13

ตอนที่ 13


 

             เดฟ!

นอกจากจะเป็นครั้งแรกที่ได้มางานปาร์ตี้ตามคำชวนของเพื่อนแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่แมคเคนซี่เหยียบย่างเข้าผับในนิวยอร์ก หญิงสาวร่างเพรียวบางก้าวเดินอย่างลำบาก เดรสสั้นเปิดไหล่กับรองเท้าส้นสูงของเอมิลี่ทำเอาเธอจะล้มหลายต่อหลายครั้ง จึงจำต้องค่อยๆ ก้าวช้าๆ อย่างระมัดระวัง แต่ละก้าวไม่ต่างจากซอมบีเลยทีเดียว ส่งผลให้เอมิลี่หันมามองแล้วก็กลั้นหัวเราะไม่ไหว

            “เดินให้ดีกว่านี้หน่อยสิแม็กกี้ มั่นๆ หน่อย”

            “ให้เกมบ้าๆ นี่จบไปเสียทีเถอะน่า” คนเสียงใสบ่นอุบ เธอไม่อยากจะเดินแล้ว หรือไม่ก็ให้ถอดรองเท้าส้นสูงเดินเลยง่ายกว่า แต่เอมิลี่ห้ามไว้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นผิดกติกา แพ้ยายแม่มดนั่นก็ขายหน้าแย่

            “แต่ใส่เสื้อผ้าแบบเธอก็สบายดีนะ”

            แมคเคนซี่มองเอมิลี่ที่เหมือนกับเธอราวกับส่องกระจกเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าการแต่งหน้า ใส่คอนแทกต์เลนส์ และสวมวิกผมแล้วจะเหมือนกันขนาดนี้ ลำพังแค่อยู่ด้วยกันสองคนในห้องเธอยังแยกแยะกันแทบไม่ออก ประสาอะไรกับต้องมาอยู่ในที่มืดๆ และเต็มไปด้วยแสงไฟวูบๆ วาบๆ หลอกตา

            เอมิลี่ในชุดเสื้อผ้าแสนเรียบร้อยของแมคเคนซี่ขยิบตาให้แล้วพาเพื่อนสาวเข้าไปในผับ เสียงดนตรีกับเสียงบีตหนักๆ ดังกระหึ่มพาให้หัวใจเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ แมคเคนซี่มองไปรอบตัว จำผู้หญิงผมบลอนด์ที่เป็นคู่ปรับของเอมิลี่ได้ เจ้าหล่อนจ้องมาที่เพื่อนเธอตาไม่กะพริบด้วยแววตามาดร้าย แล้วพยักหน้าให้เบาๆ

            “ยายแม่มดนั่นจำได้” เอมิลี่หัวเสีย

            “ก็แหม...สลับได้แค่ตัว แต่สลับบุคลิกกันไม่ได้นี่” แมคเคนซี่บอกเบาๆ บอกตรงๆ ว่าระหว่างเธอกับเอมิลี่น่ะต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหวเสียอีก ใครแยกไม่ออกก็บ้าแล้ว

            “ฉันไม่สนุกด้วยแล้ว”

            “ฉันด้วย...ถ้าอย่างนั้นฉันไปถอดเสื้อผ้าแล้วนะ” เธอทนชุดกระโปรงสั้นรัดรูปเปิดไหล่ของเอมิลี่ไม่ไหวแล้ว อยากถอดออกใจจะขาด หวังจะให้เพื่อนเห็นใจ แต่พอหันมาหาก็พบว่าเอมิลี่กำลังส่งสายตากับรอยยิ้มให้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนสตูลที่บาร์ ลักษณะท่าทางดิบเถื่อนปราดเปรียวตามสเปกของเอมิลี่ทุกอย่าง

            “ตามสบายเลยแม็กกี้ ฉันรอที่บาร์แล้วกัน” เอมิลี่บอกแต่ไม่ยอมละสายตาจากชายคนนั้น แล้วก็เดินไปทันทีโดยไม่รอคำตอบเลยสักนิด

            แมคเคนซี่มองร่างเพรียวของเพื่อนที่เดินไปนั่งข้างๆ ชายที่หมายตาแล้วยังหันมายิ้มให้อีกต่างหาก ท่าทางแบบนี้ทำให้แมคเคนซี่รู้ตัวทันทีว่าถูกทิ้งอย่างถาวรแล้ว หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ แล้วตัดสินใจเดินเลี่ยงไปห้องน้ำ เธออยากเปลี่ยนเสื้อผ้าใจแทบขาดแล้ว

            “ยายเสื้อเชิ้ตขาวนั่นร้ายกาจใช่เล่นนะ มาถึงก็คาบหนุ่มหล่อเข้าห้องไปเฉยเลย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น

แมคเคนซี่รู้ทันทีว่าคนที่คนข้างนอกกำลังนินทาคงจะเป็นเอมิลี่ จึงซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำแล้วแอบฟังต่อไปเรื่อยๆ

            “ยายนั่นยังร้ายขนาดนั้น แล้วยายเดรสสั้นชุดดำนั่นจะร้ายขนาดไหน มาด้วยกันไม่ใช่หรือ” เสียงนินทาดังขึ้นมาอีก

