5

ตอนที่ 5


“ตำรวจว่ายังไงบ้างครับ คุณสา”

กฤษณ์เอ่ยขึ้นทันทีที่นริสสาเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขก สีหน้าของเขาฉาบไปด้วยความกังวลไม่แพ้หญิงสาว ไม่นึกเลยว่าละสายตาจากราวินทราเพียงครู่เดียว เธอจะหายไปเสียเฉยๆ ราวสลายตัวกลายเป็นอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น เขาพยายามโทรศัพท์ติดต่อเธอหลายครั้ง แต่สัญญาณไม่ดีเอาเสียเลย ถึงกระนั้นเมื่อต่อสายติดแล้วเธอกลับไม่รับสาย ครั้นจะเดินกลับเข้าไปตามหาเธออีกครั้งก็เกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายที่ด้านหน้าจุดชมสฟิงซ์เสียก่อน นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวอียิปต์จึงต้องรีบอพยพออกจากบริเวณนั้นโดยเร็วที่สุด

“ดูเหมือนเรื่องนี้จะใหญ่กว่าที่เราคิดแล้วค่ะคุณกฤษณ์” นริสสาทรุดนั่งบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง มือเรียวที่กำโทรศัพท์มือถือเอาไว้สั่นอย่างเห็นได้ชัด “ตำรวจเจอกระเป๋ากับโทรศัพท์มือถือของลูกตาลในรถที่...เกิดอุบัติเหตุจนยับทั้งคัน”

“หา? ในรถ?” ชายหนุ่มทำหน้างุนงง “เดี๋ยวนะครับ นี่หมายความว่าคุณลูกตาลอยู่ในรถคันที่เกิดอุบัติเหตุอย่างนั้นเหรอครับ แล้วคุณลูกตาลเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“ตำรวจไม่เจอตัวลูกตาลค่ะ เจอแต่...รอยเลือด ยังไม่รู้ว่าเป็นเลือดใคร แล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องอยู่ที่ไหนด้วย” นริสสากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ไม่อยากจินตนาการเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในรถคันที่ว่านั้นบ้าง “ทางตำรวจบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่ลูกตาลอาจถูกปล้น หรือไม่ก็...ลักพาตัว”

“ลักพาตัว! พูดเป็นเล่นไปครับคุณสา”

เท่าที่รู้จากนริสสา ราวินทราจัดเป็นลูกผู้ดีมีเงิน แต่ไม่ใช่ทายาทของมหาเศรษฐีหมื่นล้าน ไม่ใช่ลูกหลานนักการเมือง ไม่ใช่แม้แต่เซเลบริตีชื่อดังของประเทศไทย ดังนั้นตัดเรื่องที่มีคนวางแผนลักพาตัวเรียกค่าไถ่ไปได้เลย จะว่าเป็นเรื่องของพวกหัวรุนแรงคิดจับตัวประกันเพื่อต่อรองกับรัฐบาล...ก็ไม่น่าใช่อีกนั่นละ เพราะถ้าจะจับใครสักคนเพื่อจุดประสงค์ใหญ่โตแบบนั้น ก็ควรเลือกคนที่มาจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาหรือประเทศทางฝั่งยุโรปไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็มีอำนาจในการต่อรองมากกว่าการเลือกคนจากประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยเยอะ หรือหากอยากสร้างแรงกดดันให้แก่ทางการ สู้วางระเบิดอย่างที่ทำอยู่เนืองๆ ยังจะได้ผลเสียมากกว่า

“สาก็อยากจะพูดเล่นเหมือนกันละค่ะ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานแบบนั้น พวกเขาเจอพาสปอร์ตไทยในกระเป๋าก็เลยแจ้งมาทางสถานทูต แล้วก็...เจอปลอกกระสุนปืนตกอยู่ใกล้ๆ กันด้วย”

“ปลอกกระสุนปืน?” กฤษณ์ตกใจจนหน้าถอดสี “ไหนคุณสาบอกว่ารถคันที่ว่าเกิดอุบัติเหตุไงครับ”

“สาก็ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก แต่อาจจะเป็นไปได้ที่รถถูกยิงเสียหลักเลยเกิดอุบัติเหตุค่ะ ซึ่งก็ตรงกับที่คุณต้น พี่ชายของลูกตาลโทร.บอกสาเมื่อบ่าย” น้ำเสียงร้อนรนแกมกราดเกรี้ยวของวราทิตย์ยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำ เป็นครั้งแรกที่เธอฟังเขาพูดแล้วไม่หงุดหงิด แต่กลับ...สงสารจับใจ “คุณต้นเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับน้อง เขาบอกว่าโทร.หาน้อง แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกัน เสียงปืนก็ดังขึ้นเสียก่อน”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ทำไมคุณลูกตาลถึงไปอยู่บนรถคันนั้นได้ จริงสิ แล้ว...แล้วคนขับล่ะครับ เป็นใคร เจอตัวไหม”

“ไม่เจอค่ะ ดูเหมือนจะหายตัวไปพร้อมกับลูกตาล” นริสสาคลึงขมับป้อยๆ “ที่น่าปวดหัวที่สุดคือ รถคันที่เจอกระเป๋าของลูกตาลเป็นรถที่ถูกขโมยมาแล้วสวมทะเบียนของรถคันอื่นที่เจ้าของเสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกคันที่เป็นคู่กรณีก็ไม่ต่างกันเอกสารในรถเป็นของปลอมทั้งหมด สืบหาต้นตอไม่ได้ ทุกคนหายตัวไปหมด เหลือแต่ซากรถเปล่าๆ ดูแล้วน่าจะเป็นพวกอาชญากรมืออาชีพกันทั้งนั้น”

“คุณลูกตาลเพิ่งมาอียิปต์ยังไม่ทันครบสามวันเลยนะครับ แถมไม่รู้จักใครที่ไหนนอกจากคุณสากับผม แล้วไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ได้ยังไง” กฤษณ์แทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน สาวน้อยผู้สดใสร่าเริงคนนั้นน่ะหรือจะรู้จักมักจี่กับพวกอาชญากรได้ บอกว่าสนิทกับเทเลทับบีส์ยังจะน่าเชื่อถือกว่าเสียอีก

“สาเองก็มืดแปดด้านค่ะ” ปลายเสียงของนริสสาสั่นเครือ “ไม่รู้ว่าลูกตาลเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยหรือเปล่า จะกลัวแค่ไหนก็ไม่รู้...น้องจะ...”

