แต่ข้อเสนอชวนไปพิพิธภัณฑ์ของเขาก็น่าสนใจเหมือนกัน และนั่นทำให้แมคเคนซี่คิดหนักว่าจะตกปากรับคำชวนจากเขาดีหรือไม่ เธอคิดไม่ตกจริงๆ
วันถัดมา แมคเคนซี่ตื่นแต่เช้าเพราะนัดเรนนี่กับเอมิลี่ที่ร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัยก่อนไปเรียน เธอไปถึงเป็นคนแรกแล้วจึงโทร. หาเพื่อนๆ ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึง เรนนี่มีท่าทางสดชื่นกระตือรือร้นที่จะเข้าเรียน ส่วนเอมิลี่เอาแต่เดินหาว เพราะเที่ยวหนักทุกคืนเหมือนเคยจึงแทบไม่ได้นอน
“รอนานไหมแม็กกี้” เรนนี่ถามด้วยน้ำเสียงรื่นเริง กอดหนังสือไว้เต็มอ้อมแขน ส่วนมืออีกข้างลากแมคเคนซี่เข้าไปในร้าน โดยมีเอมิลี่เดินซึมๆ ปิดท้าย
“เมื่อคืนแย่มากหรือเอ็ม” แมคเคนซี่ถามเพื่อนที่เอาแต่นั่งเท้าคางบนโต๊ะและหาวไปพลางระหว่างค่อยๆ ละเลียดแซนด์วิชกับมันฝรั่งเป็นอาหารเช้า
เอมิลี่หาวอีกรอบแล้วตอบทั้งที่น้ำตาไหล “ก็...”
“เลิกอีกแล้วจ้ะ” เรนนี่ชิงตอบเสียเอง เพราะคุยกับเอมิลี่ตั้งแต่เดินทางมาด้วยกันแล้ว
“อีกแล้วหรือ”
“โธ่...อย่าทำเสียงแปลกใจอย่างนั้นสิ” เอมิลี่หัวเราะเบาๆ พลางขยี้ตาไปด้วย จากนั้นก็...กินต่อ
“อี๋” เรนนี่ร้องยี้จนคนอื่นๆ หันมามอง
“ตกใจทำไม” สาวแสบยังทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วยิ้มใส่เพื่อน ออกจะชอบด้วยซ้ำที่ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน
“ทะเลาะกันตลอดจริงๆ” แมคเคนซี่หัวเราะพลางส่ายหน้าเบาๆ แล้วกัดแซนด์วิชแบบตุรกี รสชาติแปลกๆ ของมันทำเอาเธอสำลัก
“แม็กกี้ก็สำลักบนโต๊ะ ไม่เห็นเธอจะร้องยี้เลยล่ะเรนนี่”
“แม็กกี้ไม่สกปรกแบบเธอไงเอ็ม”
“ยายเรนนี่!”
“พอเถอะๆ” คนกลางต้องห้ามสองสาวก่อนที่จะตีกันไปมากกว่านี้ แต่เรนนี่กับเอมิลี่ก็ต่อปากต่อคำกันไปอย่างนั้นเอง ไม่ใช่ว่าจะเกลียดชังกันจริงๆ เสียหน่อย ไม่อย่างนั้นคงไม่พักอยู่ใกล้กันแล้วขลุกอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
“เลิกเรียนแล้วไปไหนกันหรือเปล่า” แมคเคนซี่ถาม สร้างความแปลกใจให้เพื่อนทั้งสองเป็นอย่างมาก เพราะปกติแล้วแมคเคนซี่กระตือรือร้นที่จะเรียนที่สุด มีแต่บ่นว่าวันๆ หนึ่งน่าจะเรียนมากกว่านี้ แต่นี่ถามถึงกิจกรรมหลังเลิกเรียนเสียแล้ว โดยเฉพาะเอมิลี่ถึงกับอ้าปากค้างไปเลย
“เธอไม่สบายหรือแม็กกี้” เรนนี่มีสีหน้าตื่นตระหนกแล้วรีบแตะตัวเพื่อนเป็นการใหญ่ “ก็ปกติดีนี่”
“เธอติดอีโบล่ามาหรือเปล่า”
“ว่าไปนั่น” แม็กกี้หัวเราะไปกับคำถามเพี้ยนๆ ของเอมิลี่แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากชวนไปซื้อกระดานวาดรูปกับสีอีกนิดหน่อย”
“ไปเลยไหม” เข้าทางเอมิลี่พอดี
สาวชาวจีนรีบดึงไหล่เพื่อนสาวตัวแสบไว้ก่อน แล้วปรามเสียงดุ “พักเลยเอ็ม ก่อนที่เธอจะเรียนไม่จบจริงๆ”
“ก็แค่จะไปเป็นเพื่อนแม็กกี้”
“ร้านสีน่ะไปเมื่อไหร่ก็ได้จ้ะ” สาวลูกครึ่งไทยยิ้มกว้าง “ไปเรียนกันก่อนดีกว่า”
“ฉันง่วง”
“เมื่อกี้ใครชวนหนีคลาส” เรนนี่เท้าสะเอว ก่อนจะดึงคนขี้เกียจให้ลุกขึ้นแล้วเดินไปมหาวิทยาลัย
แมคเคนซี่เดินนำหน้าเพื่อนๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเพราะเรนนี่จะต้องคอยลากเอมิลี่มาด้วยเสมอ แต่เสียงร้องเรียกชื่อใครบางคนของเอมิลี่ทำให้เธอชะงัก เลือดในกายเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“เดฟ!” เสียงเอมิลี่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “คิดว่าคุณอยู่เออร์วิงตันกับโจเสียอีก”
แมคเคนซี่นึกได้ทันทีว่าเดฟเป็นเพื่อนกับโจนาธาน พี่ชายของเอมิลี่ ทั้งยังเคยควงกับเพื่อนสาวของเธออีกด้วย หญิงสาวยืนตัวแข็ง ไม่ยอมหันกลับไปเพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา จึงได้แต่ยืน ‘แอบ’ ฟังการสนทนานั้นต่อไป
“มาทำงานน่ะ”
“นี่เดฟ ฉันมีเพื่อนแนะทำให้รู้จักค่ะ เธอชื่อ...”