            แมคเคนซี่ก้มลงมองเดรสสั้นสีดำรัดรูปที่สวมอยู่ทันที คราวนี้คนที่ถูกนินทาคือเธอสินะ ก็อยากบอกว่าไม่ได้อยากสวมเลยสักนิดถ้าไม่ใช่เพราะเกมบ้าๆ จากคู่ปรับของเอมิลี่ แล้วแม่เพื่อนตัวดีก็เลิกสนใจเกมหน้าตาเฉยเมื่อเจอหนุ่มที่ถูกใจเข้าหน่อย แม้แต่เธอที่เป็นเพื่อนยังถูกทิ้งให้เคว้งคว้างเลย นับประสาอะไรกับเกมบ้าๆ บอๆ นั่น

            เสียงนินทาของสองสาวเงียบไปแล้ว แมคเคนซี่จึงหยิบเสื้อเชิ้ตกับกระโปรงยาวที่เอาติดมาด้วย เพราะตั้งใจจะเปลี่ยนทันทีที่เกมสลับตัวจีบหนุ่มบ้าๆ นั่นจบลง ดีที่เธอไม่ต้องรอถึงตอนจบ เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจึงออกไปล้างหน้าล้างตา ถอดวิกผมและคอนแทกต์เลนส์ออก กลับมาเป็นแมคเคนซี่คนเดิมอีกครั้ง

            เมื่อลอกคราบความเป็นเอมิลี่ออกไปจนหมด แมคเคนซี่ก็ค่อยยิ้มออก หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำ และเริ่มมองหาเอมิลี่ แต่ไม่เจอใครเลย

            “เพิ่งมาหรือครับ” ผู้ชายคนหนึ่งทักขึ้น เขาคือไรอัน ชายหนุ่มที่เคยเป็นที่สนใจของเอมิลี่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ที่น่าแปลกใจคือเขาจำเธอไม่ได้หรือ ในเมื่อเธอก็มากับเอมิลี่แท้ๆ

            “คุณเห็นเอมิลี่ไหมคะ” แมคเคนซี่ไม่ตอบ แต่กลับถามถึงเพื่อนที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน

            “เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย ตอนนี้คงแยกไปมีความสุข”

            “อยู่ตรงไหนคะ” เธอสังเกตว่าผับนี้มีห้องหับมากมาย แต่ก็ไม่เคยเฉียดกรายเข้าไปใกล้สักที เธออยู่แค่ที่โถงและตรงฟลอร์ สลับกับห้องน้ำที่ไม่ต่างจากที่หลบภัย

            “ผมพาไปได้นะ” ไรอันบอก ดวงตาเป็นประกายวับวาวเชิญชวน แบบที่เอมิลี่เคยบอกว่ามันคือการ ‘อ่อย’ อย่างหนึ่ง แต่แมคเคนซี่ไม่สน ตอนนี้เธออยากกลับใจจะขาด แต่ก่อนกลับก็คงต้องบอกเอมิลี่ก่อน ติดตรงที่หาเอมิลี่ไม่เจอนี่สิ

            “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะกลับแล้ว ถ้าคุณอยู่นานก็ฝากบอกเอ็มด้วยนะคะว่าฉันกลับแล้ว”

            “เดี๋ยวสิ” มือหนาคว้ามือเธอไว้อย่างถือวิสาสะ

            แมคเคนซี่สะดุ้งแล้วดึงมือออกอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตตวัดมองไปยังชายร่างสูงใหญ่ด้วยสายตาไม่พอใจชัดเจน แล้วบอกเสียงห้วน “ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร”

            “ไม่อยากเจอเพื่อนหรือครับ”

            “ไม่ละ ถ้าเอ็มหาฉันไม่เจอ เขาก็จะรู้ว่าฉันกลับบ้านแล้ว” สาวร่างเพรียวบางหันหลังกลับทันที แต่ไรอันก็ยังดึงแขนเธอไว้อีก

            “เดี๋ยวสิแม็กกี้ จะเล่นตัวทำไมในเมื่อเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเธอน่ะเคยเป็นเมียเก็บชายแก่คราวพ่อ เธอไม่น่าเล่นตัวกับฉันนะ”

            ถ้อยคำหยาบคายนั่นทำให้แมคเคนซี่โกรธจัดจนรู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่แล่นปราดไปทั่วร่าง แต่ก็ต้องข่มใจไว้ เธอรู้ว่าคนในวิทยาลัยลือเรื่องนี้กันมานานแล้ว แต่เธอไม่เคยสนใจเพราะไม่มีใครมาทำหยาบคายใส่เธอ จนกระทั่งวันนี้ที่ถูกหยามซึ่งๆ หน้า

            ดวงตากลมโตกวาดมองชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดหยาม คนเราปั้นแต่งให้ดูดีได้แค่ภายนอกเท่านั้นจริงๆ แต่ภายในจิตใจช่างสกปรกนัก

            “ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของฉันค่ะ” แมคเคนซี่แค่นยิ้มเย็นชา “แต่อย่างน้อยฉันก็เลือก คนจิตใจคับแคบแบบคุณ ฉันไม่แลหรอก”

