9

ตอนที่ 9


 

                 เมื่อแดเนียลไปแล้ว เดฟก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วกลับมาที่ไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์ของตัวเอง ขับกลับที่พัก และรอคอย...

แมคเคนซี่ยังมีอาการเบลอๆ งงๆ มาจนถึงตอนนี้ ตอนที่กำลังเข้าเรียนแล็บ หญิงสาวพบว่าตัวเองไม่มีสมาธิเลย เพราะเอาแต่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนจนนอนไม่หลับ ตื่นมาเรียนแบบมึนๆ งงๆ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ เธอห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องของเดฟไม่ได้เลย

                “เป็นอะไรน่ะแม็กกี้” เอมิลี่เดินตามมาที่ล็อกเกอร์ เก็บเสื้อกาวน์และเตรียมข้าวของ วันนี้เรียนหนักมาทั้งวันแล้ว จึงอยากกลับไปพักให้เร็วที่สุด

                “ฉันเห็นเธอเหม่อทั้งวัน” เรนนี่ตามมาสมทบ แต่ก็แอบ ‘ขยิบตา’ ให้ เพราะเรนนี่เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องมีคนมาขอแมคเคนซี่ออกเดตด้วย

                “ขอบตาดำด้วย ไม่ได้นอนเลยสิท่า อ่านหนังสือหนักหรือแม็กกี้” เอมิลี่เดินมากอดคอเพื่อนสนิทแล้วพาเดินออกจากตึกเรียนที่เธอเบื่อแสนเบื่อเร็วๆ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักสองนาทีคงอกแตกตายแน่

                “สงสัยจะอ่านหนังสือหนักจริงๆ” เรนนี่ยิ้มรู้ทัน ส่งผลให้เอมิลี่เริ่มจับทางได้ มองเรนนี่สลับกับแมคเคนซี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

                “เธอสองคนมีอะไรกัน”

                “มีอะไรที่ไหนล่ะ” เรนนี่ยักไหล่ ส่วนแมคเคนซี่ก็เอาแต่เดินเงียบๆ ไม่ตอบคำถามใครทั้งสิ้น แต่คงไม่มีใครสงสัย เพราะปกติเธอก็ไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว

                “หรือแอบมีหนังสือผู้ชายโป๊อยู่ในครอบครองแล้วไม่ยอมบอกฉัน”

                “จะบ้าหรือไงเอ็ม” นักศึกษาสาวชาวจีนแว้ดกลับทันควัน

                “หรือปฏิทินที่พวกนักศึกษาชายถ่ายนู้ดการกุศล”

                “ไม่ใช่ย่ะ”

                “หรือปฏิทินพวกนักกีฬาชาย นักผจญเพลิง นักบอล...”

                “พอๆ เลยยายป้าหื่นกาม”

                “หรือว่าพวกทหาร...กรี๊ด”

                เสียงกรีดร้องของเอมิลี่ทำเอาเรนนี่ยกมือขึ้นปิดปากเพื่อนแทบไม่ทัน เอมิลี่ชอบการตกเป็นเป้าสายตาก็จริง แต่เรนนี่กับแมคเคนซี่ไม่ชอบด้วยเสียหน่อย

                “ไม่มีอะไรหรอกน่าเอ็ม แค่นิยายที่เรนนี่แนะนำให้อ่านน่ะ” แมคเคนซี่พูดเป็นครั้งแรกหลังจากที่เงียบอยู่นาน แต่นั่นก็ไม่ทำให้เอมิลี่คลายสงสัย

                “ฉันว่ามันแปลกๆ นะ” เอมิลี่หรี่ตามองอย่างจับผิด “ปกติเธออ่านแต่หนังสือเรียนนะแม็กกี้ ว่างก็วาดรูป แต่เธอไม่อ่านนิยาย”

                “โธ่...ก็แค่อยากลองอ่านดูบ้างเท่านั้นแหละจ้ะเอ็ม”

                “ก็ได้ๆ” ลงว่าสาวมาดนิ่งอย่างแมคเคนซี่ออกปากเองแล้วละก็เป็นอันจบ เอมิลี่เลิกซักถาม แล้วหันมาสนใจโทรศัพท์ในมือแทน

                “มีนัดอีกแล้วหรือ” เรนนี่ดักคอ

                “ใช่” สาวสวยผมบลอนด์ยิ้มหวานเคลิ้มฝัน “คราวนี้จริงจังนะ”

                “คราวก่อนก็พูดแบบนี้...ว่าแต่ไปเจอใครมาอีกล่ะ”

