4

ผู้ชายของเธอ

บทที่ ๔

ผู้ชายของเธอ

 

ตั้งแต่ที่นันทวดีและชินกฤตรู้ว่าเจ้าของไร่คือเพื่อนเก่า พรนาราก็ไม่ได้พบกับความสงบสุขอีกเลย สำหรับชินกฤตยังไม่เท่าไร เพราะนอกจากเรื่องที่เขาทำหน้าช็อกเหมือนมีญาติผู้ใหญ่สักคนเพิ่งเสีย และกล่าวกับเธออย่างสลดใจว่า ‘เธอดูเปลี่ยนไปมากนะ พอลลี่’ เขาก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีต่อเธอ นันทวดีต่างหากที่ทำ ยิ่งเห็นว่าเป็นเพื่อนเก่าหล่อนยิ่งไม่มีความเกรงใจยิ่งกว่าเดิม ใช้เธอทำโน่นทำนี่จนหัวหกก้นขวิด จะงานเก็บขี้ไก่ ล้างคอกวัวคอกหมูหรืออะไรก็ตามแต่ พรนาราก็ยินดีทำโดยไม่ปริปากบ่นสักคำเพราะคิดว่าเธอมีหน้าที่ต้องอำนวยความสะดวกให้กองถ่ายละครอยู่แล้ว แต่ที่เธอรู้สึกทนไม่ได้ก็คืออากัปกิริยาของซุป’ตาร์สาวที่ปฏิบัติต่อเธอต่างหาก 

เวลาพ้นหูพ้นตาจากพันฤทธิ์ทีไร หล่อนมักฉวยโอกาสเยาะเย้ยในสภาพตกอับของเธอทุกครั้ง ไม่รู้ว่าเก็บกดมาจากไหน เท่าที่จำได้เมื่อสมัยเรียนเธอเองก็ไม่เคยมีปัญหากับนันทวดี จึงคาดว่าน่าจะเกิดจากความอิจฉาส่วนตัวมากกว่าเพราะสมัยเรียนใครๆ ต่างก็จับจ้องแต่ควีนพอลลี่ ไม่มีใครมองเห็นสาวสุดเนิร์ดอย่างนันทวดีเลยสักคน เธอพยายามทำความเข้าใจปมอัดอั้นของเพื่อนเก่า แต่เพื่อนเก่ากลับไม่พยายามทำความเข้าใจเธอเลย พอเธอยื่นไมตรีไปก็ถูกเหยียบย่ำ ครั้นพอนิ่งเฉยก็ถูกถากถาง 

ยิ่งนานวันก็ยิ่งหนักข้อขึ้น...เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังจะรับไม่ไหว

ตอบโต้สิ...เสียงความแข็งแกร่งเลือนๆ ในตัวกระซิบบอก หากแต่ทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ทีไร เสียงเหล่านั้นก็ถูกกลืนกลบไปด้วยเสียงของความเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ร่ำไป เปล่าประโยชน์สิ้นดี ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นถึงดาราดังมีพร้อมทุกอย่าง คนอย่างเธอน่ะหรือจะเทียบชั้นหรือไปสู้รบตบมือด้วยได้ 

สู้ไม่ได้...สู้ไม่ได้เลยไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตาม 

“ทำอะไรของเธอ”

เสียงทักของนันทวดีเป็นเสียงที่พรนาราไม่อยากได้ยินเลย เพราะมันไม่เคยมีเรื่องดีๆ สักครั้ง วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เนื่องในโอกาสที่พรุ่งนี้ชินกฤตจะบินกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ เธอก็เลยอยากจะอำลาและส่งเขากลับแบบประทับใจด้วยการแต่งตัวสวยและเตรียมของขวัญให้เขา แต่นิยามคำว่า ‘สวย’ ในความหมายของชาวไร่ไกลปืนเที่ยง ก็ต่างกับคนเมืองกรุง ด้วยข้อจำกัดเรื่องสถานที่และหน้าที่การงาน จะให้เธอสวมชุดกระโปรงลากยาว สวมหมวกปีกเก๋ๆ ราวกับกำลังวิ่งเล่นในทุ่งทิวลิปแถวเนเธอร์แลนด์ก็ใช่เรื่อง เธอจำเป็นต้องสวมอะไรที่ทะมัดทะแมงกว่านั้นเพื่อดูแลไร่ได้สะดวก สุดท้ายก็เลยลงเอยที่ชุดเสื้อยืดสีขาวเข้าคู่กับกางเกงเอี๊ยมทำจากผ้ามัดย้อมคราม สวมใส่สบาย สวยงามและเหมาะกับพื้นที่แทน ที่สำคัญเธอปัดแก้มให้ชมพูขึ้นกว่าปกติด้วย ไม่รู้ว่าชินกฤตจะสังเกตเห็นไหมนะ

แต่ดูเหมือนว่าคนที่สังเกตเห็นก่อนจะไม่ใช่ชินกฤต แต่เป็นนันทวดีนี่ละ ในสายตาของซุป’ตาร์เมืองกรุง คงไม่คิดว่าเธอสวย ครั้นเห็นเสื้อผ้าของพรนารา หล่อนก็หัวเราะอย่างดูถูก

“แต่งตัวอะไรของเธอเนี่ย ถามจริง เธอจะสวมชุดนี้จริงๆ หรือ” นางเอกสาวปรายตามองเธอตั้งแต่หัวจดเท้า “ฉันก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ แต่ว่าชุดเธอมัน...อืม...ก็นั่นละ สมกับเป็นชาวไร่ชาวนาดีนะ ดูบ้านนอกคอกนาดี”

ชาวไร่ชาวนาแล้วทำไม ดูบ้านนอกแล้วยังไง พรนารารู้สึกหน่วงๆ ในอก เธออยากจะตอบโต้ แต่ไม่กล้าพอ ได้แต่ยืนก้มหน้างุดอยู่เช่นนั้น ในขณะที่นันทวดีเริ่มประเด็นใหม่ด้วยการวิจารณ์ของขวัญที่เธอเตรียมให้ชินกฤต เป็นทำนองว่าเธอกล้าดียังไงจึงได้ให้ของแปลกๆ กับคู่หมั้นหล่อน

“นี่เรียกว่าหมอนขิด เป็นงานหัตถกรรมของชาวอีสาน ทำจากผ้าลายขิดที่เป็นผ้าทอมือจากผ้าฝ้าย ใช้ในโอกาสพิเศษหรืองานมงคล หนุนแล้วก็ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ด้วย มันดีมากจริงๆ นะ” พรนาราอธิบายคุณสมบัติหมอนทรงสามเหลี่ยมในมือ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจฟัง 

“จะดียังไงก็ช่าง แต่ฉันแน่ใจว่าพี่ชินไม่สนของพรรค์นี้แน่ๆ ถ้าเธอไม่เชื่อก็คอยดูแล้วกัน” ดาราสาวไหวไหล่อย่างวางท่า ก่อนจะหันไปเรียกคู่หมั้นที่กำลังเดินตรงมาทางนี้พอดี “พี่ชินคะ มาดูนี่สิ พอลลี่เตรียมของขวัญอำลาให้พี่ด้วย”

“จริงหรือ ดีจริง ไหนล่ะ” ชินกฤตเดินตรงผ่านทางเชื่อมไม้ตรงมายังสองสาวซึ่งยืนอยู่ในมุมพักผ่อนข้างบ่อน้ำ

“นี่ค่ะ” นันทวดีกระชากหมอนไปจากมือของเกษตรกรสาวและยกมันขึ้นโชว์ให้คู่หมั้นดู 

ไม่รู้ว่าผิดหวังกับของขวัญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ จึงทำให้รอยยิ้มของชายหนุ่มเลือนหายไปนิดหนึ่ง ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีแก่ใจสอบถามตามมารยาท