            สาวร่างเพรียวบางสะบัดแขนออกแล้วเดินหนีไปทันที รู้สึกสะใจนิดๆ ยามได้เห็นหน้าเจื่อนๆ ของหนุ่มหล่อล่ำที่คิดว่าการเป็นที่หมายปองของสาวๆ ทำให้ตัวเองเป็นพระเจ้า การได้ทำลายอัตตาของคนพวกนี้ทำให้เธอสะใจอย่างบอกไม่ถูก สงสัยจะอยู่กับเอมิลี่นานเกินไปจนเริ่มติดนิสัยเพื่อนสาวมาเสียแล้ว

            หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ตัดเรื่องบ้าๆ ออกไปแล้วมองซ้ายมองขวาหาเอมิลี่อีกที แต่ก็ไม่เจอแม้เงา รวมทั้งผู้ชายรูปหล่อเป้าหมายใหม่ของเอมิลี่ด้วย

            แมคเคนซี่เริ่มลังเลว่าเธอจะกลับเลยหรือว่าจะอยู่รอเอมิลี่ดี ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกห่วงเพื่อนขึ้นมาเสียได้ ทั้งที่อย่างเอมิลี่น่ะไม่น่าห่วงเลยสักนิด ทั้งเก่ง ปราดเปรียว เอาตัวรอดได้ และเข้ากับสถานการณ์ได้เสมอ เธอควรจะห่วงตัวเองมากกว่าที่ตอนนี้ไปสร้างศัตรูเข้าแล้ว ดีไม่ดีเกิดไรอันคิดแค้นแล้วหาทางเล่นงานเธอจะยุ่ง

ทว่าเมื่อนึกถึงดวงตาวับวาวของผู้ชายคนใหม่ของเอมิลี่ แมคเคนซี่ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงไปถามบาร์เทนเดอร์ที่บาร์ เผื่อเขาจะรู้ว่าตอนนี้เอมิลี่และผู้ชายคนนั้นไปอยู่เสียที่ไหน

            “หายไปด้วยกันนานแล้วครับ” บาร์เทนเดอร์ตอบ

            “ถ้าผู้หญิงคนนั้นกลับออกมา บอกด้วยนะคะว่าฉันกลับแล้ว”

            “ได้สิครับ ว่าแต่คุณชื่ออะไรผมจะได้บอกถูก”

            “ฉันชื่อแมคเคนซี่ค่ะ”

            บาร์เทนเดอร์คนเดิมขมวดคิ้วนิ่วหน้า เขาจ้องเธอเขม็ง จนแมคเคนซี่หรี่ตามองด้วยความสงสัย มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเสียแล้ว

            “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

            “ไม่มีอะไรครับ” บาร์เทนเดอร์ยิ้มตามปกติ แต่ดวงตายังปิดร่องรอยความกังวลไม่มิด แมคเคนซี่จึงตัดสินใจนั่งอยู่ตรงนี้ก่อน เธอสั่งค็อกเทลที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์มากมานั่งดื่มไปพลางๆ สลับกับมองนาฬิกาที่ข้อมือ จะตีสามแล้ว อีกไม่นานผับก็คงปิด

สาวร่างเพรียวบางลุกขึ้น กำลังจะเดินออกจากผับ แต่แล้วกลับได้ยินเสียงกรีดร้องดังมากเสียจนดีเจต้องหยุดเล่นเพลง รวมทั้งปิดไฟดิสโกหลากสีลง และเปิดไฟให้ความสว่างไปทั้งห้อง

            “มีคนตายอยู่ในห้อง แจ้งเก้าหนึ่งหนึ่งที!”

            เอมิลี่ตายแล้ว!

            แมคเคนซี่ยังอยู่ในอาการช็อกเกินกว่าจะยอมรับว่ามันคือความจริง ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงเร็วมากเสียจนเธอไม่ทันสังเกตว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุแล้ว และเธอถูกเชิญตัวเข้าไปสอบปากคำในฐานะเพื่อนสนิทของเอมิลี่ด้วย

            แต่หญิงสาวก็ต้องยอมรับความจริง ศพของเอมิลี่ยังสวมเสื้อผ้าของเธออยู่ ดวงตาปิดสนิทจนเหมือนแค่คนหลับไปเท่านั้น แต่ความจริงก็คือความจริง เอมิลี่ตายแล้ว ตายเพราะช็อกแบบเฉียบพลันอยู่ในห้องพร้อมด้วยเข็มฉีดยาและยาเสพติดจำนวนหนึ่ง

            ยาเสพติดอย่างนั้นหรือ...

            เอมิลี่เป็นขาประจำปาร์ตี้แทบจะทั่วแมนฮัตตันก็จริง ภายนอกดูเป็นคนกร้านโลกที่ทำได้ทุกอย่างก็จริง แต่แมคเคนซี่ไม่เชื่อว่าเพื่อนจะใช้ยาเสพติดเกินขนาดจนช็อกตาย เป็นไปไม่ได้ เอมิลี่อาจจะชอบดื่มชอบปาร์ตี้ แต่เรื่องยา...เอมิลี่ไม่เคยยุ่งแน่นอน

            แมคเคนซี่บอกเจ้าหน้าที่แบบนั้น แต่จำนนต่อหลักฐานในที่เกิดเหตุจริงๆ ทั้งอุปกรณ์การเสพและยาเสพติดมากมายที่ยังอยู่ในห้อง

