเขาหลงเชื่อคำปดแสนซื่อนั้นอย่างสนิทใจ ยิ่งคิดถึงวีรกรรมที่เคยเจอก็ยิ่งต้องข่มใจไม่ให้เผลอหิ้วไม้เรียวไปเป็นของขวัญ 

“ตัวแสบยังติดปักษาเหมือนเดิมหรือเปล่า”

“อืม ... นภายังติดปักษาเหมือนเดิม” อนิลบถพยักหน้ารับ “แต่ที่น่าห่วงคือปักษาเริ่มถอดแบบนภามาหลายกระเบียด”

มนตรีเบิกตาขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เพิ่งได้รับฟังคืออาชญากรรมร้ายแรงที่ต้องเร่งแก้ไขและฟื้นฟู “นายคงต้องมีเวลาดูแลน้องมากกว่านี้”

“เหอะ !” อนิลบถหลุดเสียงหัวเราะในลำคอ “วันๆก็ขลุกอยู่แต่กับนายจะเอาเวลาไหนไปดูแลน้อง”

มนตรีตั้งท่าขยับริมฝีปาก ทว่ากิ่นจะทันได้โต้ตอบ เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“เวหา ! มนตรี”

อนิลบถกับมนตรีหันขวับไปมองตามเสียงแล้วพบว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่แยกย้ายกันไปก่อนที่เขาสองคนจะสอบติดเป็นทหารอากาศ กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา

“นึกแล้วเชียวว่าต้องใช่ เห็นหลังไวๆ เลยรีบตามมา” คนมาใหม่ว่า

“มาซื้อของหรือเดือน” อนิลบถถาม

“อืม ...” สกาวเดือนพยักหน้ารับก่อนจะว่าต่อ “เดือนก็มาเดินดูเสื้อผ้าเป็นเรื่องปกติทุกวัน ว่าแต่เธอสองคนเถอะ ใครมีความรักงั้นรึ ถึงได้มาเดินดูเสื้อผ้าผู้หญิงแบบนี้”

อนิลบถกับมนตรีสบตากันเล็กน้อย จากนั้นมนตรีจึงเป็นฝ่ายตอบคำถาม “เธอนี่ยังเดาเก่งเหมือนเดิมเลยนะ”

สกาวเดือนคลี่ยิ้มกว้างรับประโยคกึ่งชมกึ่งประชด ที่ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของคนพูดจะเน้นหนักไปทางประชดก็ตามที แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็หาได้ใส่ใจไม่ เพราะเรื่องการคาดเดาเรื่องคนอื่นคือพรสวรรค์ติดตัวเธอมาก็ว่าได้ 

“มีอะไรให้เดือนช่วยหรือเปล่า เดือนรู้สัดส่วนของวาดดีทีเดียว”

“...”

“วาดเกี่ยวอะไรด้วย” มนตรีเลิกคิ้วขึ้นถาม ซึ่ไม่ต่างกันเลยกับอนิลบถที่กำลังขมวดหัวคิ้วเป็นปม

“ก็ ...” สกาวเดือนขยับริมฝีปากคล้ายจะตอบอะไรบางอย่าง ทว่ากลับเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย หญิงสาวส่ายหน้า ยกมือขึ้นโบกแล้วจึงว่าต่อ “ลืมหรือไรว่าเดือนกับวาดมีร้านออกแบบเสื้อผ้า”

“เสื้อผ้าสวยๆก็ดีเหมือนกันนะ” มนตรีพยักพเยิดขอความเห็นจากอนิลบถ

อนิลบถขมวดหัวคิ้วครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดี”

เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนั้น สกาวเดือนจึงชวนชายหนุ่มทั้งสองไปเลือกดูเสื้อผ้าที่ร้านของเธอที่ตั้งอยู่ไม่ไกล 

...