                “คนนี้โตแล้ว ทำงานแล้ว เขาเป็นวิศวกรให้บริษัทหนึ่งที่อยู่ที่ควีนส์น่ะ”

                “ถามจริง!” เรนนี่ร้องเสียงหลง หน้าตาไม่เชื่อเลยสักนิด

                “ทำไมต้องชอบทำเสียงเหมือนที่บ้านไฟไหม้ด้วย”

                “ก็ฉันตกใจนี่เอ็ม เมื่อสัปดาห์ก่อนเธอก็เพิ่งจะบอกเลิกกับคนที่เธอบอกว่าจริงจังเข้าขั้นแต่งงานนะ ลืมไปแล้วหรือ” สาวจีนช่วยเตือนความจำให้ เพราะดูเหมือนเอมิลี่จะลืมไปแล้วว่าคราวก่อนพูดอะไรไว้บ้าง

                “เหรอ” สาวสวยสุดแซ่บขมวดคิ้ว “ฉันเคยบอกว่าจะจริงจังกับไอ้หนุ่มนักรักบี้นั่นหรือ”

                “ใช่” เรนนี่ย้ำหนักๆ เผื่อจะซึมเข้าสมองเพื่อนบ้าง

                “ลืมจริงๆ นะเนี่ย แต่แหม...ยังไงเธอก็ไม่น่าจะต้องทำเสียงตกอกตกใจขนาดนั้นหรอกนะ แม็กกี้ยังไม่เห็นจะตกใจอย่างเธอเลย”

                “แม็กกี้น่ะเคยมีอารมณ์อื่นอย่างใครเขาด้วยหรือ” เรนนี่ย้อนเข้าให้

                สองสาวที่เถียงกันอยู่นานสองนานหันมามองแมคเคนซี่เป็นจุดเดียว จนหญิงสาวต้องถามเพราะไม่ไว้ใจสายตาที่เต็มไปด้วยการจับผิดของเอมิลี่เลย

                “อะ...อะไร”

                “อ่านนิยายรัก...อย่าบอกนะว่าแอบไปเดตกับใครแล้วไม่บอก” ไม่พูดเปล่า เอมิลี่ยังยกนิ้วชี้ขึ้นขี้หน้าราวกับจะสะกดจิตเพื่อน

                “ไม่ใช่เสียหน่อย”

                “แล้วไป” เอมิลี่เลิกซักง่ายๆ แล้วก้มหน้าก้มตาตอบข้อความคู่รักคนใหม่ต่อ

แมคเคนซี่ลอบถอนหายใจโล่งอก

                “แล้วจะกลับเลยหรือว่าจะไปไหนก่อนล่ะแม็กกี้” เรนนี่ถาม เพราะตัวเองกับเอมิลี่อาศัยอยู่ย่านเดียวกัน ส่วนแมคเคนซี่อยู่แยกออกไปคนละฟากกับเซ็นทรัลปาร์คทีเดียว

                “กลับเลยจ้ะ”

                “เจอกันนะแม็กกี้” เอมิลี่ยังมีแก่ใจเงยหน้าขึ้นมาโบกมือให้

                “แล้วเจอกัน”

                แมคเคนซี่ยิ้มให้เพื่อนสาวทั้งสองแล้วเดินมาขึ้นรถไฟใต้ดิน ทีแรกก็ตั้งใจจะกลับที่พักเลย แต่พอคิดอีกที เธอก็อยากไปหาหนังสือไว้อ่านเล่นเช่นกัน

                หมวดนวนิยายคือหมวดที่แมคเคนซี่ไม่เคยสนใจมาก่อน ปกติแล้วเธอชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะและการเมืองมากกว่า แต่ไม่รู้นึกอย่างไรจึงเดินเข้ามาเลือกดูหนังสือนิยายรักของนักเขียนโรมานซ์ชื่อดัง ที่จั่วหัวว่าขายดีจากนิวยอร์กไทมส์มาได้สองเล่ม แต่เมื่อจะเดินไปจ่ายเงิน เสียงสัญญาณโทรศัพท์กลับดึงขึ้นเสียก่อน

                แมคเคนซี่กดเปิดดูข้อความภาพที่ส่งเข้ามา พลันสองแก้มนวลก็ขึ้นสีระเรื่อเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนส่งมาหา

                เดฟส่งรูปที่ถ่ายด้วยกันบนตึกเอ็มไพร์สเตตมาให้ ทั้งยังเป็นรูปเดียวกับที่เขาหอมแก้มเธออีก...