            “แม็กกี้!” เรนนี่ที่เพิ่งทราบข่าวรีบเดินทางมาหาทันทีในสภาพที่น้ำตายังเต็มสองตาไม่ต่างจากแมคเคนซี่

แมคเคนซี่หันไปหาเพื่อนแล้วกอดร่างเล็กบางของเรนนี่ไว้แน่น และปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น

            “เอ็มตายแล้ว...” แมคเคนซี่ยังรับไม่ได้ เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่คลาดกันไปเกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมายโดยที่เธอไม่รู้ และจบลงที่ความตายของเอมิลี่

            สองสาวยังคงตั้งตัวไม่ติดกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง แมคเคนซี่อยากให้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น หรือไม่ก็เป็นแค่มุกตลกเรื่องพิเรนทร์ที่เอมิลี่สร้างขึ้น และเพื่อนก็ยังไม่ได้จากไปไหน แค่รอเวลาให้เธอและเรนนี่ร้องไห้หนักๆ ไม่นานก็จะลุกขึ้นมายิ้มและหัวเราะให้เธอดังเดิม

            แต่แมคเคนซี่รู้ดีว่ามันเป็นแค่ความหวังเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วเธอกับเรนนี่เดินทางมาที่แผนกนิติเวชระหว่างรอชันสูตรศพ และรอให้พ่อและพี่ชายของเอมิลี่มาถึง

            “เกิดอะไรขึ้นเรนนี่! แม็กกี้” โจนาธานกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาสองสาวที่นั่งอยู่กับเจ้าหน้าที่

            “พี่ชายของเอมิลี่ใช่ไหมครับ” เจ้าหน้าที่ชันสูตรคนหนึ่งเดินออกมาหา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตามอยู่ไม่ห่าง

            “ครับ” โจนาธานรับคำ ดวงตาคมของชายหนุ่มมีน้ำตารื้นตลอดเวลา แม้โจนาธานจะไม่ร้องไห้ แต่แมคเคนซี่รู้ดีว่าเขาก็เสียใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของเอมิลี่ไม่ต่างกัน

            “ผู้ตายใช้ยาเกินขนาดจนเกิดภาวะช็อกและหัวใจหยุดเต้นในที่สุด”

            “ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ เลย” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งเสริมขึ้น

            “แต่มีร่องรอยการร่วมรัก” เจ้าหน้าที่ชันสูตรบอก

            “ซึ่งการให้ปากคำจากผู้ชายคนนั้นก็เหมือนกับหลักฐานในที่เกิดเหตุ ทั้งคู่เสพยาด้วยกันหลังจากการร่วมรัก” เจ้าหน้าที่ตำรวจอธิบายให้ฟังตามพยานและหลักฐานในที่เกิดเหตุ

            “แต่เราจะชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง และถ้าทางญาติยังติดใจในการเสียชีวิตและยินยอมให้ผ่าพิสูจน์...”

            “ไม่ต้องครับ” โจนาธานส่ายหน้า แม้จะอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ แต่เขาก็ยอมรับความจริงได้

            ทั้งแมคเคนซี่และเรนนี่ยังอยู่กับโจนาธานและพ่อของเอมิลี่ที่เดินตามเข้ามาทีหลัง และเล่าเรื่องราวให้พวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะไม่อยากเชื่อ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว พยานหลักฐานทุกอย่างก็ตรงกับผลการชันสูตร จึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจและยอมรับความจริงว่าเอมิลี่จากพวกเธอไปแล้ว

            งานศพของเอมิลี่จัดขึ้นที่เออร์วิงตัน เมืองเล็กๆ ชานเมืองรัฐนิวยอร์ก พิธีฝังศพผ่านพ้นไปและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แมคเคนซี่และเรนนี่ไปร่วมพิธีและกลับมาเรียนตามปกติ หน้าวิทยาลัยยังมีการวางดอกไม้ร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของเอมิลี่

            เมื่อขาดเอมิลี่ไปทำให้สีสันในชีวิตแมคเคนซี่เลือนหายไปอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นสบตากับเรนนี่ แมคเคนซี่ไม่เคยกลั้นน้ำตาได้เลยสักครั้งเดียว ยิ่งเวลาเรียนมองเก้าอี้ตัวเก่าและล็อกเกอร์เดิมของเอมิลี่ ก็ยิ่งทำให้ทั้งเธอและเรนนี่ใจหาย ไม่อยากให้เป็นเรื่องจริง แต่ก็ต้องทำใจยอมรับมัน

            “เธอจะกลับไปนอนที่ห้องเธอแล้วหรือ ถ้ายังไม่สบายใจก็นอนกับฉันเหมือนเดิมได้นะแม็กกี้” เรนนี่บอกเมื่อพากันเดินมาถึงสถานีรถไฟใต้ดิน

            “ไม่ละเรนนี่ ขอบใจมากนะ แต่ฉันทิ้งห้องมาหลายวันแล้ว”

            “มีอะไรโทร. หาฉันนะ”

            “เธอก็ด้วย แล้วเจอกันนะเรนนี่”

            “แล้วเจอกัน”