“ต้องไปแล้ว” เดฟตัดบทก่อนที่เอมิลี่จะแนะนำแมคเคนซี่ ซึ่ง...ก็ดีแล้ว
แมคเคนซี่ได้ยินเอมิลี่บ่นกระปอดกระแปดอยู่พักใหญ่แล้วจึงเดินมาสมทบกับเธอ เห็นได้ชัดว่าเอมิลี่ไม่พอใจที่เดฟไม่สนใจไยดีแล้วรีบชิ่งหนีหน้าตาเฉย ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิด
“ไหนว่าเลิกกันไปแล้วไงเอ็ม ทำไมเธอยังทำตาละห้อยเวลามองนายนั่นอยู่อีกล่ะ” เรนนี่แขวะเข้าให้
ส่วนแมคเคนซี่ได้แต่มองเพื่อนคุยกันตาปริบๆ
“ไม่ได้คบกันเสียหน่อย จะบอกว่าเลิกกันได้ไง”
“เธอไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ ในเมื่อเธอกับเขาเคย...”
“ถ้าต้องรู้สึกแปลกๆ เวลากลับมาเจอหน้ากันนะเรนนี่ ฉันคงเดินไปไหนไม่ได้แล้วละ” เอมิลี่พูดทีเล่นทีจริงพลางยักไหล่เบาๆ บ่งบอกว่าไม่แยแสเรื่องนี้เลยสักนิด
แมคเคนซี่มองเอมิลี่ตาโต ส่งผลให้เอมิลี่หัวเราะร่วนแล้วตบบ่าเพื่อนเบาๆ “ฉันละอยากลากเธอสองคนไปปาร์ตี้สุดสัปดาห์นี้จริงๆ”
“มีอะไรน่าสนใจล่ะ” สาวชาวจีนถาม
“เยอะ!”
“ลองไหมแม็กกี้” เรนนี่หันไปหาแนวร่วม จะว่าไปอยู่มาจนอายุยี่สิบแล้ว ก็น่าลองดูเหมือนกัน
“ขอคิดดูก่อนได้ไหม”
“จะคิดมากทำไมเล่า ไปเปิดหูเปิดตา ฉันสัญญาว่าจะไม่ทิ้งพวกเธอ”
“ถ้าไม่เจอผู้ชายถูกสเปก” เรนนี่ดักคอเอมิลี่อย่างรู้ทัน
“พระเจ้า...สมแล้วที่เป็นเพื่อนฉัน ถ้าเจอคนถูกใจเมื่อไหร่ฉันจะพาเธอสองคนออกมาก่อน รีบกลับห้องไปซะ ส่วนฉันจะไปต่อ”
“สุดยอด” แมคเคนซี่ชูนิ้วโป้งขึ้นสองครั้งเพื่อประชดเพื่อนสาว นานๆ สาวมาดนิ่งปานเจ้าหญิงน้ำแข็งจะแสดงอารมณ์ออกมาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นิ่งเงียบอย่างเดียว ทำเอาทั้งเรนนี่และเอมิลี่หัวเราะได้ทั้งคู่
สามสาวกอดคอกันเดินไปมหาวิทยาลัยแล้วเข้าเรียนตามปกติ ลืมเรื่องอื่นๆ ไป และทุ่มเทความสนใจให้การเรียนอย่างเดียวเท่านั้น
เวลาผ่านไป...
หลังจากติดตามแมคเคนซี่มาสักระยะ ทำให้เดฟพบว่าแมคเคนซี่เป็นเด็กคงแก่เรียนคนหนึ่งที่เข้าถึงยากเหลือเกิน เธอนิ่งมาก ยามออกไปเรียนหรือไปไหนเธอก็มักจะนิ่ง แม้แต่ออกไปกับเพื่อนเธอยังไม่ค่อยพูดจากับใคร เอาแต่เป็นผู้ฟังอย่างเดียวเท่านั้น ฟังเงียบๆ มองเพื่อนตาปริบ นานๆ จะพูดออกมาสักครั้ง นั่นทำให้เดฟได้แต่ครุ่นคิดว่าอะไรที่ทำให้เธอเป็นคนอย่างนี้ ทั้งที่อยู่ในวัยสดใสแท้ๆ แต่กลับเคร่งขรึมเกินวัย
เดฟนึกไปถึงคำพูดของโจนาธานที่รู้จักแมคเคนซี่มานานกว่า ฝ่ายนั้นเคยบอกเขาว่าแมคเคนซี่เป็นเด็กมีปัญหา เกิดที่อเมริกา แต่โตที่ประเทศไทย จนกระทั่งไม่เหลือใครเลยเธอจึงมาอยู่กับพ่อที่ก็ไม่มีเวลาดูแลลูกเลย ปล่อยให้แมคเคนซี่อยู่ตามลำพังในโลกที่ต่างจากที่ที่เคยเติบโตมาอย่างสิ้นเชิง
แต่นั่นคงไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดที่ทำให้แมคเคนซี่กลายเป็นคนเงียบขรึมเย็นชาอย่างนี้ เดฟสังเกตได้ว่าแมคเคนซี่ไม่ชอบให้เขาแตะตัว ครั้งแรกที่เขาเข้าถึงตัว เธอหน้าซีดตัวสั่น เหงื่อแตกเต็มปลายจมูกทั้งที่อากาศในแมนฮัตตันก็หนาวเย็นพอสมควร ไหนจะหัวใจที่เต้นรัวแรงนั่นก็อีก ท่าทางแปลกๆ ของเธอดึงดูดเขา ทำให้เดฟจมอยู่กับหลุมดำแห่งความสงสัย ส่วนเธอก็เหมือนแสงสว่างที่ส่องรำไร ทางเดียวที่จะออกจากหลุมนั้นได้คือค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นไปหาแสงสว่างจนกว่าจะได้คำตอบ
ชายหนุ่มเดินออกจากมหาวิทยาลัยของแมคเคนซี่เพราะรู้ดีว่านั่งเฝ้าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เขาเดินมายังสถานีรถไฟใต้ดินแล้วขึ้นรถไปลงสถานีในมิดทาวน์ เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่หน้าตึกซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานทนายความของ บรูซ เกรย์สัน จังหวะนั้นดิเอโกก็โทร. เข้ามาพอดี
“คืบหน้ายังไงบ้าง” ปลายสายถามเข้าเรื่องโดยไม่คิดอ้อมค้อม ส่งผลให้เดฟถอนหายใจแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“อย่าลืมสิว่านี่เพิ่งผ่านมาได้แค่สองวัน”
“ตอนนี้ผมอยู่ที่โมมา”
“ไปทำอะไรที่นั่น”
“มาหาที่คุย ผมหวังว่าจะเจอคุณในอีกสิบห้านาทีข้างหน้านะเดฟ”