น้องจะยัง...มีชีวิตอยู่หรือเปล่าหนอ...

หญิงสาวรีบกลืนประโยคนั้นลงคอไปในทันที พร้อมกับสลัดความคิดในแง่ร้ายที่ผุดขึ้นมาในสมองออกไปจนสิ้น

“ผมว่าคุณลูกตาลน่าจะยังปลอดภัยอยู่นะครับคุณสา ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวอาจจะติดต่อกลับมาก็ได้” กฤษณ์พยายามปลอบใจ หากราวินทราเป็นอะไรไปก็น่าจะพบศพในที่เกิดเหตุแล้วไม่ใช่หรือ แต่นี่ไม่พบ จึงน่าจะมีความเป็นไปได้สูงว่าเธอยังมีลมหายใจอยู่

“สาก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้นค่ะ” นริสสาระบายลมหายใจหนักหน่วง “กลัวก็แต่ตอนนี้สื่อต่างๆ เริ่มออกข่าวเรื่องอุบัติเหตุนี้กันบ้างแล้ว ถ้าลูกตาลถูกลักพาตัวไปจริงๆ พวกคนร้ายจะตัดสินใจทำเรื่องรุนแรงน่ะสิคะ”

หลายครั้งที่การลักพาตัวในลักษณะนี้จบลงด้วยโศกนาฏกรรม เมื่อครอบครัวของเจ้าทุกข์แจ้งความหรือเหตุการณ์กลายเป็นข่าวดัง เหยื่อมักถูกสังหารเพื่ออำพรางและตัดตอนไม่ให้สาวถึงตัวคนร้ายเสมอ

“อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยครับคุณสา เรายังไม่แน่ด้วยซ้ำว่าคุณลูกตาลถูกลักพาตัวไปจริงๆ หรือเปล่า”

แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจของเขารู้ดีว่าเมื่อใดที่เรื่องของราวินทราถูกเผยแพร่ออกสื่อไปจะต้องถูกใส่สีตีไข่จนกลายเป็นละครดรามาน้ำตาท่วมจอดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับกรณีเหตุระเบิดสะเทือนขวัญที่โบสถ์ซิตาเดลครั้งก่อน ภาพที่ผู้ประกาศข่าวนำเครื่องประดับเปื้อนเลือดของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาออกในรายการข่าวภาคค่ำนั้นยังติดตาเขามาจนทุกวันนี้ เขาไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ปล่อยให้นำพยานวัตถุออกจากที่เกิดเหตุได้อย่างไร หรือเจ้าเครื่องประดับชิ้นนั้นเป็นของจริงดังที่กล่าวอ้างหรือไม่ ที่รู้คือข่าวในคืนนั้นกลายเป็นละครโรงใหญ่ที่ทำให้ผู้คนหันมาสนใจกันเกือบทั้งโลก

การเป็นข่าวดังนั้นเป็นเหมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งช่วยให้ผู้คนตื่นตัวและเป็นหูเป็นตาช่วยกันให้เบาะแสคนร้าย อีกด้าน...เป็นการประกาศศักดาให้เหล่าอาชญากร และอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นเร้าให้ก่ออาชญากรรมรุนแรงขึ้นไปอีก หากสื่อมวลชนไม่นำเสนอให้ดีจะมีผลร้ายตามมาอย่างคาดไม่ถึง

“ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกให้เราอดทนรออีกนิด ถ้ามีความคืบหน้าจะรีบมาแจ้งให้รู้โดยเร็วที่สุด ระหว่างนี้ก็ขอให้พวกเราอย่าเพิ่งกระโตกกระตากให้เรื่องหลุดออกไปถึงสื่อมวลชน เดี๋ยวเรื่องจะยุ่งไปกันใหญ่” นริสสากำโทรศัพท์มือถือแน่น “เมื่อเช้า...ตอนที่คุณกฤษณ์เจอยายลูกตาล น้องดูเป็นปกติดีใช่ไหมคะ”

“ก็...” กฤษณ์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ “จะว่าไป...ตอนเจอกันที่พิพิธภัณฑ์ คุณลูกตาลหน้าซีดเหมือนตกใจอะไรมาสักอย่างครับ แต่พอผมถาม คุณลูกตาลก็บอกว่าไม่มีอะไร ตอนที่กินข้าวด้วยกันคุณสาก็น่าจะเห็นแล้วว่าคุณลูกตาลดูปกติดี”

“สาเห็นว่าน้องพูดน้อยกว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ก็คิดว่าน้องคงเหนื่อยเพราะต้องนอนดึกตื่นเช้ามากกว่าค่ะ” สีหน้าแปลกๆ ของราวินทราลอยแวบกลับเข้ามาในความทรงจำ “แต่ยังไงสาก็คิดว่าเราเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ไว้หน่อยก็ดีนะคะ เผื่อว่าจะได้เบาะแสเพิ่มเติม คงต้องรบกวนคุณกฤษณ์เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่ฟังด้วย”

บางทีราวินทราอาจพบใครบางคน หรือเห็นเหตุการณ์บางอย่างที่พาเธอไปสู่สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ก็เป็นได้...