            แมคเคนซี่โบกมือให้เพื่อนแล้วเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินคนละสาย เพราะต่างก็แยกย้ายกลับที่พักของตัวเอง แม้จะรู้สึกวาบโหวงในอกนิดๆ แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เอมิลี่จากเธอไปแล้วก็จริง แต่แมคเคนซี่คิดว่าเอมิลี่จะไม่ไปไหนไกล เพื่อนของเธอคงกำลังมีความสุขอยู่ที่ไหนสักที่ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร เธอก็จะจดจำเพื่อนที่แสนดีคนนี้ไว้ในหัวใจตลอดไป

            หญิงสาวก้าวเข้ามาในตู้รถไฟใต้ดินและนั่งลงบนที่นั่งที่ว่างอยู่พอดี ดวงตากลมโตมองไปรอบๆ ตามความเคยชิน และสังเกตเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งที่คุ้นตา

            บาร์เทนเดอร์ในคืนที่เกิดเรื่องไม่ใช่หรือ...

            แม้ว่าในผับจะมืดแค่ไหน แสงสลัวอาจจะหลอกตาได้บ้างก็จริง แต่แมคเคนซี่ก็จำบาร์เทนเดอร์คนนั้นได้ติดตา ยิ่งนึกไปถึงตอนที่เธอบอกว่าตัวเองชื่อแมคเคนซี่ ดวงตาของบาร์เทนเดอร์คนนั้นก็เป็นประกายวาววับขึ้นมาทันที แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่แววตาของเขาคนนั้นไม่คลายความสงสัยลงเลย

            หญิงสาวหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นบาร์เทนเดอร์คนนั้นแล้ว ไม่พบว่าอยู่บริเวณนั้นด้วย แมคเคนซี่จึงได้แต่ถอนหายใจและคิดว่าคงเป็นแค่ความบังเอิญมากกว่า จึงนั่งมองผู้คนไปเรื่อยๆ จนมาถึงสถานีสตรีตเจ็ดสิบเจ็ดที่อยู่ใกล้กลับอะพาร์ตเมนต์มากที่สุด

สาวร่างเพรียวบางออกจากสถานีแล้วเดินไปเรื่อยๆ แวะมินิมาร์ตเล็กๆ ระหว่างทางกลับอะพาร์ตเมนต์เพื่อซื้อของสดไว้ทำอะไรกินตอนเช้าๆ นิดหน่อย การสูญเสียเอมิลี่ทำให้แมคเคนซี่ลืมเรื่องเดฟไปเลย ป่านนี้เขาคงไม่ต้องเฝ้าห้องให้เจ้านายแล้วกระมัง แต่ก็ดีแล้ว จะได้เลิกยุ่งกับเธอเสียที

            แมคเคนซี่เดินมาจนถึงแผนกผักสด เลือกผักกาดเขียวจำนวนหนึ่งไว้ทำอาหารเช้าง่ายๆ ระหว่างที่กำลังเลือกอยู่นั่นเองที่แมคเคนซี่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ราวกับกำลังถูกจ้องมองจากทางด้านหลัง

            หญิงสาวขมวดคิ้ว แต่ไม่กล้าหันไปมองตรงๆ จึงแสร้งทำเป็นเลือกของต่อไปแล้วแสร้งยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ภาพสะท้อนบนหน้าจอคือบาร์เทนเดอร์คนเดิมยืนหลบมุมอยู่ไกลๆ แต่แมคเคนซี่จำได้ดี

            นี่ไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว...

            แมคเคนซี่นึกไปถึงตอนที่เดฟสะกดรอยตามเธอ แม้จะน่ากลัวแต่ก็ไม่มากเท่านี้ บาร์เทนเดอร์คนนี้คือคนเดียวกับในผับวันที่เกิดเรื่อง และเธอก็ต้องเสียเอมิลี่ไป มันน่ากลัวกว่าตอนที่ถูกเดฟตามเสียอีก

            นักศึกษาสาวพยายามตั้งสติ ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบของที่จำเป็นจนครบแล้วจึงเดินไปจ่ายเงิน และรีบกลับที่พักให้เร็วที่สุด เมื่อมาถึงแล้วเธอก็รีบปิดประตูลงกลอน วางข้าวของกองไว้อย่างไม่สนใจจะเก็บเลยสักนิด สิ่งเดียวที่อยากรู้คือบาร์เทนเดอร์คนนั้นยังตามมาอีกหรือไม่ เธอเดินไปที่ระเบียงแล้วเลิกม่านดูช้าๆ

            เขายังอยู่จริงๆ ด้วย!

            หัวใจของแมคเคนซี่เต้นแรงและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาจะตามเธอมาทำไม ในเมื่อไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด และที่สำคัญคือไม่มีแค่บาร์เทนเดอร์คนนั้นตามลำพัง แต่กลับมีผู้ชายร่างสูงกำยำคนที่ควงไปกับเอมิลี่ด้วย ทั้งที่เขาควรจะโดนจับข้อหาเสพยาเสพติดไม่ใช่หรือ

            แมคเคนซี่นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในผับ ก้าวแรกที่เข้าไปข้างใน ผู้ชายร่างใหญ่กำยำคนนั้นก็จ้องมองเอมิลี่อยู่แล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เอมิลี่ยังมองหาไรอันอยู่เลย แต่พอเจอสายตาร้อนแรงของฝ่ายนั้นก็ก้าวเข้าไปหาอย่างง่ายดาย เอมิลี่เป็นคนสวยมากก็จริง แต่คืนนั้นเอมิลี่ดูธรรมดามากเพราะสวมเชื้อเชิ้ตและกางเกงยีนของเธอ ทั้งยังทำผมเรียบง่าย เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นจุดสนใจได้มากขนาดนี้