“เวร!” เดฟสบถแล้วกดตัดสายทิ้งไป
เขาออกเดินจากหน้าสำนักงานของ บรูซ เกรย์สัน ไปขึ้นรถไฟใต้ดินไปยังสถานี 53St เดินต่อไปอีกนิดก็ถึงที่หมาย
ดิเอโก เดรอตติ ในชุดสูทและโคตสีขาวตัวยาวดูดีมีระดับ นั่งไขว่ห้างสูบซิการ์รออยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ตรงลานน้ำพุเล็กๆ ที่อยู่ด้านนอกพิพิธภัณฑ์ ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนนั่นช่างน่าหมั่นไส้เหลือเกินในความคิดของเดฟ ดูแล้วขัดหูขัดตาชะมัด
“สวัสดียามบ่าย” ชายเชื้อสายอิตาลียิ้มทักทายด้วยท่าทางสุภาพ เป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว แต่ยังไงก็ยังน่าหมั่นไส้อยู่ดี
“จะจิบชาด้วยไหมล่ะ”
“มีร้านเด็ดอยู่ร้านนึง ถ้าคุณอยากจิบชายามบ่ายแล้วละก็ ผมพาไปก็ได้” ดิเอโกดับซิการ์ เงยหน้ามองคนที่ยืนค้ำศีรษะ
“ไว้วันอื่นเถอะ” เดฟเสยผมยาวไม่เป็นทรงของตัวเองลวกๆ แล้วนั่งลงข้างดิเอโก กลายเป็นว่าผู้ชายสองคนที่ต่างกันอย่างสุดขั้วกำลังนั่งคุยกัน แต่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเพื่อนกันเลยสักนิด
“ไม่คืบหน้าเลยจริงๆ หรือ”
“ถ้ารู้อะไรก็พูดออกมาเถอะ ไม่ต้องหยั่งเชิงกันมากนักหรอก” ทหารรับจ้างหนุ่มหัวเราะหึๆ มองดวงตาแพรวพราวของดิเอโกเขาก็รู้แล้วว่าทางพวกกัสซาโนเองก็คงไม่แค่รออยู่เฉยๆ แน่
“ผมอยากรู้ทั้งเรื่องของและเรื่องแมคเคนซี่”
“ก็ไหนว่าเธอไม่เกี่ยวข้องไง คุณบอกผมเองแท้ๆ และผมก็ยืนยันไปแล้วว่าเธอไม่รู้เรื่องหรอก” เดฟแย้ง มองท่าทางแปลกๆ ของดิเอโกด้วยความสงสัย
“ผมรู้แล้ว ที่ถามนี่คือเรื่องทั่วๆ ไปต่างหาก”
“เรื่อง ‘ของ’ น่ะผมไม่รู้หรอก เพราะแมคเคนซี่ยังไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น ผมกำลังตีสนิทกับเธอ แต่...ผู้หญิงคนนั้นแปลก”
“คุณคิดว่าเธอจะรู้เรื่องด้วยไหม”
“ไหนพวกคุณบอกว่าไม่เกี่ยวไง” เดฟย้อนถาม จำตอนที่ลอเรนโซบอกได้ว่าติดตามดูแมคเคนซี่มาสักพักแล้ว และคิดว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่หมอนี่ก็เอาแต่ถามซ้ำไปซ้ำมาอยู่ได้ คิดว่าเขาโกหกหรือยังไงกัน
“ที่ถามก็เพราะแค่อยากรู้ว่าเธอดูเป็นอย่างไรบ้างในสายตาของคุณ”
“สวย” ชายหนุ่มมาดโหดยิ้มมุมปาก
ดิเอโกหัวเราะทันที “ใช่เธอสวย แล้วอย่างอื่นล่ะ”
“เข้าถึงยาก” เดฟพาดศอกลงกับพนักพิงด้านหลังด้วยอิริยาบถสบายๆ แล้วพูดต่อ “เธอดูมีลับลมคมในเข้าถึงยากก็จริง แต่ไม่น่ารู้เรื่องงานหรอก”
“แล้วเรื่อง ‘ของ’ ที่ให้หาล่ะ มีวี่แววจะเจอมันบ้างหรือยัง”
“ยัง...ก็บอกว่าแมคเคนซี่ไม่ให้เบาะแสอะไรเลย เธอเอาแต่ปฏิเสธ แต่ก็ดูร้อนรนเกินไปจนน่าสงสัย” เดฟนึกถึงตอนที่เข้าถึงตัวเธอครั้งแรก แมคเคนซี่ร้อนรนจนเห็นได้ชัด ปฏิเสธตั้งแต่เขายังไม่ถาม เธอนิ่งเกินไปจนดูไม่ออกว่าสรุปแล้วเธอรู้หรือไม่รู้ บางทีเธออาจจะรู้เรื่องก็ได้ แต่ในเมื่อเธอปฏิเสธเขาก็ต้องเชื่อไว้ก่อน แล้วค่อยๆ สืบหาทีหลัง
“อย่างนั้นหรือ” ดิเอโกเปรยเบาๆ ราวกับเริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าแมคเคนซี่จะไม่รู้จริงๆ
“ใช่” ทหารรับจ้างหนุ่มพยักหน้า แล้วถามต่อด้วยความสงสัย “ของที่ว่ามันคืออะไร”
“ไดรฟ์ข้อมูล”
“อะฮะ” เดฟแค่นเสียง “บอกได้แคบมาก ผมคงหาเจอ”
“คุณจะรู้เองเมื่อเจอมัน”
“ผมมีเวลาเท่าไหร่”
“นานเท่าไหร่ก็ได้ แต่เร็วหน่อยก็ดี ระหว่างนั้นถ้าจวนตัวจริงๆ แล้วผมจะติดต่อมาอีกที”
“ผมอยากรู้เรื่องของบรูซทั้งหมด เอาแค่ในแง่มุมของพวกคุณก็ได้”
ดิเอโกทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักก็พยักหน้าตกลง “ไปเดินดูพิพิธภัณฑ์กัน”
“บรูซทำงานกับพวกผมมาตลอด ตั้งแต่รุ่นพ่อของผม”
ดิเอโกเล่าระหว่างเดินเข้ามาด้านในพิพิธภัณฑ์ วันนี้คนเยอะ ทั้งที่ปกติวันทำงานจะไม่เยอะขนาดนี้ แต่เพราะเป็นช่วงท่องเที่ยว ไหนจะมีเด็กไฮสกูลมาทัศนศึกษาอีก คนเยอะวุ่นวายจนไม่มีใครสังเกตชายท่าทางต่างกันสุดขั้วสองคนที่เดินคู่กันมา
“พ่อคุณหรือ” เดฟยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาสงสัยมาตลอดว่าดิเอโกไม่ใช่ลูกน้องมาเฟียอย่างที่กล่าวอ้างหรอก ไม่อย่างนั้นคงไม่ว่างขนาดนี้ ผิดกับลอเรนโซที่บอกว่าเป็นมาเฟียตัวจริง แต่กลับทำงานตัวเป็นเกลียว