                แต่เดฟรู้เบอร์โทรศัพท์ของเธอได้อย่างไรนี่สิ หญิงสาวนึกไปถึงความทรงจำเมื่อคืน หลังจากที่เขาฉวยโอกาสหอมแก้มเธออย่างในรูปแล้ว เดฟก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ เขายิ้มได้ตลอดเวลาที่อยู่บนตึกเอ็มไพร์สเตตด้วยกัน ทั้งยังชวนเธอไปถ่ายรูปตามมุมต่างๆ บนจุดชมวิว ที่ส่วนมากแล้วแมคเคนซี่จะเป็นนางแบบ ปล่อยให้เขาถ่ายรูปไปเรื่อย แต่พอเธอจะถ่ายให้เขาบ้าง เขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งยังดุเธออีก

                ‘วันหน้าเราไปสะพานบรุกลินกัน’ เดฟชวน

                สะพานบรุกลินเป็นที่เที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวมักจะไปถ่ายรูปตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน แมคเคนซี่ไม่ชอบที่คนเยอะ เธอเลยไม่เคยคิดจะไปที่นั่น เพราะอย่างไรเสียก็ยังต้องอยู่แมนฮัตตันอีกนานกว่าจะเรียนจบ

                แต่ทำไมคำชวนของเดฟถึงน่าสนใจเหลือเกิน...

                ท่าทางสบายๆ ผ่อนคลาย แต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบผู้ชายแท้ๆ แฝงความดุดันของเขา รอยยิ้มของเขา ทุกอย่างล้วนดึงดูดสายตาสาวๆ ได้อย่างไม่ยาก รวมทั้งเธอด้วย แค่คำชวนง่ายๆ กับสถานที่ที่เคยไป ซึ่งแมคเคนซี่รู้สึกว่าสำหรับคนที่อยู่ที่นี่มาได้ปีกว่าแล้วอย่างเธอมันธรรมดามากๆ ก็แค่สะพานเท่านั้น แต่ทำไมเมื่อหลุดออกจากริมฝีปากได้รูปของเขาแล้ว กลับกลายเป็นสิ่งพิเศษไปได้

                แมคเคนซี่จำได้ว่าตัวเองเอาแต่มองหน้าเขานิ่งๆ ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ วินาทีนั้นใบหน้าคมคายโน้มลงมาหาใกล้ๆ แต่เธอรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ก่อน

                ‘ไว้คราวหน้าผมจะพาคุณขึ้นมาอีก และคราวหน้าผมจะจูบคุณด้วย’ ชายหนุ่มบอกกลั้วหัวเราะ ไม่เหลือวี่แววคุกคามเหมือนก่อนเลยแม้แต่น้อย เขาดูขี้เล่น และทำให้เธอ ‘ยิ้ม’ ได้ ทั้งยังทำให้เธอใจเต้นทุกครั้งที่ใกล้กันอีกด้วย

                เธอจำไม่ได้ว่าอยู่บนตึกเอ็มไพร์สเตตกับเขานานเท่าไร ไม่รู้ว่ายืนเป็นนางแบบให้เขาถ่ายรูปไปกี่รูปกันแน่ ไม่รู้ว่าเธอยิ้มไปกี่ครั้ง เธอรู้แค่ว่าช่วงเวลานั้นเธออิสระ มีความสุขและเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด

                ‘ผมยังรอคำตอบเรื่องเดตที่โมมาอยู่นะ’ เดฟกระซิบแล้วจูบหน้าผากเธอเบาๆ ตอนที่เขาเดินมาส่งถึงหน้าประตูห้อง รอยยิ้มอ่อนโยนแต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเขา ลบภาพความร้ายกาจของชายหนุ่มตอนที่เจอกันครั้งแรกไปเสียสนิท และเธอก็พบว่าเธอชอบเวลาที่เขาเป็นแบบนี้มากกว่าตอนที่ตามคุกคามเธอเป็นไหนๆ

                แมคเคนซี่ดึงสติออกจากความทรงจำชวนหวั่นไหว แค่คิดถึงเมื่อคืน สองแก้มนวลผ่องก็ร้อนผะผ่าว เธอก้มลงจะกดลบรูปนั้นไปเสีย แต่ใจหนึ่งก็ค้าน เก็บไว้ก่อนก็คงไม่เป็นไร แมคเคนซี่ยิ้มแล้วกดบันทึกภาพนั้นไว้ เดินไปจ่ายเงิน แล้วออกจากร้านหนังสือมุ่งหน้ากลับที่พัก