“หน้าตาแปลกดีนะ พี่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันเรียกว่าอะไรหรือครับ”        

ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้อ้าปากตอบด้วยซ้ำ นันทวดีก็ถือวิสาสะตอบแทน

“ก็แปลกพิลึกเหมือนคนให้นั่นละค่ะ ไอ้นี่เรียกว่าหมอนขิดอะไรสักอย่างนี่แหละ พี่ชินอยากจะใช้ไหมคะ”

“พี่...” ชินกฤตอึกอัก ดูจะไม่สบายใจที่ต้องตอบตามความจริงเท่าไร นันทวดีจึงอาสาตอบให้แทน

“พี่ชินเขาไม่ใช้หมอนแข็งๆ ของเธอหรอก ไม่เห็นจะนอนสบายตรงไหน ตอนฉันไปถ่ายแบบที่เมืองนอก ฉันก็ซื้อหมอนขนห่านแท้นุ่มๆ มาฝากเขาตั้งหลายใบ แบบเดียวกับที่ใช้ในโรงแรมห้าดาวนั่นไง ดังนั้นรีบเอาของไร้ระดับของเธอกลับไปได้แล้ว!” พูดเสร็จนันทวดีก็เสือกหมอนกลับมาให้พรนารา ด้วยความแรงและการไม่ทันตั้งตัวทำให้หญิงสาวเซหงายจากทางเชื่อมไม้และตกลงไปในบ่อน้ำ

แม้น้ำในบ่อจะไม่ได้ลึกมากเพียงแค่ระดับเอวเท่านั้น แต่ก็ทำให้เธออยู่ในสภาพที่ดูแทบไม่ได้อยู่ดี ร่างบอบบางเปียกโชกตั้งแต่หัวจดเท้าทั้งมีเศษจอกแหนติดตามเส้นผมและเสื้อผ้าเต็มไปหมด เครื่องสำอางที่บรรจุงแต่งมาไหลย้อยเลอะเทอะ

พรนารารู้สึกหายใจไม่ออก... 

สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออกไม่ใช่การสำลักน้ำ ไม่ใช่การเปียกปอนไปทั้งตัว หรือหน้าเลอะเทอะ แต่เป็นสายตาของทีมงานแถวนั้นที่พากันวิ่งมาดูผนวกกับเสียงหัวเราะของนันทวดีต่างหาก

ชินกฤตดูจะตกใจกับเหตุการณ์ เขาตั้งท่าจะยื่นมือให้คนตกน้ำจับ แต่ก็ถูกคู่หมั้นสาวตบมือทันควันเป็นเชิงห้าม

“ไม่ต้องไปช่วยค่ะ เธอก็แค่สำออย เพราะอยากเรียกคะแนนสงสารพี่เท่านั้นละ!”

“พูดเกินไปหรือเปล่า นานะ”

“ไม่เกินไปหรอกค่ะ หรือพี่ชินจะเถียงว่าไม่จริง พี่จำไม่ได้หรือไงตอนสมัยเรียนเธอก็มีงานอดิเรกชอบทำตัวเป็นลูกหมาคอยตามพี่ชินต้อยๆ ทำตัวชูคอเป็นราชินีเธอ แต่ก็...สำออยกับผู้ชายเก่ง”

พรนาราทำใจแข็ง พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาด้วยการบอกตนเองว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ถึงจะขายหน้าไปบ้างก็ไม่เป็นไร เธอทนไหว’ แต่ความพยายามของเธอก็สูญสิ้น เมื่อส้มโอวิ่งออกมาจากในบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ

“เอื้อยๆ ลุงสินเมาฮากเลอะเทอะไปเบิดเลย หนูแบกลุงไปล้างตัวบ่ไหว มาซอยหนูแหน่ค่ะ! (พี่ๆ ลุงสินเมาอ้วกเลอะเทอะเต็มไปหมดเลย หนูแบกลุงไปล้างตัวไม่ไหว มาช่วยกันแบกหน่อยค่ะ!)”

เธอไม่โทษส้มโอหรอกที่หล่อนวิ่งออกมาในจังหวะนั้น เพราะหล่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าการที่เด็กสาววิ่งมาขอความช่วยเหลือเรื่องเดิมๆ ของบิดาเหมือนเป็นการทิ่มแทงบาดแผลของหญิงสาวซ้ำอีก เธอพยายามปิดบังบาดแผลนั้นไม่ให้คนอื่นเห็นแล้ว แต่ความน้อยเนื้อต่ำใจและความอับอายในสภาพของตนเองก็ทะลักทะลายออกจากบาดแผลจนประจักษ์แก่สายตาทุกคนอยู่ดี 

ทำไม...ทำไมต้องเป็นเธอกันล่ะ ทำไมต้องมีแต่เธอที่พบเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้ทุกที

“อะพิโธ่ เธอมีพ่อเป็นขี้เมาหรือ พอลลี่” ดาราสาวแสร้งถามดังๆ มองเธอด้วยรอยยิ้มหยันๆ “น่าสงสาร ใครจะคิดล่ะเนอะว่าคนที่เคยเป็นถึงควีนของโรงเรียนจะตกอับขนาดนี้ ดูสารรูปเธอตอนนี้สิ บอกตรงๆ ถ้าเป็นฉัน ฉันคงอายจนฆ่าตัวตายไปนานแล้ว ไม่หน้าด้านหน้าทนอยู่อย่างนี้หรอก มันน่าสมเพช!”

พรนารากำมือแน่น เธออยากจะตอบโต้ เธออยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีหน้าพอจะทำเช่นนั้น ตอนนี้เธอรู้สึกต่ำต้อยเกินกว่าจะสู้รบกับใคร เธอเกลียดตัวเอง เกลียดโชคชะตาของตัวเอง เกลียดทุกอย่างในชีวิต

นั่นสินะ เธอควรจะตายไปเลยอย่างที่นันทวดีพูดดีไหม อยู่แบบนี้ต่อไปก็รังแต่จะขายหน้าและเป็นทุกข์ เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่ออะไร เพื่อให้คนหัวเราะเยาะเย้ยใส่น่ะหรือ

ในระหว่างที่ความคิดด้านลบกำลังตีรวนเธออย่างหนัก เสียงคำรามกร้าวของใครบางคนก็ดังขึ้น ฉุดกระชากเธอเข้าสู่แสงแห่งความหวังอันรำไร

“นานะ!” พันฤทธิ์เดินดุ่มเข้ามาที่กลางวง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง “เธอกำลังทำอะไรอยู่ พอได้แล้ว!”

“พีท...”

“น่าสมเพชหรือ สมควรตายหรือ พอลลี่ไม่ใช่เพื่อนของเธอหรือไงเธอถึงได้พูดจาร้ายกาจแบบนั้นออกมาได้ ไม่รู้หรือยังไงว่ายิ่งเธอพูดมากเท่าไร เธอเองนั่นละที่จะยิ่งดูน่าสมเพชเพราะดูเหมือนคนใจดำที่ขาดการอบรม!”