ไหนจะการที่ดิเอโกบอกว่าบรูซทำงานมาตั้งแต่ ‘รุ่นพ่อ’ ของเขา
ชายเชื้อสายอิตาลีมองเดฟด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แล้วยักไหล่เบาๆ “เอาเถอะ ไว้เสร็จงานเมื่อไหร่คุณจะรู้เองว่าใครเป็นใคร”
“ยังเรียกคุณว่าเดรอตติได้อยู่ใช่ไหม”
“อยากเรียกอะไรก็เรียกไป” ดิเอโกเดินเลี่ยงเด็กวัยรุ่นชายสองคนที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ แต่วิ่งปาดหน้าพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว
“ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทหรือไงวะ” เดฟสบถ
“จะเข้าเรื่องบรูซหรือจะด่าเด็กต่อ”
“เล่าต่อสิ”
“บรูซทำงานให้เราอย่างดีเสมอมา...ซื่อสัตย์”
“ทั้งที่พวกคุณทำผิดกฎหมายเนี่ยนะ” เดฟเริ่มไม่เข้าใจ เป็นทนายที่ซื่อสัตย์แต่ทำงานให้อาชญากรน่ะหรือ...ดูไม่สมเหตุสมผลสักนิด
“อย่าพูดไปถ้ายังรู้จักเราไม่ดีพอ”
“แล้วยังไง เขาทำงานให้อย่างดีทำไมไม่คุ้มครองเขาล่ะ”
“เพราะศัตรูก็ไม่ธรรมดาน่ะสิ” ดิเอโกตอบ
ข้อนี้เดฟพอจะเดาได้อยู่แล้ว พวกกัสซาโนถือเป็นแก๊งใหญ่ในเขตบรองซ์ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีแก๊งย่อยอื่นๆ แต่จะเป็นแก๊งไหนกันที่ใหญ่พอจะงัดข้อกับกัสซาโนได้
“ที่ว่าไม่ธรรมดาน่ะ...ขนาดไหน”
คำถามนั้นทำให้ดิเอโกมีสีหน้าเครียดกว่าเดิม เขาทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนเดิม “ยังบอกไม่ได้”
“มีความลับจริงๆ ให้ไปหาอะไรก็บอกไม่ได้ ศัตรูเป็นใครก็บอกไม่ได้ มันหมายความว่ายังไง”
“รู้อย่างเดียวก็พอ...หาของนั่นมาให้ได้ไวที่สุด”
“แล้วแมคเคนซี่ล่ะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องถามถึงเธอ อาจเป็นเพราะตอนนี้เขาเริ่ม ‘สนใจ’ ในตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เขาอยากรู้ว่าพวกกัสซาโนคิดจะทำอย่างไรกับหญิงสาวแรกรุ่นคนนี้ จะเก็บไว้หรือจะกำจัด
ดิเอโกทำสีหน้าครุ่นคิด แล้วบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง “ดูแลเธอไปก่อน ตราบใดที่ยังไม่เจอของสำคัญที่ว่า เธออาจจะมีอันตรายจากศัตรูของพวกเราที่ก็ต้องคิดว่าของพวกนั้นอยู่ที่เธอ ดูแลเธอให้ดี อย่าให้ใครเข้าถึงเธอและฉกทั้งเธอทั้งของนั่นไปก่อนที่เราจะเจอมัน”
เดฟขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเป็นเขา...
“ทำไมไม่เอาเธอไปดูแลเอง” ไวเท่าความคิด เดฟถามในสิ่งที่สงสัย ในเมื่อแมคเคนซี่สำคัญขนาดนี้ทำไมไม่ส่งคนมาคุ้มครองหรือพาตัวเธอไปไว้ในที่ที่ปลอดภัยมากกว่านี้ ในเมื่อมีทั้งลูกน้อง เงิน และอำนาจ
ดิเอโกไม่ตอบ เขาเดินนำเดฟผ่านกลุ่มเด็กไฮสกูลที่จับกลุ่มคุยกันแล้วหยุดตรงหน้า Starry Night ภาพสีน้ำมันของ ฟาน ก๊อก ที่เป็นรูปโฆษณาของพิพิธภัณฑ์เลยก็ว่าได้ ทั้งสองยืนสองมือล้วงกระเป๋า ต่างคนต่างจ้องมองภาพนั้นเงียบๆ ราวกับไม่ได้มาด้วยกัน จากนั้นไม่นานดิเอโกก็ตอบเดฟด้วยเสียงอ่อนลงราวกับไม่ใช่ตัวเอง
“ที่ไม่คุ้มครองเธอด้วยตัวเองก็เพราะไม่อยากให้เธอมาเกี่ยวข้องกับพวกผมไง”
เดฟหันไปมองคู่สนทนาก็เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ารู้สึกผิด ทำให้เกิดคำถามในใจขึ้นมาอีกว่าทำไมดิเอโกต้องรู้สึกผิดกับแมคเคนซี่ด้วย
เรื่องทั้งหมดเป็นยังไงกันแน่...
กลุ่มทัศนศึกษาของเด็กไฮสกูลกลับไปแล้ว ดิเอโกก็แยกตัวออกไปแล้วเช่นกัน แต่เดฟยังคงนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่คุยกับดิเอโกอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ตรงน้ำพุด้านนอกอีกพักใหญ่ ทั้งเรื่องของบรูซ พวกกัสซาโน อะไรที่เชื่อมโยงมาถึงแมคเคนซี่ ใช่แค่เรื่องที่ว่าแมคเคนซี่เป็นเมียเก็บของบรูซแน่หรือ
เดฟนึกไปถึงเวลาที่อยู่กับเธอ แมคเคนซี่ทั้งหวาดกลัว เย็นชา ไม่เข้าใกล้ผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น และตลอดเวลาที่เดฟตามไปจับตาดูเธอที่มหาวิทยาลัย แมคเคนซี่ไม่คบหากับเพื่อนผู้ชายคนไหนเลย
ผู้หญิงอย่างแมคเคนซี่นี่น่ะหรือเมียเก็บ...