            เป็นเวลานานนับสัปดาห์แล้ว นับตั้งแต่ที่เดฟปะทะกับชายปริศนาที่ตามเข้าไปค้นที่ทำงานของ บรูซ เกรย์สัน รวมทั้งการที่มีคนสะกดรอยตามแมคเคนซี่ก็อีก เดฟพยายามติดต่อเพื่อจะคุยกับพวกกัสซาโนเป็นการส่วนตัว แต่ก็ถูกปฏิเสธมาตลอด ลอเรนโซไม่เคยติดต่อเขาเลย ส่วนดิเอโกบอกว่าไม่ว่างเพราะต้อง ‘จัดการ’ กับเรื่องบางเรื่องเสียก่อน ให้บังเอิญเหลือเกินที่มีข่าวการจับกุมยาเสพติดลอตใหญ่ที่เขตบรองซ์ เดฟจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าบางทีพวกกัสซาโนอาจจะมีเอี่ยวด้วยก็ได้ เพราะเมื่อเรื่องสงบ ดิเอโกก็ติดต่อมาเรื่องสถานที่นัดหมายทันที

                สถานที่จัดแข่งขันบาสเกตบอลเอ็นบีเอที่เมดิสันสแควร์การ์เดน...

                สาบานได้เลยว่าที่แบบนี้มันควรเป็นสถานที่นัดหมายคุยเรื่องคอขาดบาดตายหรือไง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะดิเอโกยืนยันเสียงแข็งว่าจะต้องเป็นที่นี่เท่านั้น

                “รอนานไหม”

                เดฟหันไปมองคนถาม ดิเอโกนั่นเอง แต่คราวนี้เขาไม่ได้สวมสูทผูกไทคลุมทับด้วยเสื้อโคตตัวยาวอย่างที่ชินตา หนุ่มเชื้อสายอิตาลีแต่งตังด้วยเสื้อยืด คลุมทับด้วยแจ็กเกตหนัง และนุ่งกางเกงยีนง่ายๆ คล้ายกับเดฟนั่นละ

                “ทำไมต้องที่นี่”

                “คนเยอะ ไม่มีใครสนใจเราหรอก” ดิเอโกยักไหล่ “แล้วอีกอย่างนะ ผมเป็นแฟนทีมแอลเอเลเกอร์ส” ว่าแล้วก็อวดสายกรีนรูปลูกบาสสีส้มกับตัวหนังสือสีม่วงเขียนว่า Los Angeles Lakers ที่ตัวเสื้อให้ดูเสียเลย

                “รอบนี้รอบชิงด้วยละ” แฟนตัวยงขยิบตา ส่งบัตรราคาแพงให้เดฟแล้วเดินนำเข้าไปก่อน

                เดฟมองบัตรเข้าชมบาสเกตบอลนัดสำคัญแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอา แต่ก็ดีเหมือนกัน ในสนามบาสที่จุคนได้นับหมื่น ทั้งยังเป็นนัดชิงชนะเลิศก่อนปิดฤดูกาลอีกด้วย คนเยอะแน่นอน และไม่ต้องห่วงเลยว่าจะมีใครมาสนใจผู้ชายสองคนที่กำลังชมเกมการแข่งขันด้วยกัน

                เกมนัดชิงชนะเลิศของทีมเอลเอเลเกอร์สและทีมชิคาโก บูลส์เริ่มขึ้นแล้ว เดฟไม่สนใจบาสเกตบอลเท่าไรจึงหยิบโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปชายคนที่ตามไปรื้อห้องทำงานของบรูซขึ้นมาแล้วส่งให้ดิเอโกดู

                “อะไร”

                “ก็เรื่องที่นัดมานี่ไง คุณเคยเห็นหน้าผู้ชายในรูปไหม”

                “อย่าเพิ่ง เริ่มเกมน่ะคือสิ่งที่พลาดไม่ได้ ทีมไหนได้แต้มก่อนก็มีโอกาสชนะ” ดิเอโกว่าพลางจ้องซูเปอร์สตาร์ของทีมโปรดชนิดตาไม่กะพริบ รอจนทีมที่ชอบได้แต้มนำก่อนแล้วจึงปรบมือส่งเสียงเชียร์ดังลั่น

                “มันต้องอย่างนี้!” หนุ่มเชื้อสายอิตาลีหัวเราะชอบใจ แล้วก็สนใจเกมต่อเพราะตอนนี้ชิคาโก บูลส์ได้ลูกแล้ว และทีมที่ไม่เคยได้แชมป์มานานร่วมยี่สิบปีก็มีความกระหายในชัยชนะไม่น้อยไปกว่าแอลเอเลเกอร์สเลย