เกิดความเงียบงันน่าอึดอัดแผ่ซ่านทั่วทั้งบริเวณ ก็ไม่รู้ว่าคนใจดำผู้ขาดการอบรมที่ว่าสะทกสะท้านกับคำต่อว่าของพันฤทธิ์หรือไม่ หล่อนเพียงไหวไหล่นิดหนึ่งก่อนจะจูงมือคู่หมั้นออกไป แต่ก่อนไปก็ไม่ลืมหันมาเตือนเพื่อนด้วย

“เผื่อนายลืมไปอย่าง ฉันเป็นลูกค้าวีไอพีของนายนะ พีท ก่อนที่จะพยายามทำตัวเป็นพระเอกปกป้องใคร นายควรกลับไปทบทวนสถานะตัวเองให้ดีก่อน ครั้งนี้ฉันจะยอมปล่อยผ่าน ถือว่าไม่ได้ยินสิ่งที่นายพูดก็แล้วกัน” พูดเสร็จดาราสาวก็จ้ำพรวดๆ ออกไปด้วยความขุ่นเคือง แต่ยังไม่วายชี้หน้าทีมงานบางคนที่แอบยกกล้องโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างเอาเรื่องด้วย “เก็บโทรศัพท์ของพวกพี่ๆ เดี๋ยวนี้ค่ะ ใครบันทึกอะไรไว้ให้ลบออกให้หมด ถ้ามีอะไรหลุดรอดออกไป หนูจะถือว่ามันหลุดมาจากพวกพี่ๆ พวกพี่เตรียมรับหมายศาลได้เลย และที่สำคัญหนูจะถือว่าพวกพี่เป็นศัตรูกับหนู ในเมื่อเป็นศัตรูกันก็คงร่วมงานกันอีกไม่ได้ ก็ลองคิดดูเอาเองละกันนะคะว่าหนังหรือละครที่ไม่มีหนู มันจะปังหรือมันจะพัง ใครอยากเสี่ยงก็ลองดู!”

พอถูกขู่ ทีมงานเลยพากันลบภาพและคลิปกันเจ้าละหวั่น ไม่มีใครกล้าเสี่ยงกับนางเอกพันล้านอย่างนันทวดีอยู่แล้ว เพราะแต้มต่อรองซุป’ตาร์ระดับนี้สูงกว่าใครทั้งหมด

ครั้นพอนันทวดี ชินกฤต พร้อมด้วยทีมงานทยอยกันออกไปแล้ว บอดีการ์ดหนุ่มจึงหันมาทางเพื่อนสาวที่ยังแช่อยู่ในน้ำ เขาย่อตัวลงนั่งยองๆ บนฝั่งและยื่นมือออกไปอย่างหมายจะดึงเธอให้ขึ้นมา

“ส่งมือมาสิ พอลลี่” เขากล่าวย้ำอีก เมื่อเห็นสาวเจ้ายังยืนนิ่ง “ไม่เป็นไรแล้ว จับมือฉันไว้ ฉันจะดึงเธอขึ้นมาเอง”

แต่จนแล้วจนรอดพรนาราก็ไม่ยื่นมือออกไปอยู่ดี ใบหน้าของเธอซีดเซียว เธอมองเขาด้วยสายตาไม่แน่ใจ ราวกับกำลังคิดว่าคนห่วยๆ อย่างเธอสมควรรับความช่วยเหลือจากเขาแล้วหรือเปล่า อาการน่าเป็นห่วงเช่นนี้เองทำให้พันฤทธิ์ทนนิ่งเฉยไม่ได้ ในเมื่อหญิงสาวไม่ยอมขยับมาหาเขา เขาก็จำเป็นต้องเป็นฝ่ายขยับไปหาเธอแทน

ชายหนุ่มถอดเสื้อนอก รองเท้าและถุงเท้าออก ก่อนจะหย่อนตัวลงไปในน้ำ เขาเดินลุยเข้าไปงมหมอนขิดที่จมอยู่ใต้น้ำแล้ววางมันที่ฝั่ง ก่อนจะเดินต่อไปหาพรนาราและคว้าตัวเธอไว้ในอ้อมแขน ไม่ได้สนใจสักนิดว่าตนจะพลอยเปียกปอนไปด้วยก็ตาม

“รีบขึ้นจากน้ำเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

พรนาราอึ้ง มองเพื่อนอย่างมีคำถาม เธอคงไม่เข้าใจว่าเขาทำเช่นนี้ทำไม แม้จะไม่ได้เอ่ยปากถามออกมา แต่พันฤทธิ์กลับอ่านสายตาคำถามนั้นออก...เป็นคนเดียวที่อ่านออกเสมอมา

“ฉันไม่เป็นไรหรอก สำหรับฉันแล้ว เธอสำคัญที่สุด พอลลี่ เธอจำไว้แค่นี้ก็พอ” เขาอธิบาย ก่อนจะช้อนร่างน้อยไว้ในอ้อมแขนและพาเธอกลับเข้าฝั่ง

 

แม้จะขึ้นจากน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่พรนาราก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกแย่ๆ พ้นอยู่ดี ต่อให้พันฤทธิ์จะดูแลเธออย่างดี คอยนั่งเป็นเพื่อนเธอ หาเครื่องดื่มร้อนๆ มาให้ดื่มก็ตาม แต่เธอก็ยังนั่งคอตกซึมเซาพอๆ กับส้มโอ ส้มโอซึมเพราะรู้สึกผิดที่โผล่มาไม่ถูกจังหวะ ส่วนเธอซึมเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากถามว่าเธอโกรธนันทวดีไหมที่ทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกต่อหน้ารักแรกของเธอ เธอโกรธส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนเธอโกรธเกลียดในโชคชะตาตัวเองมากกว่า 

ทำไมต้องเป็นเธอ...ทำไมเธอถึงไม่โชคดีเหมือนคนอื่น เหมือนนันทวดีบ้าง?

“ไม่ดื่มแล้วหรือ” พันฤทธิ์ถาม เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวส่งแก้วช็อคโกแลตร้อนคืนด้วยอาการหมดอาลัยตายอยาก “เธอดื่มไปได้ไม่กี่จิบเอง ดื่มอีกสิ ร่างกายเธอต้องการความอบอุ่น”

“คอฉันแข็งไปหมด ฉันดื่มอะไรไม่ลงจริงๆ” สาวเจ้าตอบตามตรง นั่งก้มหน้าน้ำตาคลออยู่ที่โต๊ะในบ้าน “ขอบใจที่อยู่เป็นเพื่อนนะ นายกลับไปหานานะเถอะ พีท เดี๋ยวเธอจะตำหนินายอีก”

แต่ถึงกล่าวเช่นนั้น ก็ใช่ว่าชายหนุ่มจะยอมฟังคำแนะนำ แทนที่จะรีบไปหาลูกค้าสาวรายสำคัญ คนตัวโตกลับทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างเก้าอี้เธอ ดึงมือเล็กมาเกาะกุมไว้อย่างให้กำลังใจ โดยไม่บีบแน่นหรือหลวมเกินไป

“เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย ไม่เห็นต้องไปสนคนพวกนั้น”

“จะไม่ให้ฉันสนได้ยังไง นายเห็นสายตาที่ทุกคนมองฉันไหม เห็นสายตาที่พี่ชินมองฉันหรือเปล่า ฉันอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหน ทำไมต้องเป็นฉันที่เจอเรื่องแย่ๆ ตลอดเลย ทำไม...ทำไมต้องเป็นฉันทุกที”

“พอลลี่”

“ทำไมชีวิตของนานะถึงง่ายดายดีงามไปหมด ทำไมชีวิตฉันถึงไม่ง่าย ไม่ดีแบบนั้นบ้าง ตอนนี้ฉันเหนื่อย เหนื่อยมากๆ เลยพีท จะกัดฟันสู้ให้ตายยังไงชีวิตฉันก็ไม่ดีขึ้น ฉันไม่อยากมีชีวิตเฮงซวยแบบนี้อีกแล้ว”

“ทำไมพูดแบบนั้น ชีวิตเธอไม่ได้แย่สักหน่อย”