“ยินดีเลยครับ ผมพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ ว่าแต่...ทางครอบครัวของคุณลูกตาลว่ายังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้นอกจากคุณต้นแล้ว คนอื่นๆ ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” นริสสาระบายลมหายใจยาวอย่างหนักใจ “เดี๋ยวสาคงต้องประสานงานกับทางกงสุลอียิปต์ประจำประเทศไทยเรื่องออกวีซาเร่งด่วนให้คุณต้นเป็นกรณีพิเศษ ถ้าเรียบร้อย คิดว่าเขาคงจะบินมาถึงไคโรในวันสองวันนี้ละค่ะ”

“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยครับคุณสา คุณลูกตาลต้องปลอดภัยแน่”

“สาก็หวังว่าอย่างนั้นค่ะ”

นริสสาพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ เธอมองไปทางประตูห้องรับแขกด้วยความหวังว่าจะได้เห็นร่างบางระหงเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส...แต่ไม่ว่าจะรอนานเท่าใดก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

ลูกตาล...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...

 

 

“อยู่นิ่งๆ สิ”

แอรอนดุเสียงเข้ม มือหนาคว้าข้อเท้าของคนที่นั่งห้อยขาอยู่บนเตียง แล้วถอดถุงเท้าเปื้อนเลือดออกจากเท้าเล็กเรียวได้รูปอย่างรวดเร็ว

“คุณ...คุณไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้”

ราวินทราขยับตัวอย่างอึดอัดขณะหลุบตามองคนตัวโตที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นปูพรมเบื้องหน้า เธอทำหน้าเหยเกเมื่อเห็นเขาคว้ากรรไกรทรงโบราณเล่มโตขึ้นมาถือเอาไว้ ปลายของมันแหลมเปี๊ยบจนน่ากลัวจะบาดถูกเนื้อของเธอเข้า

“อย่าเรื่องมากน่า ถ้าไม่ทำแล้วจะทำแผลได้ยังไงกันเล่า หรือคุณจะยอมถอดกางเกง?”

“ไม่!”

หญิงสาวร้องเสียงดังพลางชักเท้าหนี แต่ถูกเขาคว้ากลับขึ้นไปวางบนตักแทบจะในทันที ดวงหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งอายที่ชายหนุ่มพูดเรื่องถอดเสื้อผ้าเธอหน้าตาเฉย

“ถ้าไม่ก็เลิกโวยวายได้แล้ว รำคาญ”

แอรอนบรรจงตัดขากางเกงยีนที่มีคราบเลือดเกรอะกรังของราวินทราตามแนวยาวจากขอบด้านล่างขึ้นไปจดหัวเข่า เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นแทบเป็นปมเมื่อแหวกผ้าทั้งสองด้านออกแล้วเห็นแผลพาดยาวไปตามแนวหน้าแข้ง สีแดงสดของเลือดที่ยังคงไหลซึมออกมาจากบาดแผลตัดกับสีผิวขาวจัดของเธออย่างน่าตกใจ โชคดีที่แผลนั้นไม่ลึกมาก แต่ทำให้ผิวเนียนเรียบราวกระเบื้องเคลือบของเธอมีตำหนิอย่างน่าเสียดาย

“รถมันตกรุ่นไปนานแล้ว กระจกเป็นแบบเก่า ไม่ใช่กระจกนิรภัย เวลาแตกก็เลยอันตรายแบบนี้”

ราวินทราหน้าร้อนวูบวาบยามชายหนุ่มใช้ฝ่ามือช้อนใต้ปลีน่องเปลือยเปล่าของเธอแล้วเริ่มลงมือทำความสะอาดแผลอย่างคล่องแคล่ว ไม่น่าเชื่อว่ามือใหญ่โตเหมือนใบพายของเขาจะขยับได้อย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลจนเธอแทบไม่รู้สึกเจ็บสักนิด

“ผมทำบ่อย” เขาเงยหน้ามองหญิงสาวครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงทำแผลต่อ เป็นอีกครั้งที่เขาพูดเหมือนอ่านความคิดในใจของเธอออก “ตอนเด็กๆ ผมต่อยกับเพื่อนเป็นประจำ จนแม่ยื่นคำขาดว่าถ้ายังมีเรื่องกับใครอีกให้ทำแผลเอง ผมก็เลยต้องทำเองมาตั้งแต่นั้น”

อ้อ...แสดงว่าตั้งแต่เล็กจนโตมีเรื่องกับชาวบ้านมาตลอดเลยสินะ...

“อุ๊ย!”

ราวินทราสะดุ้งโหยง ชักขาหนีโดยอัตโนมัติ แต่ชายหนุ่มรีบตะปบเอาไว้ทันควัน

“แสบหน่อยนะ” แอรอนใส่ยาบนแผลให้อย่างเบามือก่อนจะก้มลงเป่าแผลให้ “ทนสักแป๊บ เดี๋ยวก็แห้งแล้ว”

ลมหายใจอุ่นๆ ชวนจักจี้และริมฝีปากที่ปัดถูกผิวเนื้อโดยไม่ได้ตั้งใจทำเอาหญิงสาวนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่คิดมาก่อนว่าคนท่าทางถึกเถื่อนอย่างเขาจะอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้

“ที่...ที่นี่...เป็นอะพาร์ตเมนต์ของคุณเหรอคะ” ราวินทราเอ่ยตะกุกตะกัก เธอเสมองสำรวจตรวจตรารอบๆ เพื่อซ่อนแก้มที่ซับสีเลือดจนแดงแจ๋ทั้งสองข้างไม่ให้เขาเห็น

อะพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งนี้มีขนาดค่อนข้างกะทัดรัด เหมาะสำหรับการพักอาศัยเพียงลำพังมากกว่าอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว แถมยังตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากเขตชุมชน ไม่มีบาวับ ไม่มียามรักษาความปลอดภัย หนำซ้ำยังไม่มีลิฟต์ มีเพียงบันไดแคบๆ ที่ชายหนุ่มอุ้มเธอเดินผ่านขึ้นมาบนห้องพักชั้นสี่เท่านั้น สิ่งที่ทำให้ที่นี่ดูสมเป็น ‘บ้าน’ ที่มีคนพักอาศัยมากที่สุดคงเป็นการตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้โทนสีเข้มดูอบอุ่น และบรรดาถ้วยน้ำชากระเบื้องที่ตั้งเรียงรายอยู่บนชั้นในห้องนั่งเล่นด้านนอก แต่ดูจากปริมาณฝุ่นบนหลังตู้เหล่านั้นและผ้าสีขาวที่คลุมเครื่องเรือนบางส่วนเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของห้องคงไม่ได้กลับมาที่นี่พักใหญ่แล้ว

“เปล่า ที่นี่เป็นบ้านของตาผม ปกติผมไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก มีเหตุจำเป็นถึงจะแวะมาสักที”

ชายหนุ่มพยักพเยิดไปทางรูปถ่ายขาวดำที่ติดอยู่บนฝาผนัง เป็นรูปของชายชาวอียิปต์ในชุดกาลาเบยาปักลวดลายอ่อนช้อยงดงาม ยืนเคียงข้างสุภาพสตรีชาวยุโรปที่สวมชุดกระโปรงบานแบบตะวันตก

“คุณตาของคุณเป็นคนอียิปต์เหรอคะ แต่คุณดู...ไม่เหมือนคนอียิปต์สักนิด”

หญิงสาวหันกลับมาหาเขาอย่างลืมตัว หากไม่นับสีผมและสีผิวที่เข้มกว่าชาวยุโรปทั่วไปสักหน่อยแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไร ผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้าเธอนี้แทบไม่มีเค้าของคนที่มีเชื้อสายอียิปต์ในตัวเลยแม้แต่น้อย

“ยายของผมเป็นคนฝรั่งเศส คนที่คุณเห็นยืนอยู่ข้างๆ ตานั่นละ ส่วนพ่อผมเป็นคนอังกฤษ ผมก็เลยมีเลือดอียิปต์อยู่แค่หนึ่งส่วนสาม”

นั่นอธิบายได้ส่วนหนึ่งว่าทำไมเขาถึงพูดฝรั่งเศสคล่องนัก

“แล้วพวกท่าน...ไม่เป็นห่วงคุณแย่เหรอคะ ที่...ที่...ต้องมาเจออันตรายแบบนี้...”

มือที่กำลังพันผ้าพันแผลชะงักทันทีที่ได้ยินคำถาม เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาวตรงๆ เรียวปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มแปลกๆ

ดูเหมือนเขาเผลอพูดเรื่องของตนเองมากเกินไปแล้ว...

“ถ้ายังอยู่ก็คงห่วงมั้ง แต่นี่ไม่อยู่กันแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ว่าเป็นห่วงกันบ้างไหม ไอ้ผมมันไม่มีญาณทิพย์ไว้คุยกับวิญญาณเสียด้วย”

คำตอบของเขาเปิดประตูให้ความเงียบงันเข้ามาปกคลุมห้องอย่างน่าอึดอัด

“ฉัน...ขอโทษ...ฉันไม่รู้...” ราวินทราไม่ได้หลบตาเขา วูบหนึ่งเธอรู้สึกคล้ายเห็นแววแห่งความโศกเศร้าในดวงตาสีสวยคู่นี้ ก่อนที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าสีของหยดหมึกที่เลื่อนไหลไปตามกระแสธาร “เอ๊ะ...แต่...แต่เมื่อเช้าคุณบอกฉันว่าคุณอยากได้กำไลวงนี้ไปฝากแม่ ฉันก็นึกว่าท่านยัง...”

“ผมโกหก โอเค้?” แอรอนกวาดอุปกรณ์ทำแผลลงกล่องลวกๆ “อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ผมก็โกหกคุณเหมือนที่โกหกเรื่องอื่นๆ นั่นละ”

ราวินทรานิ่งอึ้ง ความรู้สึกกรุ่นโกรธที่เหมือนจะดับมอดไปเพราะภาพลวงตาจากความนุ่มนวลอ่อนโยนของเขาเริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

“ไอ้คน...” หญิงสาวกัดฟันกรอด คำผรุสวาทด่าทอนับร้อยผุดขึ้นมาท่วมหัวใจ แต่กลับไม่ไหลผ่านริมฝีปากออกไปแม้แต่คำเดียวด้วยหยาบคายมากเสียจนเธอกระดากปากที่จะเอ่ย “ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าทั้งคุณ ทั้งคนพวกนั้นเป็นบ้าอะไรกันไปหมด ทำไมต้องไล่ฆ่ากันเพื่อกำไลวงเล็กนิดเดียวขนาดนี้ด้วย”

“ก็เพราะมันสำคัญมากไง” ดวงตาคมกล้าเลื่อนไปมองกำไลสีทองที่อยู่บนข้อมือของเธอนิ่ง “ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อกำไลวงนี้ ขอแค่ให้ได้มันมา ต่อให้ต้องโกหกมากกว่านี้ หรือทำเรื่องทุเรศไร้ศักดิ์ศรีกว่านี้ผมก็ทำได้ คนพวกนั้นก็คงคิดไม่ต่างกัน”

“สำคัญยังไง อธิบายมาสิ ฉันถูกคุณลากมาเจอเรื่องเดือดร้อนขนาดนี้แล้ว ฉันคิดว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้นะ”

“ถ้ารู้แล้วจะยิ่งเดือดร้อน ผมว่าคุณไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่า” แอรอนคว้ากล่องอุปกรณ์ทำแผลแล้วลุกขึ้นยืน ขนาดตัวของเขาข่มให้ราวินทรารู้สึกเหมือนกายของตนหดเล็กลงจนเหลือนิดเดียว “หรือว่าแค่นี้ยังซวยไม่พอ อยากเสี่ยงอันตรายมากกว่านี้อีกหรือไง”