                เดฟมองคนข้างตัวแล้วก็ได้แต่ถอนใจ อย่างนี้ไม่ต้องรอเกมจบก่อนหรือว่าจะได้คุยธุระ และก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะดิเอโกกำลังเพลิดเพลินกับเกมในสนามจนลืมไปแล้วว่าเขามาด้วย เดฟจึงได้แต่นั่งเซ็ง นึกไปถึงเดตกับแมคเคนซี่จึงค่อยยิ้มออกมาได้นิดหน่อย เขาเลยแกล้งเธอด้วยการกดส่งรูปที่ถ่ายด้วยกันบนตึกเอ็มไพร์สเตตไปให้เธอเสียเลย

                “นั่นอะไร” ชายเชื้อสายอิตาลีรัวถามเขาไม่ยั้ง ทั้งยังมีท่าทางอยากรู้อยากเห็นจนเกินพอดี แทบไม่เหลือมาดมาเฟียที่เดินอาดๆ มาจ้างงานเขาในบาร์เลยสักนิด

                เดฟไม่ตอบ เขามองดิเอโกด้วยสายตาดุดันพลางคิดในใจ ทีอยากคุยละไม่คุย แต่พอเขาไม่สนใจปล่อยให้นั่งดูเกมไปเรื่อยๆ ก็เกิดอยากจะคุยกับเขาเสียอย่างนั้น

                “ดูแต้มสิ” ดิเกโอพยักพเยิด

                ทหารรับจ้างหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองแต้ม 84 ต่อ 28 ดูทิศทางแล้วแอลเอเลเกอร์สก็น่าจะชนะอยู่แล้ว

                “ว่ามา คุณจะถามอะไรผมนะเดฟ”

                “ผู้ชายคนนี้” เดฟเปิดรูปที่ถ่ายไว้แล้วส่งให้ดิเอโกดู ชายร่างสูงใหญ่กำยำที่ตามไปสืบในที่ทำงานของบรูซจนปะทะกับเขานิดหน่อย แต่ฝ่ายนั้นยังฝีมือไม่มากพอ สุดท้ายก็สลบเหมือดไปอย่างรวดเร็ว

                “เคยเห็น” ดิเอโกดูอยู่แค่แวบเดียวเท่านั้นก็พยักหน้า แววตาของชายเชื้อสายอิตาลีฉายแววเย้ยหยัน

                “เป็นใครมาจากไหน”

                “คนของพวกเดริตโต้”

                “เดริตโต้หรือ” เดฟขมวดคิ้ว เอาเข้าไป คนอิตาลีมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่มากกว่าที่คิด ทั้งยังหลายพวกเหลือเกิน

                “ใช่ แก๊งเล็กๆ ที่คุมอยู่ในเขตเล็กๆ ในบรองซ์เหมือนกัน บอกแค่นี้เข้าใจใช่ไหม”

                “มันเป็นศัตรูของพวกคุณหรือเปล่า เป็นไปได้ไหมที่พวกนี้ก็อยากได้ตัวแมคเคนซี่เหมือนกัน”

                “เกี่ยวอะไรกับแมคเคนซี่” ดิเอโกขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ไหนว่าผู้ชายคนนี้ขึ้นไปบนที่ทำงานของบรูซ แต่เกี่ยวอะไรกับแมคเคนซี่ด้วย เรื่องของแมคเคนซี่เป็นความลับที่แทบไม่มีคนรู้เลยด้วยซ้ำ เว้นเสียจากพวกเขา

                “มีคนสะกดรอยตามเธอน่ะสิ”

ดวงตาของดิเอโกฉายแววครุ่นคิดอยู่นานสองนาน ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “ไม่น่าเป็นไปได้ พวกนั้นไม่มีกำลังคนมากพอที่จะทำอะไรแบบนี้หรอก”

                “มันไม่ใช่ศัตรูของคุณด้วยใช่ไหม เดรอตติ” เดฟยิ้มมุมปาก

                “อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่”

                “หมายความว่ายังไง”

                “ต้องลองสืบดูก่อน” ดิเอโกตอบ

                เดฟพยักหน้าช้าๆ พลางคิดไปด้วยว่ายังตัดคนพวกนี้ออกไปไม่ได้ เขาจับใจความได้ว่าแก๊งเล็กๆ ชื่อแปลกๆ นั่นไม่น่ามีอำนาจและความสามารถมากพอที่จะ ‘เล่นงาน’ พวกกัสซาโน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่พยายามหาทางจัดการอีกฝ่ายด้วยวิธีอื่นเสียหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือต้องคอยดูแลแมคเคนซี่ต่อ

                “แมคเคนซี่เป็นยังไงบ้าง”