            ‘ฉันชื่อแมคเคนซี่ค่ะ’

            หลังจากประโยคที่เธอบอกบาร์เทนเดอร์ไปไม่นานก็มีคนพบศพเอมิลี่ ไหนจะแววตาที่เต็มไปด้วยความตกใจของบาร์เทนเดอร์คนนั้นอีก ทำให้แมคเคนซี่อดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ว่าบางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเธอโดยตรงก็เป็นได้ โดยเฉพาะการตายของเอมิลี่

            เอมิลี่ไม่เคยใช้ยาเสพติด เป็นไปได้หรือไม่ว่าบางทีเหยื่อวันนั้นไม่ควรเป็นเอมิลี่แต่แรก แต่อาจจะเป็น...ตัวเธอเอง!

            ความคิดนี้ทำให้แมคเคนซี่ยิ่งฟุ้งซ่าน เธอหันไปสนใจบาร์เทนเดอร์และผู้ชายคนนั้น แต่ก็ไม่เจอใครแล้ว ที่ตรงนั้นไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีใครเคยยืนอยู่มาก่อน

            รุ่งเช้าแมคเคนซี่ยังไปเรียนตามปกติ แต่ก็ยังอดระแวงไม่ได้ว่าจะมีคนตามเธอมาอีกหรือเปล่า ซึ่งเช้าๆ ที่มีคนพลุกพล่านแบบนี้มองหาได้ยากเหลือเกิน เธอไม่รู้เลยว่าในบรรดาผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมานั้นมีใครบางคนซ่อนอยู่หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือทำให้เธอหวาดกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นมาอีก แล้วถ้าเกิดเรื่องร้ายจริงแล้วเธอจะทำอย่างไร

            แต่แล้วแมคเคนซี่ก็อดคิดถึงเดฟไม่ได้ เขาเคยตามเธอมาก็จริง แต่ไม่เคยทำร้ายหรือทำเรื่องใหญ่จนมีอันตรายแก่เธอเลยสักครั้ง ถ้าเขาอยู่แถวนี้ก็คงดี แต่เธอรู้ดีว่าคงเป็นแค่ความคิดเพ้อเจ้อของเธอเท่านั้น ในเมื่อความจริงแล้วเดฟเองก็อาจจะเข้ามาหาเธอเพียงเพราะต้องการบางสิ่งบางอย่างไม่ต่างจากคนพวกนั้นเช่นกัน

            แล้วพวกมันต้องการอะไรกันแน่...

            ไม่ว่าพยายามคิดสักกี่ครั้ง เธอก็คิดไม่ตก หญิงสาวส่ายหน้าไปมาแล้วตั้งสติให้พร้อมกับการเรียน เธอเดินมาหาเรนนี่ที่นั่งรออยู่หน้าวิทยาลัยแล้วเข้าไปเรียนตามปกติ ได้แต่หวังว่าบาร์เทนเดอร์คนนั้นจะไม่ตามเธออีกแล้ว ให้เธอได้กลับมามีชีวิตเป็นปกติสุขอย่างคนอื่นเสียที

            “มีอะไรหรือเปล่าแม็กกี้” เรนนี่ถามขณะทั้งสองนั่งอยู่หน้าร้านอาหารที่เป็นรถเข็นข้างวิทยาลัย แต่แมคเคนซี่ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ครุ่นคิดตลอดเวลาจนแทบไม่ได้ฟังสิ่งที่เรนนี่พูด

            “แม็กกี้!”

            “อะไรเหรอ” แมคเคนซี่สะดุ้งเบาๆ แล้วหันมาจ้องเรนนี่เขม็ง

            “ฉันถามเธอว่าสุดสัปดาห์นี้ไปเที่ยวนอกเมืองกันไหม”

            “ไปไหนล่ะ”

            “นี่ไม่ได้ฟังเลยละสิเนี่ย” สาวชาวจีนส่ายหน้าทำตาดุใส่ แล้วย้ำช้าๆ ชัดๆ ราวกับแมคเคนซี่เป็นเด็กสองขวบ “ฉันว่าจะชวนเธอไปดี.ซี. ฉันอยากเข้าไปเยี่ยมชมทำเนียบขาว”

            “เธอไม่ได้เป็นสายสืบให้รัฐบาลจีนใช่ไหม”

            เรนนี่สะดุ้งกับคำถามกวนประสาทที่ไม่คาดคิดว่าจะออกจากปากสาวเงียบๆ อย่างแมคเคนซี่ “คิดได้ยังไงน่ะแม็กกี้”

            “แล้วใช่ไหมล่ะ” หญิงสาวยิ้มให้เพื่อน พยายามกลบเกลื่อนความกังวลที่อยู่ในใจด้วยการหามุกตลกๆ ในหนังสายลับมาคุยด้วย แต่เหมือนเรนนี่จะไม่หลงกล นอกจากไม่หัวเราะแล้วยังหรี่ตามองเธออย่างจับผิดเสียอีก