“แค่เจอคนอย่างคุณก็ถือว่าฉันซวยที่สุดในชีวิตแล้ว!” หญิงสาวแขวะเข้าให้ ความรู้สึกดีๆ ที่มีตอนเขาทำแผลให้เมื่อครู่ถูกเพลิงอารมณ์เผาจนมอดไหม้ไปสิ้น

“เจอผมนี่ถือว่าโชคดีมากแล้วนะ หนูน้อย เพราะถ้าคุณถูกไอ้พวกบ้าที่ไล่ตามเรามาวันนี้ลากตัวไปได้ละก็ คงถูกปู้ยี่ปู้ยำเละเทะไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้ทำปากดี เถียงฉอดๆ แบบนี้หรอก หัดสำนึกบุญคุณกันหน่อย”

“สำนึกบุญคุณ? คุณก็แค่ช่วยฉันเพราะเลี่ยงไม่ได้เท่านั้นไม่ใช่เหรอ” หน็อย...เอะอะก็ทวงบุญคุณกลบเกลื่อนความผิดตัวเองเชียวนะ! “ถ้าฉันตายไปคุณคงดีใจด้วยซ้ำ คุณจะได้ฉกกำไลไปได้ง่ายๆ ฉันยังจำที่คุณบอกในรถได้ ว่าคุณฆ่าคนได้เพื่อมัน...อื๊อ!”

เสียงของหญิงสาวม้วนหายลงไปในลำคอทันทีที่ชายหนุ่มเอื้อมมือมาบีบริมฝีปากของเธอไว้แน่น แล้วดึงจนยื่นออกมาเหมือนปากเป็ด มิไยที่เธอจะปัดป้องเป็นพัลวัน แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ

“ผมไม่เถียงหรอกว่าตัวเองชั่ว ทำเรื่องสารเลวมาแล้วทุกรูปแบบ แต่ผมไม่ได้โรคจิตถึงขนาดดีใจที่เห็นคนบริสุทธิ์ตายหรอกนะ” แววตาของชายหนุ่มสั่นไหวด้วยกระแสอารมณ์บางอย่างก่อนจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเหมือนเดิม “มีคนตายเพราะกำไลวงนี้มามากพอแล้ว รวมถึงพ่อของผมด้วย ผมไม่อยากเห็นใครต้องมาตายต่อหน้าต่อตาอีก”

ราวินทราชะงัก แวบแรก เธอนึกว่าเขาคงปั้นน้ำเป็นตัวเหมือนเคย แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าบางเบาที่ซ่อนอยู่ใต้ท่าทางแข็งกระด้างของเขา เธอก็นิ่งงันไปชั่วขณะ

พ่อของเขาตายเพราะกำไลวงนี้อย่างนั้นหรือ...

“ถ้าอยากหาเรื่องวอนตายนัก ก็ช่วยกรุณาตายหลังจากผมไปส่งคุณที่สถานทูตแล้วด้วย ผมขี้เกียจรับผิดชอบ แค่นี้ก็วุ่นจะตายโหงอยู่แล้ว” ชายหนุ่มคลายมือออกแล้วโยนกล่องอุปกรณ์ทำแผลลงบนเตียงข้างกายหญิงสาว ท่าทางเหมือนรำคาญเธอเต็มแก่

“ฉันอยากให้คุณรับผิดชอบตายละ!” ราวินทราตะโกนใส่หน้าคนไร้มารยาทอย่างสุดทน มือเล็กคลำปากที่ถูกบีบจนแดงป้อยๆ

“ไม่อยากก็ทำตัวให้เหมือนไม่อยากหน่อย อย่าโวยวายเรียกร้องอะไรให้มันมากนัก” แอรอนเสยผมแรงๆ อย่างหงุดหงิดใจที่อะไรๆ ไม่เป็นไปตามแผนเช่นครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมา แต่ยังพยายามข่มอารมณ์ไว้ด้วยตนยังมีชนักติดหลังอยู่ “ผมรู้ว่าตัวเองโคตรเฮงซวยที่ลากคุณมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผมจ่ายค่าทำขวัญชดเชยให้คุณคุ้มเกินคุ้มแน่”

“ฉันไม่ต้องการอะไรจากคุณทั้งนั้น แค่ไม่ต้องเจอหน้ากันอีกก็พอ ลาที ลาขาด จบกันชาตินี้!”

ในเมื่อเขาไม่เคยรักษามารยาทกับเธอ หญิงสาวก็ไม่มีเหตุผลต้องพูดจาอ้อมค้อมกับเขาอีกต่อไป เธอไม่ใช่คนใจเย็นนัก แต่ก็ไม่ใช่คนโมโหง่าย ทว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ เธอกลับรู้สึกคล้ายตนเองเป็นไบโพลาร์ ถูกเขาจับเหวี่ยงไปมาในวังวนแห่งห้วงอารมณ์อันหลากหลาย เหมือนขึ้นโรลเลอร์โคสเตอร์ไปชมท้องฟ้ากว้างได้เพียงสองสามวินาทีก็ถูกพาดิ่งลงเหวเสียนี่

“แหม คิดเหมือนกันเปี๊ยบ บอกตามตรงนะ ผมก็เบื่อที่ต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กอ่อนเต็มทีแล้ว ลาขาดกันเลยก็ดี”

แอรอนแค่นหัวเราะเสียงเย็น แล้วช้อนร่างบางระหงขึ้นจากเตียงโดยไม่ให้หญิงสาวได้ทันตั้งตัว

“นี่คุณ! จะ...จะทำอะไร!” ราวินทราพยายามดันตัวออกห่างจากแผงอกหนาหนั่น ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเขาแบกเธอตรงไปทางระเบียงห้อง อย่า...อย่าบอกนะว่าเขาจะจับเธอโยนลงไปข้างล่าง!