ชายหนุ่มยังนั่งคิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้เวลาปิดพิพิธภัณฑ์แล้วก็ยังคิดไม่ตก ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขายังอยู่ตรงนี้ก็คือเรื่อง 'ของสำคัญ' ที่ว่า คดีสุดท้ายของบรูซซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกกัสซาโนโดยตรง อาจจะเป็นอาชญากรรม ฆาตกรรม หรือยาเสพติด ไม่อย่างนั้นพวกกัสซาโนคงไม่ดิ้นพล่านอย่างนี้แน่ ดังนั้นเขาก็น่าจะเริ่มหาจากที่ตรงนี้ ที่ บรูซ เกรย์สัน
คิดได้ดังนั้นแล้วเดฟจึงเดินมาขึ้นรถไฟใต้ดิน กลับมาที่หน้าตึกสูงหลายสิบชั้นที่บรูซเช่าพื้นที่ตั้งสำนักงานทนายความ
เริ่มมีคนทยอยขนของออกมาบ้างแล้ว เดฟยกมือขึ้นเสยผมแล้วเดินเข้าไปในตึก กดลิฟต์ไปยังชั้นที่บรูซเช่าไว้ มีผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเก็บของอยู่ตามลำพัง เห็นชัดว่าเขาอยู่หน้าห้องที่ลึกที่สุดในสำนักงาน ซึ่งน่าจะเป็นห้องทำงานของบรูซ
เดฟก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วสาวเท้าเข้าไป เมื่อชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมา เดฟก็เกี่ยวคอชายตรงหน้า พลิกตัวให้มาอยู่ข้างหน้าเขาแล้วฟาดสันมือลงไปที่ต้นคอชายคนนั้น ส่งผลให้เขาหมดสติไปทันที เดฟลากร่างอ้วนพุงพลุ้ยของอีกฝ่ายให้นั่งบนเก้าอี้ จัดท่าทางให้เหมือนคนนอนหลับ แล้วเริ่มรื้อดูเอกสารบนโต๊ะว่ามีอะไรเชื่อมโยงกับ ‘ของสำคัญ’ ของพวกกัสซาโนหรือไม่
เอกสารที่กองบนโต๊ะส่วนมากเกี่ยวกับการทำคดีในนิวยอร์กซิตี ระบุชื่อบรูซเป็นทนายความ ซึ่งเป็นคดีลักขโมยที่เกิดขึ้นแทบจะรายวัน คดีเด็กวัยรุ่นส่งยาเสพติดผิดกฎหมายเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังไม่เห็นคดีไหนเกิดในเขตบรองซ์ ย่านที่พวกกัสซาโนคุมอยู่เลย
เดฟลองค้นเอกสารดูจนถ้วนถี่แล้วว่าไม่มีคดีไหนในเขตบรองซ์ที่น่าจะเชื่อมโยงไปถึงพวกกัสซาโน จึงเดินไปที่ประตู ทว่ายังไม่ทันจะไปถึงก็ได้ยินเสียงประตูลิฟต์เปิดออก เขาจึงต้องหลบฉากไปอยู่ด้านหลังตู้เอกสาร
ผู้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจคนหนึ่งเดินออกมาจากลิฟต์ตรงมาหน้าสำนักงานของบรูซ เขามองชายวัยกลางคนที่ยังหมดสติอยู่เพียงครู่หนึ่งแล้วหยิบปืนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ท่าทางมืออาชีพพอตัวถึงรับรู้ถึงความผิดปกติที่อยู่หน้าห้อง ชายร่างสูงคนนั้นกวาดปืนไปทั่วอย่างระแวดระวังแล้วเปิดประตูห้องเข้าไป
เดฟใช้จังหวะนั้นออกจากที่ซ่อน เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายคนนั้นออกมาจากห้องทำงานของบรูซ ทั้งคู่สบตากับแค่แวบเดียวเท่านั้น เดฟยักคิ้วข้างเดียวด้วยท่าทางกวนประสาทก่อนจะวิ่งออกไป โดยที่ชายคนนั้นยังไล่ตามมาไม่ลดละ แต่เดฟไปถึงลิฟต์ก่อน ประตูลิฟต์ยังไม่ทันปิดชายคนนั้นก็ยื่นมือมาขวางไว้ เดฟยกเท้าถีบฝ่ายนั้นเต็มแรงจนเซไป แต่ฝ่ายนั้นก็ยังตามมาขวางไม่ให้ประตูลิฟต์ปิดอีก แถมครั้งนี้ยังดึงคอเสื้อเดฟแล้วกระชากออกมาจากลิฟต์อีกด้วย เดฟจึงหมุนตัวแล้วสวนหมัดลุ่นๆ เข้าไปที่กึ่งปากกึ่งจมูกของชายคนนั้นเต็มแรง
ร่างสูงใหญ่ของชายปริศนาเซเล็กน้อย เดฟจึงใช้เท้ายันลงไปหมายจะให้ล้มลง ทว่าอีกฝ่ายก็ฟื้นตัวได้ไวเหลือเชื่อ เป็นฝ่ายรั้งเท้าเดฟไว้แล้วผลักเต็มแรง
เดฟล้มลง แต่เขารีบลุกขึ้นและเบี่ยงหน้าหลบกำปั้นที่ซัดเข้ามา แล้วพลิกตัวหันหลังแทงศอกเสยปลายคางฝ่ายตรงข้าม ชายคนนั้นล้มลงไปกองกับพื้น เดฟจะตามไปซ้ำ แต่อีกฝ่ายหลบทันแล้วพลิกตัวลุกขึ้นตั้งการ์ดกันกำปั้นของเดฟได้ทันและสวนกลับ แต่เดฟก็หลบทันเช่นกัน
เมื่อตั้งหลักได้แล้วทั้งคู่ก็ยืนประจันหน้ากัน ต่างคนก็ต่างหยั่งเชิงว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำอย่างไรต่อ เดฟรออย่างใจเย็น เฝ้าสังเกตท่าทางการออกอาวุธต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามที่เริ่มแสดงความอ่อนแรงให้เห็น ก่อนเตะเข้ากลางลำตัวเต็มแรง แต่ถูกยึดข้อเท้าไว้เป็นครั้งที่สอง เดฟไม่รอให้อีกฝ่ายผลักหรือดึงเข้าหาตัวอีก เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เขาก็สปริงข้อเท้าอีกข้างหมุนตัวเตะต้นคออีกฝ่ายเต็มแรงจนหมดสติล้มลงในที่สุด แต่เพราะสู้กันในพื้นที่แคบและเขาก็ถูกดันไปจนเกือบติดผนัง ผลคือเดฟก็เสียหลักล้มลงเช่นกัน
ดีที่ไม่มีคนเห็น ไม่อย่างนั้นเสียชื่ออดีตนักบินไนต์สตล็อกเกอร์สุดเท่กันพอดี!