            “เธอดูแปลกๆ นะแม็กกี้”

            “ไม่นี่”

            “อย่ามาโกหกฉันเลย มีอะไรหรือเปล่า”

            แมคเคนซี่กลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ อยากบอกเรนนี่เหมือนกัน แต่เพราะเธอเองก็ยังไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น จึงจำต้องส่ายหน้า “ไม่มีอะไร แค่คิดถึงเอ็ม”

            “นั่นสิ”

            “ว่าแต่เธอจะไปเที่ยวทำเนียบขาวจริงๆ หรือ”

            “ใช่” เรนนี่พยักหน้า “ฉันดูแล้วว่าวันไหนที่เขาเปิดให้เข้าชมบ้าง มีไกด์ด้วยนะ จะได้อธิบายประวัติให้เราเข้าใจด้วย”

            “ก็ดีนะ” แมคเคนซี่พยักหน้าด้วยความสนใจ เธอเองก็มัวแต่อุดอู้อยู่แต่ในห้อง มีเรื่องให้คิดไม่เว้นแต่ละวัน ได้ออกไปเที่ยวเสียบ้างจะได้ลืมเรื่องบ้าๆ นี้ไป แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

            สองสาวนั่งวางแผนการเที่ยวกันจนกระทั่งใกล้เวลาเลิกงาน จึงตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินไปร้านอาหารจีนร้านโปรดของเรนนี่ ตลอดเวลาที่ไปด้วยกันแมคเคนซี่ก็ลอบสังเกตไปด้วยว่ายังมีคนตามมาอีกหรือไม่ แต่ก็ไม่เลย ไม่มีวี่แววของบาร์เทนเดอร์หรือผู้ชายร่างใหญ่ที่หายไปกับเอมิลี่ในวันนั้นแต่อย่างใด จนหญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก

            “มีอะไรหรือเปล่าแม็กกี้” เรนนี่ถาม

            “ไม่มีอะไรหรอก เรากลับกันเถอะ”

            “ก็ดี ฉันอิ่มจนเริ่มง่วงแล้วละ” สาวชาวจีนหาว แล้วเดินคล้องแขนพาแมคเคนซี่ไปขึ้นรถไฟใต้ดินสถานีที่ใกล้ที่สุด แต่ระหว่างทางกลับแมคเคนซี่ก็ยังไม่มีสีหน้าดีขึ้นเลยสักนิด ทั้งยังมองไปรอบตัวหลายครั้งจนเรนนี่อดถามไม่ได้

            “ไม่มีอะไรแน่นะแม็กกี้ ทำไมสีหน้าไม่ดีขึ้นเลยล่ะ”

            “ไม่มีอะไรจริงๆ เจอกันพรุ่งนี้นะเรนนี่” แมคเคนซี่ยิ้มให้เพื่อนแล้วแยกกันไปต่อรถไฟใต้ดินคนละสาย เพราะเรนนี่พักอยู่ย่านอัปเปอร์เวสต์ไซด์ ซึ่งคนละฟากกับเธอเลยก็ว่าได้

            เมื่อแยกกับเรนนี่แล้ว แมคเคนซี่จึงขึ้นรถไฟใต้ดินสายที่มุ่งหน้ากลับที่พัก ระหว่างนั้นก็อดมองไปรอบตัวไม่ได้ แรกๆ ก็ปกติดีไม่มีอะไร จนกระทั่งรถจอดที่สถานีหนึ่ง คนทยอยออกไปแล้ว ทำให้หญิงสาวเห็นใครบางคนที่ยืนซุ่มอยู่ที่มุมตู้รถไฟใต้ดิน

            แมคเคนซี่ตกใจจนใจหายวาบ หญิงสาวเริ่มกระสับกระส่าย เพราะทั้งบาร์เทนเดอร์และผู้ชายร่างใหญ่ในผับคืนนั้นเดินออกจากมุมอับ เธอไม่รู้เลยว่าพวกเขาตามเธอมานานแค่ไหนแล้ว หรือบางทีคนพวกนี้อาจจะตามเธอมาตลอดเลยก็ได้

            แมคเคนซี่เดินออกจากรถไฟใต้ดินทันทีที่รถจอดในสถานีถัดไป ยังไม่ถึงที่พักก็จริง แต่เธอรอให้ถึงที่พักไม่ได้ พวกมันต้องไปเล่นงานเธอถึงที่ห้องแน่นอน และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเธอก็จะตายไปโดยไม่มีใครรู้ความจริง ก็เหมือนอย่างเอมิลี่ เอมิลี่ตายเพราะใช้ยาเกินขนาด แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเอมิลี่เป็นคนใช้ยาด้วยตัวเองจริงหรือเปล่า

            สาวร่างเพรียวบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งปะปนไปกับผู้คนในสถานีรถไฟใต้ดิน ได้แต่ภาวนาให้พวกมันคลาดกับเธอเร็วๆ แต่เมื่อหันไปมองคราวใดก็ยังเห็นสองคนนั้นเดินตามเธออยู่ ทั้งยังจ้องเขม็งมาที่เธออีกด้วย

            ต้องแจ้งความ!