“ไม่ได้แย่แบบนั้นเพราะที่จริงแล้วมันแย่ยิ่งกว่าที่พูดเสียอีก พูดไปนายอาจจะไม่เข้าใจ เพราะนายสุขสบายมาทั้งชีวิต ไม่ต้องลำบากลำบนแบบฉัน”

“ชีวิตฉันไม่ได้สุขสบายอย่างที่เธอเข้าใจหรอก เราทุกคนต่างก็มีปัญหามีเรื่องลำบากเป็นของตัวเองทั้งนั้น”

“หมายความว่ายังไง นายเองก็มีปัญหาเหมือนกันหรือ”

“อืม”

“เรื่องอะไร” พรนาราเลิกคิ้ว คงนึกไม่ออกเลยว่าคุณชายทายาทนักธุรกิจอย่างเขาจะมีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลใจอีก “เงินทองนายก็มีใช้เหลือเฟือ อาชีพการงานก็มั่นคง ยังมีเรื่องอะไรเป็นปัญหาอีก”

หากจะถามว่ายังมีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาสำหรับเขา ไม่ใช่เรื่องเงินทอง ไม่ใช่เรื่องหน้าที่การงาน แต่เป็นเรื่องของหัวใจนี่ละ จนป่านนี้เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้บอกความในใจให้เธอรู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขาคิดกับเธออย่างไร 

“เรื่องสัญญาที่ฉันเคยให้กับเธอไว้ก่อนไปอเมริกาน่ะ”

กล่าวถึง ‘สัญญา’ สีหน้าของเกษตรกรสาวก็ไม่สู้ดี เรื่องนี้คงทำให้เธอนึกถึงความทรงจำครั้งที่เธอไล่ตะเพิดเขาไปด้วยถ้อยคำร้ายกาจ 

“เจ้าตัวเล็กคือว่าเรื่องนั้น ฉัน...”

“ฉันไม่เคยโกรธเธอ” บอดีการ์ดหนุ่มชิงกล่าวพูดขึ้นมาอย่างเดาใจเพื่อนสาวออก “เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องรู้สึกผิดหรือขอโทษฉันหรอก ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น”

“ขอโทษนะ กับเรื่องเมื่อตอนนั้นฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้อยากจะพูดจาแย่ๆ ใส่นายแบบนั้นเลย”

แต่ต่อให้ยืนยันว่าไม่ต้องการคำขอโทษใดๆ แต่พรนาราคงทนกับความรู้สึกผิดที่เก็บงำมาหลายปีไม่ไหว ต้องเอ่ยปากออกไปอยู่ดี เธอกล่าวขอโทษเขาอย่างจริงใจ บอกเหตุผลด้วยว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้น เพราะเธออยากให้เขามีอนาคตที่ดี ไม่อยากให้เขามาจมปลักกับเธอเท่านั้น

เขาเข้าใจเหตุผลของเธอ เพียงแต่ตอนนี้เขาอยากให้เธอเข้าใจเหตุผลของเขาบ้าง เหตุผลที่เขาพยายามมาตลอดหลายปี เหตุผลที่เขากลับมายืนตรงนี้ เพื่อที่จะบอกความจริงในใจให้เธอได้รับรู้และกลายเป็น ‘ผู้ชาย’ ของเธออย่างเต็มตัว

“เลิกขอโทษฉันได้แล้ว ฉันกลับมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาฟังคำขอโทษ แต่เพื่อมาอยู่ข้างเธอตามสัญญา จำได้ไหมตอนนั้นฉันเคยบอกเธอว่าอะไร เมื่อถึงเวลาที่ฉันมีทุกอย่างพร้อม ฉันจะบอกความในใจให้เธอรู้”

“ความในใจ?”

“ใช่” ชายหนุ่มสบสายตากับสาวเจ้า มันไม่ใช่การสายตาหวานซึ้งแบบฉาบฉวย แต่เป็นความผูกพันลึกซึ้งที่แน่นแฟ้นกว่านั้น 

เขาอยากจะบอกเธอ...อยากบอกเธอแทบขาดใจ แต่ก็รู้ว่าคงยังไม่ถึงเวลาอันสมควร เขาพร้อมจะพูดแล้ว แต่เธอในตอนนี้คงยังไม่พร้อมจะรับฟัง

พันฤทธิ์คลายมือข้างหนึ่งจากการเกาะกุม ก่อนจะเลื่อนไปเช็ดคราบน้ำตาให้พรนารา 

“แต่ฉันจะพูดมัน ก็ต่อเมื่อเธอรู้สึกดีขึ้นจากเรื่องพวกนี้แล้ว” พูดเสร็จชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้น ก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าอย่างรอคอย “มากับฉันสิ ฉันจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นเอง”

“ด้วยวิธีไหน”

พันฤทธิ์ยิ้มละไมแทนคำตอบ

“เดี๋ยวเธอก็เห็นเอง”

 

คืนนั้นหลังจากที่กองละครเลิกกองและจัดการส่งนันทวดีกลับโรงแรมโดยปลอดภัยแล้ว พันฤทธิ์ก็ฝากฝังลูกค้าวีไอพีไว้กับทีมลูกน้องและหาเวลาปลีกตัวพาพรนาราไปทำเรื่องอารมณ์ดีจนได้ เรื่องชวนอารมณ์ดีที่ว่าคือการพาเธอมาเปิดหูเปิดตาที่ในเมือง แม้ไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่โตให้เดินช็อปปิ้งแบบในกรุงเทพฯ แต่ในตัวอำเภอเมืองก็มีถนนคนเดินตอนกลางคืนให้เดินจับจ่ายซื้อของแทน พันฤทธิ์ใช้รถยนต์ส่วนตัวของเขาเป็นพาหนะในการเดินทางคราวนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่ารถของเขามันหรูเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้ผู้ร่วมเดินทางอย่างเธอนั่งตัวแข็งทื่อมาตลอดทาง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ กลัวว่าจะทำให้รถของเขาเสียหาย ซึ่งชายหนุ่มคงจะเห็นอาการนี้ ระหว่างเดินทางจึงบอกให้เธอช่วยเขากดเลือกเพลงที่ชอบบนหน้าจอในรถ หวังให้บรรยากาศคลายความน่าอึดอัดลง แต่หญิงสาวก็ไม่กล้าจะเอื้อมมือไปกดเลือกเพลงอยู่ดี ได้แต่นิ่งนิ่ง ประสานมือตนเองบนหน้าตักอย่างกังวล

“เป็นอะไรไป ในนี้ไม่มีเพลงที่อยากฟังเลยหรือ”

“เปล่า”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่เลือกมาสักเพลงล่ะ”

“ฉันไม่กล้า”

“ไม่กล้า?”

“อืม มือของฉันจับโน่นนี่มาสารพัด ทั้งขี้หมูขี้วัวมีแต่ของสกปรกทั้งนั้น ฉันกลัวจะทำให้รถของนายเปื้อนหรือเสียหาย” พูดเสร็จก็ก้มหน้าอย่างอายๆ แต่แทนที่ชายหนุ่มจะเพียงรับฟังเหตุผลและจบเรื่องกันไป เขากลับเอื้อมมือมาจับมือเธอไว้ ดึงไปเกาะกุมบนอกด้านซ้าย...ตรงตำแหน่งของหัวใจเขา

“เชิดหน้าขึ้นเถอะ พอลลี่ มือคู่นี้ของเธอทำงานสุจริต ไม่ได้สกปรกตรงไหนเลย เธอควรภูมิใจในตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอาย”

ก็ไม่รู้ว่าเพื่อนพูดเช่นนั้นเพราะแค่อยากให้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันได้ผลอยู่บ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่คำกล่าวของเขาก็ทำให้เธอคลายความกังวลจนสามารถเอื้อมมือไปกดเลือกเพลงที่อยากฟังได้

เพลงแนวอาร์แอนด์บีบรรเลงขึ้นอย่างไพเราะ...