“ยู้ฮู ฉันกลับมาแล้วนะ” สกาวเดือนยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้อนิลบถกับมนตรี แล้วจึงส่งเสียงถึงคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับกองเอกสารหลังร้าน

“ออกไปเสียนาน ฉันวุ่นจนหัวฟะ ... ฟู” ตะวันวาดวางเอกสารในมือลง ตะโกนตอบพร้อมๆกับลุกขึ้นเดินออกมาหน้าร้าน ก่อนเบิกตาโพลง ยกมือขึ้นปิดปาก ปรับสีหน้าพร้อมเหวี่ยงให้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวาน วิ่งเข้าไปเกาะแขนหนึ่งในสองชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

“เวหามาได้ยังไงคะ”

“ฮึ ... ฮึ่ม” มนตรีแกล้งกระแอมกระไอ ยักคิ้วให้เพื่อนสนิทด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่ม

อนิลบถพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่ตะวันวาดกลับเกาะแขนเขาแน่น ในขณะที่ช้อนตาขึ้นมองมนตรี “พาเวหามาเที่ยวเสียไกลเทียว”

“อ้าว เป็นฉันหรอกรึที่ชวนแกมา” มนตรียักไหล่ก่อนจะเดินตามสกาวเดือนไปนั่งบนโซฟาที่จัดวางไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องเสื้อ ส่วนตะวันวาดเมื่อพาอนิลบถมานั่งแล้วจึงปลีกตัวออกไปสั่งการให้เด็กในร้านยกน้ำชาและขนมออกมาต้อนรับ

“ดื่มน้ำชาก่อนนะคะ” ตะวันวาดว่าเสียงหวาน พลางหรี่ตามองแบบเสื้อผ้าหลายชุดบนโต๊ะกลาง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของเธอกับสกาวเดือนช่วยกันออกแบบ 

“เวหากับมนตรีอยากได้ชุดสวยๆไปให้สาวน่ะ” สกาวเดือนตอบความใคร่รู้ที่สื่อมาทางสายตาของหุ้นส่วนร้าน

“ให้สาว ...” ตะวันวาดทวนคำ

“อยากได้ชุดสวยๆให้นภากับปักษาสักชุดสองชุด” อนิลบถว่า โดยละประเด็นเรื่องของขวัญวันเกิดเอาไว้เสีย 

“ส่วนผมก็ตามเวหามาช่วยเลือก” มนตรีกล่าวน้ำเสียงติดทะเล้น เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเหตุใดอนิลบถจึงละเรื่องของขวัญวันเกิดของอัปสรนภาเอาไว้ เพราะหากเอ่ยเรื่องนี้เมื่อใด ก็คงไม่แคล้วได้เชิญตะวันวาดและสกาวเดือนไปร่วมงานด้วย จากที่รู้จักมักคุ้นอนิลบถมาหลายปี จึงรับรู้ว่าเพื่อนสนิทคนนี้หวงแหนพื้นที่ส่วนตัว

“งั้นให้วาดช่วยนะคะ” ตะวันวาดกุลีกุจอไปหยิบแบบเสื้อผ้าที่เธอออกแบบมาวางเพิ่มบนโต๊ะ “สีนี้เหมาะกับน้องนภาดีนะคะ ส่วนชุดนี้ก็น่าจะเข้ากับน้องปักษา”

“ไหนดูซิ” สกาวเดือนโน้มตัวลงไปมองแบบชุดที่ตะวันวาดแนะนำ ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบหมวกปีกกว้างมาวางบนศรีษะของเธอเองแล้วหมุนตัว “ถ้าเป็นสองชุดนี้ ก็ต้องเป็นหมวกทรงนี้”

   อนิลบถหันไปสบตามนตรีคล้ายขอความเห็น มนตรีตอบกลับด้วยการแบมือทั้งสองข้างแล้วยักไหล่ ท้ายที่สุดอนิลบถจึงทำได้แค่เพียงหลับตาลง แล้วจินตนาการถึงใบหน้าและทรวดทรงของน้องสาวทั้งสองคน ว่าเหมาะกับชุดที่ตะวันวาดแนะนำจริงหรือไม่ 

   ไม่ !