            แมคเคนซี่ฉุกคิดขึ้นมาได้ท่ามกลางความตกใจและหวาดหวั่นจนลนลาน หญิงสาวควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย แต่ก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดในยามที่ดวงตกที่สุดในชีวิต เพราะแบตโทรศัพท์ดันมาหมดเสียได้

            “ซวยจริงๆ” แมคเคนซี่พยายามกดเปิดเครื่องอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล หน้าจอดับสนิทเพราะไม่เหลือแบตอยู่เลยสักนิดเดียว โทร. ออกก็ไม่ได้ กลับห้องก็ไม่ได้ แล้วเธอจะทำอย่างไรดี

            หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองชายสองคนที่ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วรีบสาวเท้าหนีไปให้เร็วที่สุด แมคเคนซี่ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังหนีไปทางไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ส่วนไหนของเกาะแมนแฮตตัน เธอไม่สนใจอะไรอีกแล้วนอกจากพยายามหนีผู้ชายสองคนนั้นไปให้ได้

            นักศึกษาสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนไม่ทันสังเกตว่า ไม่ได้มีแค่บาร์เทนเดอร์และผู้ชายที่อยู่ในบาร์คืนนั้นเท่านั้นที่กำลังเดินตามเธออยู่ไม่ไกล

            ชายร่างสูงสาวเท้าเร็วๆ ปะปนไปกับผู้คน สองมือผลักคนที่ขวางทางออกไป สายตาจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวร่างบอบบางไม่วางตา จนกระทั่งเดินตามทันในที่สุด เขาเอามือปิดปากเธอจากทางด้านหลังแล้วลากเธอเข้าไปในตรอกแคบๆ ระหว่างตึกที่อยู่ติดกันอย่างรวดเร็ว

            แมคเคนซี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ หญิงสาวทั้งดิ้นทั้งร้อง แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากฝ่ามือหนากร้านที่ปิดปากเธอไว้เลย

            ‘ช่วยด้วย!’ หญิงสาวพยายามตะเบ็งเสียง แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกไปได้แม้แต่นิดเดียว และนั่นก็ทำให้เขาย้ำน้ำหนักมือที่ปิดปากเธอไว้จนเจ็บไปหมด

            “เงียบนะ”

เสียงขู่เหี้ยมเกรียมทำให้แมคเคนซี่ขนลุกไปทั้งตัว ทั้งหวาดกลัว หวาดหวั่น พยายามหันไปมองว่าใครคือคนที่อยู่ข้างหลังและจับเธอไว้ แต่ก็ทำไม่ได้ ทั้งยังถูกเขาบังคับให้มองไปที่ถนนอีกครั้ง

            “ดูนั่นสิ”

            แมคเคนซี่หันไปมองตามเสียงบอก ก็เห็นว่าบาร์เทนเดอร์และผู้ชายร่างใหญ่ในบาร์คืนนั้นเดินผ่านไปแล้ว จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

            “ตามผมมา” เขาสำทับเสียงเข้มแล้วทำท่าจะลากเธอตามเขาไปอีก คราวนี้แมคเคนซี่ทั้งดิ้นทั้งร้อง พยายามแกะมือหนาออก แต่เขาไม่ปล่อย ทำเอาหญิงสาวยิ่งหวาดผวา อดคิดไม่ได้ว่านี่เธอหนีเสือปะจระเข้หรือไร ทำไมถึงหนีไม่พ้นกลุ่มคนบ้าๆ ที่ตามคุกคามเธอเสียที

            “ปล่อยฉัน” แมคเคนซี่พยายามกัดมือเขา

            “อย่าดื้อนะสาวน้อย ผมไม่ใจดีเหมือนคนที่ให้มาพาคุณไปหรอกนะ” เขาดุเสียงกร้าว

            “ใคร” เสียงใสถามทันควัน ใครกันที่สั่งให้ผู้ชายบ้านี่มาจับเธอไป พวกไหนอีกกันแน่

            “อีกเดี๋ยวคุณจะได้เจอเขา”

            “ฉันไม่อยากเจอ” แมคเคนซี่ร้องด้วยความหวาดกลัว แต่เขากดฝ่ามือแน่นกว่าเดิมขึ้นไปอีก จนเสียงที่ออกมาเป็นแค่เสียงอู้อี้อยู่ในฝ่ามือกร้านเท่านั้น

            “อีกเดี๋ยวน่า ให้ตายเถอะแม่คุณ ผมไม่อยากแบกคุณหรอกนะ” เขาใช้แรงที่มีมากกว่าลากแมคเคนซี่ให้ปลิวได้อย่างง่ายดาย

            หญิงสาวพยายามมองหาความช่วยเหลือจากแท็กซี่สีเหลืองที่เพิ่งเข้ามาจอดเทียบ แต่ก็เหมือนว่าจะเป็นพวกเดียวกับคนบ้าป่าเถื่อนนี่หรือเปล่า เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็ถูกมือหนากร้านกดหัวจับยัดเข้าไปในรถอย่างแรงจนหัวสั่นหัวคลอน แต่พอตั้งสติได้เธอก็รีบหันไปหาคนขับแล้วร้องขอความช่วยเหลือทันที

            “ช่วยด้วยค่ะ!” มือน้อยตะเกียกตะกายจับร่างสูงใหญ่ของคนขับให้หันกลับมา แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งประจำที่คนขับรถแท็กซี่คือใคร

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น