                “เธอโดนตาม แต่ไม่ได้เสียขวัญอะไร”

                “ยังไม่เจอ ‘ของ’ ใช่ไหม” ดิเอโกถามเสียงเครียด เวลาผ่านไปนับเดือนแล้วแต่ยังไม่เจอ ‘ของสำคัญ’ เสียที

                “ใช่” อดีตนายทหารมองหน้าคู่สนทนาอย่างใช้ความคิด เห็นความหนักใจที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของดิเอโก ถึงไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เขาก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แน่ จึงตัดสินใจถามไปตามตรง

                “ถามอะไรหน่อยสิ”

                “เรื่องอะไร”

                “พวกคุณ...ผมหมายถึงพวกกัสซาโนน่ะ พวกคุณมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว”

                “ตั้งแต่รุ่นปู่” ดิเอโกยักไหล่ ตามองเกมการแข่งขันที่เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีสุดท้าย แต่ปากก็เล่าไปด้วย “นานแล้ว หลังจากที่ซิซิลีเริ่มกวาดล้างพวกมาเฟีย ปู่ก็อพยพมาที่นี่แล้วเริ่มสร้างตัว ความจริงพวกอิตาลีย้ายถิ่นฐานมาที่นี่เยอะ แต่ย้ายมาแล้วอดตายก็เยอะ โดนจับก็เยอะ เหลือไม่กี่พวกหรอกที่ยังอยู่ได้และมีอำนาจเหมือนตอนที่อยู่ซิซิลี”

                “หนึ่งในนั้นคือพวกกัสซาโนใช่ไหม”

                “ก็เห็นอยู่” ดิเอโกถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “ตอนนี้มันง่ายที่เกิดมาอยู่บนอำนาจที่รุ่นพ่อแม่ปูทางไว้ให้แล้ว แต่มันยากที่ทำยังไงถึงจะรักษาอำนาจพวกนี้ไว้ให้ได้”

                “...”

                “และที่ยากกว่าคือการสะสางเรื่องบางเรื่องที่คนเก่าแก่ทิ้งไว้ให้น่ะสิ”

                สิ้นเสียงดิเอโก เกมการแข่งขันบาสเกตบอลก็จบลงพอดีพร้อมกับการคว้าแชมป์ของแอลเอเลเกอร์สด้วยแต้ม 128 ต่อ 76

                “ดูแลแมคเคนซี่ให้ดี” ดิเอโกยังคงย้ำคำเดิมเหมือนกับที่เจอกันทุกครั้ง จนเดฟได้แต่สงสัยว่าเรื่องที่พวกกัสซาโนต้องห่วงให้มากคือเรื่อง ‘ของสำคัญ’ ไม่ใช่หรือ ไหนจะตอนที่ดิเอโกพูดถึงเรื่องจัดการปัญหาเก่าๆ ของคนรุ่นก่อนนั่นก็อีก มันคืออะไรกันแน่

                สุดท้ายเดฟก็ไม่ได้ถาม เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะแยกย้ายกันไปก็ไม่ลืมย้ำเรื่องคนกลุ่มเดริตโต้ และพวกที่ตามสะกดรอยตามแมคเคนซี่ก็อีก เดฟต้องการความคืบหน้าให้เร็วที่สุด จะได้รู้เสียทีว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร และกับอะไร

            ตะวันใกล้ลาลับขอบฟ้าในไม่ช้า หลังจากแยกย้ายกับดิเอโกแล้วเดฟก็ยังไม่กลับที่พัก เขาขับไทรอัมพ์ สแครมเบลอร์คันเก่งของตัวเองมายังจุดนัดหมายกับใครบางคนที่เป็น ‘ตัวช่วย’ งานนี้ไม่ง่ายแล้ว เดฟไม่อาจทำจนสำเร็จด้วยตัวคนเดียวแน่

                เก้าอี้ที่จุดชมวิวตรงสะพานบรุกลินคือสถานที่นัดหมายในครั้งนี้ เขานั่งรออยู่ไม่นานก็มีผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งมานั่งบนเก้าอี้ชมวิวตัวเดียวกับเขา

                “รอนานไหม”

                “ไม่นานเท่าไหร่” เดฟดับบุหรี่ แล้วหันไปมองผู้มาใหม่

                แดเนียล โรเจอร์ส คือหนึ่งในทีมของเดฟเวลาออกปฏิบัติภารกิจให้แบล็ควอเตอร์ เป็นอดีตพลสื่อสารของพวกเดลตาร์ ฟอร์ซ แต่ลาออกไปใช้ชีวิตตามปกติอยู่ที่บรูกลินนานแล้ว