“ปกติเธอไม่ได้ฟังเพลงแนวนี้นี่” พันฤทธิ์ตั้งข้อสังเกต 

“อื้อ ปกติก็ไม่ได้ฟังนั่นละ แต่คราวนี้อยากฟัง”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะนายชอบ”

ชายหนุ่มอมยิ้ม ดูจะมีความสุขที่เห็นว่าอีกฝ่ายยังจำได้ว่าเขาชอบฟังเพลงแนวไหน

“ดีใจที่เธอยังจำได้”

“ต้องจำได้สิ สมัยก่อนฉันยังไปดูคอนเสิร์ตนักร้องคนโปรดของนายด้วยกันอยู่เลย น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลาไปฟังอะไรแบบนั้นแล้ว ที่นี่ไม่มีคอนเสิร์ตใหญ่ๆ มาเปิดเหมือนในกรุงเทพ จะมีก็แต่หมอลำ ฟังบ่อยเข้า ฉันก็เริ่มจะชอบแล้วละ หน้าฮ้านหมอลำน่ะคนแน่น ครึกครื้นดี”

“ฟังดูน่าสนุกดี ฉันยังไม่เคยมีโอกาสไปเลย ไว้มีโอกาสพาฉันไปดูบ้างได้ไหม”

“หือ หมอลำน่ะนะ?”

“ใช่ ฉันยังต้องอยู่ทำงานที่นี่อีกหลายเดือน อยากไปเปิดหูเปิดตา พาไปไม่ได้หรือ”

ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่เธอนึกภาพไม่ออกว่าคุณชายอย่างเขาจะไปเซิ้งหน้าฮ้านหมอลำได้อย่างไร แต่ถ้ายืนยันว่าอยากไปขนาดนั้น เธอก็ยินดี

“พาไปได้ แต่หน้าฮ้านหมอลำน่ะไม่เหมือนคอนเสิร์ตอื่นที่นายเคยไปหรอกนะ เด็กวัยรุ่นชอบตีกันบ่อย ฉะนั้นนายต้องมีสกิลหูตาไวและโกยไวติดตัวด้วย ถ้านายโอเคกับเรื่องนี้ ฉันก็พร้อมจะพาไป”

พันฤทธิ์หัวเราะ แทนที่จะกลัว เขากลับยิ่งดูสนใจมากกว่าเดิม

“ฉันโอเคและไหวอยู่แล้ว ที่อเมริกาก็มีพวกอันธพาลเยอะเหมือนกัน จนฉันต้องถึงขนาดตั้งฉายาให้ตัวเอง”

“ฉายาอะไร”

“พีท เกียร์หมา ถ้าไม่แน่จริง อยู่ไม่ได้”

พรนาราขำมุกตลกของเพื่อน ไม่ได้คิดหรอกว่าเรื่องที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริง เพราะตอนนั้นเขาคงเข้าหลักสูตรฝึกอบรมการเป็นบอดีการ์ดแล้วและคงต้องมีฝีมือการต่อสู้ในขั้นดีไม่ให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ ดังนั้นเขาน่าจะตั้งใจพูดเพื่อให้เธอได้หัวเราะมากกว่า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นความตั้งใจของเขาก็ได้ผล บรรยากาศระหว่างเธอและเขาผ่อนคลายลง จนชั่ววูบหนึ่งเธอเกือบจะรู้สึกแล้วว่าทุกอย่างกำลังจะกลับไปดีเหมือนตอนที่พวกเธอสนิทสนมกันในช่วงวัยเยาว์แบบไม่มีช่องว่างต่อกันใดๆ

ถ้าทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็คงจะวิเศษ กลับไปในตอนที่เธอยังร่ำรวย เป็นราชินีพอลลี่ เมื่อนั้นเธอคงมีค่าคู่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับพันฤทธิ์ กระทั่งได้สมหวังในรักแรกกับชินกฤตเป็นแน่ 

ขอเพียงแค่เธอไม่โชคร้ายเหมือนในตอนนี้...ไม่มีสภาพน่าสมเพชแบบนี้ก็คงจะดีสินะ

 

เดินทางกันมาได้สักพักใหญ่ ในที่สุดก็มาถึงถนนคนเดิน เหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดังเซ็งแซ่ บ้างมีแผงลอย บ้างตั้งโต๊ะ บ้างปูผ้าวางสินค้าขายบนพื้นอย่างเรียบง่าย สินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคทั่วไปรวมถึงผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น แม้จะเป็นเวลามืดค่ำแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนเดินทางมาจับจ่ายใช้สอยกันไม่ขาดสาย ถือว่าในอำเภอเมืองครึกครื้นกว่าอำเภอที่เธออาศัยอยู่มากโข เพราะที่นั่นแค่ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไม่ทันไรทุกบ้านก็ปิดไฟนอนเงียบกริบกันทั้งหมู่บ้านแล้ว

ต้องยอมรับว่าแม้พันฤทธิ์จะพยายามสรรหาวิธีต่างๆ นานามาให้เธอร่าเริงขึ้น แต่มันก็ได้ผลเพียงแค่ชั่วคราว เท่านั้นละ เพราะพอบทสนทนาสนุกๆ และเสียงหัวเราะจบลงทีไร เธอก็เข้าสู่สภาวะเสียศูนย์อยู่ร่ำไป พรนาราเดินชมสินค้าต่างๆ แบบจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร จนสุดท้ายเธอก็ตระหนักว่าบรรยากาศอึกทึกของผู้คนรอบตัวไม่ได้ช่วยให้เธอสบายใจขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะผู้คนมองเธออย่างกับเห็นผี แต่เธออยากอยู่เงียบๆ มากกว่า พอเปรยเรื่องนี้ออกไป เพื่อนหนุ่มก็เข้าใจ พาเธอเดินเลี่ยงออกมาจากถนนคนเดิน มายังสถานที่เงียบสงบกว่าแทน

จุดชมวิวริมแม่น้ำโขงคือสถานที่เงียบสงบของพรนารา   แม้จะมีคันกั้นน้ำและรั้วอลูมิเนียมกั้นยาวไปตลอดแนว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของแม่น้ำลดลงแต่อย่างใด คู่หนุ่มสาวหยุดยืนชมทัศนียภาพที่จุดหนึ่งของแนวรั้ว โดยมีแสงไฟจากโคมไฟรูปพญานาคสัญลักษณ์แห่งดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงให้แสงสว่างในการมองเห็น 

“สบายใจขึ้นไหม”

“อื้อ” พรนาราพยักหน้า หลังจากพักสูดดมยาหอมให้ชื่นใจ ใครๆ ก็ว่าการดมยาหอมเป็นวิถีของคนแก่ แต่เธอติดการดมของพวกนี้ไปแล้ว มันช่วยแก้อาการหน้ามืดวิงเวียนได้ดีเชียว “ก็นิดหนึ่ง ตรงนี้คนไม่เยอะ ดีกว่าที่ถนนคนเดิน”

“งั้นเรามาอยู่ตรงนี้กันสักพักจนกว่าเธอจะรู้สึกโอเคก็แล้วกัน”

“ได้หรือ ฉันกลัวนายจะเบื่อก่อนน่ะสิ”

“ไม่เบื่อหรอก สิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตก็คือการรอคอยนี่แหละ ฉันจะอยู่รอกับเธอตรงนี้จนกว่าเธอจะพอใจ”