เดฟก้าวเข้าไปใกล้ๆ ร่างที่นอนแน่นิ่งตรงหน้าแล้วใช้ปลายเท้าเขี่ยๆ ให้พลิกตัวนอนหงายจะได้เห็นหน้าชัดๆ และถ่ายรูปไว้ จากนั้นจึงออกจากสำนักงานทนายความของบรูซแล้วติดต่อหาดิเอโกทันที
“ยังอยู่ในแมนฮัตตันหรือเปล่า ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ตอนนี้ผมติดธุระนิดหน่อย ไว้แล้วจะติดต่อไปอีกที”
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
ทหารรับจ้างหนุ่มวางสายแล้วก็ได้แต่ครุ่นคิดว่าชายที่บุกเข้าไปในสำนักงานทนายความคนนั้นเป็นใคร ใช่ศัตรูของดิเอโกหรือไม่ แล้วพวกนั้นจะไปตามหาอะไรที่แมคเคนซี่หรือเปล่า ดังนั้นเขาก็ต้องเริ่มเข้าหาเธอตั้งแต่ตอนนี้ และทำหน้าที่ ‘คุ้มครอง’ เป้าหมายที่ได้รับมา
หลังจากเลิกเรียน แมคเคนซี่ไปกินมื้อเย็นที่ห้องของเรนนี่ผู้เปรียบดังแม่ครัวประจำกลุ่ม ที่ไม่ว่าจะอาหารชาติไหนก็ไม่พ้นมือเรนนี่แน่นอน แมคเคนซี่เคยบอกเรนนี่ว่าน่าจะไปเรียนเป็นเชฟมากกว่า แต่เรนนี่ก็ตอบแค่ว่าชอบเรียนวิทยาศาสตร์ ส่วนเรื่องอาหารก็ครูพักลักจำเอาได้
แมคเคนซี่แวะซื้อกระดานและอุปกรณ์วาดรูปอื่นๆ ระหว่างทางกลับอะพาร์ตเมนต์ ตลอดการเดินทางเธอพยายามมองหลังไปด้วย การถูกคุกคามจากผู้ชายร่างใหญ่ท่าทางดิบเถื่อนทำให้เธอกลายเป็นโรคหวาดระแวงไปแล้ว ต่อให้ตอนหลังเขาจะพยายามพูดดีด้วยก็เถอะ แต่ความหวาดกลัวก็เหมือนรอยร้าวของแก้ว ใช่ว่าจะลบออกไปได้ง่ายๆ
หญิงสาวร่างบอบบางหอบของพะรุงพะรังมาจนถึงหน้าห้องพัก ก่อนไขกุญแจเข้าไปก็มิวายเหลือบมองรอบตัวอีกครั้ง ดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาอีกแล้วจึงเปิดประตู ขนของเข้าไปแล้วหันกลับมาจะปิดประตู แต่แล้วก็ต้องตกใจจนผงะไปนิดๆ เมื่อเห็นคนที่เธอพยายามหนีมาตลอดยืนอยู่ตรงหน้า
“ไงแม็กกี้” เขายิ้มทักทาย ใบหน้าดุดันดูอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเขาโกนหนวดเคราออก เหลือแต่แนวเคราเขียวครึ้มไปทั้งข้างแก้มละลำคอ ผมที่เคยยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงก็ตัดสั้นแล้วหวีเสยไปข้างหลัง ดูไม่น่ากลัวเท่าตอนแรก แต่...ก็ไม่น่าไว้ใจเช่นกัน
แมคเคนซี่ไม่ตอบ เธอยืนมองเขาด้วยสายตานิ่งเรียบ ใช้สายตาสื่อสารกับเขาว่า ‘ออกไปจากชีวิตฉันเสียที’
ผิดคาดที่เดฟยังยิ้มเผล่ ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วยื่นอะไรบางอย่างมาให้
“มีอะไรหรือคะ” สุดท้ายเธอก็ต้องพูดกับเขาจนได้ ทั้งที่ไม่อยากจะเสวนาด้วยเลย ไม่อยากอยู่ใกล้เขาเลยสักนิด
“ผมซื้อมาให้” เขายัดถุงกระดาษใส่มือเธอ
แมคเคนซี่สะดุ้งน้อยๆ ราวกับว่าสัมผัสของเขามีกระแสไฟอ่อนๆ แล่นปราดลงสู่หัวใจ กระตุ้นความทรงจำร้ายๆ ให้ผุดขึ้นมาอีกครั้ง จนเผลอปล่อยมือจนถุงตกพื้น สีน้ำมัน จานสี และพู่กันขนาดต่างๆ ตกกระจายเกลื่อน
“คุณมักจะทำของตกทุกครั้งที่เจอผม” เดฟพูดคล้ายตำหนิ แต่ก็ก้มลงช่วยเธอเก็บของอยู่ดี
“คุณทำฉันตกใจ” แมคเคนซี่เม้มปาก ยอมรับว่าเขาทำตัวอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่ไว้ใจเขามากพอที่จะให้เขาแตะตัว
“ผมแค่เอาของมาให้เอง”
“ก็บอกดีๆ ก็ได้นี่คะ ไม่ต้องยัดใส่มือฉันก็ได้”
“คุณคงจะรับหรอกแม็กกี้ ในเมื่อทำหน้าเหมือนอยากจะไล่ผมตลอดเวลา” เขาหัวเราะหึๆ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยอย่างที่ดูอย่างไรก็เจ้าเล่ห์ แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
แมคเคนซี่ไม่แปลกใจเลยที่เอมิลี่จะชื่นชอบผู้ชายคนนี้มากกว่าคู่เดตคนไหนๆ เดฟต่างจากแฟนแต่ละคนของเอมิลี่อย่างสิ้นเชิง เขากร้าวแกร่ง ดิบเถื่อน มีดวงตาคมกริบที่ทำให้สาวๆ ละลายลงแทบเท้าเขาได้ถ้าใจไม่แข็งพอ แต่ในความดุดันนั้นก็เปี่ยมไปด้วยพลัง ท่าทางเผด็จการนิดๆ คงทำให้สาวๆ หลายคนยอมสยบ
แต่ไม่ใช่เธอ...