   เพราะชุดที่เธอแนะนำว่าเหมาะกับศกุนตลานั้น ... กระโปรงเลยเข่ามาเพียงนิดเดียว 

   “ผมอยากได้ชุดที่กระโปรงยาวคลุมถึงเท้า”

   “ตายจริง ยังจะเลือกทรงสุ่มยาวกรอมเท้าอีกหรือคะ ตอนนี้กระโปรงแบบที่วาดแนะนำกำลังเป็นที่นิยมนะ” ตะวันวาดว่า

   “นั่นสิ เดือนเห็นด้วยกับวาดนะ” สกาวเดือนหนุนอีกแรง

   “แต่ผมชอบให้น้องสวมกระโปรงยาวๆมากกว่า” อนิลบถยืนยันความต้องการของตัวเอง ใช่ ... เขาชอบ ชอบที่จะเห็นน้องสาวแต่งตัวเรียบร้อย สวมผ้าถุงหรือกระโปรงยาวคลุมเท้ามากกว่าแต่งตัวตามสมัยนิยม 

   “อืม ผมเห็นด้วย ถ้าที่นี่ไม่มีแบบที่อยากได้ งั้น ...”

   “มี ! มีสิ ทำไมจะไม่มี” ทว่าก่อนที่มนตรีจะทันได้เอ่ยจนจบประโยค ตะวันวาดก็เอ่ยแทรกขึ้น ก่อนจะเรียกเด็กในร้านให้นำชุดกระโปรงทรงสุ่มตามแบบที่ลูกค้าคนสำคัญต้องการออกมาให้ดู

   เมื่อได้เห็นเสื้อผ้าในแบบที่ชอบ จากที่จะหาซื้อเพียงชุดสองชุดอนิลบถจึงแทบจะเหมามาทั้งร้าน อัปสรนภานั้นออกงานเป็นกิจวัตรจึงได้เห็นเธอแต่งตัวจนเคยชิน ส่วนศกุนตลานั้นหากมารดาของเขากับอัปสรนภาไม่หาซื้อมาให้ ก็คงจะสวมแค่เพียงชุดที่เธอถักหรือตัดเย็บสวมเอง แค่เพียงคิดถึงใบหน้าหวานๆในชุดเสื้อแขนตุ๊กตากระโปรงทรงสุ่มสีฟ้าอ่อน คาดเอวบางด้วยเข็มขัดดอกไม้เขาก็แทบอดใจรอไม่ไหว อยากจับยายตัวเล็กที่บ้านมาเล่นแต่งตัวตุ๊กตาเสียในตอนนี้ 

 

* ภาพยนตร์เรื่อง แผลเก่า ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นภาพยนตร์ฟิล์ม ๓๕ มม. ขาวดำ พากย์สด สร้างโดย บูรพาศิลป์ภาพยนตร์ นำแสดงโดย สมพงษ์ จันทร์ประภา และ อบเชย ชุ่มพันธ์ กำกับโดยพรานบูรพ์ เพลงประกอบที่มีชื่อเสียงคือเพลงขวัญของเรียม, เคียงเรียม, สั่งเรียม, ลำนำแผลเก่า (๑๘ สิงหาคม ๒๔๘๓ ฉายที่ศาลาเฉลิมบุรี)

 

** เพลง “ขวัญของเรียม” หรือ เพลง “ขวัญเรียม” เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ไทย เรื่อง “แผลเก่า” ประพันธ์คำร้องและทำนองโดยพรานบูรพ์ หรือ ครูจันทร์จวง จันทร์คณา ศิลปินละครจันทโรภาส เสียงร้องที่ถูกบันทึกแผ่นเสียงแรกคือส่งศรี จันทรประภา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น