เมื่อได้ฟังคำยืนยัน หญิงสาวก็รู้สึกใจชื้นขึ้น กระนั้นเลยเธอก็ยังมีคำถามอยู่ดี จนต้องตัดสินใจถามออกไป

“ทำไมนายถึงดีกับฉันจัง”

“ทำไมถามแบบนี้”

“ก็แค่สงสัยน่ะ เพราะฉันเคยทำนิสัยไม่ดีกับนาย นายไม่ควรจะดีกับฉันขนาดนี้”

“ยังจะพูดเรื่องเก่าๆ พวกนั้นอีกหรือ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเข้าใจและลืมเรื่องนั้นไปหมดแล้ว”

“จริงหรือ”

บอดีการ์ดหนุ่มคลายยิ้มอย่างเข้าใจ

“เธอแคร์ว่าฉันจะคิดยังไง เหมือนๆ กับที่แคร์สายตาคนอื่นว่าจะมองเธอยังไงใช่ไหม”

คำกล่าวของเขาทำให้หญิงสาวอึ้งไป คงไม่คาดคิดว่าเพื่อนจะสังเกตเห็นถึงหนึ่งในสาเหตุที่เธออยากออกมาจากพื้นที่ชุมชน ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอทนสายตาของทุกคนที่มองเธอไม่ได้นั่นเอง 

“รู้ด้วยหรือ” เธอพึมพำเบาๆ ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “เอาจริงๆ ฉันควรจะชินได้แล้ว แต่ก็ทำใจให้ชินไม่ได้สักที ทุกคนน่ะมองฉันเหมือนเห็นผีเลย”

“งั้นหรือ แปลกนะ เพราะฉันไม่เห็นผีที่ไหนสักตัว”

“นายคงสายตาไม่ดีแล้วละ”

“สายตาฉันดีกว่าใคร พอลลี่ ถ้าเธอไม่เชื่อ งั้นช่วยอยู่นิ่งๆ แป๊บหนึ่ง” พันฤทธิ์เอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะหมุนร่างเธอให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา และก่อนที่เธอจะทันได้ถามว่าเขาคิดจะทำอะไร เพื่อนชายก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบกิ๊บหนีบผมรูปหัวใจสีชมพูออกอันหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเขาไปสรรหาของพวกนี้มาจากไหน อาจจะตั้งแต่ที่เดินในถนนคนเดินนั่นก็ได้ เพราะเธอมัวแต่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเขาหยุดซื้ออะไรบ้าง นอกจากเครื่องดื่ม

ปลายนิ้วเรียวของชายหนุ่มเกลี่ยปอยปมยาวด้านหน้าที่ปรกหน้าปรกตาของเธอออกอย่างนุ่มนวล เธอสะดุ้งนิดหนึ่งอย่างไม่มั่นใจ พยายามจะปัดเส้นผมลงตามเดิม แต่พันฤทธิ์ไม่ปล่อยให้เธอทำอย่างนั้นเขาคว้ามือเธอไว้ บีบมือเธอเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เธอเชื่อเขาจึงเลิกต่อต้าน ปล่อยให้พันฤทธิ์จัดการปัดเส้นผมที่ปรกหน้าปรกตาออก เก็บปอยผมรุงรังนั้นไว้หลังใบหูด้วยกิ๊บหนีบผมรูปหัวใจ 

“หน้าผากและดวงตาของเธอสวย อย่าให้ผมมาบังมันไว้สิ”

หากไม่นับบิดาในยามที่เมาหนักจนตาลาย เธอแทบจะไม่เคยได้ยินใครชมเธอว่า ‘สวย’ มานานมาก พันฤทธิ์นับเป็นคนแรก มันเป็นคำชมที่เธอเกือบจะลืมเลือนไปแล้ว

“ทีนี้เธอเชื่อหรือยัง ไม่มีผีที่ไหนหรอก เพราะถ้าเธอเป็นผีก็คงเป็นผีที่น่ารักที่สุดในโลก”

แม้จะได้รับคำชื่นชม แต่พรนาราก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ดี คิ้วเรียวคอยแต่จะขมวดมุ่น อาจเพราะเธอห่างไกลจากคำว่าสวยน่ารักมาหลายปีจนเกือบลืมความรู้สึกของการชื่นชมไปแล้วก็ได้ว่ามันเป็นอย่างไร ครั้นพอประสบอีกครั้งเธอจึงรู้สึกไม่ค่อยจะชิน คิดเองว่าเพื่อนคงโกหกเพื่อให้เธอรู้สึกสบายใจและมั่นใจขึ้น

“หายไปหลายปี กลับมาทีปากหวานขึ้นนะเรา”

“ไม่ได้ปากหวาน ฉันพูดเรื่องจริง”

“ฮื่อ” หญิงสาวโคลงศีรษะ “ก็ไม่ได้ว่าอะไร จริงก็จริง เจ้าตัวเล็ก”

“เจ้าตัวเล็ก” พันฤทธิ์ทวนฉายายิ้มๆ ดูท่าทางจะไม่ได้มีปัญหาอะไรกับฉายา แต่ก็คงอยากแซวตามประสา “ตั้งแต่ขึ้นไฮสคูลเป็นต้นมา ฉันก็ตัวโตสูงขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ ตอนนี้เธอต่างหาก...” เขาย่อตัวลงมาเพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับหญิงสาวเพราะเธอตัวเตี้ยกว่าเขาเป็นฟุต “ที่กลายเป็นเจ้าตัวเล็กของฉัน”

ไม่เพียงแต่พูด แต่เพื่อนชายยังเอื้อมมือมาลูบศีรษะเธอเบาๆ อีกด้วย เป็นสัมผัสที่ทำให้หวนนึกถึงวันวานที่พวกเธอยังเป็นเด็ก ในตอนนั้นเธอเป็นฝ่ายลูบศีรษะเขา แต่ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายลูบศีรษะเธอแทนแล้ว

“จริงด้วย นายตัวสูงแซงฉันไปแล้ว งั้นต่อไปนี้ฉันควรเรียกนายว่าพีทมากกว่าเจ้าตัวเล็กสินะ”

“จะเรียกยังไงก็ได้ คำเรียกไม่สำคัญ เพราะยังไงฉันก็เป็นฉันคนเดิม...ของเธอ”

ก็ไม่รู้ว่าเพราะใบหน้าหล่อเหลาของเขาใกล้เธอมากเกินไปหรือเปล่าจึงทำให้เธอรู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กๆ

มือใหญ่จัง...เขาตัวโตขนาดนี้ แข็งแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ช่วงเวลาที่ห่างหายกันไปทำให้อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ ในขณะที่พันฤทธิ์เติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมด้วยรูปและทรัพย์ 

แล้วเธอล่ะ...เธอเติบโตกลายเป็นใครกัน

หญิงสาวเหม่อมองพระจันทร์ลอยทาบเมฆบนขอบฟ้า ก่อนจะถอนหายใจอย่างท้อแท้อีกรอบ ฝ่ายเพื่อนชายคงจะเห็นอากัปกิริยานี้จึงตั้งท่าจะปลอบ แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างนั้น โทรศัพท์มือถือของเขาก็เรียกเข้าเสียก่อน จากคำสนทนาสองสามคำทำให้พรนาราพอจะจับได้ความว่าปลายสายคงจะเป็นบิดาของเขาที่โทร.มาคุยเรื่องงานที่บริษัท เธอพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจเมื่อพันฤทธิ์ยกมือขึ้นทำสัญญาณให้เธอเป็นเชิงขอตัวไปคุยโทรศัพท์สักครู่