นักศึกษาสาวเพิ่มระยะห่างระหว่างเขากับเธอด้วยการถอยหลังไปอีกก้าว แต่พอถอย เขาก็เดินตามเข้ามาจนกลายเป็นว่าเดฟก้าวข้ามหน้าประตูมาอยู่ในห้องของเธอแล้ว แมคเคนซี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ก็ช้ากว่าคนตัวโตกว่าที่ใช้เท้าถีบบานประตูปิดเรียบร้อย
“จะให้ผมเอาไปไว้ตรงไหนดีล่ะแม็กกี้” เดฟเดินเข้ามาสำรวจห้องเธอหน้าตาเฉย ยิ้มสบายๆ ราวกับมาเยี่ยมบ้านเพื่อนเก่า ทั้งที่เขากับเธอเริ่มต้นกันด้วยการที่เขาตามคุกคามเธอมาสองวันติดเนี่ยนะ!
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเอาไปเก็บเอง คุณออกไปเถอะ”
“ไม่ๆ ผมเต็มใจ”
พอเธอเดินเข้าไปจะแย่งของมาไว้กับตัว เขาก็เดินหนีไปรอบห้องเสียอย่างนั้น ยิ่งเธอตาม เขาก็ยิ่งเดินหลบเลี่ยงไปเรื่อยไม่ต่างจากเด็กเล่นไล่จับ แต่คงไม่มีเด็กคนไหนตัวใหญ่เหมือนหมีอย่างเขาแน่
แมคเคนซี่พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ไล่ตามเขา แต่พอไม่ห้าม เดฟก็เดินสำรวจห้องเธอไปเรื่อย เดี๋ยวหยิบโน่นดูนี่ ทำเป็น ‘เด็กยักษ์’ ที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกอย่าง
“หยุดรื้อของฉันได้แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกเก้าหนึ่งหนึ่ง” หญิงสาวเจ้าของห้องบอกอย่างหมดความอดทน อยากให้เขาออกไปเต็มแก่แล้ว แต่ยิ่งไล่ก็เหมือนยิ่งเชิญชวน เพราะเดฟทำตรงข้ามกับเธอบอกทุกอย่าง
แมคเคนซี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอมองหาโทรศัพท์ที่จำได้ว่าวางไว้บนโต๊ะข้างประตู แต่ตอนนี้มันไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
“หาอะไรหรือแม็กกี้”
“ฉันจะแจ้งเก้าหนึ่งหนึ่ง”
“ต้องใช้เจ้านี่โทร. แจ้งหรือเปล่า” เดฟชูสมาร์ตโฟนขึ้นพร้อมทั้งยิ้มกวนประสาท
ไม่รู้ว่าเขาฉกของของเธอไปตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อรู้ นาทีนั้นแมคเคนซี่อยากจะหาอะไรฟาดเขาสักครั้งให้หายแค้น แต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่ยืนนิ่ง ข่มใจนับหนึ่งถึงสิบแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ถ้ามีเครื่องชอร์ตไฟฟ้าคงดี...
แมคเคนซี่กำลังจะเอ่ยขอโทรศัพท์ เดฟก็ส่งคืนให้เสียก่อนและยิ้มให้อีกแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เธอรู้สึกดีสักนิด แมคเคนซี่ชอบความสงบ เธอไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในอาณาจักรส่วนตัวเล็กๆ แสนสงบของเธอ แต่เดฟกำลังทำอย่างนั้น เขาพยายามยัดเยียดตัวเองเข้ามาทั้งที่เธอไม่ต้อนรับเขาเลยสักนิด ไล่ก็ไม่ไปอีกต่างหาก
“ผมคืนให้ แต่อย่าเรียกเก้าหนึ่งหนึ่งเลย สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร”
“แล้วถ้าคุณทำล่ะ”
“เอานี่ไป” เขาเอื้อมไปด้านหลังกางเกงยีนของตัวเอง แวบแรกเธอคิดว่าเขาจะหยิบปืนมาขู่ หน้าตาโหดเหี้ยมแบบนี้มีของพรรค์นั้นแน่นอน ผิดคาดที่ไม่ใช่ปืน แต่เป็นเครื่องชอร์ตไฟฟ้าแทน
“คุณให้ฉันหรือ”
“ใช่ ผมคิดว่ามีไว้ก็ดี”
“ไม่กลัวฉันชอร์ตคุณหรือไง”
“คุณไม่ทำหรอก” เดฟยิ้ม ไม่รู้อารมณ์ดีมาจากไหนถึงยิ้มได้ทั้งวัน ทั้งที่แมคเคนซี่พยายามไล่เขาออกจากห้องไปด้วยสายตาตลอดเวลา
“คุณรู้ได้ยังไง”
“แววตาของคุณไงแม็กกี้”
“ทำไมคะ แววตาของฉันมันทำไม”
“คุณอาจจะดูเย็นชาห่างเหินนะแม็กกี้ แต่คุณไม่เคยทำร้ายใคร ต่อให้เป็นคนที่เคยทำให้คุณตกใจกลัวอย่างผมก็เถอะ”
แมคเคนซี่ยอมรับว่าเขาพูดถูก เธอคงไม่มีวันกล้าเอาเจ้าเครื่องนี้ชอร์ตใครหรอก ดูจากกำลังไฟของเครื่องแล้วก็พอรู้ว่าจะทำให้คนถูกชอร์ตได้รับผลอย่างไรบ้าง คงจะตัวชาเป็นอัมพาตไปพักใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอกลัวว่าคนถูกชอร์ตจะช็อกไปด้วย นั่นน่ะเรื่องใหญ่กว่า
“แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเต็มใจให้คุณมาอยู่ในห้องฉันนะคะ”
“อย่าคิดมากสิแม็กกี้ ผมแค่ช่วยเอาของมาเก็บ ผมมีของกินมาฝากด้วยนะถ้าคุณไม่รังเกียจ”
“ฉันรังเกียจค่ะ” เจ้าของเสียงหวานสวนทันควัน ส่งผลให้เดฟหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่
“คิดก่อนตอบก็ได้แม็กกี้”