                “ดีใจที่นายยังนึกถึง”

                “ก็เวลามีปัญหาละวะ” เดฟหัวเราะหึๆ แล้วหันไปมองเพื่อน แม้จะลาออกแล้ว แต่แดเนียลก็ยังเหมือนเดิม ตัวใหญ่กำยำ ใบหน้าดุดันเต็มไปด้วยหนวดเครา ดวงตาสีน้ำตาลทองคมกริบแม้จะสวมแว่นกรอบหนาไว้ก็เถอะ แต่ไม่อาจบดบังสายตาคมกล้าของเขาได้เลย จนเดฟได้แต่ส่งเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ

                “ขำอะไร”

                “ใส่แว่นแล้วแทบจำไม่ได้”

                “แค่เสริมบุคลิกนิดหน่อย”

                “ก็รู้แล้ว” แว่นแบบนี้ไม่ใช่แว่นสายตาแน่นอน เดฟมองเพื่อนแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วจึงเข้าเรื่องเลย “เอาตรงๆ เลยนะแดน ฉันมีอะไรให้นายช่วย”

                “ว่ามาเลย”

                “นายจะไม่ถามหน่อยหรือไงวะ”

                “ไม่ละ ออกจากงานมานานฉันก็เบื่อ มีอะไรให้ทำก็ดีเหมือนกัน” แดเนียลยักไหล่ เขาลาออกจากเดลตาร์ฟอร์ซตอนอายุสามสิบ ทำงานกับแบล็ควอเตอร์ได้สองปีก็ลาออกมาอีก

                “ชีวิตเรียกร้องหรือ”

                “ประมาณนั้น”

                “นายรู้เรื่องมาเฟียอิตาลีที่ตั้งรกรากอยู่ในนิวยอร์กบ้างไหม ไม่ใช่แค่นิวยอร์กซิตี แต่ฉันหมายถึงรัฐนิวยอร์กทั้งหมด”

                “เคยได้ยินชื่อแค่ไม่กี่พวก แต่ถ้าจะหาจริงๆ มันก็ไม่ยาก”

                “ถ้าอย่างนั้นช่วยหน่อย” เดฟส่งรูปผู้ชายที่เขาซ้อมจนสลบเหมือดบนห้องทำงานของ บรูซ เกรย์สัน ให้เพื่อนดู ซึ่งแดเนียลก็รับไปแต่โดยดี “ขอข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับมาเฟียทุกกลุ่มในเขตบรองซ์ ทุกพวก ทุกกลุ่ม ทั้งรายเล็กรายใหญ่ ทุกคนในแก๊ง เอาตั้งแต่พ่อแม่มันเจอกันเลยก็ได้ เรียนที่ไหน บ้านเกิดที่ไหน หรือเคยผ่านงานอะไรมาบ้าง ทำงานให้ใคร และมีอะไรบ้าง เกี่ยวข้องกับใครบ้าง แต่ละกลุ่มแต่ละคนมีคดีอะไรบ้าง เอาทุกคดี แม้แต่ขโมยยางลบเพื่อนสมัยอนุบาล ถ้ามีก็เอา เอาทุกอย่างเท่าที่นายจะหาได้”

                “เบอร์กางเกงในด้วยเลยไหม” อดีตพลสื่อสารหนุ่มประชดเข้าให้

                “ได้ก็ดี” อดีตนักบินหนุ่มตอบหน้าตาเฉย

                “งานลับละสิ” แดเนียลถาม เพราะถ้าไม่ลับ ก็คงให้ฝ่ายข้อมูลที่แบล็ควอเตอร์จัดการให้แล้ว

                “ประมาณนั้น”

                “ได้” อดีตหน่วยรบพิเศษทหารบกรับคำง่ายๆ

                “ไม่ถามหน่อยหรือ เกิดฉันทำผิดกฎหมายนายจะทำไง” เดฟเลิกคิ้วเล็กน้อย แดเนียลรับคำง่ายๆ ก็จริง แต่เขาไม่สงสัยถึงความเป็นมืออาชีพของเพื่อน และเหนือสิ่งอื่นใดคือพวกเขาเคยทำงานด้วยกันมานานจนมั่นใจว่า ไม่ว่างานจะเป็นแบบใด พวกเขาไม่มีทางทรยศหักหลังกันเองแน่

                “นั่นมันปัญหาของนาย ว่าแต่ไปมีเรื่องกับพวกนี้หรือไงวะ”