“ดิ้นทำไมเล่า มีปัญญาเดินเองหรือไง” ชายหนุ่มรัดวงแขนแน่นเข้าจนอีกฝ่ายแทบกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ “ในสถานการณ์แบบนี้ เราไม่ควรอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป พวกมันจะได้ตามรอยไม่ได้”

ถึงจะค่อนข้างแน่ใจว่าไม่มีคนรู้เรื่องที่พักแห่งนี้ แต่ความเร่งร้อนที่จะพาหญิงสาวและกำไลออกจากที่เกิดเหตุก็ทำให้เขาไม่มีเวลากลบเกลื่อนร่องรอยของตนเองอย่างที่ควรทำ เขาไม่ห่วงเรื่องถูกกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ได้เท่าใดนัก ถึงอย่างไรเขาก็เอาตัวรอดได้ไม่ยาก ห่วงก็แต่ผู้คนที่พบเห็นเขาระหว่างทางจะถูกฌอง-ลุคไล่ล่าตัวเพื่อตามรอย ‘อาร์สิโนเอ’ เสียมากกว่า เขาไม่รู้ว่ากลุ่มคนที่ตามไล่ล่าตนเองและหญิงสาวในวันนี้เป็นพวกไหนกันแน่ แต่ถ้าไอ้สารเลวนั่นยังไม่ได้ในสิ่งที่มันต้องการละก็ มันต้องอาละวาดไม่เลิกแน่ และคงไม่สนด้วยว่าต้องสังเวยชีวิตของผู้บริสุทธิ์มากเท่าใด คิดถึงตรงนี้ เขาก็หลุบตามองดวงหน้าซีดขาวของสาวน้อยในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกผิดระคนกังวลใจ

หลังจากเผ่นออกจากไคโรได้แล้ว ต้องรีบปล่อยข่าวว่ากำไลอยู่ที่เขา และเรเวนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไอ้ฌอง-ลุคจะได้ไม่ยุ่งกับเธอ

“นี่เราจะไปไหน คุณสัญญากับฉันแล้วว่าจะพาไปส่งที่สถานทูต”

หญิงสาวใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าเขาอุ้มเธอตรงผ่านระเบียงไปยังบันไดที่เชื่อมต่อลงไปชั้นล่าง ไม่ได้คิดจะโยนเธอลงไปให้คอหักตายอย่างที่แอบกลัว

“ความจำไม่เสื่อม จำได้น่า กำลังจะพาไปส่งอยู่นี่ไง” ความหงุดหงิดของเขาลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของเธอที่เหมือนไม่รู้จะร้องไห้หรือโกรธเขาก่อนดี “ระหว่างนี้ก็ดูแล ‘หลักประกัน’ เอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน รถจอดหน้าสถานทูตเมื่อไหร่ คุณต้องถอดมันมาให้ผมทันที ห้ามบิดพลิ้วอีกเป็นอันขาด”

“ฉันไม่บิดพลิ้วแน่ถ้าคุณรักษาสัญญา”

ราวินทราเกร็งตัวจนเมื่อยไปหมด ไม่ว่าอย่างไรเธอก็รู้สึกอิหลักอิเหลื่อพิกลที่ต้องอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายแปลกหน้า แต่ในขณะเดียวกัน ไอร้อนที่แผ่ออกมาจากกายเขาก็ช่วยบรรเทาความหวาดกลัวและกังวลใจลงได้อย่างน่าประหลาด

แอรอนเป็นคนอ่านยาก แถมยังโกหกเป็นไฟจนไม่รู้ว่าเรื่องที่หลุดออกมาจากปากมีเรื่องใดเชื่อได้บ้างหรือไม่ เธอดูไม่ออกเลยสักนิดว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ วินาทีหนึ่งก็ไล่บี้จะเอากำไลจากเธออย่างเอาเป็นเอาตาย วินาทีถัดมาก็บอกให้เธอถือไว้เป็นหลักประกันความปลอดภัย ทั้งที่จริงๆ แล้ว หากเขาจะแย่งกำไลวงนี้ไปก็ง่ายดายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษให้เธอรู้สึกสับสนถึงเพียงนี้เลย

ไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ...

 

แอรอนอุ้มราวินทราลงบันไดที่มีสนิมเกาะจนเขรอะไปยังอาคารจอดรถชั้นใต้ดิน หลอดไฟกะพริบติดๆ ดับๆ บนเพดานกระดำกระด่างและเต็มไปด้วยหยากไย่เผยให้เห็นว่ามีรถจอดอยู่สี่ห้าคัน แต่ละคันล้วนแล้วแต่เป็นรถรุ่นเก่าที่มีสีสันโทนเรียบๆ ไม่โดดเด่นสะดุดตาเช่นขาว ดำ และบรอนซ์เงิน ชายหนุ่มกดกุญแจรีโมตเปิดล็อกรถยนต์ญี่ปุ่นที่จอดอยู่ด้านในสุด แล้วจัดแจงให้หญิงสาวนั่งบนเบาะหลังเพื่อความปลอดภัย

“รถพวกนี้...”

“เป็นของผม” แอรอนพูดพลางเอื้อมมือดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ราวินทรา ถึงรถพวกนี้จะไม่มีชื่อเขาเป็นเจ้าของเลยสักคัน แต่เขาเป็นคนจ่ายเงินซื้อมาทั้งหมด ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นของเขานั่นละน่า “อย่าถามนู่นถามนี่เยอะได้ไหม ผมไม่มีเวลามาเล่นเกมยี่สิบคำถามกับคุณหรอกนะ”

“พูดอย่างกับฉันถามอะไรไป คุณจะตอบครบทุกข้ออย่างนั้นละ”

หญิงสาวย่นจมูก เธอเงยหน้าขึ้นในจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังถอยหลัง ปลายจมูกและริมฝีปากของเขาจึงกดแนบลงบนแก้มของเธอพอดี ความคับแคบภายในรถและเข็มขัดที่รัดกายอยู่ทำให้เธอไม่อาจขยับหนีได้ จึงได้แต่เบือนดวงหน้าแดงก่ำหลบไปอีกทาง ในขณะที่แอรอนไม่ได้ผละถอยหลังไปในทันที สัมผัสนุ่มนิ่มและกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยกรุ่นจากเนื้อนวลรั้งเขาเอาไว้ ครู่ใหญ่กว่าเขาจะตัดใจไม่มองเรียวปากแดงอิ่มที่สั่นระริกจนน่ารังแกของเธอแล้วส่งเสียงกระแอมแก้เก้อออกมาเบาๆ

“รถ...รถ...กระป๋องก็แบบนี้แหละ แคบไปหน่อย”

ไม่ได้เป็นอันขาด ยังไงก็ไม่ได้ ท่องเอาไว้ แอรอน ตอนนี้เรื่องของอาร์สิโนเอสำคัญที่สุด...

“ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”

เสียงเอ่ยทักเป็นภาษาฝรั่งเศสทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งโหยง เขารีบปิดประตูรถแล้วขยับมือส่งสัญญาณให้ราวินทราหมอบลง แต่หญิงสาวไม่เข้าใจจึงได้แต่นั่งนิ่งแล้วมองตรงไปยังผู้มาใหม่ด้วยความรู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก...เขาเป็นชายชาวยุโรปร่างใหญ่ค่อนไปทางอ้วนท้วน อายุน่าจะอยู่ในช่วงราวๆ สี่สิบตอนปลายไปจนถึงห้าสิบต้นๆ เส้นผมสีทองของเขามีสีอ่อนมากจนเกือบจะกลายเป็นสีเงินยวงไปทั้งศีรษะแล้ว น่าแปลก...ที่ราวินทรารู้สึกคล้ายเคยเห็นหน้าอาคันตุกะผู้นี้มาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน

“หา ‘ผู้ซื้อ’ รายใหม่ได้ไวขนาดนี้เพราะมีความ ‘สัมพันธ์’ ส่วนตัวกันนี่เอง แกนี่มันขายดะทุกอย่างกระทั่งเนื้อตัวอย่างที่เขาลือกันจริงๆ ด้วยสินะ”

ราวินทราไม่เข้าใจประโยคภาษาฝรั่งเศสที่เขาพูด แต่ไม่ชอบสายตาโลมเลียมที่เขาใช้มองมาทางเธอเลยสักนิด

“อย่างน้อยก็ไม่ขายวิญญาณให้ปีศาจร้ายเหมือนแกหรอก มิเชล” แอรอนขยับตัวมาบังหญิงสาวเอาไว้ให้พ้นจากสายตาของอีกฝ่าย “อุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่ แกคงไม่ได้ตั้งใจมาเลกเชอร์เรื่องศีลธรรมจอมปลอมที่แกเองก็ไม่มีให้ฉันฟังหรอกใช่ไหม”

“แกก็รู้ว่าฉันมาทำไม”

มิเชลแสยะยิ้มแล้วปรายตามองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์สี่ห้าคนที่เดินออกมาจากมุมมืด แม้ไฟจะสลัวราง แต่ราวินทราก็เห็นชัดเจนว่าคนพวกนั้นถืออาวุธครบมือ ทั้งมีด ไม้กระบอง และ...ปืน!

“แอรอน!”

หญิงสาวเคาะกระจกเรียกชายหนุ่มอย่างตื่นตกใจ เขาทำเพียงหันกลับมาพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า ‘รู้แล้ว’ ก่อนจะตีสีหน้านิ่งสนิทเหมือนไม่หวั่นกลัวสิ่งที่เห็นตรงหน้าแม้แต่น้อย

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าแกสะเออะมาที่นี่ทำไม”

แอรอนไพล่มือไปด้านหลังแล้วหย่อนกุญแจรถผ่านกระจกหน้าต่างรถที่เปิดแง้มไว้ให้ราวินทรา ก่อนจะขยับนิ้วชี้ไปยังเบาะหน้า ครั้งนี้หญิงสาวเข้าใจความหมายของเขาในทันที เธอปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วกัดฟันข่มความเจ็บปวดที่แล่นแปลบจากบาดแผลบนขาขวา โน้มตัวคลานไปที่เบาะหน้าฝั่งคนขับโดยใช้ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มบดบังสายตาคนภายนอกเอาไว้

“อย่ามาทำไขสือหน่อยเลย ฉันคงไม่มาเหยียบอะพาร์ตเมนต์สับปะรังเคของตาแกให้ติดเสนียด ถ้าไม่ใช่เพราะอาร์สิโนเอ”

สมัยที่อาร์เธอร์ยังมีชีวิตอยู่ มิเชลเคยมาเยี่ยมมุสตาฟาผู้ล่วงลับที่อะพาร์ตเมนต์แห่งนี้อยู่สองสามครั้ง เมื่อลูกน้องรายงานว่าแอรอนหายตัวไปในย่านนี้และตามรอยไม่ได้ เขาจึงเดาเอาว่าหากอาคารนี้ไม่ถูกทุบหรือรื้อทิ้งไปแล้ว ไอ้เด็กวายร้ายอาจพาหญิงสาวมากบดานอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ แล้วก็แจ็กพอตจนได้!

“คนสารเลวอย่างแกมีสิทธิ์พูดถึงอาร์สิโนเอด้วยอย่างนั้นเหรอวะ”

ดวงตาของแอรอนวาววับ ภาพใบหน้าระทมทุกข์ของบิดาผุดวาบขึ้นมาในห้วงความคิด ย้ำเตือนถึงความแค้นที่เขามีต่อชายน่ารังเกียจเบื้องหน้าตนอย่างล้ำลึก แค้น...ที่รอวันชำระ!