หลังจากเพื่อนเดินห่างออกไปแล้ว พรนาราก็หันมาสนใจกับการชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนและเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นเป็นการฆ่าเวลา ในระหว่างที่กำลังมองโน่นมองนี่ไปตามประสา พลันสายตาก็ไปสะดุดร้านค้าร้านหนึ่งที่คูหาอาคารพาณิชย์สองชั้นฝั่งตรงข้าม เป็นร้านสไตล์สถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรปแบบย้อนยุค น่าจะย้อนกลับไปราวๆ สมัยปลายรัชกาลที่ห้าถึงต้นรัชกาลที่หก ผนังอาคารทาสีเหลืองนวล ติดโคมไฟเล็กๆ ไว้ที่หน้าร้าน ส่วนประตูหน้าต่างรูปทรงโค้งมนทาสีฟ้า ดูสวยงามมีมนต์ขลังชวนดึงดูด ทว่ามันดูไม่เข้ากับร้านค้าอื่นที่อยู่ข้างเคียงเลยเพราะร้านส่วนใหญ่ในละแวกล้วนถูกตกแต่งในแบบสมัยใหม่กันหมดแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเดียวที่แปลก เพราะเธอรู้สึกไม่คุ้นกับร้านนี้เลยสักนิด ราวกับว่าจู่ๆ มันก็เพิ่งโผล่ขึ้นมา เพราะตอนขามาที่นี่เธอจำได้ว่าไม่เห็นร้านค้านี้แต่อย่างใด 

ถ้าอย่างนั้นร้านนั่นมันมาอยู่ตรงนั้นเมื่อไร หรือว่าเธอจะตาฝาดจนสับสนไปเองกันนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากรู้ จนสุดท้ายเกษตรกรสาวจึงตัดสินใจข้ามถนนไปยังร้านเพื่อสำรวจให้หายคาใจ โชคดีที่ตอนนั้นพันฤทธิ์เองก็ยังติดพันกับการคุยธระอยู่ จึงไม่ทันได้หันมามองทางนี้ เธอจึงสามารถวิ่งข้ามฟากมาได้โดยไม่ถูกไต่ถามอะไร 

ไม่เป็นไรหรอกกระมัง หากเธอรีบไปรีบมา เขาคงไม่ทันสังเกต

เมื่อมาถึงร้าน พรนาราก็พบว่าร้านนี้ไม่มีป้ายชื่อร้าน แต่การที่ร้านค้าเปิดประตูหน้าไว้กว้างรอต้อนรับลูกค้า ทำให้เธอพอมองเห็นของด้านในได้ว่าร้านนี้น่าจะขายของเก่าแบบย้อนยุค แต่เพียงมองก็คงไม่เหมือนกับการสัมผัสจริง หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปในเพื่อสำรวจ โดยรวมแล้วที่นี่ก็ไม่ได้แตกต่างจากร้านแอนทีคทั่วไป เพียงแต่มีบรรยากาศที่เงียบเชียบกว่าเท่านั้น เงียบ...จนเธอไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ในนี้ด้วยซ้ำ ฉะนั้นการที่จู่ๆ ผู้ดูแลร้านซึ่งเป็นชายชราหน้าตอบ ตาลึกโหล ผมเผ้าขาวโพลนกระเซอะกระเซิง ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาจากหลังเคาน์เตอร์ จึงทำให้เธอตกใจจนเกือบหงายหลัง

ตาเถร ยายชี ขี่สกู้ตเตอร์! พรนาราเองก็ไม่เคยคาดคิดเหมือนกันว่าจะมีใครที่ดูเหมือนผีมากไปกว่าเธอ คราวนี้เธอคงพบคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อเข้าแล้วสิ!

“สวัสดีค่ะ คุณตา” เธอทักทายฝ่ายนั้น แต่ชายชราก็ไม่ได้ทักอะไรตอบกลับมา เพียงแต่จ้องหน้าเธอนิ่ง ไม่ได้ดูตกใจแต่ออกอาการแปลกใจมากกว่าที่เห็นลูกค้าเข้ามา หลังจากจ้องหน้าเธอได้สักครู่ ชายชราก็ฉีกยิ้มจนเห็นฟันสีเหลืองๆ ซึ่งหลอบ้างโย้บ้าง ไม่รู้ว่าต้องการสร้างความเป็นมิตรหรือสร้างความขวัญผวาก็ไม่แน่ใจ

“ชีวิตเอ็งคงทุกข์มากสินะ ถึงเดียดฉันท์ชีวิตตนเองออกปานนี้”

“คะ?”

“หึหึ เพลานี้เอ็งโชคดีแล้วละอีหนู คนมีความทุกข์อย่างเอ็ง...ต้องไปฟากกระโน้น อย่ามัวพิรี้พิไร” ว่าแล้วก็ชี้นิ้วไปมุมหนึ่งของร้านที่เป็นชั้นวางหนังสือ มีหนังสือเก่าๆ หลายเล่มทั้งหนาและบางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ก็ต้องยอมรับว่าหญิงสาวเองก็ไม่เข้าใจที่ผู้ดูแลร้านพูดหรอก แต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย จึงเดินเข้าไปตรงพื้นที่นั้น บนชั้นมีหนังสือวางอยู่มากก็จริง แต่กลับไม่มีเล่มใดสะดุดตาเธอเท่าเล่มนี้ เพราะมันไม่ใช่หนังสือทั่วไปแบบที่เห็นจนเจนตา แต่เป็นสมุดข่อย ที่ใช้บันทึกกันในสมัยโบราณ

พรนาราหยิบสมุดข่อยเก่าคร่ำคร่าจากบนชั้นมาพิจารณา บนปกหน้ามีรูปวาดดวงจันทร์สีแดงและตัวอักษรสีเดียวกันจารึกไว้อย่างปรานีตชดช้อย

‘โศณะมนตรา’

เธอพลิกเปิดสมุดข่อยอย่างเบามือ แต่ละเผนิกเขียนด้วยอักษรสีแดงแบบเดียวกับหน้าปก บันทึกเป็นข้อความด้วยศัพท์แสงโบราณทั้งสิ้น แต่ไม่มีเผนิกใดเลยที่น่าสนใจนอกจากเผนิกเกือบสุดท้ายซึ่งบันทึกเป็นคาถาบางอย่าง

‘โศณะบูชา มะหาเตชะวันโต โศณะบูชา มะหาปัญญะวันโต โศณะบูชา มะหาโภคะวะโห โอมนะโมพุทธายะ’

อ้ายอีทั้งหลายผู้กุมความโศกตรม คืนจันทร์โลหิต ตติยยาม ต่อหน้าองค์พระปฏิมา จงแลกสมบัติอันล้ำค่าเป็นที่สุด แลตั้งกัลยาณจิตอธิษฐานถึงสิ่งที่ปรารถนา พรจักสำเร็จสมดังใจ

พออ่านแล้ว สาวสายมูเตลูก็รู้สึกตื่นเต้นมาก

พรจะสำเร็จสมดังใจ...คนมีความทุกข์เต็มเปี่ยมอย่างเธอสมควรได้รับพรอะไรบ้างใช่ไหม 

หญิงสาวปิดสมุดข่อยและถือมันไปที่เคาน์เตอร์ที่ซึ่งผู้ดูแลร้านกำลังยืนยิ้มชวนขวัญผวาอยู่

“คุณตา หนูขอซื้อสมุดข่อยเล่มนี้ ราคาเท่าไรคะ”

“ไม่ขาย”

“อ้าว...”