“ออกไปเถอะค่ะ ฉันรู้สึกไม่ดีเลยเวลาอยู่กับคุณ” หญิงสาวถอนหายใจ ไม่ใช่แค่เรื่องที่เขาเคยคุกคามเธอเท่านั้น ไหนจะเรื่องที่เดฟเคยคบกับเอมิลี่นั่นก็อีก มองตรงไหนก็ไม่เหมาะสมเลยสักนิดที่เขาจะมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เธอ
“คุณรังเกียจผมจนให้อภัยไม่ได้เลยหรือแม็กกี้” ใบหน้าคมเข้มสลดลงทันที อย่างที่สาวไหนมาเห็นคงใจอ่อนรับเขาเข้าสู่อ้อมกอดไปแล้ว แต่แมคเคนซี่ก็ยังเฉย
“แค่เป็นเพื่อนก็ได้” เดฟสำทับ แต่แมคเคนซี่ส่ายหน้าทันควัน
“ไม่ค่ะ”
“ทำไมล่ะแม็กกี้”
“คุณเคยเป็นแฟนเพื่อนฉัน”
“เราไม่ได้คบกันด้วยซ้ำ”
“แต่คุณก็ขึ้นเตียงกับเธอ คนอื่นไม่ถือ แต่ฉันถือค่ะ”
“ผมย้อนอดีตกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกแม็กกี้ แต่ผมกับเอ็มไม่มีอะไรกันแล้วจริงๆ”
“พอค่ะๆ” มาถึงตอนนี้แมคเคนซี่ถึงกับกุมขมับ สุ้มเสียงถ้อยคำหวานชวนให้ใจอ่อนของเขาไม่อาจสั่นคลอนเธอได้ เพราะเธอยังระลึกไว้เสมอว่าครั้งแรกที่เจอกันเป็นอย่างไร เขาทั้งสะกดรอยตามและคุกคามเธอสารพัด ทำให้เธอเสียขวัญเพียงไร เธอจำได้ว่าที่เขาเข้าหาเธอเพราะคิดว่าเธอคือ ‘เมียเก็บ’ ของบรูซเท่านั้น เขาไม่ได้สนใจเธอจริงๆ หรอก
“แม็กกี้”
“ออกไปเถอะค่ะ”
“ผมบริสุทธิ์ใจนะ ก็แค่อยากผูกมิตรไว้เพราะผมต้องอยู่เฝ้าห้องให้เจ้านายอีกนาน”
“ฉันไม่ไว้ใจคุณ”
“ต้องทำยังไงล่ะแม็กกี้ ทำยังไงคุณถึงจะเชื่อใจว่าผมไม่ได้คิดร้ายจริงๆ”
“ก็คงต้องต่างคนต่างอยู่มั้งคะ” แมคเคนซี่ตอบตามจริง ระหว่างเขากับเธอมีแค่ความหวาดระแวงเท่านั้น มองอย่างไรก็ไม่มีวันเป็นเพื่อนกันได้เลย
เมื่อพูดออกไปแล้วแมคเคนซี่ก็ได้แต่หวั่นๆ ว่าเขาจะเกิดบ้าขึ้นมาหรือไม่ กลัวว่าเขาจะใช้กำลังใช้ความเผด็จการบีบให้เธอต้องจำนนต่อเขาเหมือนครั้งก่อน แต่ผิดคาด นอกจากเดฟจะไม่โมโหแล้ว เขายังเดินเอาถุงกระดาษไปวางบนโต๊ะ หยิบของแต่ละชิ้นออกมาพร้อมกับพูดว่า
“วันนี้ผมไปที่โมมามาน่ะ ก็เลยนึกถึงคุณ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกำลังคุยกับเพื่อนเก่า “เห็นรูปภาพพวกนั้นแล้วก็นึกถึงคุณ ผมจำตอนที่คุณออกไปเพนต์กระถางต้นไม้ตอนกลางคืนได้ มันให้ความรู้สึกอิสระใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งที่ทำจะเป็นอย่างไร แค่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ก็เท่านั้น”
เดฟวางกระถางต้นไม้เล็กๆ ขนาดเดียวกับที่แมคเคนซี่ทำตกแตกเมื่อคืนลงบนโต๊ะ แล้วหันมายิ้มให้หญิงสาว “ถือว่าเป็นการขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ”
“คุณไม่จำเป็นต้องซื้อมาเยอะขนาดนี้ ฉันไม่ใช่จิตรกรเสียหน่อย” แมคเคนซี่มองข้าวของพวกนั้นด้วยแววตาที่อ่อนลงนิดหน่อย แต่เพราะเดฟหันหลังจึงไม่เห็น ซึ่งก็ดีแล้ว เธอไม่อยากให้ใครเห็นมุมอ่อนไหวของตัวเองเช่นกัน
“ที่จริงผมอยากจะซื้อผืนผ้าใบมาให้ด้วยซ้ำ”
“ห้องฉันไม่ได้กว้างขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง...มันคงเหม็นน้ำมันสนมากๆ รับรองว่าเพื่อนบ้านประท้วงแน่”
“อยากไปที่โมมากับผมไหม” เขาชวนดื้อๆ
แมคเคนซี่ยอมรับว่าเธอก็สนใจเช่นกัน เธอเคยไปพิพิธภัณฑ์นั้นแค่ครั้งเดียวเพราะไม่มีเพื่อนไป ไม่ต้องพูดถึงเอมิลี่ที่ถ้าว่างเป็นต้องนอนสะสมพลังไว้ออกตระเวนราตรี ส่วนเรนนี่ถ้าว่างก็ชอบไปขลุกอยู่ตามร้านของหวาน สังเกตการณ์และสรรหาของกินแปลกๆ ไว้กลับไปทำกินที่บ้าน ไม่มีใครไปกับเธอสักคนเดียว
“ทำไมถึงมาชวนฉันล่ะคะ”
“คงเพราะอยากหาเพื่อนคุยละมั้ง” เดฟยักไหล่
“ขอฉันคิดก่อนได้ไหม”
“ผมรอคำตอบเสมอแม็กกี้” เมื่อหยิบของออกมาวางให้จนหมดแล้ว เดฟจึงหันกลับมาหาแมคเคนซี่พร้อมด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
“ขอบคุณนะคะ”
“ผมหวังว่าคุณจะตกลงนะแม็กกี้” ร่างสูงเดินไปที่ประตู ก่อนออกไปยังมิวายหันกลับมาหา “ราตรีสวัสดิ์ครับ”
แมคเคนซี่ไม่ตอบ ยอมรับว่ากำลังงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา แต่ก็ยอมรับว่ามันทำให้เธอค่อยคลายความหวาดระแวงลงอีกนิด แต่แค่นิดเดียวเท่านั้น เธอเตือนตัวเองว่าเสือก็คือเสือ ต่อให้เลิกขู่คำรามแล้วก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะกลายเป็นแมวน้อยน่ารักได้เสียเมื่อไร
และเดฟก็ไม่ต่างจากเสือ...
ความคิดเห็น |
---|