“ถ้าฉันไม่มีสิทธิ์ แล้วใครกันเล่าที่มีสิทธิ์ ไอ้ขี้แพ้อย่างอาร์เธอร์พ่อแกอย่างนั้นเหรอวะ” มิเชลเหยียดยิ้มหยัน

“แกน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าพ่อฉันคือคนที่มีสิทธิ์ในอาร์สิโนเอมากกว่าใครทั้งนั้น มากกว่าแกหรือแม้แต่ไอ้ฌอง-ลุคด้วย!” ชายหนุ่มคำรามลอดไรฟัน สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนออกมาจนเห็นได้ชัด “ฉันไม่มีวันยอมให้คนระยำอย่างพวกแกแตะต้องสิ่งที่พ่อฉันใช้เวลาเสาะหามาค่อนชีวิตแน่”

“พ่อแกมันโง่ แกเองก็โง่ไม่แพ้กัน ต่อให้ฉันไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง พวกแกก็ไม่มีปัญญาไขปริศนาความลับของอาร์สิโนเออยู่ดี ของล้ำค่าขนาดนี้ทิ้งให้อยู่ในมือคนที่ไม่รู้ค่าก็เสียของเปล่าๆ” ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศสสืบเท้าไปเบื้องหน้าช้าๆ โดยมีเหล่าลูกน้องค่อยๆ เดินตามไปติดๆ ด้วยท่าทางคุกคามอย่างที่สุด “แกจนมุมแล้วแอรอน ส่งกำไลมาให้ฉันซะ แล้วฉันจะปล่อยแกกับนังเด็กนั่นไปแบบครบสามสิบสอง”

“ใครเชื่อมนุษย์ตอแหลตัวพ่ออย่างแกก็โง่เต็มทนแล้ว” แอรอนลอบมองราวินทราเป็นระยะ เมื่อเห็นว่าเธอซุกตัวอยู่บนเบาะฝั่งคนขับแล้วก็ค่อยๆ เลื่อนปลายนิ้วไปแตะหูจับเปิดประตูรถทางด้านหลัง “ที่พูดมานี่ถามไอ้ฌอง-ลุคแล้วหรือยังว่าเห็นด้วยหรือเปล่า คนกัดไม่ปล่อยอย่างมันมีหรือจะยอมง่ายๆ”

“ฉันไม่ใช่เด็กอมมืออย่างแกถึงต้องถามความเห็นไอ้ฌอง-ลุคทุกเรื่องนี่ บางเรื่องฉันก็ตัดสินใจเองได้ แกน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นฉัน ไม่ใช่มัน ไม่อย่างนั้นแกได้ไปทัวร์ยมโลกนานแล้ว”

“ตลกดีนะ แกรู้จักฌอง-ลุคมานานกว่าฉัน แต่กลับไม่รู้เลยสักนิดว่ามันขี้ระแวงแค่ไหน” แอรอนกวาดตามองชายฉกรรจ์ที่ยืนเรียงกันอยู่ด้านหลังมิเชลทีละคนอย่างระแวดระวัง เพียงครู่เรียวปากหยักลึกก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชาเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่แสนคุ้นตา “ฌอง-ลุคไม่เคยไว้ใจให้ใครตัดสินใจแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม แล้วเรื่องเกี่ยวกับอาร์สิโนเอที่มันอยากได้จนตัวสั่น มันจะยอมให้เศษสวะอย่างแกมาลงมือแทนได้ยังไงกันเล่า นอกเสียจากว่าแกจะแอบทำลับหลังมัน”

แววตาวูบไหวของอีกฝ่ายฟ้องชัดว่าสิ่งที่เขาเดานั้นถูกต้องทุกประการ

“ชะตาจะขาดอยู่รอมร่อแล้วยังพล่ามอยู่ได้ ไอ้เด็กเวร ส่งกำไลมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน!”

“คนที่ชะตาขาดคือคนที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าพายมทูตมาด้วยต่างหาก”

ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าของชายเชื้อสายอาหรับที่ถือปืนคุมเชิงอยู่ทางด้านหลังมิเชล ใบหน้าของเขานิ่งขึง แววตาเย็นชาผิดจากนักเลงคนอื่นๆ ที่ยืนรายล้อมอยู่โดยสิ้นเชิง ทันทีที่สบตากับแอรอน เขาก็ง้างไกปืนแล้วยกขึ้นจ่อศีรษะของศาสตราจารย์ดูวาลทันที

“นี่แกจะทำ...”

ปัง!

เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้ประโยคที่หลุดพ้นจากลำคอของมิเชลขาดหายไปในบัดดลพร้อมๆ กับที่เลือดสีแดงฉานและมันสมองสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ราวินทรากรีดร้องเสียงหลงกับฉากสยดสยองที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ตรงหน้า มือปืนคนเดิมเริ่มหันไปยิงนักเลงคนอื่นๆ อย่างเลือดเย็น

“เรเวน สตาร์ตรถ!”

แอรอนอาศัยจังหวะนั้นเปิดประตูหลังรถแล้วกระโจนเข้าไปด้านใน ราวินทราบิดกุญแจสตาร์ตรถโดยไม่รอให้เขาบอกซ้ำ แล้วกระแทกเท้าลงไปบนคันเร่งจนมิด พารถเก๋งญี่ปุ่นคันกะทัดรัดพุ่งทะยานขึ้นทางลาดแล้วตรงออกประตูไปยังถนนด้านนอกด้วยความเร็วสูง

ปัง! ปัง!

“เหยียบให้มิด!” ชายหนุ่มตะโกนแข่งกับเสียงปืนที่ดังไล่หลังมา ท่อนขาของเขายังยื่นออกไปนอกประตูรถที่ยังคงเปิดค้างอยู่

หญิงสาวหวาดผวาจนตัวสั่น ยิ่งได้เห็นคราบเลือดและชิ้นเนื้อเละๆ คล้ายมันสมองที่กระเซ็นติดอยู่บนกระจกรถ เธอก็แทบจะอาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมลดความเร็ว สองมือกำพวงมาลัยรถแน่นเพื่อประคองให้วิ่งไปในซอยแคบๆ ทั้งน้ำตา

พ่อจ๋า แม่จ๋า พี่ต้น พี่สา ช่วยตาลด้วย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น