“เอ็งอยากได้ก็เอาไป”

“ฟรีหรือคะ ได้ยังไงกัน ของซื้อของขาย” พูดแล้วหญิงสาวก็ยื่นเงินให้ แต่อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงแข็ง

“ข้าจักทิ้งมันอยู่พอดี ถ้าเอ็งชอบก็เอาไปเถิด”

ไม่เพียงแต่ยืนยันจะให้สมุดข่อยโดยไม่รับเงินแล้ว ผู้ดูแลร้านยังส่งกระดาษแผ่นเล็กๆ เหลืองเก่ากรอบให้อีกด้วย ในนั้นมีลิสต์รายการสิ่งของหลายอย่างเขียนไว้

“นี่อะไรหรือคะ”

“ของที่เอ็งต้องใช้ในพิธี อย่าลืมเสียล่ะ ในคืนจันทร์โลหิต ตติยยาม จงไปทำพิธีที่หน้าองค์หลวงพ่อทันใจ แลพรที่เอ็งอธิษฐานจักเป็นจริง อีหนู”

หญิงสาวกล่าวขอบคุณและเดินออกมาจากร้าน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพรที่ว่าจะช่วยเธอได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็เหมือนการซื้อหวยนั่นละ หากไม่ลองเสี่ยงดูก็ไม่มีวันรู้ว่าจะถูกรางวัลหรือถูกกิน เธอเฝ้าคิดอย่างฉึกเหิม

“พอลลี่ เธออยู่นี่เอง!” พอเดินออกมานอกประตูร้านไม่ทันไร พันฤทธิ์ก็วิ่งข้ามถนนตรงมาหา สีหน้าดูจะโล่งใจไม่น้อยที่เจอตัวเธอ “เธอหายไปไหนมา ฉันโทรศัพท์เสร็จหันมาอีกที ก็ไม่เจอเธอแล้ว”

“ใจเย็นๆ ฉันไม่ได้หายไปไหน ฉันแค่มาเดินเล่นและซื้อของ”

“ฉันเข้าใจ แต่ก็น่าจะบอกกันหน่อยจะได้มาด้วยกัน มืดแล้วเดินแยกออกไปคนเดียวมันอันตรายนะ”

“ก็ฉันเห็นนายคุยงานอยู่เลยไม่อยากรบกวน อีกอย่างใครจะกล้าทำอะไรฉัน แค่เห็นหน้าก็วิ่งหนีกันป่าราบแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”

แต่สีหน้าเข้มๆ ของพันฤทธิ์ดูไม่ตลกไปด้วย หญิงสาวจึงต้องยอมรับผิดและรีบเปลี่ยนเรื่องด้วยการชักชวนให้เพื่อนดูของที่เธอได้มาจากร้านขายของเก่า

“ดูนี่สิ ฉันได้มาจากคุณตาที่ร้านแอนทีค สวยไหม”

“สวยดี สมุดข่อยหรือ”

“อื้อ เป็นตำราคาถาโบราณ”

“คาถาอะไร”

“คาถาขอพรชื่อโศณะมนตรา ต่อจากนี้ชีวิตฉันคงจะได้ดีขึ้นละ” พูดแล้วสาวเจ้าก็ยิ้มกว้างอย่างมีหวัง

“ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอเชื่อถือเรื่องโชคลางขนาดนี้”

“แต่ก่อนก็ไม่เชื่อเท่าไรหรอก แต่ช่วงหลายปีมานี้ชีวิตฉันโดนทำร้ายมาเยอะเลยมีพัฒนาการด้านความเชื่อเปลี่ยนไปน่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ 

“แค่เห็นเธออารมณ์ดีแบบนี้ ฉันก็สบายใจ ว่าแต่เธอไปได้มาจากร้านแอนทีคหรือ ร้านไหนล่ะ”

“ร้านนี้ไงที่ตกแต่งร้านแบบย้อนยุค” พรนาราบุ้ยใบ้ไปทางด้านหลัง แต่เพื่อนชายก็ยังเลิกคิ้วอย่างงุนงงอยู่ดี

“ร้านไหน” เขาถามย้ำ “ตรงนี้ไม่มีร้านแบบที่เธอพูดถึงสักร้าน”

“พูดอะไร ก็ร้านด้านหลังฉันนี่ไงละ เมื่อกี้ฉันยังเข้าไป...” แต่คำพูดที่เหลือก็กลืนหายลงคอไปจนหมดสิ้น เมื่อหญิงสาวหันกลับหลังมา หมายจะชี้ให้อีกฝ่ายดูชัดๆ แต่ตรงพื้นที่ร้านซึ่งเธอเพิ่งเดินออกมาไม่ถึงสองนาทีก่อนกลับอันตรธานหายไปในพริบตา จุดที่ตั้งร้านกลายเป็นคูหาห้องว่างๆ ซึ่งปิดร้างอยู่คูหาเดียว พอตระหนักได้เช่นนั้นสาวเจ้าก็อ้าปากค้างอย่างตกใจ “บ้าน่า เป็นไปไม่ได้ ก็เมื่อกี้ฉันยังเข้าไปในร้านอยู่เลย ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ!”

“เธอแน่ใจหรือว่าเข้าไป จำสลับกับคูหาอื่นหรือเปล่า”

“ไม่สลับแน่ มันอยู่ตรงนี้ ฉันเพิ่งเดินออกมาจริงๆ แถมยังคุยกับคุณตาผู้ดูแลร้านด้วย สาบานได้!”

“แต่ตรงนี้มันไม่มีใครหรืออะไร มันก็แค่คูหาว่างๆ เท่านั้นเอง”

ก็นั่นน่ะสิ มันก็แค่คูหาว่างๆ รกร้าง อย่าว่าแต่เป็นร้านค้าเลย แค่บรรยากาศให้ชวนเดินเข้ามาเยี่ยมชมยังไม่มีด้วยซ้ำ หน้าต่างและประตูถูกไม้กระดานตีพาดปิดตาย โคมไฟไร้แสงสว่าง สภาพเก่าทรุดโทรมอยู่คูหาเดียว ไร้เงาของใครหรืออะไรอาศัยอยู่ทั้งสิ้น

เดี๋ยวสิ แล้วอย่างนั้นร้านขายของเก่าที่เธอเพิ่งเข้าไปมันหายไปไหน หรือว่า...!

พรนารากลืนน้ำลายฝืดฝืน เหงื่อแตกซึมจากไรผม ทั้งสับสนและหวาดกลัวเป็นที่สุด

“พีท พีท...!” พรนาราละล่ำละลัก หน้าซีดขาว ปากคอสั่น

พันฤทธิ์ขยับเข้าไปใกล้คนเรียกชื่ออย่างห่วงใย เพราะรู้ดีว่าการเรียกชื่อเล่นของเขา มันแปลว่าเพื่อนสาวอยู่ในสภาวะอารมณ์อันไม่ปกติแน่นอน

“ฉันอยู่นี่แล้ว พอลลี่ เป็นอะไรหรือ”

“ช่วยฉันด้วย!” เธอร้องเสียงแหบพร่า ขยุ้มเสื้อของเพื่อนชายอย่างอ้อนวอน “ฉันว่า...ฉันถูกผีหลอก อ๊อก อ้วก!”

และนั่นคงเป็นคำเว้าวอนที่ไม่ได้มาแค่คำพูด เพราะเมื่อความกลัวและความเครียดพุ่งถีงขีดสุดมันก็ส่งผลให้ท้องไส้ปั่นป่วนจนพรนาราเผลอขย้อนอะไรต่อมิอะไรออกมาหมดไส้หมดพุง แต่มันคงจะดีกว่านี้หากเธอไม่อาเจียนใส่เพื่อนชายเข้าเต็มรักแบบไม่เปิดโอกาสให้เขาได้หลบทันด้วยซ้ำ

“พีท ฉันขอโทษ!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น