                “ไม่ใช่หรอก แค่สงสัยนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่าจะถูกปิดบังอะไรไว้หรือเปล่า”

                “รีบหรือเปล่า”

                “ไม่รีบเท่าไหร่ แต่ไวหน่อยก็ดี”

                “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยบอกว่ารีบเถอะเดฟ” แดเนียลหัวเราะหึๆ เขาเอนตัวพิงพนักด้านหลัง แล้วมองไปยังสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างแมนฮัตตันกับบรุกลิน ที่ไม่ว่าจะวันไหนเวลาใดก็มักจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาที่นี่เสมอ

                “นายสบายดีใช่ไหม” เดฟถาม จะว่าไปตั้งแต่ที่แดเนียลลาออกไปแต่งงานกับหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งเป็นความลับที่แดเนียลไม่เคยบอกใคร ก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย จนกระทั่งลองเสี่ยงติดต่อไปหาแดเนียลในวันนี้ และก็เป็นโชคดีของเขาเหลือเกินว่าแดเนียลยังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหน

                “หน้าตาฉันเหมือนคนป่วยหรือไง”

                “หน้าตานายไม่เหมือนคนป่วยหรอก แต่เหมือนคนใกล้ตายมากกว่า เพราะฉันจะฆ่านายเอง”

                “โอเค...บันทึกเสียงไว้แล้ว ถ้าฉันตาย เมียฉันจะได้แจ้งความจับคนถูก”

                “กวนตีนแล้วไง” เดฟหัวเราะลั่นแล้วตบบ่าเพื่อนเบาๆ นึกไปถึงมิตรภาพแน่นแฟ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำงานด้วยกันที่แบล็ควอเตอร์แล้วก็เสียดายความสามารถของแดเนียลเหลือเกิน แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายลาออกไปแล้ว

                “ฉันทำงานบริษัทรักษาความปลอดภัยน่ะ”

                “แล้วนายอารักขาใคร”

                “เมียที่บ้าน” หนุ่มแว่นตอบหน้าตาเฉย ผลคือถูกเดฟผลักหัวเต็มแรง

                “กวนตีนแล้ว เอาตรงๆ สิวะ”

                “ก็เรื่องจริงทั้งนั้น ฉันไม่ได้อารักขาใครทั้งนั้นหรอก ฉันเป็นเจ้าของบริษัท ส่วนเมียฉันนั่งวางก้ามเป็นผู้บริหารใหญ่ ทุกวันนี้มีกินมีใช้เพราะเงินเมีย เข้าใจไหม”

                “เมียนายทำมาหากินอะไรวะ”

                “อดีตแอร์โฮสเตสสายการบินของตะวันออกกลางน่ะ แต่ตอนนี้เป็นคุณนาย ส่วนฉันก็เป็นทาสเมียไง”

                “เออดี” เดฟพยักหน้า ทำหน้าสนใจชัดเจน

                “ดีตรงไหนวะ”

                “ไม่ดีสำหรับนาย แต่ดีสำหรับฉัน” เดฟหัวเราะเจ้าเล่ห์ “ไว้ลาออกจากแบล็ควอเตอร์เมื่อไหร่ฉันจะไปทำงานกับนาย”

                “ได้เลยเพื่อน มีตำแหน่งยามห้างรอนายอยู่พอดี” แดเนียลตอบทีเล่นทีจริง

                “กวนตีนแล้ว” เดฟผลักหัวอีกฝ่ายจนแว่นกระเด็น จนแดเนียลต้องรีบลุกไปหยิบมาก่อนที่ใครจะเดินเหยียบแว่นแตก แล้วกลับมานั่งกับเดฟเหมือนเดิม

                “ขอเวลาสามวันแล้วกัน”

                “ทำไมนานจังวะ”

                “คิดว่าที่ให้หานี่มันน้อยหรือไงวะ ถ้าพวกคดีก็ต้องแฮ็กจากฐานข้อมูลหน่วยงานของรัฐบาล มันยาก”

                “แต่นายจะทำได้ใช่ไหม”

                “ถ้าทำไม่ได้ก็เสียชื่อหมดสิ” แดเนียลยักไหล่ “ถ้าได้แล้วฉันจะติดต่อหานาย”

                “ขอบใจแดเนียล”

                “ยินดีเสมอเพื่อน” สองหนุ่มชนกำปั้นกันแล้วก็แยกย้ายกันไป

เดฟมองตามร่างสูงของแดเนียลที่เดินปะปนกับฝูงชนไม่นานก็ถูกกลืนหายไป ไม่ทิ้งลายหน่วยรบพิเศษเก่าแต่อย่างใด

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น